×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

เอไอเอ ประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาซึ่งถือเป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสังคมไทยให้แข็งแกร่ง โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 เอไอเอได้เดินทางลงใต้เพื่อส่งมอบ “ห้องสมุดเอไอเอ” หลังที่ 36 ให้แก่นักเรียน โรงเรียนอนุบาลบ้านด่าน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ซึ่งมีนักเรียนจำนวนรวมกว่า 778 คน ซึ่งยังขาดแคลนอุปกรณ์ด้านการศึกษา รวมถึงห้องสมุดที่จะเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ของเด็กนักเรียนและคนในชุมชน เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนให้เยาวชนได้รับองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ พร้อมสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กไทย ซึ่งโครงการ “ห้องสมุดเอไอเอ” เป็นโครงการที่เอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 โดยได้สร้างห้องสมุดและส่งมอบให้แก่โรงเรียนต่างๆ ตามชุมชนที่อยู่ห่างไกลมาแล้วทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ

 

 

โดยในพิธีเปิดห้องสมุดเอไอเอ หลังที่ 36 ได้รับเกียรติจาก นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานในการเปิดงาน พร้อมด้วยตัวแทนจาก เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ และนายกฤษณ์ อัตตะสาระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทนภูมิภาค 5 ร่วมกันส่งมอบห้องสมุดเอไอเอ หลังที่ 36 ให้แก่ นายมนูญ จันทร์สุข ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง และนายวันชาติ สุทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านด่าน โดยมีคณะครูและนักเรียน ร่วมเป็นสักขีพยาน

 

 

สำหรับห้องสมุดเอไอเอหลังนี้ เป็นห้องสมุดขนาด 54 ตารางเมตร โดยได้มีการออกแบบให้มีความสวยงาม โปร่งตา และดูทันสมัย เพื่อดึงดูดให้เยาวชนอยากเข้ามาใช้บริการ เน้นประโยชน์ใช้สอย และรวบรวมหนังสือและนิตยสารที่มีคุณภาพ ครอบคลุมสาขาวิชาแขนงต่างๆ ที่สำคัญ เอไอเอ ยังได้มอบคอมพิวเตอร์เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ค้นหาความรู้ใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลก โดยเอไอเอ หวังว่าห้องสมุดหลังนี้จะเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้เพื่อให้นักเรียนและคนในชุมชนได้ค้นคว้าหาความรู้ที่นอกเหนือจากในห้องเรียน

 

 

นอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีและมีจริยธรรม ทั้งสิ้น 6 ทุน ทุนละ 2,000 บาท พร้อมกับมอบอุปกรณ์เสริมทักษะการศึกษา อุปกรณ์กีฬา และเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลบ้านด่านอีกด้วย

 

ในปี 2561 เป็นปีที่ เอไอเอ ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 80 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นบริษัทประกันชีวิตที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยตลอดระยะเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เอไอเอได้รับความไว้วางใจจากคนไทยทั่วประเทศให้ดูแล พร้อมทั้งได้ส่งมอบหลักประกันชีวิตเพื่อสร้างความมั่งคงให้แก่ชีวิตและสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนาน โดย เอไอเอ ประเทศไทย ยึดมั่นที่จะสร้างสรรค์โครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบแทนสังคมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives”

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับเกียรติรับรางวัลใหญ่ถึง 2 รางวัลในงาน American Chamber of Commerce Thailand CSR Excellence (ACE) Awards ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อยกย่ององค์กรที่เป็นสมาชิกของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยที่มีความมุ่งมั่นระยะยาวอันโดดเด่นในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โดยหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยได้ยกย่อง บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นองค์กรที่มีโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นด้วยการมอบรางวัลระดับโกลด์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ในขณะเดียวกัน แคมเปญ“Equip all Youth to be Future Ready through Digital Skills and Computer Science Education” ซึ่งเป็นแคมเปญระยะยาวของ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้รับรางวัลชนะเลิศในหมวด ‘Excellence in Developing Smart People Award’ จากความสำเร็จในการสนับสนุนเยาวชนให้บรรลุเป้าหมาย และก้าวข้ามขีดจำกัดเชิงดิจิทัลในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

จากจำนวนผู้ลงชื่อสมัครเข้าชิงรางวัลองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นจากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยประจำปี 2561 กว่า 77 องค์กร ทำให้การแข่งขันในปีนี้มีความท้าทายเป็นพิเศษ โดยคณะกรรมการได้ตัดสินโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรอย่างเข้มข้น ด้วยการประเมินผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้ ได้แก่ ผลลัพธ์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจและสังคม การมีส่วนร่วมของพนักงานในระดับสูง ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งกับองค์กรไทย และเป็นโครงการที่สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กรอย่างชัดเจน

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ผลงานอันยอดเยี่ยมของเราจากการร่วมมือกับพันธมิตรในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมาได้รับการยกย่องโดยหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย จากพันธกิจในการเป็นกำลังสำคัญให้ทุกคนและทุกองค์กรบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ทำให้ไมโครซอฟท์ยังคงยึดมั่นกับความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานในการเป็นพันธมิตรระยะยาวกับประเทศไทยมาโดยตลอด เราเชื่อมั่นว่าในอนาคตทุกคนจะมีทักษะ ความรู้ และโอกาสในการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และเยาวชนจะเป็นกลุ่มคนแถวหน้าด้านการพัฒนาเชิงนวัตกรรม รางวัลเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกอันชัดเจนว่าเรากำลังมาในเส้นทางที่ถูกต้องและยังเป็นกำลังใจให้พวกเราเดินหน้าเตรียมความพร้อมเยาวชนไทยด้วยการเสริมสร้างทักษะเชิงดิจิทัล สนับสนุนให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ดียิ่งกว่า ก้าวข้ามขีดจำกัดเชิงดิจิทัล และเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต”

ในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้ทำงานร่วมกับองค์กรที่มีเป้าหมายคล้ายคลึงกันอย่างหลากหลาย ตั้งแต่องค์กรภาครัฐไปจนถึงองค์กรไม่แสวงหากำไร ในการนำโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมที่สนับสนุนด้านการศึกษาที่จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องภายใต้ธีม “Equip all Youth to be Future Ready through Digital Skills and Computer Science Education” โดยกิจกรรมเหล่านี้ถูกจัดขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเยาวชนและชุมชนของพวกเขาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เป็นระบบ โดยไมโครซอฟท์ได้จัดฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและทักษะด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ให้กับเยาวชนจำนวนกว่า 410,000 คนที่มีพื้นเพที่หลากหลาย รวมถึงเยาวชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและด้อยโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เยาวชนที่มีความพิการทางร่างกาย เยาวชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เยาวชนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยในเขตเมือง นักโทษหญิง พนักงานจากองค์กรไม่แสวงผลกำไร อาสาสมัคร และอาจารย์ราว 4,000 คน

นอกจากนี้ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม องค์การยูเนสโก มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และอื่นๆ ยังได้ทำงานอย่างหนักเพื่อเสริมสร้างความสำคัญของสะเต็มศึกษาและคุณค่าของทักษะการเขียนโค้ด จากการจัดเวิร์คช็อปเพื่อ

สร้างแรงบันดาลใจที่มีเป้าหมายในการลดช่องว่างระหว่างเพศและเพิ่มจำนวนผู้หญิงให้หันมาสนใจเรียนรู้และประกอบอาชีพเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา ไปจนถึงการจัดอบรมทักษะเชิงวิทยาการคอมพิวเตอร์เบื้องต้นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึง “Skype-a-thons” ทำให้ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ได้อย่างต่อเนื่องให้มีเป้าหมายในการประกอบอาชีพด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ด้วยการทำให้แน่ใจว่าเยาวชนไทยทั้งหมดมีความพร้อมและได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการเข้าถึงทักษะเชิงดิจิทัลและการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อการประสบความสำเร็จในอนาคตยุคดิจิทัลตามนโยบายประเทศไทย 4.0

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไมโครซอฟท์ ตระหนักว่าการคิดเชิงคำนวณและวิทยาการคอมพิวเตอร์นั้นเป็นพื้นฐานของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือรัฐบาลในการลดช่องว่างด้านอาชีพและทักษะในประเทศไทย และยกระดับการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนที่มีพื้นเพที่หลากหลายให้ดียิ่งขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับความมุ่งมั่นดังกล่าว บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Coding Thailand” โครงการที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ‘พลเมืองดิจิทัล’ โดยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโครงการ ไมโครซอฟท์ได้สนับสนุนทรัพยากรด้านเทคโนโลยีและกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์แบบเต็มเวลาให้กับโครงการดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการสร้างความสนใจด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ในกลุ่มเยาวชนยุคดิจิทัลและเตรียมความพร้อมให้กับพวกเขาในการรับมือกับยุคดิจิทัลได้สำเร็จ

ผู้บริหาร และ พนักงานจิตอาสา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกพลังกับบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา "เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ" บริเวณถนนสีลม และในชุมชนโดยรอบสถานประกอบการพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อสนองพระราชปณิธาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน ต่อยอด รักษา เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน

 

นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) นำคณะผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วม 300 คน พร้อมใจแต่งกายด้วยเสื้อโทนสีเหลือง เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา ทำความสะอาด ปลูกต้นไม้ ทาสีทางเท้า และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณทางเท้า บริเวณหน้าอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม จนถึง ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

 

 

ขณะที่ นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) นำผู้บริหารและพนักงานจิตอาสา ร่วมชุมชน ช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่วัดอู่ตะเภา โรงเรียน และชุมชนใกล้โรงงานอาหารสำเร็จรูปหนองจอก

 

 

นอกจากนี้ ซีพีเอฟจิตอาสา โรงงานและฟาร์มยังได้จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับชุมชนทั่วประเทศโดยพร้อมเพรียงกัน อาทิ เก็บขยะบริเวณชายหาด ทำความสะอาดริมถนนทางหลวง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้บุคลากรของบริษัทฯ ได้ตระหนักถึงการตอบแทนคุณสังคม ช่วยกันพัฒนาความเจริญให้กับชุมชนที่อยู่

 

เอสซีจี ได้รับ 2 รางวัล Bronze Awards จากเวที MAT Award 2018” ครั้งที่ 10 โดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ในประเภทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง (Real Estate) จากผลงาน “เปิดตลาดหลังคาบ้านเก่า SCG Roof Renovation เรือลำแรกในมหาสมุทร Blue Ocean มูลค่า 10,000 ล้านบาท” และประเภทธุรกิจเพื่อสังคม (Sustainable Marketing) จากผลงาน “บ้านปลาเอสซีจี คืนวิถีชีวิตประมงไทย สร้างสมดุลสู่ท้องทะเลอย่างยั่งยืน” เผย “การเข้าใจความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง” เป็นหัวใจความสำเร็จที่ช่วยผลักดันให้เอสซีจีสามารถคิดค้นและต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสังคม และการอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนไทย และพร้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า

 

 

นายฎายิน เกียรติกวานกุล  Marketing Director – Roof Business บริษัท กระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด ในเอสซีจี กล่าวว่า “จากผลสำรวจที่อยู่อาศัยทั่วประเทศพบว่า มีบ้านเก่าที่อายุ 10 ปีขึ้นไปจำนวนกว่า 18 ล้านหลังคาเรือน และกว่า 1.5 ล้านหลังคาเรือนประสบปัญหาหลังคารั่วซึม หรือหลังคาเก่าโทรม ซึ่งเจ้าของบ้านต้องการเปลี่ยนหลังคาเก่าให้กลับมาสวยเหมือนใหม่ ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน มีเพียงผู้รับเหมารายย่อยที่รับซ่อมแซม และแก้ไขปัญหาหลังคา แต่ไม่สามารถรับประกันคุณภาพงานได้ เอสซีจีเข้าใจถึงปัญหาดังกล่าว จึงพัฒนาบริการ “SCG Roof Renovation” อย่างครบวงจร เพื่อเป็นทางเลือกในการปรับปรุง และซ่อมแซมหลังคาสำหรับเจ้าของบ้านให้ได้รับบริการที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้

 

 

โดยเจ้าของบ้านสามารถ “มั่นใจ” ในบริการจากทีมช่างคุณภาพและมากด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทางด้านรีโนเวทหลังคา พร้อมการรับประกัน 1 ปี สำหรับงานเปลี่ยนหลังคาทั้งผืน “วางใจได้” ด้วยเทคโนโลยีหลังคา และระบบหลังคาคุณภาพมาตรฐานเอสซีจี “ไร้กังวล” ด้วยทีมสำรวจหน้างานที่วางแผนแก้ปัญหาอย่างตรงจุด และ “สบายใจ” ด้วยการติดตั้งอย่างเป็นระบบ โดยเจ้าของบ้านสามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ตามปกติระหว่างติดตั้ง ด้วยความเข้าใจปัญหา ตลอดจนความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า จึงทำให้เอสซีจีได้รับรางวัลจากสมาคมการตลาดฯ ในครั้งนี้”

ทั้งนี้ สามารถขอรับคำปรึกษาเรื่องหลังคาได้ฟรีที่ เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ และเอสซีจี โฮมโซลูชั่น ทุกสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://roofexpert.scgbuildingmaterials.com/service/renovate

 

 

ด้านนางสาวน้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ Brand Management & CSR Director ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งธุรกิจเคมิคอลส์ได้นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาปรับใช้ในพื้นที่ระยอง โดยวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน และนำความเชี่ยวชาญภายในองค์กรมาช่วยแก้ไข รวมทั้งหาโซลูชั่นที่เหมาะสม สำหรับรางวัลที่ได้รับจากสมาคมการตลาดฯ ในครั้งนี้ มาจาก “โครงการรักษ์น้ำจากภูผา สู่มหานที ...จิตอาสาสร้างบ้านปลาเอสซีจี”

 

 

ซึ่งช่วยแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง โดยเอสซีจีได้น้อมนำพระราชปณิธาน “จากภูผา สู่มหานที” ซึ่งเป็นแนวทางการดูแลและจัดการน้ำให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ผ่านกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในชุมชนมาเป็นแนวทางการดำเนินงาน

 

 

โครงการฯ ดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างเอสซีจีกับภาครัฐ และภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการน้ำในจังหวัดระยอง ตั้งแต่ต้นน้ำผ่านกิจกรรมสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่เขายายดา จนถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งและระบบนิเวศทางทะเลที่ปลายน้ำผ่านโครงการบ้านปลาเอสซีจี ซึ่งนำท่อ PE 100 ที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาสร้างเป็นบ้านปลา นับเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เอสซีจีได้วางบ้านปลาไปแล้วจำนวน 1,600 หลัง ใน 37 กลุ่มประมงพื้นบ้านทั่วภาคตะวันออก ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลกว่า 172 ชนิด ซึ่งเป็นเสมือนคลังทรัพยากรในทะเลที่ชาวประมงพื้นบ้านสามารถทำมาหากินได้อย่างยั่งยืน โดยมีจิตอาสาสร้างบ้านปลาแล้วกว่า 11,500 คน”

รางวัล Bronze Award จาก “เปิดตลาดหลังคาบ้านเก่า SCG Roof Renovation เรือลำแรกในมหาสมุทร Blue Ocean มูลค่า 10,000 ล้านบาท”  และ “บ้านปลาเอสซีจี คืนวิถีชีวิตประมงไทยสร้างสมดุลสู่ท้องทะเลอย่างยั่งยืน” นับเป็นความภาคภูมิใจของเอสซีจี และพนักงานทุกคนที่ได้มุ่งมั่นและทุ่มเทดำเนินงานอย่างสุดความสามารถ ตลอดจนเป็นการยืนยันความสำเร็จที่เอสซีจียึดถือความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียเป็นหัวใจในการคิดค้น และพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคม และการอยู่อาศัย

 

 

เอสซีจีจะยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวิจัยและพัฒนา การนำเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายต่อไป

ทั้งนี้ แคมเปญการตลาด MAT Award 2018 ครั้งที่ 10 นี้ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและเชิดชูนักการตลาดไทยที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และสนับสนุนให้นักการตลาดไทยก้าวสู่ระดับสากล โดยในปีนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งสิ้น 40 ผลงาน ใน 11 กลุ่มรางวัล

เมื่อเร็วๆ นี้ หน่วยงานริเริ่มธุรกิจเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Thailand Social Business Initiative: TSBI) ประกอบด้วย Yunus Center AIT สถาบันไทยพัฒน์ และ บริษัท อิมเมจ พลัส คอมมิว นิเคชั่น จำกัด ได้ร่วมกันจัดการอภิปราย (Panel Session) ในหัวข้อ "Strategic CSR through SDGs: The Opportunities & Competitiveness to 2020" ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ ที่จะขอนำมาถ่ายทอดไว้ ดังนี้

 เริ่มจาก การแนะนำว่า Strategic CSR นั้น ไม่ได้เกิดจากการลอกแบบ Best Practices ที่องค์กรอื่นดำเนินการ และพยายามทำให้เทียบเท่าหรือดีกว่า แต่เป็นการค้นหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือทุนที่สั่งสมในองค์กรของตน นำมาสร้างให้เกิดความแตกต่างในการดำเนินการ ในทางที่เสริมสร้างขีดการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

การทำ Strategic CSR จะดำเนินการผ่านความริเริ่มหรือโครงการที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่มาก แต่คุณค่าร่วม (Shared Value) ระหว่างธุรกิจกับสังคมที่เกิดขึ้น จะมีนัยสำคัญและเห็นผลเด่นชัด

ตัวอย่างหนึ่งที่ยกในการอภิปราย คือ การต่อต้านทุจริต สามารถยกระดับจากการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance) ซึ่งเป็นการทำงาน (ตามเช็คลิสต์) ในเชิงรับ และจำกัดเฉพาะองค์กรของตน มาเป็น Strategic CSR ที่อาศัยบทบาทขององค์กร ผลักดันให้เกิดการต่อต้านทุจริตในห่วงโซ่ธุรกิจ ไปยังคู่ค้าและลูกค้า โดยเฉพาะการมุ่งไปยังส่วนงานที่มีผลกระทบสูง อาทิ ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายขาย จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เกิดจากการประหยัดงบประมาณและค่าใช้จ่ายที่รั่วไหลไปกับการทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม

ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมอภิปราย ผมได้มีโอกาสชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ Strategic CSR กับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ด้วยการนำห่วงโซ่ธุรกิจ ที่แสดงให้เห็นสายคุณค่า (Value Chain) มาใช้เป็นเครื่องมือในการระบุจุดที่องค์กรสามารถลดผลกระทบเชิงลบ (Minimizing Negative Impact) และเพิ่มผลกระทบเชิงบวก (Increasing Positive Impact) ที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

 

Source: GRI and UNGC, Integrating the SDGs Into Corporate Reporting: A Practical Guide, 2018.

 

ตัวอย่างของธุรกิจเครื่องนุ่งห่ม ที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงาน และวัตถุดิบจากภาคเกษตร กรณีของการลดผลกระทบเชิงลบ สามารถตอบสนองต่อ SDG เป้าที่ 3 เรื่องสุขภาวะ ที่เป็นการจัดสถานประกอบการและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย SDG เป้าที่ 6 เรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ที่เป็นการลดน้ำเสียจากการประกอบการ และ SDG เป้าที่ 15 เรื่องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เป็นการลดความเสื่อมโทรมของดิน

กรณีของการเพิ่มผลกระทบเชิงบวก สามารถตอบสนองต่อ SDG เป้าที่ 8 เรื่องเศรษฐกิจและการจ้างงาน ที่เป็นการดูแลเรื่องค่าครองชีพของพนักงานในทุกระดับ และ SDG เป้าที่ 12 เรื่องแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ที่เป็นการเพิ่มช่องทางแก่ผู้บริโภคในการนำเครื่องนุ่งห่มใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เป็นต้น

จะเห็นว่า บทบาทของธุรกิจหรือภาคเอกชน สามารถใช้ Strategic CSR ในการตอบสนองต่อ SDGs ได้ โดยการวิเคราะห์สายคุณค่าที่องค์กรดำเนินงานอยู่ว่ามีส่วนใดที่ส่งผลกระทบ (ทั้งทางบวกและทางลบ) ต่อ SDGs และองค์กรจะตอบสนองต่อ SDGs ที่เกี่ยวข้องนั้นๆ ได้อย่างไร

หากใช้ตรรกะข้างต้น ในการพิจารณาบทบาทของภาครัฐ ที่เป็นหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม ต่างมีภารกิจของหน่วยงาน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการบรรลุ SDGs อยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย (โดยอาจไม่จำเป็นต้องริเริ่มโครงการใหม่เพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่) แต่จำเป็นต้องมีการประเมินและปรับกระบวนการให้เกิดความสอดคล้องกับ SDGs ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน

ข้อแนะนำสำหรับหน่วยราชการ ในการขับเคลื่อน SDGs ได้แก่

  • เลิกสร้างโครงการใหม่ (New Projects) ด้วยงบประมาณก้อนใหม่
    เริ่มปรับกระบวนงานปัจจุบัน (Existing Processes) ให้สอดรับกับการตอบสนอง SDGs
  • ลดความริเริ่มที่เป็นการทำงานแบบบนลงล่าง (Top-down)
  • เพิ่มความริเริ่มที่เป็นการทำงานแบบล่างขึ้นบน (Bottom-up)
  • ขจัดบรรยากาศการทำงานในแบบที่มีพิธีรีตองมากเกินไป (Bureaucratic)
  • เพิ่มบรรยากาศการทำงานในแบบสานความร่วมไม้ร่วมมือจากทุกฝ่าย (Collaborative)
  • เน้นส่งเสริมการพัฒนาแบบกลุ่มความร่วมมือ (Cluster)
  • แทนการพัฒนาในแบบทีละส่วน ทีละอย่าง (Piecemeal)

รัฐบาล ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลการบริหารราชการแผ่นดินในระดับสูงสุด จำต้องตระหนักถึงบทบาทที่เอื้อให้เกิดความสำเร็จต่อการบรรลุ SDGs ทั้งในแง่ของการกำหนดนโยบาย กลไก และกระบวนการขับเคลื่อน

 

 

Adapted from Michael E. Porter’s Presentation on a Strategy for Haitian Prosperity, September, 2017.

 

จากการทำงานในรูปแบบเดิม (Old Model) ที่รัฐบาลเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยนโยบายจากบนลงล่าง เป็นผู้ตัดสินใจ เป็นผู้ให้ทุนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ จะต้องปรับเปลี่ยนมาสู่รูปแบบใหม่ (New Model) โดยตระหนักว่า การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นกระบวนการทำงานร่วมกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งรัฐบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในทุกระดับ ภาคธุรกิจทั้งบริษัทสัญชาติไทยและต่างสัญชาติ สมาคมการค้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา สถาบันวิจัย รวมทั้งชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนภาคพลเมือง

ที่สำคัญ การมีนโยบายที่ดีโดยลำพัง ไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อน แต่ปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จ เกิดจากความแน่วแน่ในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ (Translating Policy into Action)


บทความ โดย : พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ 

จากการคาดการณ์ความเสี่ยงของโลกโดย World Economic Forum ในปี 2018 จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและภัยธรรมชาติเป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด (World Economic Forum, 2018) อีกทั้งรายงานของ www.ranker.com พบว่าในปี 2018 เกิดภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบรุนแรงเป็นจำนวนมาก (Slocum, 2018) สำหรับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย เช่น น้ำท่วมและดินโคลนถล่มในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ประสบภัยต้องหยุดชะงัก จากรายงานข่าว จังหวัดฮิโรชิมะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดและพบผู้เสียชีวิตมากที่สุด (Workpoint News, 2018) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น การสูญเสียสินค้าคงคลัง ผลกระทบต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ เป็นต้น ธุรกิจจะสามารถฟื้นฟูจากภัยธรรมชาติได้เร็วขึ้นถ้ามีแผนฉุกเฉินรองรับ (Glassman, 2018) ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงซึ่งอาจเป็นสาเหตุของความเสียหาย (NTT Communications (Thailand) Co. Ltd., 2018) ตัวอย่างของภัยพิบัติ เช่น

  1. ภัยพิบัติจากการกระทำของมนุษย์ (Man-made disaster) :

เป็นการกระทำของมนุษย์ที่ส่งผลต่อความเสียหายของธุรกิจ เช่น อัคคีภัย, การรั่วไหลของน้ำมัน, การโจรกรรมข้อมูล เป็นต้น

  1. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Natural Disasters) :

เป็นการเกิดภัยที่มีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น อุทกภัย, วาตภัย, แผ่นดินไหว, คลื่นสึนามิ, ไฟป่า เป็นต้น ซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งผลต่อความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของธุรกิจ

  1. ภัยพิบัติด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) :

เป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น การจู่โจมของผู้ก่อการร้าย การประท้วงขนาดใหญ่ และสงคราม เป็นต้น ผู้ประกอบการอาจต้องพิจารณาถึงการย้ายกิจกรรมทางธุรกิจไปยังพื้นที่อื่นๆ

เมื่อความเสี่ยงและภัยพิบัติสามารถเกิดขึ้นได้เสมอและธุรกิจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCM) จึงเป็นแนวทางที่สำคัญอย่างยิ่งในการลดโอกาสเกิด การเตรียมการ การตอบสนอง และฟื้นฟูธุรกิจจากความเสี่ยงและภัยพิบัติต่างๆ ที่จะทำให้ธุรกิจหยุดชะงักได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียรายได้หรือลูกค้าที่รับไม่ได้จากการหยุดชะงักของการให้บริการ และทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียต่อธุรกิจ (Sasawat Malaivongs, 2018) ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายให้เกิดน้อยที่สุดและธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานต่อไปได้รวดเร็วที่สุด

                กรอบแนวทางการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ BCM ตามมาตรฐาน ISO 22301:2012 มีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง 6 องค์ประกอบหลัก คือ

องค์ประกอบที่ 1 การบริหารโครงการจัดการความต่อเนื่อง (BCM Program Management) เป็นองค์ประกอบหลักของการสร้างความต่อเนื่อง โดยการจัดทำกรอบนโยบายและกำหนดโครงสร้างหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในระดับต่างๆ

องค์ประกอบที่ 2 การศึกษาและทำความเข้าใจองค์กร (Understanding the Organization) เป็นขั้นตอนการทำความเข้าใจสภาพและการดำเนินงานขององค์กร ด้วยวิธีการวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact Analysis – BIA) และการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment - RA) เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการจัดระดับความสำคัญของกระบวนงาน การกำหนดแนวทาง และกลยุทธ์ในข้อต่อไป

องค์ประกอบที่ 3 การกำหนดกลยุทธ์ในการสร้างความต่อเนื่อง BCM (Determining BCM Strategy) กำหนดแนวทางในการตอบสนองต่อการหยุดชะงักของการดำเนินงานขององค์กร เช่น กลยุทธ์กู้คืนการดำเนินงาน (Recovery Strategy) และการกำหนดกลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (BIA)

องค์ประกอบที่ 4 การพัฒนาและเตรียมการตอบสนองต่อเหตุการณ์ในภาวะฉุกเฉิน (Developing and Implementing BCM Response) เมื่อมีการกำหนดกลยุทธ์เรียบร้อยแล้ว ต้องจัดทำแผนงานเตรียมตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน โดยให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ เช่น Incident Management Plans (IMP) หรือ แผนจัดการอุบัติการณ์ฉุกเฉิน, Business Continuity Plans (BCP) หรือ แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ, Recovery Plans (RP) หรือ แผนกู้คืนธุรกิจหลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป เป็นต้น

องค์ประกอบที่ 5 การทดสอบ ปรับปรุง และทบทวนแผน (Exercising Maintaining and Reviewing) เป็นขั้นตอนที่จะทำให้แน่ใจว่า BCM ที่จัดทำขึ้นสามารถใช้ได้จริงรวมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อม ตรวจสอบความสามารถของบุคลากร และประสิทธิภาพของแผนในการตอบสนองต่อวิกฤติการณ์ ด้วยรูปแบบการทดสอบ เช่น Call Tree, Tabletop Testing, Simulation เป็นต้น

องค์ประกอบที่ 6 การปลูกฝัง BCM ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร (Embedding BCM in the Organization’ s Culture) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำให้ BCM เข้าไปเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาและจิตวิทยาที่จะทำให้บุคลากรทุกคนซึมซาบและเข้าใจถึงความสำคัญของ BCM ตลอดจนบทบาทหน้าที่ของตัวเอง (NSM, 2018)

โดยที่ผ่านมาการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานต่างๆ ต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เช่น ในปี 2561 ได้เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยได้ออก 2 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม แผ่นดินไหว เป็นต้น ได้แก่ มาตรการที่ 1 การพักชำระหนี้ เพื่อลดภาระให้กับผู้ประกอบการ และ มาตรการที่ 2 สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นเงินทุนฟื้นฟูและหมุนเวียนในกิจการสำหรับลูกค้าเดิมของธนาคาร (MGR Online, 2018)

หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยงและความรุนแรงก็จะลดน้อยลง เพราะความเสี่ยงที่อันตรายที่สุด คือ การขาดความตระหนัก ไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือ และขาดแนวทางการจัดการในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ธุรกิจพึงมีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาที่ยั่งยืน


บทความ โดย : ปภาดา บุบผาสวรรค์

หลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการความเสี่ยงและภัยพิบัติ | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในปัจจุบันมีเส้นแบ่งกั้นสูงระหว่างภาควิชาการและภาคปฏิบัติ ภาควิชาการโดยส่วนใหญ่จะสนใจเฉพาะการวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) ซึ่งเน้นกระบวนการวิจัยที่มีกระบวนการขั้นตอนที่กำหนดอย่างชัดเจน

จากบทความเรื่อง “วันโอโซนโลก ตอนที่ 1” ที่กล่าวถึงภาพรวมของชั้นโอโซน อาทิ ความสำคัญของชั้นโอโซน ผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อชั้นโอโซนถูกทำลาย

ความรู้และศาสตร์ในด้านการศึกษา ที่ต้องปรับตามให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เป็นความท้าทายอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด   ผศ. ดร. นาถรพี ชัยมงคล  คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี)  ได้เปิดเผยถึงภาพรวมของคณะฯ กับ “นิตยสาร MBA” ถึง แนวคิดของการสร้างหลักสูตรการเรียนและการสอน  เพื่อให้ทันกับกระแสของโลกในยุค Disruptive Technology

ห้องปฏิบัติการฝึกความพร้อมในทุกสาขาวิชา
นทุกสาขาของระดับปริญญาตรี ที่เปิดสอนถึง 11 หลักสูตร  อันได้แก่ สาขาการตลาด, การจัดการ, การบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ, คอมพิวเตอร์ธุรกิจ, การเงิน, การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน, บัญชี ,เศรษฐศาสตร์ รวมทั้งหลักสูตรนานาชาติ (Marketing, International Business Administration, Business English) ที่นอกจากจะมีความโดดเด่นในด้านทฤษฎีแล้ว ยังเน้นการเรียนในภาคปฏิบัติที่มีชั่วโมงปฏิบัติมากถึง 60%  ซึ่งหมายความว่านักศึกษาจะได้ฝึกหัดทดลองใช้เครื่องมือจริงจากห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะให้นักศึกษามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือตามสายงานและสาขาทางวิชาการ”   ผศ.ดร.นาถรพี  กล่าว

ทั้งนี้  ผศ.ดร นาถรพี ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ โดยเฉพาะห้องปฏิบัติการจำลองสถานการณ์ด้านโลจิสติกส์ (Logistics Simulation LAB) เป็นห้องปฏิบัติการเรียนรู้เพื่อสร้างโมเดลจำลองหลากหลายรูปแบบเพื่อช่วยในการวิเคราะห์และวัดผลการทำงานที่เกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพมากสุด เห็นถึงผลดี – ผลเสียเพื่อให้ได้ทางเลือกที่ดีที่สุดก่อนลงมือปฏิบัติจริง เช่น ส่วนงานคลังสินค้า สามารถสร้างโมเดลที่เกี่ยวข้องกับการขนย้าย (Material Handling) ภายในคลังสินค้า หรือในส่วนการขนส่ง สามารถสร้างโมเดล ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า และปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งเพื่อหาต้นทุนการขนส่ง”

หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนนี้นักศึกษาจะมีโอกาสเรียนรู้การปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการจากการฝึกงานในภาคฤดูร้อน การฝึกสหกิจศึกษา 1 ภาคเรียน รวมไปถึงการทำโครงงานเพื่อแก้ปัญหาจริงจากสถานประกอบการกรณีศึกษา และมีหลักสูตรบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้จัดทำการเรียนการสอนเพื่อตอบโจทย์นโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน รองรับอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ที่มีการฝึกปฏิบัติงานจริงมากกว่าหลักสูตรอื่นๆ

ขณะเดียวกันมีห้องปฏิบัติการทรัพยากรมนุษย์ที่มีโปรแกรม My HR รวมถึงการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ มีการพัฒนาซอฟท์แวร์ดิสคัฟเวอรี่ต่างๆ เพิ่มขึ้นจากที่มีห้องปฏิบัติการโปรแกรม SAP (SAP Room) และห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หุ้น ในสาขาการตลาด การจัดการ การบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ  โดย ผศ.ดร.นาถรพี  ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในประเด็นนี้ว่า

“ เพราะเรามีเป้าหมายว่านักศึกษาของ คณะบริหารธุรกิจ  มทร. ธัญบุรี ต้องสามารถที่จะปฏิบัติได้จริง”

สำหรับการพัฒนาหลักสูตรของคณะฯ ตอนนี้มีการปรับทิศทางเพื่อสนับสนุนและเน้นการสร้างผู้ประกอบการ เพื่อรองรับนักศึกษาที่มุ่งการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น โดยขั้นตอนของการส่งเสริมนั้น นักศึกษาทุกชั้นปีจะได้รับการฝึกและปฏิบัติการเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง โดยให้นักศึกษาฝึกงานสหกิจ (Internship) ในต่างประเทศ โดยการฝึกภาคปฏิบัตินี้ เพื่อให้มีความรู้และความพร้อมที่จะเป็นผู้ประกอบการ รวมถึงมีการเพิ่มเนื้อหาวิชาทางด้านอีคอมเมิร์ซเข้าไปในทุก ๆ หลักสูตรอีกด้วย

“คณะผู้บริหารให้นโยบายถึงการปรับหลักสูตรเรื่องการเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการให้กับนักศึกษาที่เข้ามาเตรียมความพร้อมเลย เป็นหลักสูตรที่นักศึกษาทุกคนจะได้เรียน  จากนั้นนักศึกษาที่สนใจเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ทางคณะฯ จะมีกระบวนการสนับสนุนตามขั้นตอนของการเป็นผู้ประกอบการต่อไป” ผศ.ดร นาถรพี กล่าว

 

 

2 กองทุนเปิดโลกทัศน์เรียนและฝึกงานในต่างประเทศ

ในภาคการปฏิบัติ  คณะบริหารธุรกิจ มทร.ธัญบุรี ยังเน้นให้นักศึกษาได้มีโอกาสไปฝึกงานในต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นอีกรูปแบบที่สำคัญของการเรียนการสอนของที่นี่ โดย  ผศ. ดร. นาถรพี กล่าวและให้รายละเอียดในเรื่องของทุนต่างประเทศว่า มี 2 ทุน คือ กองทุนสหกิจ (กองทุนส่งเสริมประสบการณ์วิชาชีพ) ที่ให้ทุนสนับสนุนนักศึกษาฝึกงานในต่างประเทศคนละ 50,000 บาท โดยปีนี้ได้สนับสนุนการปฏิบัติงานสหกิจศึกษาในต่างประเทศในทุกภาคการศึกษา เช่น การปฏิบัติงานในโรงแรม Hotel- Restaurant Zum Reussenstein ประเทศเยอรมนี รวมทั้งการปฏิบัติงานด้าน E-Commerce และ Logistic กับบริษัทขนาดใหญ่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน  ซึ่งนักศึกษาสามารถนำทักษะที่ได้ มาใช้ในการปฏิบัติงาน และต่อยอดเป็น Startup ของตนเองได้

นอกเหนือจากการฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว คณะบริหารธุรกิจได้ลงนามความร่วมมือทางด้านวิชาการกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น University of Electronic Science and Technology of China เมืองเฉิงตู  Wuhan University และ Huazhong University of Science and Technology เมืองอู่ฮั่น เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ การตลาด ระบบการขนส่งและ Logistic การทำวิจัยและแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา และพัฒนาหลักสูตรร่วมกันในอนาคต

ผศ. ดร นาถรพี  ได้เผยถึงแนวทางที่คณะฯ มุ่งมั่นที่จะแนะนำให้นักศึกษามองเห็นถึงโอกาสและประโยชน์ที่ได้จากการไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเปิดประสบการณ์จริงให้นักศึกษา แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องสอบภาษาอังกฤษให้ผ่าน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ทางคณาจารย์ได้ไปเยี่ยมนักศึกษาที่ฝึกงานอยู่ในแหล่งค้าส่งประเทศจีน ที่พบว่าวันนี้มีความก้าวหน้ามาก  นักศึกษาไปฝึกงานในระยะเวลา 2 เดือน แต่มีมุมมองที่กว้างขึ้น บ้างก็วางแผนจะกลับมาทำธุรกิจ เพราะรู้และเห็นในกระบวนการจริง ตั้งแต่เริ่มฝึกการทำเว็บไซต์

นอกจากนี้ทางคณะฯยังมีโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยทั่วโลกแบบ Credit Transfer เป็นระยะเวลา 1 ภาคการศึกษา  ซึ่งคนที่จะได้รับทุนต้องผ่านเกณฑ์กองทุนพัฒนานักศึกษา มีระดับคะแนนเฉลี่ยและคะแนนมาตรฐานภาษาอังกฤษ (TOEIC) ตามที่กำหนด  ซึ่งจะให้ทุน  2  หมื่นบาทต่อคน เพื่อเดินทางไปศึกษาในประเทศต่างๆ  โดยปีนี้มีไปในหลายประเทศ อาทิเช่น University of Wurzburg ประเทศเยอรมัน National Pintung University ประเทศไต้หวัน   

ทั้งนี้ ทางคณะฯ ยังขยายเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรเอกชนต่างๆ ในประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เดินทางไปต่างประเทศ เพื่อให้ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น และเมื่อกลับมาจากฝึกงานแล้ว Mindset ของนักศึกษามักจะเปลี่ยนไป  ซึ่งในขณะเดียวกันยังได้รับการเสริมศักยภาพในเรื่องของภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาอย่างแน่นอนในอนาคตการทำงาน

ปริญญาโท

ผศ.ดร นาถรพี   ยังได้เผยถึงการศึกษาในระดับปริญญาโทนั้น ทางคณะได้มีการปรับปรุงเนื้อหาในแต่ละรายวิชาใหม่เพื่อให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรวดเร็วของโลกยุคปัจจุบัน โดยในปีที่ผ่านมา มีการปรับหลักสูตรเพื่อรองรับ Disruptive Technology มีการเปิดสาขาโลจิสติกส์ที่เป็นภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ นอกจากนั้นยังมีการเสริมความรู้ทางด้าน  Marketing Technology และ Digital Marketing ควบคู่ไปกับศาสตร์ทางด้านการตลาด มีเสริมความรู้ด้าน Change Management การเป็น Change Agent และนวัตกรรมทางการจัดการ และการเงิน

หลักสูตรของเราเน้นการสร้างให้นักศึกษามีความสามารถในการบริหารจัดการโดยมีความรู้ครอบคลุมศาสตร์ทางด้านบริหารธุรกิจอย่างครบถ้วน ควบคู่ไปกับการพัฒนา Soft Skill ของนักศึกษา ซึ่งต้องมองว่าความต้องการของผู้เรียนในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต จึงต้องปรับหลักสูตรให้ผู้เรียนได้ศึกษาผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง มีการเชิญวิทยากรจากภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานชั้นนำของประเทศ  และยังมีการเสริมวิชาโครงการระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมานักศึกษาของเราได้มีโอกาสไปดูงานที่องค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น โรงงานโรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) ในประเทศอังกฤษ และได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายทางด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์ใน University of  Derby ที่มีชื่อเสียง ซึ่งในปีหน้าหลักสูตรของเราวางแผนที่จะนำนักศึกษาไปดูงานโลจิสติกส์ที่ประเทศเยอรมนี”

การส่งนักเรียนไปฝึกงานในต่างประเทศ นอกจากอินเตอร์โปรเจคส์แล้ว ทางคณะบริหารธุรกิจ มทร.ธัญญบุรี ยังมีความร่วมมือกับ  Auckland University of Technology (AUT) ประเทศนิวซีแลนด์ ในการเปิดหลักสูตรการอบรมภาษาอังกฤษเพื่อการเตรียมตัวไปศึกษาต่อ ณ ประเทศนิวซีแลนด์  โดยเป็นการต่อยอดจากหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ได้ริเริ่มเอาไว้  ซึ่งมีโครงการที่จะขยายต่อไปในประเทศเยอรมันและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโต เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาที่สูงสุด

 

 

หลักสูตรรองรับเทคโนโลยี 5 G

เมื่อกล่าวถึงการปรับหลักสูตรเพื่อรองรับเทคโนโลยี 5 G  ผศ.ดร นาถรพี  เผยถึงเรื่องนี้ว่า “ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การสอนเราจึงต้องตอบโจทย์ Lifelong Learning    ซึ่งโดยความเห็นคิดว่า ในอนาคตการศึกษาอาจไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนเสมอไป  ซึ่งเรากำลังจะมีหลักสูตรออนไลน์ทั้งระดับปริญญาตรีและโท เพื่อรองรับคนที่ทำงานด้วยเครดิตแบงก์เทียบโอนประสบการณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการนำร่อง คาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2563 มีภาคเอกชนที่ให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะตอบโจทย์คนยุคใหม่เป็นอย่างดี เพื่อให้คนได้สามารถพัฒนาตนเอง บริหารเวลาได้ง่าย และสร้างความมั่นใจว่าการเรียนรู้สามารถทำได้ตลอดชีวิต”

การเทียบโอนประสบการณ์หรือที่เรียกว่า เครดิตแบงก์นั้น จะมีมาตรฐานในการคัดกรอง โดยนำประสบการณ์การอบรม หลักสูตรต่างๆที่ผ่านมา โดยนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาเพื่อการเทียบโอน ซึ่งการเทียบโอนจะสามารถให้หน่วยกิตได้โดยไม่ต้องมีการเรียน ซึ่งการเทียบโอนประสบการณ์หรือเครดิตแบงก์ เป็นวิธีการที่ตอบโจทย์คนที่อยู่ในระบบการทำงาน ซึ่งในอดีตไม่มีโอกาสศึกษาต่อ ในบางกรณีอาจจะแค่ต้องการปริญญา แต่ในบางกรณีเมื่อเทียบโอนก็มาศึกษาต่อเพิ่มเติมกับทางสถาบัน

 สำหรับระดับปริญญาตรีมีวิชาหลักการจัดการและองค์การ การบริหารทรัพยากรมนุษย์  ขณะที่ในระดับปริญญาโท เราจะมี  3 วิชาหลักๆคือ การจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหาร พฤติกรรมองค์การสมัยใหม่ และการจัดการตลาดสำหรับผู้บริหาร และในส่วนของปริญญาเอกนั้น ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนจะมีทั้งภาคเอกชนและนักวิชาการ จึงเป็นการมองเรื่องของการสร้างองค์ความรู้และทฤษฎีใหม่ๆ รวมไปถึงเรื่องเชิงวิชาการ อย่างไรก็ตามงานวิจัยในวันนี้ก็ต้องเน้นในเรื่องของการตอบโจทย์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ผศ. ดร. นาถรพี   ได้กล่าวสรุปในท้ายที่สุดว่า ด้วยบทพิสูจน์ของจุดยืนที่กล่าวมา ทำให้เราสามารถอยู่มายาวนานกว่า 42 ปี  ภายใต้แนวทางการจัดการเรียนการสอนเปิดแยกตามสาขาวิชา ทำให้นักศึกษาสามารถได้เรียนตามสาขาวิชาที่ต้องการ  โดยทางคณะฯมีคณาจารย์รองรับกับหลักสูตรนับ 100 ท่าน  ซึ่งเป็นบุคลากรที่ได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา อย่างล่าสุด ทางคณะฯได้จัดส่งบุคลากรไปศึกษาดูงานฟินแลนด์โมเดล ซึ่งเป็นโมเดลการศึกษาที่ได้รับการจัดอันดับและยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นต้น

เหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นของเรา ที่กล่าวได้ว่า เมื่อเข้ามาแล้ว เป็นหน้าที่ของเราในการปั้นเด็กให้ประสบความสำเร็จ ออกจากรั้วการศึกษาของคณะบริหาร (มทร.) ธัญบุรี ไปสู่โลกใบกว้างสำหรับการทำงานได้อย่างมีคุณภาพ

บริษัทฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี เปิดตัว Global Campaign “NEVER STOP” ตอกย้ำสร้าง Branding ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเติบโตทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดั่งสโลแกน “FUJIFLIM Value from Innovation” โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งไม่มีเพียงกลุ่มสินค้าทางด้านการถ่ายภาพเท่านั้น ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าทางด้านการดูแลสุขภาพและเครื่องมือทางการแพทย์ (Medical System) โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อมารองรับความต้องการของผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

 

 

โดยเฉพาะงาน Photo Fair 2018 งานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการถ่ายภาพ สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางด้านกล้องดิจิตอล โดยทำการเปิดตัว กล้องFUJIFILM GFX50R กล้อง Medium Format ภายใต้ Concept Passion Never Stop อีกกลุ่มหนึ่งผลิตภัณฑ์ไฮไลท์คือ Instax BNK48 Limited Edition โดยมีสมาชิก BNK48 ทั้ง11 คน ร่วมเป็นBrand Ambassador พร้อมด้วย กล้อง Hybrid Instax SQUARE SQ20 สามารถ่ายภาพเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกในกล้องอินแสตนท์ นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์มยังประกาศเป็นผู้นำทางด้านพริ้นท์ติ้ง ขยายธุรกิจการปรับเปลี่ยนร้านแล็บสีในรูปแบบใหม่ชื่อ “ฟูจิฟิล์ม โฟโต้สเตชั่น” หรือ FPS เป็นแฟลกชิพสโตร์ต้นแบบของร้านแล็บสีที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิตอล ปิดท้ายด้วยแคมเปญ ฟูจิฟิล์มฉลองครบรอบ 30 ปีในประเทศไทย ในปีหน้านี้จัดนิทรรศการภาพถ่ายครั้งยิ่งใหญ่สุดในเมืองไทย Photo Exhibition “Power of Print” ปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ภาพถ่ายของคุณจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการที่สร้างพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งหมดนี้จะนำมาจัดแสดงในงาน Photo Fair2018 ภายใต้ concept “Never Stop”

 

 

มร.ชิโตมุ วาตะนาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์มเปิดตัวGlobal Campaign “NEVER STOP” หัวใจหลักแคมเปญนี้คือการตอกย้ำสร้าง Branding ของฟูจิฟิล์มให้ดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจของฟูจิฟิล์ม โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เพียงกลุ่มสินค้าทางด้านการถ่ายภาพเท่านั้น ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าทางด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care) และเครื่องมือทางการแพทย์ (Medical System) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอกย้ำแสดงให้เห็นว่าฟูจิฟิล์ม มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรม และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง ดั่งสโลแกน “FUJIFILM Value from Innovation”

 

 

และในโอกาสที่ ฟูจิฟิล์มฉลองครบรอบ 30 ปี ในปีหน้านี้เราได้จัดแคมเปญ นิทรรศการถ่ายภาพที่ใหญ่ที่สุดและเป็นครั้งแรกในประเทศไทย Photo Exhibition ภายใต้แนวคิด “Power of Print” ให้รูปมีความหมาย เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ภาพถ่ายของคุณจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการที่สร้างพลังครั้งยิ่งใหญ่สุด เพื่อสะท้อนภาพถ่ายที่สัมผัสได้ถึงพลัง และยังคงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจถึงคุณค่าของการบันทึกความทรงจำผ่านภาพถ่าย ในแคมเปญนี้ เราได้ Brand Ambassador คือ คุณแป้งโกะ จินตนัดดา ลัมมะกานนท์ นักร้อง นักแสดงมาร่วมส่งภาพที่มีพลังในนิทรรศการครั้งนี้ เพียงนำรูปถ่ายที่คุณชื่นชอบที่สื่อถึงพลัง Power of Printที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลยี่ห้ออะไรก็ได้ กล้อง Instaxหรือภาพจากมือถือ นำภาพไปพริ้นท์ลงบนกระดาษสีฟูจิฟิล์ม ขนาด 8x10 นิ้ว และ 8x12 นิ้วที่ร้าน Wonder Photo Shop, FUJIFLIM Photo Station หรือร้านอัดภาพที่ร่วมรายการภาพของคุณเป็น 1 ใน 5,000 ภาพกับนิทรรศการครั้งนี้ เปิดรับภาพตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 – 13 มกราคม 2562 จัดแสดงภาพถ่าย Photo Exhibition “Power of Print” จะจัดขึ้นในวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายวาตานะเบ้ กล่าว

 

 

ฟูจิฟิล์มไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน ภายใต้แนวคิดNever Stopยืนยันในความเป็นผู้นำที่ไม่เคยหยุดยั้งตลอดเวลา

Page 2 of 8
X

Right Click

No right click