×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

MBA in “Smart” Era

August 13, 2018 4855

"MBA เป็นหลักสูตรที่มีคนต้องการเรียนมากที่สุดในโลก เพราะเป็นหลักสูตรที่สอนทักษะจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจหรือต้องการเป็นส่วนหนึ่งในสังคมธุรกิจความรู้ MBA เป็นหัวใจของการทำธุรกิจ ใครก็ตามที่คิดจะเป็นผู้บริหารหรือทำธุรกิจส่วนตัวไม่ว่าจะเรียนจบสาขาอะไรมาก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความรู้ MBA" 

รองศาสตราจารย์ ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า (NIDA) กล่าวถึงความสำคัญของการเรียน MBA ในการบรรยายพิเศษ เรื่อง MBA in "Smart" Era ในงาน Thailand MBA Forum 2018 ภายใต้แนวคิด The Next Chapter of Tech & Management เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ณ โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ ชั้น 8 สยามสแควร์วัน 

รศ.ดร.ประดิษฐ์ กล่าวถึงการเรียนหลักสูตร MBA ในยุคที่คลื่นของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง 5G และเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ในอนาคต กำลังจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าในช่วงเวลาที่ธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันทางการตลาด หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้ MBA ก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นตามลำดับ สำหรับธุรกิจในยุค 5G ก็เช่นกัน 

การดำเนินธุรกิจในรุ่นพ่อรุ่นแม่เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นเรื่องง่าย เพราะเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นในที่หนึ่งกว่าเรื่องราวนั้นที่จะสะท้อนมาถึงเราหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่วันนี้หากเกิดอะไรขึ้นที่ใดก็ตามของโลกเช่น เกิดภาวะตลาดหุ้นที่นิวยอร์กล่ม เพียงไม่กี่วินาทีข่าวนี้ก็รู้มาถึงตลาดหุ้นไทย นอกจากเรื่องของการสื่อสารแล้ว การทำธุรกรรมทางการค้า การซื้อขายสินค้าในวันนี้ ก็เริ่มมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ดังจะเห็นจากการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ห้างสรรพสินค้าใดยังไม่ปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ตลาดออนไลน์ก็อาจจะอยู่ไม่รอด

ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยูนิลิเวอร์ ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า จะไม่มีองค์กรใดอยู่รอดได้เลยในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยี IT ซึ่ง รศ.ดร.ประดิษฐ์ มองว่ามาถึง ณ วันนี้คงไม่ต้องรอให้ถึง 10 ปี เพราะภายในระยะเวลา 5 ปีนี้หากองค์กรไหนก็ตามที่ไม่สามารถดึงเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ IT เข้ามาใช้ได้องค์กรนั้นจะอยู่ไม่ได้เลย 

“อยากให้สังเกตพฤติกรรมของคนที่ไปเดินห้างสรรพสินค้าในทุกวันนี้ แล้วลองตั้งคำถามกันดูว่า คนไปทำอะไรกันบ้างในห้างสรรพสินค้า สำหรับผมสิ่งที่เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ คนมาเดินห้างส่วนใหญ่ไม่ได้มาห้างสรรพสินค้าด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการเข้ามาเลือกซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเหมือนดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว เราจะพบว่าคนมาห้างสรรพสินค้าด้วยเหตุผลอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ หลบร้อน พักเหนื่อยจากการเดินทาง รับ-ประทานอาหาร นัดเพื่อน เลี้ยงสังสรรค์ คุยธุรกิจ เดินดูสินค้าแบบที่ตนเองอยากได้ ไปเช็กราคา ไปทดสอบการใช้งาน ไปดูของจริง แล้วกลับบ้านไปซื้อผ่านออนไลน์เพราะราคาต่ำกว่า ดังนั้นนอกจากห้างต้องปรับตัวแล้ว ธุรกิจที่พึ่งพิงการขายสินค้าผ่านห้างสรรพสินค้าเองก็ยิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองและหากก้าวไปถึงยุค 5G เราก็สามารถทำทุกอย่างได้หลาก-หลายมากขึ้นซึ่งวันนี้หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้เกิดขึ้นแล้ว” รศ.ดร.ประดิษฐ์ ยกตัวอย่าง พร้อมกล่าวถึงการเรียนและรูปแบบของหลักสูตร MBA ในยุค 5G ว่า

ความรู้และทักษะหลักๆ ของหลักสูตร MBA ที่ออกแบบและสอนกันมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันทั้งในส่วนที่เป็น วิชาพื้นฐาน (Foundation Courses) ที่ประกอบด้วยวิชาทักษะพื้นฐานได้แก่ เรื่องของตัวเลข (Business Statistic) ระบบฐานข้อมูล (MIS: Management Information System) เศรษฐศาสตร์ (Economic) การจัดการ (Management) กฎหมายธุรกิจ (Business Law) และวิชาแกนหลักของการเรียนบริหารธุรกิจ (Core Courses) ที่คนเรียน MBA ทั่วโลกต้องเรียน 5 วิชาได้แก่ การตลาด (Marketing) บัญชี (Accounting) การเงิน (Finance) การปฏิบัติการ (Operations Management) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) และรวมถึงประมวลองค์ความรู้ MBA (Capstone Course) อย่างวิชาการจัดการกลยุทธ์ (Strategic Management) ทั้งหมดนี้ยังคงมีความจำเป็นต้องเรียนรู้กันอยู่เพราะวิชาเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะและความรู้ไปบริหารธุรกิจ แต่รูปแบบการเรียน MBA ในยุค 5G ก็จะมีบริบทบางแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้

รูปแบบการเรียนการสอน MBA ในประเทศไทยต่อไป จะต้องถูกปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีที่เข้ามา นักศึกษาแทบจะไม่ต้องเข้าห้องเรียนเพราะสามารถหาความรู้ที่อยู่รอบตัวได้ตลอดเวลาจากอินเทอร์เน็ต หรือ E-Learning หรือโปรแกรมพิเศษต่างๆ ที่สามารถนั่งศึกษาจากที่ไหนของโลกก็ได้

ในอนาคตการเรียนการสอนจะเป็นระบบการเรียนการสอนที่ดึงเอาเทคโนโลยีทุกส่วนเข้ามาใช้ในการมีการประยุกต์นำเอาองค์ความรู้ในแขนงต่างๆ เข้ากับเทคโนโลยี ฐานข้อมูลความรู้ต่างๆ จะมีความเป็น Interactive ที่มากขึ้น จะมีการนำเอาเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนของแต่ละวิชามากขึ้น เช่น

การเรียนการตลาดจะไม่มีการมาเรียนแบบ Traditional Marketing หรือการเรียนแบบในอดีต ที่มาศึกษาเพียงแค่ว่าพฤติกรรมหรือปัจจัยอะไรที่มีผลต่อการที่จะซื้อของหรือไม่ซื้อของลูกค้าอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ด้วยระบบ AI นั้นสามารถจะช่วยวิเคราะห์และหาคำตอบให้ได้หมดแล้วว่า ทำไมพฤติกรรมคนจึงเป็นแบบนี้ และการที่คนแสดงพฤติกรรมการซื้อของแต่ละอย่างนั้นมันสะท้อนถึงอะไร และสิ่งที่เขาจะต้องซื้อต่อไปคืออะไร 

ดังนั้นมหาวิทยาลัยไหนก็ตามที่สอน MBA หากสอนแบบเดิมจะไม่สามารถสร้างคนที่มีความรู้เข้าไปต่อสู้ในโลกความจริงในอนาคตได้เลย

 

รศ.ดร.ประดิษฐ์ กล่าวถึง MBA ของนิด้าว่า “นิด้าเราก็ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ (เทคโนโลยี) จะมาเร็วกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำเมื่อสองปีที่แล้วเรายังคิดว่าภายในอีก 5-10 ปี ถึงเวลานั้นเราคงต้องปรับปรุงระบบของการเรียนการสอน แต่มาถึงวันนี้ไม่ใช่แล้ว ผมให้อีกแค่ 3 ปี ถ้าหากเราไม่สามารถดึงพวกนี้มาใช้ได้ก็คงจะล้าหลังไปมาก ตอนนี้เราลงทุนงบประมาณไปกว่า 30 ล้านเพื่อที่จะสร้างห้องปฏิบัติการหรือห้อง LAB ขึ้นมาเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนบริหารธุรกิจ การเรียนการสอนในอนาคตจะต้องเป็นระบบการเรียนการสอนที่ดึงเอาเทคโนโลยีทุกส่วนเข้ามาใช้ใน การที่เราจะประยุกต์ความรู้ของเราให้มันเห็นจริงจะใช้ระบบ Interactive ที่มากขึ้น ใช้ AI ให้มากขึ้น” 

ในประเทศไทยปัจจุบันมีการเปิดสอนหลักสูตร MBA ราว 160 สถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งในยุค 5G ที่จะมาถึงนี้ อาจจะเหลือหลักสูตร MBA ที่เปิดสอนได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ถึง 10 แห่ง ทั้งนี้ความหมายของหลักสูตร MBA ที่มีคุณภาพในมุมมองของ รศ.ดร.ประดิษฐ์ คือเป็นหลักสูตรที่ต้องสามารถดึงเอาความรู้และประโยชน์จากเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งการจัดการการเรียนการสอนและเนื้อหาหลักสูตรที่สอน ครูอาจารย์ที่สอนในแต่ละวิชานอกจากจะมีความรู้ในทักษะเฉพาะด้านแล้วยังต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีและสามารถประยุกต์ได้ว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทหรือสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือหรือใช้ประโยชน์ในวิชานั้นๆ ได้อย่างไร นอกจากนี้ ตัวของนักศึกษาเองก็จะต้องรู้จักใช้เครื่องมือในการเรียนด้วย และที่สำคัญในแง่ของตัวมหาวิทยาลัยเองจะต้องมีความร่วมมือกับนานาชาติ มีความร่วมมือหรือเครือข่ายที่จะสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ 

รศ.ดร.ประดิษฐ์ ยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่จะพิจารณาเลือกสถาบันการศึกษา MBA ที่มีคุณภาพว่า หลักสูตร MBA ที่มีคุณภาพจะต้องมีครบ 5 องค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. พิจารณาจากตัวคณาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรว่ามีความรู้ทางวิชาการ คือเป็นอาจารย์ระดับปริญญาเอกมากน้อยเพียงใด มีประสบการณ์ในสายวิชาชีพที่สอนอย่างไร เป็นสมาชิกชมรมหรือการวิชาชีพในสายที่สอนหรือไม่ รวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน เพราะการเรียน MBA ไม่ได้เป็นการเรียนแค่ทฤษฎี แต่การปฏิบัติหรือแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

2. การออกแบบหลักสูตรของแต่ละสถาบัน บางแห่งเน้นทฤษฎี บางแห่งเน้นปฏิบัติ บางแห่งเน้นผสมผสานในสัดส่วนเท่าๆ กัน ต้องดูความตามความเหมาะสมของกลุ่มผู้เรียน เช่น ผู้ที่เพิ่งจบปริญญาตรีมา ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนก็ควรเลือกเรียน MBA หลักสูตรที่เน้นทฤษฎี แต่ถ้าเคยผ่านประสบการณ์ทำงานมานานแล้ว อยากเรียน MBA เพื่อหาประสบการณ์เพิ่มก็อยากแนะนำให้เรียนหลักสูตรที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ 

3. กระบวนการรับนักศึกษา ว่าอัตราส่วนที่รับกับการสมัครเป็นอย่างไร ถ้าผู้สมัครจำนวนมากและจำนวนรับน้อยก็แสดงถึงโอกาสในการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ดี 

4. ดูจากศิษย์เก่า ศิษย์เก่าที่ออกไปสร้างชื่อเสียงในองค์กรธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกคือส่วนหนึ่งที่เข้ามารับรองถึงคุณภาพของหลักสูตร 

5. Accreditation การรับรองมาตรฐานที่เป็นสากล


สามารถรับชมคลิปวิดีโอ หัวข้อ MBA in “Smart” Era โดย รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) จากงาน Thailand MBA Forum 2018  ได้ที่นี่

Rate this item
(1 Vote)
Last modified on Wednesday, 02 October 2019 11:10
X

Right Click

No right click