ให้ท่องเน็ต  โทร ส่งข้อความได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งบนเครื่องบินและเรือสำราญข้ามแดน เอาใจนักเดินทางทั้งทรูและดีแทค ใช้งานผ่านเครือข่ายพันธมิตร 5G ระดับโลก เร็วสุด แรงสุด  ไม่จำกัดดาต้า

นับตั้งแต่เริ่มการเปิดตัวสู่ตลาดทั่วโลก VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเวียดนามได้นำเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญ ของ Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และเป็นธุรกิจใหญ่ที่สุดในเวียดนามมาสร้างความแตกต่างที่สำคัญ และผลักดันการเติบโตของบริษัท  

การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในตลาดโลกของ VinFast โดยมีฐานที่มั่นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และตลาดยุโรปนำสู่การตั้งเป้าหมายในตลาดเอเชียอย่างจริงจังทั้งในอินเดีย อินโดนีเซีย และล่าสุดคือประเทศไทย  ทั้งนี้ Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของเวียดนามที่ยิ่งใหญ่ นอกจากให้การสนับสนุนทางการเงินแล้ว ยังเป็นเสาหลักสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้ VinFast ก้าวสู่เวทีโลกอีกด้วย

จากประเทศผู้นำเข้ารถยนต์สู่การเป็นผู้เล่นระดับโลก: วิสัยทัศน์อันกล้าหาญของ Vingroup เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนาม

Vingroup บริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุด และมีบทบาทสำคัญอย่างหลากหลายต่อเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม สร้างรายได้ประชาชาติ (GDP) เกือบ 1.6% ในปี 2023 โดยมีการดำเนินงานในสามหมวดธุรกิจหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีการค้าและบริการ และธุรกิจเพื่อสังคม

ธุรกิจทั้งหมดของ Vingroup มีส่วนสนับสนุนความสำเร็จของบริษัท แต่อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์ไฟฟ้าเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักในปี 2023 โดยมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 236,457 ล้านบาท (6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างน่าทึ่งสร้างรายได้มากกว่า 137,330 ล้านบาท (94.3 ล้านล้านดองเวียดนาม : VND) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2022 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่นำโดยรถยนต์ไฟฟ้าของ VinFast เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้มากกว่า 41,359 ล้านบาท (28.4 ล้านล้านดอง)  เมื่อเทียบกับ 18,932 ล้านบาท (13 ล้านล้านดอง) ในปีก่อน

ก่อนหน้าที่จะมี VinFast อุตสาหกรรมยานยนต์จำกัดอยู่แค่การนำเข้า อุตสาหกรรมต่อเนื่องไม่ได้รับการพัฒนาและมีต้นทุนที่สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ตลาดยานยนต์ของเวียดนามมีศักยภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะมีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ต่ำมากเพียง 23 คันต่อประชากร 1,000 คน

จนถึงปัจจุบัน VinFast ได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง สร้างความเป็นอิสระ และความตื่นตัวในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนาม อิทธิพลของบริษัทไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเวียดนามเพราะเพียงเจ็ดปีหลังจากเปิดตัวรถรุ่นแรกที่งาน Paris Motor Show ประธานของ Vingroup ก็ติดอันดับผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก  

แผนการเติบโตทั่วโลกของ VinFast ได้รับการเน้นย้ำอีกครั้งจากการที่ Pham Nhat Vuong ประธาน Vingroup และ CEO ของ VinFast ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ MotorTrend Power List ปี 2024 เป็นนักธุรกิจเพียงคนเดียวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับเกียรตินี้ ซึ่งแสดงถึงความมีวิสัยทัศน์ ผลงานการบุกเบิก การเติบโตอย่างรวดเร็ว  และศักยภาพที่มั่นคงในการปฏิวัติภูมิทัศน์ยานยนต์ของ VinFast

ความมุ่งมั่นในตลาดโลกขับเคลื่อนโดยระบบนิเวศทางเทคโนโลยีของ Vingroup

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันภูมิทัศน์ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคือระบบนิเวศทางเทคโนโลยีของ Vingroup ครอบคลุม VinBigData, VinAI, VinES, VinCSS, VinBrain และ VinHMS ต่างมีส่วนส่งเสริมความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง VinBigData พัฒนาขึ้นจากความสำเร็จของสถาบัน Big Data ของ Vingroup ในด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ ที่เน้นการประมวลผลภาพ และภาษาช่วยให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไฮเทคจำนวนมาก เช่น ViVi (ผู้ช่วยเสียงอัจฉริยะ), กล้อง AI, และ VinDr โซลูชัน AI ที่สำหรับการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ เป็นต้น

สำหรับ VinCSS มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนา และโซลูชันการรับรองการตรวจสอบความถูกต้องแบบไม่ใช้รหัสผ่านตามมาตรฐาน FIDO2 บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับ IT, Internet of Things (IoT) และยานยนต์  VinHMS ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ มีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กร

VinBrain ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีสุขภาพชั้นนำของเวียดนามปฏิวัติการดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของ AI พัฒนาด้านภาพและการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เพื่อออกแบบโซลูชันให้เหมาะกับความต้องการของวงการแพทย์

VinES ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมือไฟฟ้ากำลังขนาดกลางและสูง แอปพลิเคชั่นเพื่อยานพาหนะและโซลูชันการจัดเก็บพลังงาน โดยได้จัดตั้งหน่วนงานการวิจัยและพัฒนา การผลิตการทดสอบ และการตรวจสอบ โดยร่วมมือกับผู้นำระดับโลกเพื่อปฏิวัติวงการเทคโนโลยี

เมื่อปีที่แล้ว ประธานของ Vingroup ประกาศว่าจะมอบหุ้นของ VinES จำนวน 99.8 เปอร์เซ็นต์ให้กับ VinFast เพื่อเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และห่วงโซ่การผลิต สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้ภาพด้านเทคโนโลยีครบถ้วน VinAI ผู้นำด้านโซลูชันการเคลื่อนที่อัจฉริยะสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ และซัพพลายเออร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยานพาหนะได้ VinAI ได้ปรับปรุงความปลอดภัยและสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ขับขี่หลายล้านคนทั่วโลก เทคโนโลยี และคุณสมบัติที่บริษัทได้รวมเข้ากับรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นแล้ว รวมถึง VF e34, VF5 และ eBus รวมถึงรถยนต์ของผู้ผลิตในยุโรป

ที่งาน CES 2024 VinFast MirrorSense เทคโนโลยีการปรับกระจกอัตโนมัติที่ใช้ AI รายแรกของโลกพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง VinFast และ VinAI ได้รับรางวัล Innovation Award Honoree ในหมวดหมู่ Vehicle Tech and Advanced Mobility รางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  แต่ยังยืนยันถึงตำแหน่ง และศักยภาพของ VinFast และ VinAI ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกอีกด้วย เทคโนโลยีการปรับกระจกอัตโนมัติใน VinFast MirrorSense ตรวจจับตำแหน่งศีรษะและทิศทางการมองของคนขับรถได้อย่างแม่นยำถึง 10 มม. โดยจะปรับตำแหน่งของกระจกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยอัตโนมัติ

เมื่อเร็วๆ นี้ Vingroup ได้รับรางวัล ASEAN Tech for ESG Award 2023  ตอกย้ำถึงฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผลักดันอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการริเริ่มทางดิจิทัลตามหลักการ ESG และใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น AI, IoT, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีเสมือนจริง และบล็อกเชน  ที่ช่วยแก้ไขปัญหาความยั่งยืนในหลากหลายอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การค้าและบริการและธุรกิจเพื่อสังคม

VinFast ที่ซึ่งเทคโนโลยีมาบรรจบกับการเดินทาง

VinFast ไม่ได้สร้างแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่พัฒนาพาหนะอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี AI ล้ำสมัย มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยสะดวกสบาย และสนุกยิ่งขึ้น ด้วยปรัชญาที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง VinFast ยกระดับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ไปอีกขั้นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced driver assistance system : ADAS) จึงติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยในรถยนต์ทุกรุ่น ช่วยให้ลูกค้าทุกคนสามารถเข้าถึงก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้โดยไม่คำนึงถึงงบประมาณรถยนต์ที่ติดตั้ง ADAS ระดับ 2 ทำงานกึ่งอัตโนมัติช่วยให้รถบังคับเลี้ยว เร่งความเร็ว และเบรกโดยอัตโนมัติในสถานการณ์ที่ซับซ้อนภายใต้การดูแลของผู้ขับขี่ หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นคือเทคโนโลยีการเปลี่ยนเลนอัตโนมัติสำหรับผู้กังวลเกี่ยวกับจุดบอดในการขับขี่ โดยใช้เครือข่ายกล้องและเซ็นเซอร์ช่วยสแกนหาช่องว่างบนถนนและเปลี่ยนเลนอย่างปลอดภัยแทนคุณลดความกังวลและความเครียดในการขับขี่

VinFast ติดตั้งระบบการลดการชนที่ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และกล้องทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์บนท้องถนนจะตรวจสอบวัตถุที่อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังรถของคุณอย่างต่อเนื่อง หากตรวจพบโอกาสเสี่ยงการชน และคุณไม่ตอบสนองได้ทันเวลาระบบจะปรับลดความเร็วโดยอัตโนมัติ หรือหยุดรถโดยสมบูรณ์ซึ่งช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้เคยขับรถออกนอกเลนเนื่องจากสมาธิหลุดหรือง่วงนอนหรือไม่ VinFast's Lane Keeping Assistance พร้อมช่วยเหลือระบบนี้ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยนักบิน เมื่อเปิดใช้งานเซ็นเซอร์จะตรวจจับว่ารถของคุณเริ่มออกนอกเลนหรือไม่ และจะแก้ไขการบังคับเลี้ยวอย่างนุ่มนวลเพื่อให้คุณอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นเลน

VinFast มีการใช้กล้องและ AI ตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่เพื่อหาสัญญาณของความเหนื่อยล้า การใช้โทรศัพท์ หรือการละมือออกจากพวงมาลัย หากระบบตรวจพบพฤติกรรมเสี่ยง ระบบจะส่งเสียงเตือนเพื่อให้ผู้ขับกลับมาสนใจถนนอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยของคุณและผู้คนรอบข้าง

VinFast ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่เปิดพรมแดนใหม่ของเทคโนโลยีรถยนต์อีกด้วย ด้วยความมุ่งมั่นในนวัตกรรม AI บริษัทจึงสร้างอนาคตที่การขับขี่ปลอดภัย ฉลาดขึ้น และสนุกยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมสมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ อาคารรัฐสภา เกี่ยวกับ “บทบาทของสำนักงาน คปภ. กับการประกันภัยเกษตรกรรม” โดยมีนายสมชาย  หาญหิรัญ ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา และนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านตลาดทุนและธุรกิจประกันภัย ร่วมชี้แจงด้วย

เลขาธิการ คปภ. กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับบทบาทสำนักงาน คปภ. กับการประกันภัยเกษตรกรรม โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. มีหน้าที่กำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความแข็งแกร่ง มั่นคง เพื่อให้บริษัทประกันภัยมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจและปฏิบัติตามสัญญาประกันภัย รวมถึงสนับสนุนธุรกิจประกันภัยให้มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เช่น ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยกรมธรรม์และเบี้ยประกันภัยต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน คปภ. ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน โดยมีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย รับเรื่องร้องเรียนผ่านทางสายด่วน คปภ. 1186 กำกับดูแลตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัยเพื่อความโปร่งใสและให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

การดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ที่เกี่ยวกับการประกันภัยพืชผลเกษตรของภาครัฐ อาทิ โครงการประกันภัยข้าวนาปี โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสำนักงาน คปภ. บูรณาการร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและจัดอบรมให้ความรู้ด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโครงการประกันพืชผลเกษตรของภาครัฐนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรทำประกันภัย ผ่านโครงการประกันภัยข้าวนาปีและประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. ธกส. กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งทั้งสองโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกร
มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติผ่านระบบประกันภัยเพื่อต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐไปสู่เกษตรกร ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้น การประกันภัยจึงเป็นการ Top Up ซึ่งเป็นการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยภาครัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้บางส่วน ทั้งนี้ โครงการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้ความคุ้มครองต้นทุนและภัยที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติอันได้แก่ น้ำท่วม ฝนตกหนัก ภัยแล้ง หรือ ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ หรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และคุ้มครองภัยศัตรูพืช โรคระบาด และภัยช้างป่า ซึ่งภัยดังกล่าวต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ประกาศเป็นเขตให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทุกกรณี กรณีฉุกเฉิน ในระยะเวลาที่เอาประกันภัย

สำหรับ Pain Point หลัก ๆ ของการประกันภัยด้านเกษตรกรรม คือ ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการขับเคลื่อนเรื่องการประกันภัยเกษตรกรรม ขาดกลไกในการดำเนินนโยบายและแผนการประกันภัยเกษตรกรรม รวมถึงงบประมาณที่สนับสนุนมีจำกัดและงบประมาณสนับสนุนเบี้ยประกันภัยแบบปีต่อปี เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการทำประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเกษตรกรรมมีจำกัดเฉพาะในบางพืชผลและในสัตว์บางชนิด การเก็บรวบรวมข้อมูลในระดับพื้นที่ที่ยังไม่สมบูรณ์ การประเมินความเสียหายจะใช้การประเมินโดยคนเป็นหลัก นอกจากนี้ การประกันภัยพืชผลของภาครัฐมีการรับประกันภัยทั่วประเทศ มีความเสี่ยงภัยสูง เกินขีดความสามารถของบริษัทประกันภัยที่จะรับความเสี่ยงภัยพิบัติไว้เองในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการประกันภัยต่อในต่างประเทศ ดังนั้น บริษัทประกันภัยต่อจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเบี้ยประกันภัยดังกล่าว

เลขาธิการ คปภ. ชี้แจงเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมาภาครัฐให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายการประกันภัยการเกษตรและเป็นโครงการที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการประกันภัยข้าวนาปี และ โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อเกษตรกรเพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านภัยพิบัติจากธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้นำเสนอแนวทางเพื่อเป็นการยกระดับการประกันภัยด้านเกษตรกรรมใน 4 แนวทางหลัก ๆ คือ 1. กำหนดเป็นนโยบายระดับประเทศและทิศทางเศรษฐกิจไว้อย่างชัดเจนอันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นประชาชน 2. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยร่วมกัน มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการลดระยะเวลาในการสำรวจภัยและจ่ายค่าสินไหมทดแทน และ 4. ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการผลักดันการประกันภัยเกษตรทั้งในส่วนของการสนับสนุนเบี้ยประกันภัยและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการประกันภัย

ทั้งนี้ ได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากสมาชิกวุฒิสภาหลายท่าน ซึ่งสำนักงาน คปภ. น้อมรับข้อแนะนำและพร้อมที่จะนำไปพัฒนาและขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป

ผลตอบแทน [2.90 – 4.25]% ต่อปี ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ คาดว่าเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปจองซื้อในเดือนพฤษภาคมนี้

เสริมความปลอดภัย รับแนวโน้มยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH จัดพิธีเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่อย่างเป็นทางการ  ณ อาคารทิพยประกันภัย พระราม 3  โดยถือฤกษ์มงคลเวลา 05.30 น. อัญเชิญพระพุทธรูปตั้งประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชา โดยมี ดร.สมพร สืบถวิลกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)  เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน TIPH เข้าร่วมในพิธีเปิดสำนักงานแห่งใหม่ดังกล่าว

“บมจ.สตาร์ มันนี่ หรือ SM” ผู้นำสินเชื่อแห่งภาคตะวันออก ส่งสัญญาณ Q1/67 อู้ฟู่ ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt ของภาครัฐหนุนกำลังซื้อ ขณะที่ กางแผนปี 67 เดินหน้า All Time High คาดพอร์ตสินเชื่อใหม่เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% คุมเข้มคุณภาพลูกหนี้  ลั่น NPL สิ้นปีไม่เกิน 4% จากการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางสาขา และดิจิทัล จับมือพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนรูปแบบการทำงานและกระบวนใหม่ จัดทำโครงการ Lock มือถือ และการปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตมุ่งสู่นิวไฮอย่างมีคุณภาพ

นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM ผู้ประกอบธุรกิจปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกัน รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/2567 ซึ่งเป็นโค้งแรกของปีคาดว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดี เนื่องจากส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt ของภาครัฐ กระตุ้นกำลังซื้อสินค้าและบริการเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีปี 2567 ได้สูงสุด 50,000 บาท รวมถึง โครงการสนับสนุนการขาย และรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่จะเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจการให้สินเชื่อ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย

ในด้านแผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 เดินหน้าทำ All Time High รับเศรษฐกิจฟื้น โดยเฉพาะภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ จะสนับสนุนกำลังซื้อที่เข้ามา พร้อมตั้งเป้าหมายการขายสินค้าและสินเชื่อใหม่เติบโตรวมไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเช่นกัน จากพอร์ตสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2,566.1 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 10.7% ภายใต้การควบคุมคุณภาพหนี้ บริหารจัดการ NPL ให้อยู่ที่ 3.58%

สำหรับปี 2567 SM ยังคงเดินตามแผนเชิงกลยุทธ์และขับเคลื่อนการเติบโต สำหรับการดำเนินการหลัก ได้แก่ มุ่งเน้นเติบโตในพอร์ตสินเชื่อที่สร้างผลตอบแทนที่ดี ผ่านการจัดทำโครงการ Lock มือถือ เพื่อสนับสนุนยอดขายสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน และลดความเสี่ยง NPL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สะท้อนจากตัวเลขผลการจัดเก็บที่ดีขึ้นตั้งแต่ทำโครงการในช่วงปลายปี 2566 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน รวมทั้ง กลยุทธ์การปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อ สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เพิ่มผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

พร้อมกับแผนธุรกิจในการทำ Digital Transformation นำเทคโนโลยีมาช่วยปรับกระบวนการทำงาน เพื่อการพิจารณาสินเชื่อที่รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การปรับปรุงระบบ ERP e-KYC เป็นต้น อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนในการขยายสาขา เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้าได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในการช่วยลดระยะเวลาในการให้บริการลง 40%

ตลอดจน มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันออนไลน์เพื่อความครบวงจร และเดินหน้าขยายบริการสินเชื่อใหม่ๆ เจาะกลุ่ม B2B และ B2C รวมถึง ให้ความสำคัญในการมองหาความร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าในหลายธุรกิจ อาทิเช่น ธุรกิจด้าน Green Energy เป็นต้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 SM มีสาขาจำนวน 98 แห่ง ประกอบด้วยสาขาส่วนใหญ่ในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว และตราด รวมทั้งสาขาที่ตั้งอยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา โดยเป็นสาขาหลัก 16 สาขา สาขาย่อย 71 สาขา และสาขา Express 8 สาขา นอกจากนี้ยังคงเดินหน้าสำรวจพื้นที่ในทำเลที่มีศักยภาพเพื่อเปิดสาขาเพิ่มเติมต่อไป

“SM วางกลยุทธ์การเติบโตในปี 2567 ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านการขยายพอร์ตสินเชื่อที่รัดกุม การนำผลิตภัณฑ์ใหม่มาสนับสนุน ควบคู่ระบบเทคโนโลยี และการขยายพันธมิตร ตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจ และโอกาสจากการมีสาขาเกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เขต EEC ที่กำลังเติบโตตามอุตสาหกรรมและการลงทุน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ” นายชูศักดิ์ กล่าว

ปัจจุบันธุรกิจหลักของ SM ได้แก่ 1. จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถจักรยานยนต์ และ 2. ธุรกิจให้บริการปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกัน และสินเชื่อบุคคล โดยหลักประกันเงินให้กู้ยืม เช่น เล่มทะเบียนรถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และให้บริการอื่นเพิ่มเติม เช่น การเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย หรือ ประกันชีวิต เป็นต้น

ผลประกอบการปี 2566 มีรายได้รวม 1,379.85 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61.75 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจจำหน่ายสินค้าเติบโตจากปีก่อน 14.6% เป็น 15.1% อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนตั้งสำรอง (PPOP) เดิบโตจากปีก่อน 18.8% เป็น 21.9%

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นด้วย

พร้อมช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์ 1 อสังหาริมทรัพย์ไทยยั่งยืนระดับโลกบน DJSI World 2023 และผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Imagining better futures for all’ มุ่งพัฒนา ‘พื้นที่’ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าเป้าหมาย NET Zero 2050 อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เข้าร่วมรับรางวัลโล่เกียรติคุณกลุ่ม Developer ชั้นนำของเมืองไทยร่วมสร้างอุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว ในงาน Inclusive Green Growth Days Empowered by SCG: เติบโตและยั่งยืนไปด้วยกัน โดยมี คุณชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director, Regional Development 1 บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เข้ารับรางวัลจาก นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน

นายชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director Regional Development 1 บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่าทางเซ็นทรัลพัฒนารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก Cement and Green Solution Business ภายใต้ SCG ในครั้งนี้ โดยที่ผ่านมาเราได้จับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อผลักดันสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ นำร่องโครงการต้นแบบ Framework Pathway to Net Zero Building Guideline นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีขององค์กรที่มีทิศทางด้านความยั่งยืน โดยเราได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกในกลุ่มซีเมนต์ คอนกรีต และกรีนโซลูชันในการพัฒนาและก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสสำคัญของเราคือ โครงการเซ็นทรัล นครสวรรค์ และโครงการ เซ็นทรัล นครปฐม ที่เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มี.ค.67 โดยเลือกใช้ปูน Low Carbon รวมถึงมีการรีไซเคิลเสาเข็มที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่การพัฒนาโครงการเซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัลจันทบุรี และการดำเนินงานภายใต้ Green Standard ต่างๆ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่ช่วยให้เราเดินหน้าสู่เป้าหมาย NET Zero 2050 ได้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนา มีแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ NET Zero 2050 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 แบ่งได้ 3 หมวดหลัก คือ หมวดที่ 1: Decarbonized operational emissions ผ่านการดำเนินงาน ได้แก่ 1) ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 2) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด (solar) 3) ลดขยะฝังกลบ 4) ลดการใช้น้ำ 5) ชวนร้านค้าผู้เช่าลดการใช้พลังงานและแยกขยะ; หมวดที่ 2: Decarbonized embodied emission ผ่านการดำเนินงาน ได้แก่ 1) การนำมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล Green building เช่น LEED, TREES, EDGE มาเป็นแนวทางในการก่อสร้าง 2) การวัด LCA-Life cycle assessment ของการก่อสร้าง 3) ร่วมมือกับ supplier และ contractor ในการเพิ่มปริมาณรีไซเคิลในวัสดุก่อสร้าง และ หมวดที่ 3: Carbon removal โดยการปลูกป่าทดแทน และ R&D เพื่อหานวัตกรรม Sustianovation มาช่วย capture carbon

X

Right Click

No right click