· 20% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารเพื่อใช้บริการ 5G ที่มีคุณภาพโดดเด่นกว่า

· ผู้บริโภค 5G มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 เท่า หากได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไม่ดีตามสถานที่ที่มีการใช้ดาต้าหนาแน่น อาทิ สนามกีฬาและสนามบินต่าง ๆ

· อีริคสันทำวิจัยการตลาดสำหรับประเทศไทยเฉพาะ โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

 

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม

รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G

นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า

การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562

ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)

ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า

ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ

 

ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการพรีเมียมของผู้ให้บริการ  “ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”

วิธีเก็บข้อมูล

อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย

อ่านรายงานฉบับเต็ม: 5G Value: Turning performance into loyalty

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Ericsson ConsumerLab: the voice of the consumer Ericsson ConsumerLab: 5G Reports Ericsson Private Networks

· เผยพอร์ตโฟลิโอ 5G ล้ำสมัย พร้อมสาธิตเทคโนโลยีล่าสุดมากมายในงาน Ericsson Imagine Live Thailand 2023

· อีริคสันเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยผ่านเทคโนโลยี 5G

· อีริคสันนำความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยี มาสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยก้าวสู่ผู้นำ 5G ระดับแถวหน้า

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เปิดงาน Imagine Live Thailand 2023 นำยูสเคสและนวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ขั้นสูง ที่เปิดตัวในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีเทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ล่าสุด ประกอบด้วย โซลูชันสื่อสารวิทยุประหยัดพลังงาน (Energy Efficient Radio Solutions), การสื่อสารผ่านโฮโลแกรม (Holographic Communications), เทคโนโลยี Digital Twin และระบบเครือข่ายอัตโนมัติ (Network Automation) รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายที่นำมาจัดแสดงไว้ภายในงาน

หนึ่งในไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดง คือ ผลิตภัณฑ์ Radio 4466 ที่สามารถรองรับย่านความถี่ 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz ที่มีในประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์นี้เป็น Triple-Band Radio 4466 รุ่นล่าสุดของอีริคสัน ที่มีความสามารถเสริมศักยภาพการให้บริการ 4G และ 5G ข้ามย่านความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์เดียวแก่ผู้ให้บริการไทย และยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงจำนวนสถานีฐาน ซึ่ง Radio 4466 ยังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ericsson Radio Access Network ที่สามารถจัดการความท้าทายในการติดตั้งสถานีฐานพร้อมช่วยประหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก

ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในประเทศไทย อีริคสันมุ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ผู้นำ 5G ชั้นแนวหน้า มร.อิกอร์ มอเรล ประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การสร้างเครือข่าย 5G ประสิทธิภาพสูงและเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญของเราที่ต้องการสร้างเครือข่ายในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ด้วยพอร์ตโฟลิโอการใช้ 5G ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของอีริคสัน เรากำลังจัดการกับหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเรา นั่นคือการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะที่การใช้งาน 5G มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป้าหมายของเราคือการไปสู่อนาคตคาร์บอนต่ำพร้อมกับการเร่งประสบการณ์ 5G” อีริคสันลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาปีละประมาณ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18% ของยอดขาย

ประเทศไทยคือผู้นำคลื่น 5G อย่างชัดเจน จากการคาดการณ์ของอีริคสันระบุ ช่วงสิ้นปี 2565 พบว่า 5G ครอบคลุมมากกว่า 85% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ปริมาณการใช้ข้อมูลต่อการสมัครสมาชิกในประเทศไทยคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตเพิ่มเป็นเกือบ 80 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มจาก 32.7 กิกะไบต์

ต่อเดือน ในปี 2565 และคาดว่าในปี 2571 จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยคาดว่า 5G จะสามารถรองรับความต้องการประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายได้

“ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความไดนามิกสูง และมีผู้บริโภคที่เข้าใจเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้งานมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม 4.0 ในประเทศตามเป้าหมาย Digital Thailand ของรัฐบาล ทำให้การเชื่อมต่อต้องมีความมั่นใจได้ ปลอดภัยและแข็งแกร่ง โดยความซับซ้อนที่เครือข่ายจำเป็นต้องจัดการทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในการดำเนินงานของเครือข่าย การดึงศักยภาพจากเทคโนโลยี อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) มาปรับใช้จะช่วยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศไทยสามารถจัดการความซับซ้อนของเครือข่ายที่กำลังเติบโตได้ ตามที่เราเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ บนเครือข่าย 5G” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แนวทาง Zero-Touch Operation กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของอนาคตการดำเนินงานบนเครือข่ายที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zero-Touch ช่วยผู้ให้บริการสามารถจัดการเครือข่ายโดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน คาดการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการแบบเชิงรุกได้มากขึ้น โดยระบบเครือข่ายอัตโนมัติยังช่วยลดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเองลง และทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น

ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านไอซีทีระดับโลก อีริคสันกำลังใช้ศักยภาพจากบริการบรอดแบนด์มือถือขั้นสูง เทคโนโลยี Fixed Wireless Access (FWA) และเทคโนโลยี 5G มารองรับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย “เรากำลังใช้ศักยภาพทั้งในด้านความเชี่ยวชาญระดับโลกและความเป็นผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทย ก้าวไปเป็นผู้นำแถวหน้า 5G ผ่านความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตรของเราในประเทศไทย และเรายังมุ่งมั่นเร่งสร้างนวัตกรรมและระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” มร.อิกอร์ กล่าวเพิ่ม

อีริคสัน เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 152 เครือข่าย ใน 65 ประเทศ บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงาน Frost Radar™ 5G Network Infrastructure Market 2023 เป็นปีที่สามติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ 5G Radio Access Networks (RAN), Transport networks, และ Core Networks

 เรียลมี (realme) แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วในโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ล่าสุด “realme 11 Pro Series 5G” ที่ประเทศจีน นำเสนอ 2 รุ่นคือ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G มาพร้อมดีไซน์ฝาหลัง ผลงานการคอลแลบกับนักออกแบบสิ่งทอชั้นนำระดับโลกจาก Gucci Prints พร้อมชูไฮไลต์ในรุ่นใหญ่ realme 11 Pro+ 5G ด้วยสุดยอดนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปแห่งปีที่หลายคนรอคอย

สมาร์ตโฟน realme ในตระกูล Number Series สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 50 ล้านเครื่อง จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ realme สามารถทุบสถิติยอดขายเกิน 100 ล้านเครื่องได้ในช่วงที่ผ่านมา และด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ว่าบริษัทจะไม่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ถ้าไม่มีนวัตกรรมใหม่ (No Leap-forward innovation, no product release) ทำให้ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องระดับแฟล็กชิปที่พร้อมสั่นสะเทือนวงการ โดยเป็นกล้องระบบ SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลกซึ่งทรงประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดสมาร์ตโฟนระดับราคาเดียวกัน และไม่เพียงมอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือระดับทั้งในด้านการซูม ความละเอียดของเม็ดพิกเซล และฟังก์ชันต่าง ๆ เท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังยกระดับการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงคุณสมบัติด้านอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หน่วยความจำ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ายเชส ซือ รองประธานบริษัท realme และประธานกรรมการบริหาร realme Global Marketing กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ตโฟนของเราคือการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งทำให้ realme 11 Pro 5G Series เป็นสมาร์ตโฟนที่มีเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดในกลุ่มแฟล็กชิป เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกล้องระดับแฟล็กชิปได้ง่ายขึ้น และเก็บภาพที่สวยงามเพื่อสร้างสรรค์แรงบันดาลใจได้ในทุก ๆ วัน”

realme 11 Pro+ 5G กล้อง SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก พร้อมพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด

realme 11 Pro+ 5G มอบประสบการณ์กล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom รุ่นอัปเกรดขนาด 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้างถึง f/1.69 รอบรับการจับภาพที่ความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล โดยที่ทุกพิกเซลมอบคุณภาพของภาพถ่ายได้อย่างเหนือระดับ

การถ่ายภาพจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสนานกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยีการซูมของ realme 11 Pro+ 5G ที่มอบพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ให้คุณถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัดแบบสุด ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ Auto-zoom ได้ด้วยการแตะคำสั่งเพียงครั้งเดียว โดยกล้องจะทำการซูมไปยังบริเวณที่กำหนดไว้แบบอัตโนมัติโดยยังคงมุมมองภาพที่สวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ

realme 11 Pro+ 5G ยังนำเสนอการตั้งค่าของกล้องระดับแฟล็กชิปอย่าง SuperOIS, Super NightScape, Moon Mode, และ Starry Mode Pro มอบอิสระแก่ผู้ใช้งานให้สามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และตัวตนในผลงานภาพถ่ายอย่างเต็มที่ ให้คุณค้นพบโลกกว้างและความรื่นรมย์ในการบันทึกความทรงจำที่มากกว่าด้วยโหมด กล้อง Sony Selfie Camera ที่มีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล รวมถึง Super Group Portrait Mode, One Take Mode และอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือ Street Photography Mode 4.0 ฟีเจอร์การถ่ายภาพยอดฮิตที่แฟน realme ทั่วโลกชื่นชอบอย่างมาก

realme 11 Pro+ 5G ฝาหลังสุดลักซ์ชัวรีด้วยแรงบันดาลใจจาก Gucci

realme 11 Pro 5G Series ไม่เพียงโดดเด่นในด้านกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ในเรื่องการออกแบบตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ได้รับการพัฒนาจาก realme Design Studio ผ่านความร่วมมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ Gucci เพื่อนำเสนอมาตรฐานงานดีไซน์ระดับไฮเอนด์และงานฝีมือจากแบรนด์ระดับลักซ์ชัวรี สู่หนุ่มสาวผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน realme ทั่วโลก

โดยเฉพาะโทนสี Sunrise Beige ซึ่งนำความงามมาจากโทนสีของมิลาน-เมืองแห่งแฟชั่น ผู้ออกแบบได้จับเอาความประทับใจในช่วงเวลาที่แสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงาม เกิดเป็นความสว่างเรืองรองสีทองอ่อนที่ฉาบไล่ไปทั่วทั้งตัวเมือง ผ่านกรรมวิธีการผลิตเกรดพรีเมียม รวมถึงการใส่รายละเอียดแนวตะเข็บแบบ 3 มิติที่สวยงามเสมือนงานของช่างฝีมือ มอบผิวสัมผัสระดับสูงด้วยหนังวีแกนลายผลลิ้นจี่ ผสานการทอแบบ 3 มิติเพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ที่งดงาม ทันสมัย พร้อมสะกดทุกสายตา

นอกจากนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพและมาตรฐานงานออกแบบขั้นสูง realme 11 Pro+ 5G ยังมาพร้อมประสิทธิภาพรอบด้านอันโดดเด่น ทั้งระบบชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และแบตเตอรี่ความจุถึง 5000mAh มาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และเทคโนโลยีถนอมดวงตาด้วยประสิทธิภาพการปรับระดับแสงที่ 2160Hz ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนปัจจุบัน ทั้งยังสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ เป็นครั้งแรกของโลก

realme 11 Pro 5G กับประสิทธิภาพ Premium 2160Hz PWM Dimming ในจอแสดงผลขอบโค้ง Curved Vision Display

realme 11 Pro 5G ใช้จอเกรดพรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง realme 11 Pro+ 5G โดยเป็นจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และประสิทธิภาพการลดระดับแสงที่ 2160Hz ครั้งแรกของโลก มอบความสว่างสู้แสงแดดจ้าได้อย่างดีเยี่ยม และปรับความสว่างหน้าจอแบบอัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ โดยได้รับ 2 มาตรฐานรับรองการปกป้องดวงตาจากสถาบันอันทรงเกียรติ TÜV Rheinland จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและความสบายตาในการใช้งานตลอดวัน

นอกจากจอแสดงผลชั้นเยี่ยม realme 11 Pro 5G ยังมีมาตรฐานการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G นำเสนอทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ซึ่งแต่ละโทนสีมอบสุนทรียภาพในการใช้งานขั้นสุด สำหรับกล้องถ่ายภาพมีความละเอียดถึง 100 ล้านพิกเซล พลังซูม 2 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด รวมถึงโหมดการใช้งานอย่าง Auto-Zoom Mode, Super NightScape Mode และ Street Photography Mode 4.0

realme 11 Pro 5G จึงเป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนแฟล็กชิปที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานขั้นสูง กินพลังงานต่ำ และให้หน่วยความจำขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังซีพียู Dimensity 7050 5G นำเสนอรุ่นความจุมาตรฐาน 12/256GB นอกจากนี้ ยังเสริมประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายด้วยระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC กับแบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมเฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด realme UI 4.0 และลำโพงคู่พานอรามิก Dolby ไว้อย่างครบครัน

และถึงแม้ realme 11 Pro 5G Series จะมาพร้อมกับความเป็นผู้นำในด้านเทคโนยีในทุกด้าน แต่ก็เปิดราคามาอย่างคุ้มค่าแบบคาดไม่ถึง โดย realme 11 Pro+ 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,999 หยวน (ประมาณ 9,737 บาท) และ realme 11 Pro 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,699 หยวน (ประมาณ 8264.33 บาท) อย่างไรก็ตาม realme 11 Pro 5G Series ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่จะมายกระดับสมาร์ตโฟนในระดับแฟล็กชิบให้ก้าวสู่อีกขั้นของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง

 

ผลวิจัยล่าสุดจากทีม Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report เผยหลักฐานสนับสนุนสำคัญแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSPs) ทั่วโลก ซึ่งชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการนำ 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้

การเติบโตของรายได้เป็นความท้าทายของผู้ให้บริการทั่วโลกที่มักส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนด้านเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของพวกเขาหรือเรียกว่า 'การสร้างรายได้ (Monetization)' ในอุตสาหกรรม

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษที่เรียกว่า Business Review edition นำเสนอโอกาสต่าง ๆ สำหรับการสร้างรายได้จากบริการ 5G

โดยรายงานนี้เน้นย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตของรายได้แง่บวกตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2020 ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง* คิดเป็น 85% ของยอดผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมดทั่วโลก และสัมพันธ์กับยอดผู้ใช้บริการ 5G ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในตลาดเหล่านี้

 

รายงานฉบับนี้พบว่า:

· โมเดลการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า (Tiered Pricing) เป็นกุญแจสำคัญของผู้ให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของแต่ละลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องระยะยาว

· ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 แห่ง พบว่ามีประสิทธิภาพเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลัง 5G เปิดให้บริการ

· เส้นกราฟรายได้จากบริการเครือข่ายไร้สายจะพุ่งขึ้นอีกครั้งในตลาด 5G ชั้นนำเหล่านี้ หลังจากช่วงเติบโตช้าหรือไม่มีการเติบโต ซึ่งสัมพันธ์กับยอดการขยายตัวของผู้ใช้บริการ 5G

เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสันกล่าวว่า "การรับมือกับความท้าทายของลูกค้าคือหัวใจสำคัญของความมุ่งมั่นพยายามในด้านการวิจัยและพัฒนาในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ของอีริคสัน โดยความเชื่อมโยงระหว่างการนำเครือข่าย 5G มาปรับใช้และการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ตอกย้ำให้เราเห็นว่าเครือข่าย 5G ไม่เพียงแต่เป็น Game Changer เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์แก่ผู้นำไปใช้ระยะแรกอีกด้วย แม้ว่า 5G จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มีการเติบโตรวดเร็วจากกรณีการใช้งานที่ได้รับการยืนยันแล้ว และยังมีแผนการสร้างกรณีการใช้งานทั้งในระยะกลางและระยะยาวที่ชัดเจน”

ตามที่คาดไว้ บริการ Enhanced Mobile Broadband (eMBB) จะเป็นการใช้งานหลักของเครือข่าย 5G ในช่วงแรก โดยได้รับแรงหนุนมาจากความต้องการเพิ่มความครอบคลุมสัญญาณทางด้านภูมิศาสตร์และมอบข้อเสนอที่แตกต่าง ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งาน 5G มากกว่าหนึ่งพันล้านรายอยู่บนเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ที่เปิดให้บริการอยู่ 230 เครือข่ายทั่วโลก โดยบริการ 5G eMBB มอบโอกาสในการสร้างรายได้ที่รวดเร็วที่สุดสำหรับ 5G เนื่องจากเป็นบริการส่วนขยายจากธุรกิจที่มีอยู่เดิมของผู้ให้บริการ อาศัยโมเดลธุรกิจและใช้กระบวนการแบบเดียวกัน แม้แต่ในตลาด 5G ชั้นนำ 20 อันดับแรก ก็ยังมีผู้บริโภคประมาณ 80% ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ 5G นับว่าเป็นตัวชี้ชัดสำคัญถึงศักยภาพในการเติบโตของรายได้

 

ตามที่ระบุไว้ในรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าบริการ Fixed Wireless Access (FWA) จะมีกรณีการใช้งาน 5G ในช่วงแรกขนาดใหญ่ที่สุดเป็นลำดับสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ยังไม่มีตลาดบรอดแบนด์และผู้บริโภคยังเข้าไม่ถึงบริการดังกล่าว สำหรับบริการ FWA นั้นมีศักยภาพการเติบโตของรายได้ที่น่าสนใจสำหรับ CSPs เนื่องจากใช้ศักยภาพของบรอดแบนด์มือถือเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการเชื่อมต่อ FWA สูงถึง 300 ล้านครั้งภายในหกปี

นอกเหนือจากผู้บริโภคที่ใช้บริการ 5G แล้ว ยังมีโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้นจากการนำเครือข่าย 5G ไปใช้ในระดับองค์กรและภาครัฐทั่วโลก

5G ช่วยทำให้เกิดคุณค่าสำคัญสำหรับองค์กร ด้วยเครือข่าย 5G แบบส่วนตัวและเครือข่ายไร้สายที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างที่นำมาใช้ในองค์กรและในภาคอุตสาหกรรม

การอัปเกรดเครือข่าย 4G ที่มีอยู่เดิมให้เป็นเครือข่าย 5G ที่มีศักยภาพมากกว่าถึง 10 เท่า และลดปริมาณการใช้พลังงานได้มากกว่า 30% ช่วยเพิ่มรายได้พร้อมลดต้นทุนและยังสอดรับกับความยั่งยืน

“การเติบโตของรายได้และความยั่งยืนเป็นหัวข้อสนทนาประจำระหว่างเรากับลูกค้า โดยรายงาน Ericsson Mobility ฉบับพิเศษนี้ เราได้สำรวจวิธีที่ผู้ให้บริการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 5G และเห็นสัญญาณเริ่มต้นของการเติบโตของรายได้ในตลาด 5G ชั้นนำ จากการขยายความครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างขวางและการมอบข้อเสนอด้านบริการที่แตกต่าง โดยยังมีด้านที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือสามารถสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนและช่วยจัดการกับการเติบโตด้านข้อมูลที่มีผลต่อการขับเคลื่อนรายได้ในอนาคต ตอกย้ำให้เห็นว่าเครือข่าย 5G เป็นตัวเร่งการเติบโตที่ตลาดรอคอย” เฟรดริก เจดลิง กล่าวเพิ่มเติม

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ Ericsson Mobility Report Business Review Edition report

หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาคไปเมื่อเร็วๆนี้ OnePlus เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ กับ “OnePlus 11 5G

ดีไซน์พรีเมียมสุดเรียบหรู ที่มากับสโลแกน “The Shape of Power” เร็ว แรง ทรงพลัง ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมเทคโนโลยี ray-tracing แรมสูงสุด 16GB พิเศษด้วยนวัตกรรมใหม่ RAM-Vita เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ OxygenOS 13 มอบประสบการณ์สุดลื่นไหลกว่าเดิม ถ่ายภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องที่พัฒนากับ Hasselblad ยกระดับสีสมจริง ภาพสวยละมุนเหมือนถ่ายจากกล้องโปร ทรงพลังด้วยการชาร์จไวระดับไฮเอนด์ 100W SUPERVOOC เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ ราคา 29,990 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Bus Pro 2 โดยผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมด เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้ววันนี้ และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้ เป็นต้นไป

 

ด้านความสุดยอด ประสบการณ์ความลื่นไหลไม่มีสะดุด รวดเร็ว และยาวนาน นายนที พิทักษ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส วันพลัส ประเทศไทย กล่าวถึงเรือธงล่าสุด “OnePlus 11 5G” ว่าสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ทำงานที่รวดเร็ว และราบรื่นผ่านประสิทธิภาพอันทรงพลังของแพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon® 8 Gen 2 ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในซีพียู 35% และจีพียู 25% ทั้งยังรองรับการเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์แบบเรียลไทม์ หรือ Ray Tracing รวมถึงมีการสร้างวอลเปเปอร์แบบไดนามิคสามมิติ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับเอฟเฟกต์เงา การสะท้อน การหักเหแสงที่สดใสและสมจริง ผ่านขั้นตอนการเลื่อน ปัด หรือคลิกบนโทรศัพท์ ได้อย่างครบครันบน OnePlus 11 5Gนอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาคู่กับแรม LPDDR5X 16GB และเทคโนโลยี RAM-Vita ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ถึง 44 แอปพลิเคชัน พร้อมมีระบบ 100W SUPERVOOC ให้การชาร์จอันรวดเร็ว ควบคู่กับแบตเตอรี่เซลล์คู่ขนาด 5000 mAh ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 1% ถึง 100% ในเวลาเพียง 25 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความอุ่นใจได้อย่างยาวนาน

 

OnePlus 11 5G สามารถให้ความเร็วที่ยาวนานและประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น จากการรับรองมาตรฐานโดย TÜV SÜD ในระดับ Fluency Rating A ใช้งานมือถือได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องแม้ผ่านไป 48 เดือน มีการรับรอง TÜV SÜD ด้านความแม่นยำและการสัมผัสในระดับ Precise Touching Rating S มีการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบอย่าง SGS ด้านการใช้งานที่ลื่นไหลระดับ Perceived Fluency A+ รวมถึงการรับรองจาก TÜV Rheinland ด้านการใช้และชาร์จอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ตัวแรกที่รองรับการอัปเดทระบบปฏิบัติการ OxygenOS ได้ถึง 4 เวอร์ชัน พร้อมการอัปเดทระบบความปลอดภัยครอบคลุมถึง 5 ปี

 

ทั้งนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชิพเซต Snapdragon® 8 Gen 2 เครื่องแรกที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องหมาย Snapdragon Spaces™ Ready โดยถือเป็นประตูให้นักพัฒนาสามารถนำไอเดีย XR มาสานฝันให้เป็นจริงและสร้างการค้นพบใหม่ ๆ ได้พร้อมกันผ่านแว่นตา headworn AR ซึ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น ฟังก์ชันการถ่ายภาพที่แสนง่ายดาย และการออกแบบที่หรูหราทันสมัย ทำให้ OnePlus 11 5G กลายเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดที่ครบเครื่องรอบด้าน จอแสดงภาพและเสียงสุดล้ำ

OnePlus 11 5G ชวนให้ผู้ใช้มาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาผ่านจอแสดงผล Super Fluid AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 2K 120Hz พร้อม LTPO 3.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้การประหยัดพลังงานและปรับอัตรารีเฟรชตามการใช้งานเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ถึงความสม่ำเสมอและความชัดเจนโดยไม่คำนึงปริมาณเนื้อหา อีกทั้งการแสดงผลของ OnePlus 11 5G ยังช่วยถนอมสายตาจากการรับรองโดย SGS Low Blue Light EX

 

OnePlus 11 5G เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรก ที่ได้รับการปรับแต่งจาก Dolby Vision เพื่อขยายทุกประสบการณ์การใช้งานมือถืออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยภาพที่น่าทึ่งสามารถมอบความบันเทิงและปลุกเร้าการเดินทางผู้ใช้ได้อย่างมีชีวิตชีวา รวมทั้งยังมีการติดตั้งลำโพงคู่ ‘Reality’ ที่รับรอง Dolby Atomos ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์เสียงที่เหนือคำบรรยายในลำโพงและหูฟังบลูทูธนอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจาก Dolby Head Tracking บน OnePlus 11 5G จะทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับความสมจริงในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และยังเพิ่มประสบการณ์ที่อิสระมากขึ้น เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังไร้สายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับฟังเสียงรอบทิศทางที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหันศีรษะไปในทิศทางไหน อีกทั้ง Dolby Atmos ยังมีการปรับเทียบเสียงในเลเวลใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ ให้ได้อยู่กับช่วงเวลาที่ดื่มด่ำอย่างไม่มีสะดุด

 

นายยงยุทธ คะสาวงศ์ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, เจ้าของเพจและยูทูปชาแนล Hasselblad the Expert กล่าวถึงกล้อง Hasselblad เจเนอเรชั่นที่ 3 ใน OnePlus 11 5G ไว้ว่า ประสิทธิภาพกล้องอันเยี่ยมยอด ระบบกล้องสามตัวของ OnePlus 11 5G ช่วยบันทึกแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำและสร้างภาพถ่ายที่เป็นธรรมชาติ และยังทำงานร่วมไปกับเซ็นเซอร์หลัก IMX890 50MP, เลนส์ถ่ายภาพบุคคล IMX709 32MP และกล้องอัลตร้าไวด์ IMX581 48MP เพื่อการตอบสนองความต้องการของช่างภาพทุกคน สำหรับโทรศัพท์มือถือ บน OnePlus 11 5G คือเครื่องหมายของการปรับเทียบสีธรรมชาติแบบใหม่ ซึ่งการรองรับด้วยเซ็นเซอร์มัลติสเปกตรัม 13 ช่องสัญญาณสำหรับระบุสีของแสงและโหมดถ่ายภาพบุคคล ได้ช่วยให้เกิดคุณสมบัติที่ครอบคลุมแบบเดียวกับกล้อง DSLR ทั้งการติดตามเชิงลึก, จุดแสงที่สมจริงและเป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์แสงแฟลร์ นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาพร้อมอัลกอริทึมใหม่ล่าสุด อย่าง TurboRAW HDR ที่ทำให้ช่วงไดนามิคที่กว้าง สามารถจับภาพฉากต่าง ๆ ได้ด้วยความคมชัดระดับ HDR ที่ไร้ที่ติ

การออกแบบที่สง่างามทันสมัย

OnePlus 11 5G ได้ผสานความโฉบเฉี่ยว สง่างาม และทันสมัยไว้ด้วยกัน ทั้งยังลงตัวอย่างการสร้างความสมดุลระหว่างงานออกแบบที่เป้าหมายแน่ชัดกับการดึงเสน่ห์เอกลักษณ์แบบเฉพาะตัว

ผู้ใช้สามารถเลือกระหว่างสีดำ Titan Black ที่ใช้กระจกฝ้าแบบด้านเพื่อสร้างความรู้สึกนุ่มนวลแต่ทนทานจนยากจะต้านทาน หรือสีเขียว Eternal Green ที่ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของป่าฝนยามเย็น นำความมีชีวิตชีวามาให้รูปลักษณ์ภาพนอกที่เรียบลื่นน่าหลงใหล ขณะที่การเคลือบชั้นภายในยังทำงานสอดประสานเพื่อลดคราบรอยนิ้วมือได้ดีเมื่อโดนสัมผัสเพื่อการปรับปรุงสรียศาสตร์ของโทรศัพท์ วิศวกรของ OnePlus จึงมุ่งเน้นไปที่ความโค้งมนโดยรวมเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดอยู่ในระนาบที่ใกล้เคียงกัน พร้อมมีการปรับปรุงความรู้สึกขณะถือ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทก ใด ๆ หรือร่องรอยการสัมผัสที่ไม่จำเป็น

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Buds Pro 2 ออกแบบโดยความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม ทำให้ One Plus Buds Pro 2 ยกระดับคุณภาพเสียงให้สูงขึ้นไปอีกขั้นด้วยเสียงที่ราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย และการออกแบบระดับพรีเมียม

Spatial Audio สำหรับผู้ใช้ AndroidOnePlus Buds Pro 2 สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ เป็นหูฟังเอียร์บัดตัวแรกที่ให้ความเสถียรของเสียงรอบทิศทางและความเข้ากันได้สำหรับผู้ใช้ Android เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางจำลองประสบการณ์เสียงรอบทิศทางของโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้ใช้ดื่มด่ำกับความบันเทิงอย่างเต็มที่

OnePlus Buds Pro 2 ถือเป็นหนึ่งในหูฟัง True Wireless Stereo ตัวแรกที่ใช้ฟังก์ชั่น Spatial Audio อันเป็นเอกลักษณ์ของ Google ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ Android 13 ปลดล็อกประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสำหรับหลากหลายแพลตพอร์มรวมถึงบน YouTube และ Disney+

 

ความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ

OnePlus Buds Pro 2 ยังมีอีควอไลเซอร์ EQ ที่ปรับแต่งโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของส่วนประกอบความถี่ให้เหมาะกับรสนิยมและสไตล์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hans ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Soundscape” นี้เชิญชวนให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับเสียงออเคสตร้าเต็มรูปแบบของซิมโฟนีคลาสสิกหรือเสียงกระหึ่มหลายมิติของภาพยนตร์แอ็คชั่น

OnePlus ยังได้ร่วมมือกับ Dynaudio ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเดนมาร์กเพื่อร่วมสร้าง MelodyBoost™ Dual Drivers เทคโนโลยีไดรเวอร์คู่ 11 มม. + 6 มม. ให้ความถี่ต่ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเสียงเบสไดนามิกที่ลึกขึ้น เต็มอิ่มขึ้น และมีเนื้อสัมผัสมากขึ้น รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะ เอียร์บัดยังมี EQ เริ่มต้นของ Dynaudio หนึ่งตัวและ EQ แบบกำหนดเองสามตัว ได้แก่ Bold, Serenade และ Bass ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงทุกเพลงด้วยเสียงอันน่าทึ่ง

OnePlus Buds Pro 2 มีฟังก์ชัน Smart Adaptive Noise Cancellation (ANC) ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองจาก TUV ซึ่งช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุดถึง 48dB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น OnePlus Buds Pro 2 มีโหมด transparency ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมในการสนทนาที่ชัดเจนกับผู้คนรอบข้าง แม้จะใส่เอียร์บัดอยู่ก็ตามออกแบบมาเพื่อการฟังที่ไร้กังวล OnePlus Buds Pro 2 สามารถเล่นเพลงได้นานถึง 39 ชั่วโมง โดยสามารถชาร์จแบตเพิ่มเติมหลายครั้งด้วยเคส เพื่อรักษาประสบการณ์การสตรีมที่รวดเร็วและราบรื่นตลอดการใช้งาน

นอกจากนี้ OnePlus ยังได้ดึง “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาค สำหรับ แจ๊คสัน หวัง ศิลปินระดับโลกเจ้าของรางวัลมากมาย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “MAGIC MAN” ด้วยพลังในการทำงานและความสำเร็จในหลากหลายบทบาทจนไม่อาจละสายตาได้ ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ “OnePlus - Never Settle” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราพัฒนาตัวเอง “ไม่เคยหยุดนิ่ง” มุ่งแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้ของเราอยู่เสมอ

สำหรับ ผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมดทั้ง OnePlus 11 5G และ OnePlus Bus Pro 2 เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้วตั้งแต่วันนี้

ราคาและการวางจำหน่าย

OnePlus 11 5G

วางจำหน่าย ราคา 29,990.-

8GB + 128GB สีดำ Titan Black

วางจำหน่าย ราคา 32,990.-

16GB + 256GB สีเขียว Eternal Green

OnePlus Buds Pro 2

วางจำหน่าย ราคา 6,490.-

สีเขียว Arbor Green | สีดำ Obsidian Black

ช่องทางการจัดจำหน่าย OnePlus Experience Zone, AIS, Shopee, Lazada และ OPPO Brand shop รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ : https://www.oneplus.com/th

โปรโมชันสุดพิเศษ

● เมื่อซื้อ OnePlus 11 5G ผ่านช่องทางใดก็ได้ รับทันที OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่า 790.- พร้อมบัตรประกันจอแตก E-VIP card

● และรับเพิ่ม OnePlus Buds Pro 2 มูลค่า 6,490.- เมื่อไปร่วมงาน Thailand mobile expo 2023 จำนวน 200 ท่านแรก

และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษมากมายในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์5 บูธ L20,L21 วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้

OnePlus 11 5G เริ่มต้นเพียง 26,990 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด พร้อมรับของสมนาคุณ ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 10,000 บาท และ OnePlus sandstone bumper case black มูลค่า 790 บาท และของแถมพิเศษเพิ่ม OnePlus gaming tricker 1 คู่ มูลค่า 599 บาท สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อรุ่น OnePlus 11 5G พร้อมแพ็กเกจรายเดือนที่เปิดเบอร์ใหม่และย้ายค่ายเบอร์เดิมผ่านช่องทาง AIS Online Store รวมของแถมมูลค่า 11,389 บาท

ผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 36 เดือน

เก่าแลกใหม่ พิเศษ 2 ต่อ สำหรับลูกค้า AIS นำเครื่องเก่าแลกซื้อ OnePlus 11 5G รับส่วนลดเพิ่ม

• ต่อที่ 1 : มูลค่าเครื่องเก่าใช้เป็นส่วนลด

• ต่อที่ 2 : รับส่วนลดเพิ่มอีก

Page 1 of 10
X

Right Click

No right click