×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

ดร. เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย) มอบหนังสือสำหรับเยาวชน “จุดประกายความคิด เพื่อชีวิตที่สดใส” จำนวน 250 เล่ม ให้แก่โรงเรียนสัจจพิทยา โดยมีนางปรารถนา ลิมะหุตะเศรณี ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ เป็นผู้รับมอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกแก่เยาวชนเรื่องการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี
การมอบหนังสือนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมส่งเสริมวิชาการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมศึกษา เนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประจำปี 2561 

นอกจากนี้ โคเวสโตร ประเทศไทย ยังได้ร่วมมือกับสถานทูตสาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย จัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้ความรู้เรื่องการกำจัดขยะ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างความยั่งยืน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

 

 

ดร.เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมพนักงาน จัดกิจกรรมอาสาสมัครให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม แก่นักเรียนโรงเรียนสัจจพิทยา พร้อมมอบหนังสือสำหรับเยาวชน “จุดประกายความคิด เพื่อชีวิตที่สดใส” เนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

บริษัท ไทยซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำพนักงานจิตอาสาของไทยซัมซุงประกันชีวิต และพนักงานจิตอาสาของซัมซุงประกันชีวิต จากประเทศเกาหลี รวมกว่า 50 ชีวิต ร่วมปลูกป่าชายเลนถาวร ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 จ.เพชรบุรีในโครงการ “Green Global Project...We love Thailand” ครั้งที่ 11

 

 

ซัมซุงประกันชีวิต ประเทศเกาหลี และ ไทยซัมซุงประกันชีวิต เห็นถึงความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้คำขวัญ “We Love & Share” ปลูกฝังจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในรูปแบบ “จิตอาสา” นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยได้ดำเนินการปลูกป่าชายเลนถาวรในโครงการ Green Global Project…We love Thailand” เพื่อรักษาและคืนความสมดุลแก่ระบบนิเวศป่าชายเลนของไทย และยังเป็นการรักษาพื้นที่ชายฝั่งทะเลและแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอีกทางหนึ่ง  

 

 

“โครงการ Green Global Project…We love Thailand  ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมา โครงการนี้จัดขึ้นมาแล้ว 10 ครั้ง ได้ปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลนต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 7,900 ต้น สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 ของโครงการฯ และได้ปลูกต้นโกงกางรวม 2,000 ต้น  โดยมีพนักงานจิตอาสาจากซัมซุงประกันชีวิตประเทศเกาหลี และพนักงานจิตอาสาของไทยซัมซุงประกันชีวิตกว่า 50 คน ร่วมลงมือลงแรงกันอย่างเต็มที่ ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการฯ จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนที่อยู่โดยรอบป่าชายเลนแห่งนี้ในระยะยาว  

 

 

สำหรับกิจกรรมในวันที่สอง พนักงานจิตอาสาจากทั้งสองประเทศ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนปัญญาวุฒิกร มอบอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้และเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษา รวมทั้งจัดทำและเตรียมอาหารกลางวันให้แก่น้อง ๆ นักเรียน ในช่วงบ่ายได้แบ่งกลุ่มลงมือลงแรงในกิจกรรมจิตอาสา ทั้งปรับปรุงและทาสีเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น รวมทั้งจัดเตรียมแปลงผักสวนครัวกินได้ให้กับทางโรงเรียนอีกด้วย

 

 

แม้ว่าโครงการที่เกิดขึ้น จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของประเทศ แต่ซัมซุงประกันชีวิตและไทยซัมซุงประกันชีวิตเชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างจิตสำนึกร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติให้เกิดขึ้นในสังคม โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมและสานต่อนโยบายด้าน CSR อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในการดำเนินธุรกิจและเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมควบคู่กันไป

เอปสัน ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์และผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของโลก เปิดตัวอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ซีรี่ส์ใหม่ WF-C5000 สำหรับลูกค้าเอสเอ็มอี ได้แก่ รุ่น WF-C5290 และ WF-C5790 ที่ให้ความเร็วกว่าพิมพ์เทียบเท่าเลเซอร์ พรินเตอร์แต่มีต้นทุนการพิมพ์ที่ประหยัดกว่าเลเซอร์ถึง 50%

WF-C5000 series อิงค์เจ็ทพรินเตอร์มาพร้อมกับหัวพิมพ์ PrecisionCore ที่ให้งานพิมพ์คุณภาพสูง ด้วยความเร็วในการพิมพ์ 24 แผ่น/นาที สามารถรองรับปริมาณงานพิมพ์ต่อเดือนได้ถึง 45,000 แผ่น  มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการพิมพ์ 2 หน้าแบบอัตโนมัติ (Auto-Duplex) ที่มีความเร็ว 15 ภาพต่อนาที (สำหรับ A4)  จึงช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการพิมพ์   รวมถึงยังมีชุดระบบหมึก RIP (Replaceable Ink Pack) ที่ออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนได้ง่าย  ไม่ยุ่งยาก และเปลี่ยนเฉพาะสีที่หมด   ซึ่งหมึกพิมพ์แต่ละชุดสามารถรองรับงานพิมพ์ได้ถึง 3,000 แผ่นสำหรับการพิมพ์ขาวดำและสี   ทั้งยังเป็นหมึกกันน้ำ DuraBrite Pigment Ink ขนาดความจุสูง สำหรับพิมพ์งานจำนวนมากแบบต่อเนื่อง  จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนหมึกบ่อยๆ รองรับการพิมพ์ได้มากถึง 10,000 แผ่น  นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย ทั้ง Ethernet, Wi-Fi, Wi-Fi Direct, NFC และ USB 2.0   รวมทั้งยังสามารถสั่งพิมพ์ผ่านมือถือด้วยแอพพลิชั่น Epson Connect  นอกจากนี้  WF-C5000 series ยังประหยัดค่าไฟได้มากกว่าการพิมพ์ด้วยเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 90% และได้รับมาตรฐาน Energy Star® ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย  ดังนั้น WF-C5000 series จึงเป็นอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อเอสเอ็มอีที่ต้องการมองหาผู้ช่วยงานพิมพ์แบบมืออาชีพโดยเฉพาะ  สนใจข้อมูลเพิ่มเติม www.epson.co.th  หรือ เอปสัน คอล เซ็นเตอร์ 0-2685-9899

นับจากปี 2553 ทีเอ็มบี ได้ริเริ่มกิจกรรมเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืนขึ้น ภายใต้แนวคิด Make THE Difference   เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น โดยมุ่งเน้นจุดประกายความคิดสร้างสรรค์  สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน และส่งมอบสิ่งดีๆ กลับสู่สังคม ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างพนักงานทีเอ็มบีทั่วประเทศ ลูกค้า เยาวชน และชุมชน โดยมีพนักงานเป็นผู้จุดประกายและลงมือ “เปลี่ยน” ชุมชนให้ดีขึ้น

เริ่มจากการเข้าไปในชุมชนที่อยู่ใกล้สาขาเพื่อสำรวจปัญหาต่างๆ  จุดประกายให้คนในชุมชนออกมา ร่วมกับทีมอาสาสมัคร  ช่วยกันคิด วางแผน และกำหนดแนวทางในการ “เปลี่ยน”  เพื่อให้เหมาะกับชุมชนหรือตอบสนองความต้องการของชุมชนนั้น ซึ่งกิจกรรมเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน  มุ่งสร้างประโยชน์ให้ชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี สำหรับในปีนี้มีโครงการที่เกิดขึ้นจากการจุดประกายของพนักงานทีเอ็มบีจำนวน 37 โครงการ และ “โครงการ ฟื้นฟูตำนานด่านวัดขนอน”  ซึ่งเป็นโครงการที่ 3 ของเขตราชบุรี ก็เป็นอีก 1 ในโครงการของปี 2561 นี้เช่นกัน

 

สำหรับวัดขนอน อ.โพธาราม จังหวัดราชบุรีนั้น  เป็นวัดที่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่ เป็น 1  ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกในด้านการฟื้นฟูวัฒนธรรม ประกาศโดยยูเนสโก มีการแสดงหนังใหญ่เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เดิมบริเวณหน้าวัดขนอนติดกับแม่น้ำเป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีอากรทางเรือ และเป็นตลาดที่แลกเปลี่ยนสินค้า แต่ในปัจจุบันแม่น้ำมีความตื้นเขินความเป็นมาในด้านของด่านวัดขนอนจึงเลือนหายไป

 

 พระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน เล่าโดยสรุปว่า โครงการฟื้นฟูตำนานด่านวัดขนอนครั้งนี้เป็นเหมือนการ “สานต่อลมหายใจให้ชุมชน”  นอกเหนือจากการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่วัดขนอนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมของกลุ่มเยาวชนในด้านการอนุรักษ์ศิลปะแขนงต่างๆ โดยตลาดที่เคยรุ่งเรืองในอดีตอันเป็นตำนานด่านวัดขนอนนั้น จะสามารถเติมเต็มและเกื้อหนุนซึ่งกันและกันกับการแสดงหนังใหญ่วัดขนอน ที่แม้จะขึ้นชื่อในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกไทย แต่การเข้าถึงมหรสพชนิดนี้นั้นยากกับการเจาะเข้าสู่กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว การมีตลาดด้วยนั้นจะเป็นการดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวในวัยนี้ให้เพลิดเพลินมากขึ้นกับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ มีสิ่งของดีๆ ให้เลือกในการจับจ่าย นอกจากการมาศึกษาและดูมหรสพหนังใหญ่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

 

นางภัทรวดี ปานเพ็ชร ผู้จัดการเขตธุรกิจสาขาราชบุรี ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “อาสาสมัครทีเอ็มบีที่เข้าร่วมพัฒนาชุมชนฯ ในครั้งนี้  เป็นพนักงาน สาขาราชบุรีที่มีจิตอาสาตั้งใจจะพัฒนาชุมชนให้ได้ประโยชน์ ผ่านการทำกิจกรรมที่มีอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยสนับสนุนเยาวชนในชุมชนอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และจัดการระบบหน้าที่ต่างๆ ให้แก่เยาวชน ทำหน้าที่นักสื่อสารข้อมูลท้องถิ่น เพื่อนำเที่ยวแก่นักท่องเที่ยว ช่วยพัฒนาการจัดการให้แก่ชาวบ้านที่มาค้าขาย และทำให้ตลาดด่านขนอนเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีการจัดทำ QR Code เพื่อให้นักท่องเที่ยวสแกน และรับทราบถึงประวัติความเป็นมาของวัดขนอน จัดทำป้ายแผนที่บอกเส้นทางท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมครบทุกสถานที่ในชุมชนฯ ตลอดจนปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบวัดขนอน และตลาดด่านขนอน ให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยเราต้องการให้ทุกอย่างที่เราทำนี้เป็นวงจร เป็นความยั่งยืน ที่คนในชุมชนจะได้ประโยชน์”

 

 นายจฬรรณ์ ถาวรนุกูลพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการแสดงหนังใหญ่ วัดขนอน เล่าต่อว่า เรื่องของการอนุรักษ์หนังใหญ่วัดขนอนนั้นทำการต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์มากว่า 20 ปี โดยมีต้นทุนการแสดงที่ทางวัดขนอนได้ช่วยออกทุนในการทำการแสดงเล็กๆ ก่อน จนหางบประมาณมาทำเป็นโรงละครและลานแสดงที่ดีขึ้นกว่าเดิม  แต่เมื่อนักท่องเที่ยวมาดูหนังใหญ่แล้วกลับไป ไม่ได้ท่องเที่ยวดูสิ่งอื่นๆ ของชุมชน จึงมาคิดร่วมกันว่า ชุมชนเคยมีตลาดด่านขนอน จึงได้จำลองขึ้นมาใหม่ในบางส่วน และให้ชาวบ้านขายของ เพื่อเป็นการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งตลาดด่านขนอนนั้น เป็นตลาดที่ชาวบ้านโพธารามจะนำอาหารพื้นเมือง ขนม สินค้าพื้นบ้าน งานทำมือ มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา ซึ่งตลาดจะเปิดให้เข้าชมทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. โดยจะมีการแสดงหนังใหญ่แสดงทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์  วันละ 1 รอบ  ในช่วงเวลา 11.00 น.

 

สำหรับกิจกรรม เปลี่ยน ชุมชนเพื่อความยั่งยืนโดยอาสาสมัครทีเอ็มบี ได้ค้นพบความต้องการที่แท้จริงของชุมชนและสามารถแบ่งความต้องการออกเป็น 5 ด้าน เพื่อให้ทำงานตอบโจทย์ของชุมชนได้ถูกจุด ได้แก่

โครงการสร้างเสริมสุขภาวะสิ่งแวดล้อม โครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการหรือมีความต้องการพิเศษ โครงการด้านอนุรักษ์หรือฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม โครงการสร้างอาชีพและส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการด้านการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนและทั้งหมดนี้คือ หนึ่งในโครงการเพื่อสังคมของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference ที่สร้างสรรค์และส่งมอบสิ่งดีๆ ให้ชุมชน พัฒนาและอยู่ได้อย่างยั่งยืน....   

 

สามารถติดตามกิจกรรมดีๆ ของอาสาสมัครทีเอ็มบี เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจ หรือสนับสนุนการ “เปลี่ยน” เพื่อสังคมที่น่าอยู่ ได้ที่   

 https://www.tmbfoundation.or.th,  https://www.instagram.com/makethedifference_by_tmb

ศูนย์สร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีขับเคลื่อนนโยบายนวัตกรรมจัดกิจกรรมพัฒนาค่าย Design Thinking ให้กับอาจารย์ผู้สอนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1-4 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมานำโดย ดร.เอ็ดเวิร์ด รูเบซ ผู้อำนวยการหลักสูตร ศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC) อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้ประกอบการและผู้อำนวยการหลักสูตร

โดยวัตถุประสงค์ของจัดอบรมหลักสูตรครั้งนี้เพื่อเป็นแกนกลางในการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ผู้สอน และระบบพี่เลี้ยง ในการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมในมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยให้คำปรึกษาแก่นิสิต นักศึกษาและนักวิจัยออกแบบและพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมเสริมหลักสูตรด้านนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการเป็นไปตามนโยบายสนับสนุนมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ นำเอาแนวคิด“Design Thinking”มาฝึกและพัฒนาผู้เข้าร่วมกิจกรรม ตามกระบวนการ ได้แก่ “ Emphatize, Define, Prototype, Ideate และ Test” โดยเริ่มจากการเรียนรู้เพื่อเข้าใจถึงปัญหาอย่างละเอียดและเก็บข้อมูลส่วนสำคัญเชิงลึกของปัญหานำมาหาบทสรุปเมื่อเราได้บทสรุปแล้วก็จะนิยามความต้องการหรือปัญหาที่เกิดขึ้นและสร้างทางเลือกหรือวิธีแก้ไข จากนั้นแชร์ไอเดีย เพื่อดูผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้คำตอบก็นำมาพัฒนาวิธีแก้ไขนั้นให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ IDE Center by UTCC ยังมีกิจกรรมดีๆ ที่จะช่วยสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ผู้ที่สนใจเป็นผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC)  หรือผ่านทาง www.idecenter.utcc.ac.th และ www.facebook.com/idecenter สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-697-6867 ในเวลาทำการ

ปัจจุบันปัญหาขยะถือเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องเผชิญ เนื่องจากส่งผลต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้คนอย่างมาก ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มีรายงานสถานการณ์มลพิษประจำปี 2559 โดยกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า มีปริมาณขยะมูลฝอยทั่วประเทศถึง 27.04 ล้านตัน หรือคิดเป็น 74,073 ตันต่อวัน แต่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 9.59 ล้านตันเท่านั้น ที่เหลือเป็นการเผาและนำไปเทกองรวม ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล

ดังนั้น เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับการจัดการปัญหาขยะของประเทศ ในงาน “SD Symposium 2018 (Sustainable Development Symposium 2018)” ภายใต้แนวคิด “Circular Economy: The future we create” เอสซีจีจึงได้จัดเสวนาในหัวข้อ Circular Waste Value Chain” โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องร่วมพูดคุยหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ “ธนา ยันตรโกวิท” รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย, “สุวรรณา จุ่งรุ่งเรือง” รองปลัดกรุงเทพมหานคร, “สินชัย เทียนศิริ” ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, “ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ” Vice President - Polyolefins and Vinyl Business ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี และ “เพชร มโนปวิตร” องค์กรสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN)

 

ชู 3Rs ต้นทางการจัดการขยะ สร้างพฤติกรรมใหม่ให้ประชาชน

“ธนา” กล่าวว่า แม้จะมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะหลายฉบับ และเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย แต่ไม่ได้มีใครเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการเก็บขยะ ดังนั้น สถ. จึงเป็นหน่วยงานหลัก เนื่องจากมีองค์กรปกครองส่วนถิ่น (อปท.) อยู่กว่า 7,851 แห่ง ซึ่งมีศักยภาพแตกต่างกันไป แต่กว่าร้อยละ 70 ของ อปท. มีรายได้น้อยและไม่ได้รับเงินอุดหนุนที่เพียงพอ
 “จากการสำรวจพบว่า อปท. กว่า 3,000 แห่ง ไม่มีรถเก็บขยะและมีสถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกต้องอีกกว่า 2,810 กอง ซึ่งหลังจากรัฐบาลประกาศปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ จึงมีการวางแผนจัดการขยะแบบองค์รวม ทั้งขยะเก่าที่มีอยู่หรือขยะใหม่ที่จะเกิดขึ้น และการใช้มาตรการทางกฎหมายให้ครอบคลุม รวมถึงการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชน”
“ปัญหาขยะที่เกิดขึ้น วงจรสำคัญคือต้นทางที่เป็นผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา สถ. ได้รณรงค์ “ใช้น้อย ใช้ซ้ำ ใช้ใหม่” ที่แปลงมาจาก 3Rs โดยให้ อปท. และชุมชน เชื่อมโยงชาวบ้านให้เกิดการคัดแยกขยะ และมีกิจกรรมต่างๆ ทั้งตลาดนัดขยะและผ้าป่าขยะ ทำให้เกิดกลไกการจัดการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเพื่อการรีไซเคิล อีกทั้ง สถ. ยังจัดทำโครงการ From Bin to Bag” หรือการเปลี่ยนจากถังขยะมาเป็นถุงขยะ เพื่อให้มีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ตลอดจนโครงการ “Fast track to zero waste” เพื่อสร้างชุมชนต้นแบบในการจัดการขยะให้เป็นศูนย์ ด้วยการคัดแยกและกำหนดวันจัดเก็บขยะ”
“อย่างไรก็ตาม การจะทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบและมีแนวทางที่ชัดเจน โดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกในการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ปัญหาปลายทางที่เป็นการกำจัดขยะหมดไป ทั้งยังจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ได้อีกทางด้วย”

 

ด้าน “สุวรรณา” กล่าวเสริมว่า การจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยเฉพาะการจัดการของเสียเพื่อนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบอีกครั้งนั้น แนวทาง 3Rs ถือว่าสำคัญ เนื่องจากเป็นการรักษาต้นทุนทางธรรมชาติ การจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ รวมถึงการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตที่ต้องใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้น้อยที่สุดและทำให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ขณะที่ผู้บริโภคก็ต้องเลือกใช้สินค้าและบริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
“การจัดการขยะของ กทม. เน้นดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการลดการฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุดและให้เป็นแนวทางสุดท้าย เนื่องจากเราพยายามลดขยะที่ต้นกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นการนำเศษอาหารและพืชผักผลไม้ไปทำปุ๋ย การส่งเสริมการคัดแยกขยะด้วยหลัก 3Rs ให้ครอบคลุม และการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลดปริมาณขยะไปได้อย่างมาก”
“แม้ว่าการจัดการขยะของ กทม. จะมีหลายชุมชนประสบความสำเร็จ แต่โมเดลเหล่านั้นกลับไม่ได้ขยายออกไปเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน  ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันส่งเสริมให้คนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ที่สำคัญภาครัฐต้องมีแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจน ตลอดจนการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเชื่อมโยงให้การจัดการขยะเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่ง กทม. จะร่วมทำงานอย่างบูรณาการ เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบการจัดการขยะที่ต่อเนื่องระดับชาติต่อไป”

 

สร้างศูนย์กลางรับซื้อบรรจุภัณฑ์เก่าและใช้นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพ

ขณะที่ “สินชัย” มองว่า การจัดการบรรจุภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ แก้ว พลาสติก หรือโลหะ ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทาง และส่งต่อให้สามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินงานของ TIPMSE เป็นความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค ผู้แยกขยะ/รับซื้อของเก่า และโรงงานรีไซเคิล ในการสนับสนุน สร้างความรู้ความเข้าใจ และเชื่อมโยงให้เกิดวงจร CLP (Closed Loop Packaging) เพื่อให้การกำจัดขยะไม่ได้เป็นเพียงการทำลาย แต่เป็นการจัดการปัญหาที่ได้ผลตอบแทน
“การจะทำให้ CLP เกิดขึ้นจริงนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนด้วยโมเดลทางธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise - SE) ที่ให้ผู้สูงอายุเข้ามาร่วมดำเนินงาน โดยต้องมีศูนย์กลางรับบรรจุภัณฑ์หรือของที่ไม่ใช้แล้ว และต้องมีการเก็บข้อมูลปริมาณขยะทุกประเภทก่อน เพื่อหาความคุ้มทุนและแนวทางการขนส่ง จากนั้นควรหาพันธมิตรมาร่วมดำเนินการ โดยเฉพาะภาคเอกชนและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้เริ่มทดลองในลพบุรีและนนทบุรีไปแล้ว”
“วิธีการนี้เป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาขยะได้อย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือต้องมีพันธมิตรหลายภาคส่วนมาร่วมกัน โดยเปลี่ยนความคิดจาก “ภาระ” ให้เป็น “ภารกิจ” สร้างความตระหนักให้ประชาชน ด้วยการสร้างแรงจูงใจในการจัดการขยะ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปพร้อมกัน”

 

สอดคล้องกับ “ศักดิ์ชัย” ที่มองว่า เศษบรรจุภัณฑ์หรือพลาสติกมีคุณค่าทางเศษฐกิจอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีการคัดแยกอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดการปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น โมเดลศูนย์กลางการรับซื้อขยะแบบซาเล้งจึงควรเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถนำพลาสติกเหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่ได้
“พลาสติกอยู่ในบรรจุภัณฑ์เกือบทุกส่วนและยังจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคน แต่เราควรลดการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดขยะจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมา เอสซีจีในฐานะผู้ผลิตก็ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้พยายามคิดค้น วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหลายหน่วยงานในการนำพลาสติกกลับไปรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด”
“ไม่เพียงเท่านี้ ในการผลิตสินค้าพลาสติกของเอสซีจี ยังได้คิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความแข็งแรงทนทาน มีความบางแต่เหนียว สามารถทดแทนวัสดุธรรมชาติ ทั้งยังสามารถรีไซเคิลได้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการลดปัญหาขยะจากต้นกำเนิด แต่สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ต้องตระหนักและเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย”

 

แนะใช้มาตรการเศรษฐศาสตร์รวมต้นทุนค่าจัดการสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ “เพชร” กล่าวว่า แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนสอดคล้องกับการจัดการปัญหาขยะ แต่จะทำอย่างไรให้ขยะลดลง เกิดการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีขยะพลาสติกกว่า 8,000 ล้านตัน แต่สามารถนำมารีไซเคิลหรือใช้ใหม่ได้ไม่ถึง 10% ทำให้มีตกค้างในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก โดยเฉพาะในท้องทะเล จากการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ เน้นเทกองจนไหลลงทะเล ทำให้สัตว์ทะเลกว่า 700 ชนิดและปะการังได้รับผลกระทบ
“ขณะที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัจจุบันร่างกายมนุษย์มีไมโครพลาสติก (Micro Plastic) ที่เกิดจากการแตกตัวของพลาสติกในเสื้อผ้า ใยสังเคราะห์ ยางรถยนต์ หรือพลาสติกอื่นๆ ทำให้ปนเปื้อนในน้ำประปา รวมถึงเกลือสมุทร เบียร์ และน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นจำนวนมาก อีกทั้งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปัญหาพลาสติกเป็นวาระของโลก เนื่องจากส่งผลต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างน้อยปีละกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ”
“ดังนั้น การใช้พลาสติกโดยเฉพาะการใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งจึงต้องมีการลดหรือเลิกใช้ ซึ่งจะต้องมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาจัดการ และภาคส่วนต่างๆ ต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะผู้ผลิตต้องมีส่วนรับผิดชอบ และประชาชนทุกคนต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งอาจจะนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย โดยเฉพาะการรวมต้นทุนการจัดการสิ่งแวดล้อมไปในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการลดละตั้งแต่ต้นทาง และจะเป็นโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมและออกแบบวัสดุใหม่ๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย”

 

การจัดการขยะจึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะการจัดการที่ต้นทางและสร้างจิตสำนึกให้ผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีจิตสาธารณะร่วมกันในการจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ได้ต่อไป

การทำงานในยุคปัจจุบันที่มีคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าคนรุ่นใหม่นั้นมีทัศนคติ และค่านิยมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่มักมองหาความก้าวหน้า ความท้าทาย และค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นสำคัญ อีกทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้คนรุ่นใหม่ มีทางเลือกในการทำงาน และช่องทางการหารายได้มากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่นิยมมองหางานอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการทำงานประจำอยู่ในองค์กร ซึ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายองค์กรในปัจจุบันต้องปรับวิธีการบริหารพนักงาน รวมถึงหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพัน และรักษาพนักงานให้รู้สึกอยากทำงานกับองค์กรยาวนานขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์ จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) ในฐานะผู้นำด้านเว็บไซต์หางาน สมัครงาน อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีผู้ลงทะเบียนฝากประวัติกว่า 1.4 ล้านคน และมีจำนวนงานจากบริษัทชั้นนำกว่า 90,000 อัตรา ได้แนะนำวิธีการสร้างความผูกพัน และรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร ทั้งในแง่ของวิธีการทำงานและสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งองค์กรสามารถนำไปปรับใช้เพื่อรักษาพนักงานและช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ โดยพบว่ามีวิธีที่น่าสนใจ ดังนี้

  • เลือกคนให้ตรงกับงานและเหมาะสมกับองค์กร – ขั้นตอนสำคัญอย่างแรกที่จะช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานก็คือการเลือกคนเข้ามาทำงาน ซึ่งไม่ใช่แค่ดูว่าคนทำงานมีทักษะและความสามารถมากพอกับแต่ละตำแหน่งเท่านั้น แต่การเลือกคนที่มีทัศนคติที่เหมาะสม เป็นไปตามวัฒนธรรมองค์กร และทำงานร่วมกับคนในบริษัทได้ก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
  • สวัสดิการต้องเหมาะสม - เงินเดือน หรือค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ให้กับพนักงานควรจะมีความยุติธรรม เหมาะสมกับงานที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะปรับเพิ่มมากขึ้นเมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่ง และมีผลงานเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งไม่ใช่แค่การขึ้นเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มสวัสดิการพิเศษอื่น ๆ ด้วย
  • แสดงให้เห็นว่าบริษัทเห็นคุณค่าของพนักงาน - มีวิธีการมากมายที่จะแสดงให้พนักงานเห็นว่าบริษัทนั้นเห็นคุณค่าในตัวพวกเขา เช่น ประกาศหรือให้รางวัลพนักงานดีเด่นประจำเดือนกับคนที่มีความรับผิดชอบ ทำงานสำเร็จลุล่วงได้อย่างดี หรือเป็นที่รักของคนอื่น ๆ ในบริษัท ตลอดจนการให้เกียรติ และเคารพพนักงานในบริษัททุกคน เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าบริษัทมองเห็นและรับรู้ถึงความตั้งใจทำงานของเขา และให้ความสำคัญกับทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • มีการทำงานที่ยืดหยุ่น – ปัจจุบันคนทำงานให้ความสำคัญกับเรื่องเวลางานที่ยืดหยุ่น และความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตมากขึ้น เรื่องนี้จึงส่งผลต่อการตัดสินใจที่จะเลือกเปลี่ยนงานค่อนข้างมาก โดยมีหลายวิธีที่จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่ามีการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น เช่น สามารถเข้างานแบบเก็บเวลาทำงานได้ มีเวลาพักเบรกช่วงบ่าย หรือให้พนักงานออกจากโต๊ะไปนั่งทำงานที่อื่นได้ หากบริษัทคุณไม่มีการยืดหยุ่นเวลาทำงาน หรือจัดสถานที่ทำงานให้กับพนักงานบ้าง ก็มีความเป็นไปได้ที่พนักงานอาจจะลาออกไปหาบริษัทที่มีความยืดหยุ่นกว่า
  • พัฒนาศักยภาพ และเพิ่มโอกาสในการเจริญก้าวหน้า - องค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการส่งพนักงานไปศึกษาดูงาน อบรม หรือสนับสนุนเรื่องการศึกษาต่อของพวกเขา จะทำให้พนักงานมองเห็นถึงโอกาสในการเจริญก้าวหน้าในการทำงานกับองค์กรนั้นๆ และจะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและรักองค์กรมากขึ้น
  • ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและกิจกรรมของคนในองค์กร - ไม่มีอะไรที่จะทำให้คนทำงานรู้สึกแย่มากไปกว่าบริษัทมีบรรยากาศที่ไม่น่าทำงาน ซึ่งไม่ได้หมายถึงสภาพของสถานที่ทำงานเท่านั้น แต่รวมไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานด้วย ฝ่ายบุคคลจึงควรเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นบ้าง และนำข้อเสนอแนะเหล่านั้นมาพิจารณาว่าจะสามารถนำมาปรับใช้หรือพัฒนาองค์กรได้อย่างไร นอกจากนี้อาจมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกสถานที่ เพื่อให้พนักงานแต่ละแผนกได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น หากพนักงานรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงานในองค์กรนี้ นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังช่วยให้พนักงานอยากจะทำงานที่นี่ต่อไปด้วย

จากข้อมูลข้างต้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่จะช่วยป้องกันและลดอัตราการลาออกของพนักงานที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมได้ และสำหรับองค์กรที่ต้องการรับคนเข้าทำงาน สามารถเลือกใช้วิธีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้โดดเด่น ด้วยการเผยให้เห็นว่าองค์กรของคุณเป็นแบบไหน มีวัฒนธรรมองค์กรหรือวิสัยทัศน์อย่างไร ผ่านรูปแบบที่น่าสนใจ เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ในขั้นการลงประกาศงาน จะช่วยให้คนหางานมองเห็นองค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตลอดจนการจัดสรรสวัสดิการใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทำงาน ที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่องค์กรทั่วไปมี เพื่อเป็นการดึงดูดให้คนทำงานอยากมาทำงานร่วมกับองค์กรมากขึ้น นางสาวแสงเดือน กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) ยังมีบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานอีกมากมาย โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.jobthai.com

FLOYD อวดผลงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 ออกมาสวย มีกำไรสุทธิ 30.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 141%  โกยรายได้จากการให้บริการ 185.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.09% จากการทยอยรับรู้รายได้งานคอนโดฯ และงานห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง “ทศพร จิตตวีระ” ประเมินแนวโน้มผลงานปี 2561 ฟื้นตัว เชื่อแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สนับสนุนรายได้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย จากการเร่งลงทุนงานโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีต่างๆ ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน เผยบริษัทอยู่ระหว่างรอผลการประมูลงานภาคเอกชน 2-3 โครงการ มูลค่าราว 100-200 ล้านบาท จากปัจจุบันมีงานในมืออยู่ราว 450 ล้านบาท

นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบไฟฟ้า งานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และเครื่องกลแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯในงวดครึ่งปีแรกของปี 2561  (1 ม.ค.- 30 มิ.ย.61) บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 185.34  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.86 ล้านบาท คิดเป็น 50.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 123.48 ล้านบาท โดยรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯมาจากการรับรู้รายได้งานอาคารสูง งานแนวราบซึ่งเป็นงานห้างสรรพสินค้า และงานปรับปรุงงานเพิ่มอื่นๆ ทำให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง   ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 30.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา 17.66 ล้านบาท  คิดเป็น 141.50%  

“ผลงานในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ออกเป็นที่น่าประทับใจ ทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรสุทธิโตมากถึง 141.50% เช่นเดียวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่า  50.09%  จากภาพรวมศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบครบวงจร 
ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็ว ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ  ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 57.81 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 29.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 99.28%” นายทศพร กล่าว

ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่จะเพิ่มลูกค้าใหม่ๆเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังและในอนาคต บริษัทฯเน้นมองหาลูกค้าที่มีความมั่นคงทางการเงินและเป็นที่รู้จัก และเป็นลักษณะงานที่มีโอกาสทำซ้ำ ซึ่ง FLOYD มีความชำนาญ รวมทั้งการรุกตลาดด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)  ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งจะทำให้ช่วงที่เหลือของปีนี้มีงานประมูลโครงการใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานโครงการโครงสร้างพื้นฐาน อาคารที่พักอาศัย และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น โดย FLOYD มีความพร้อมที่จะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมงานในมือ (Backlog) เข้ามาเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 450 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้

สำหรับการเข้าประมูลงานใหม่ๆ ในปีนี้ ในกลุ่มลูกค้าเก่ายังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนในกลุ่มลูกค้าใหม่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการประมูล ปัจจุบันมี 2-3 โครงการ  ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับอาคารที่พักอาศัยและห้างสรรพสินค้าใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 100-200 ล้านบาท ผลการประมูลคาดว่าจะทยอยทราบผลในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งหมด

“ภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2561 มองว่าทิศทางอุตสาหกรรมในภาคเอกชนยังทรงตัวและยังไม่น่าเป็นห่วง แม้จะยังเติบโตไม่หวือหวามาก แต่คาดว่าจะฟื้นหลังจากมีการเลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์  โดยแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯ ปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เติบโตราว 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีนโยบายหลักที่จะใช้การบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ โดยการจัดทำข้อมูลในระบบคลาวด์มาช่วยในด้านต่างๆ การติดตามปัญหาหน้างาน เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและต้นทุน และเป็นการเก็บข้อมูลค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปพัฒนาโครงการใหม่” นายทศพร กล่าว

ทางด้านความคืบหน้าแผนการก่อสร้างสำนักงานและศูนย์อบรมพนักงาน มูลค่าการลงทุนราว 80 ล้านบาท ตามแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานราชการ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2562 ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ หากอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จและสามารถฝึกพนักงานจนถึงระดับชำนาญและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้บริษัทฯสามารถรับงานได้มากขึ้น

เมอร์ค บริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี จัดฉลองครบรอบ 350 ปีทั่วโลก พร้อมประกาศเดินหน้านำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่อนาคต ภายใต้ธีมหลัก “Always Curious”

นายคริส ซิสเนรอส กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์ค จำกัด (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ปี 2561 เป็นปีที่เมอร์คมีอายุครบรอบ 350 ปี นับเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากที่ “เมอร์ค” กลายเป็นบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสัญชาติเยอรมันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากการวางรากฐานด้านวิทยาศาสตร์ของนายเฟรดริก จาคอบ เมอร์ค มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ​2211 และได้พัฒนาผลงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมายจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมอร์คมีสำนักงานตั้งอยู่ใน 66 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสาขาในประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับยาและสุขภาพ วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต และวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพ โดยเมอร์คมียอดขายเติบโตในไตรมาสแรกของปี 2561 จำนวน 3.7 พันล้านยูโร โดยกลุ่มธุรกิจด้านยาและสุขภาพ และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต มีอัตราเติบโตขึ้น 3.5% ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงนับได้ว่า เป็นบริษัทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่ง และยังเป็นการเติบโตที่มั่นคง แข็งแกร่ง มาอย่างยาวนานอีกด้วย”

สำหรับประเทศไทย เมอร์ค ได้เข้ามาร่วมลงทุนในไทยยาวนานถึง 27 ปี ในฐานะกิจการร่วมการค้าระหว่างบริษัท เมอร์ค เคจีเอเอ และบริษัท บี กริม (ประเทศไทย) จำกัด โดยดำเนินธุรกิจแบบ B2B ดังเช่นเมอร์คทั่วโลก โดยธุรกิจหลักของประเทศไทยที่มีอัตราเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มยาและสุขภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับผลิตภัณฑ์ด้านชีวเวชภัณฑ์สำหรับการแพทย์ที่ครอบคลุมการรักษาตั้งแต่โรคที่มาจากความผิดปกติของระบบประสาท เนื้องอกหรือมะเร็ง ภาวะมีบุตรยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด และยาทั่วไปที่จ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รวมไปถึงกลุ่มเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ยาของเมอร์คได้จากร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้ให้การแนะนำ เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งเมอร์คมีความเชี่ยวชาญ และความพร้อมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทั้งวงการแพทย์ อาหารและยา วิทยาศาสตร์ และวิจัยพัฒนา ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ในการร่วมฉลองครบรอบ 350 ปีของเมอร์คนั้น “เมอร์ค ประเทศไทย” ได้ร่วมดำเนินงาน และเข้าร่วมกิจกรรมตาม proof print ของเมอร์คภายใต้ธีมเดียวกันทั่วโลก "Always Curious” ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อก้าวเข้าสู่อนาคตดิจิทัลต่างๆ มากมาย อาทิ การจัดงาน “Curious2018 – Future Insight” ที่เมืองดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนี ที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกว่า 35 คน มาร่วมอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการจัดกิจกรรม “Technology Days” ในงานฉลอง 350 ปีในโซนเอเชีย ที่ประเทศจีน เพื่อยกระดับโครงการนวัตกรรมและการวิจัยของเมอร์ค รวมถึงการประกาศจับมือกับอาลีบาบา เฮลท์ (Alibaba Health) เพื่อให้ผู้ป่วยชาวจีนและครอบครัวได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้แอพพลิเคชั่นออนไลน์ เป็นต้น

“ผมมองว่า เมอร์คมีความตั้งใจหลายอย่างที่จะมอบให้กับโลกนี้ด้วย Proof Point ที่ทำให้เรามายืนได้ในจุดนี้ เรามีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้โฟกัสในธุรกิจยาที่สั่งโดยแพทย์มากขึ้น รวมถึงการจัดโครงการ 350 Good Deeds ที่รวบรวมกิจกรรม CSR จากเมอร์คทั่วโลกให้ครบ 350 โครงการตลอดทั้งปีนี้ ตลอดจนการรีแบรนด์ดิ้งเมอร์คทั่วโลกให้มีรูปลักษณ์ทันสมัย สนุกสนาน และมีชีวิตชีวา มาตั้งแต่ปลายปี 2558 ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงยาก และน่าเบื่ออีกต่อไป แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สนุกและน่าเรียนรู้ ท้าทายความสงสัยใคร่รู้ ที่ทำให้เมอร์ค ช่วยพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์มาได้ยาวนานถึง 350 ปี และความอยากรู้อยากเห็นนี้เองที่เป็นแรงผลักดันและกระตุ้นให้องค์กร และบุคลากรของเมอร์คได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราเพื่อช่วยพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้า และอำนวยความสะดวกให้สังคมโลกในด้านต่างๆ ได้ต่อไปในอนาคต" นายคริส กล่าวทิ้งท้าย

บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยี ภูมิใจนำเสนอสุดยอดสมาร์ทโฟนแฟล็กชิปแห่งปีที่มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดสู่เมืองไทย กับ “Xperia XZ2 Premium” ด้วยคุณสมบัติเซ็นเซอร์กล้องความไวแสงสูงสุดของโลกที่ ISO 12800 สำหรับการบันทึกวีดีโอ และ ISO 51200 สำหรับภาพนิ่ง ช่วยให้คุณเก็บภาพและถ่ายวีดีโอในที่แสงน้อยได้ยอดเยี่ยมเหมือนการใช้กล้องโปร พร้อมหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัดในขณะบันทึกภาพ ซึ่งประสิทธิภาพขั้นสุดยอดนี้เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดกล้องคู่ Motion Eye™ Dual Camera การประมวลผลแบบรวมภาพเซ็นเซอร์ AUBE™ Fusion image signal processor ทำให้กล้อง สามารถจับภาพได้ละเอียด คมชัด และสว่างสดใสกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

Xperia XZ2 Premium ยังสามารถบันทึกและเล่นไฟล์วีดีโอระดับ 4K HDR ได้เหมือนกล้องโปร ให้คุณเก็บช่วงเวลาประทับใจได้คมชัดสดใสในทุกรายละเอียด พร้อมการแสดงสีสันที่โดดเด่นสวยงามสมจริงราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าคุณ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานกล้องระดับมืออาชีพ และนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงระดับพรีเมียม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 845 การันตีความลื่นไหลในการทำงานทุกฟังก์ชั่น

 

มร. ซาโตชิ เมกาตะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายผลิตภัณฑ์โซนี่โมบายล์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพของ XZ2 Premium นี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการถ่ายภาพและวีดีโอในทุกสภาวะตามแนวคิด ‘Camera to the Extreme’ ของเรา ซึ่งเราสามารถกล่าวได้ว่า Xperia XZ2 Premium คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ที่ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลแบบรวมภาพ AUBE™ ซึ่งมอบประสิทธิภาพการบันทึกภาพระดับพรีเมียมที่คมชัดในทุกรายละเอียดอย่างไร้ที่ติ”

 

ขีดสุดแห่งเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพ

XZ2 Premium เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ภาพขาว-ดำ และเซ็นเซอร์ภาพสี โดยหน่วยประมวลผล AUBE™ Fusion image signal processor จะทำหน้าที่รวมภาพของทั้งสองเซ็นเซอร์เข้าพร้อมกัน ทำให้สามารถบันทึกวีดีโอได้ด้วยความไวแสงสูงสุดที่ ISO12800 และถ่ายภาพนิ่งได้ที่ ISO51200 มอบภาพที่สวยงามคมชัดและมีจุดรบกวน (Noise) น้อยมาก ซึ่งในอดีต คุณภาพระดับนี้จะพบได้ในกล้องโปรที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เท่านั้น

เทคโนโลยีกล้อง Motion Eye™ Dual Camera ยังทำให้คุณสามารถใส่เอฟเฟกต์เพิ่มความสวยงามได้ โดยเฉพาะ Bokeh เพื่อให้วัตถุในภาพคมชัดโดดเด่นละลายฉากหลัง หรือเลือกถ่ายภาพให้แลดูมีความคลาสสิกในรูปแบบโมโนโครมคุณภาพสูง ซึ่งมีการไล่ระดับความเข้มของเฉดสีขาว-ดำอย่างต่อเนื่อง ด้วยหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัด ทำให้คุณสามารถเล็งถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำไม่พลาดในทุกองค์ประกอบ

ไม่เพียงเท่านี้ Motion Eye™ Dual Camera ยังนำเสนอฟีเจอร์ระดับมืออาชีพมากมาย ทั้งการถ่ายวีดีโอ 4K HDR เพื่อให้คุณเก็บทุกรายละเอียดของเหตุการณ์พร้อมสีสันที่สวยงามสมจริง ทั้งยังสามารถถ่ายวีดีโอแบบซูเปอร์สโลวโมชั่น 960 เฟรมต่อวินาทีในความละเอียดระดับ HD หรือ Full HD เพื่อสร้างสรรค์มุมมองเชิงศิลปะในเหตุการณ์ให้แตกต่างจากที่ตาเห็นด้วยเซ็นเซอร์รับภาพประสิทธิภาพสูงของโซนี่ อีกทั้ง XZ2 Premium ยังมีกล้องหน้าชั้นเลิศความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ไวแสงขนาด 1/3.06” และแฟลชให้คุณสนุกกับการเซลฟี่ในทุกสภาพแสงและสวยงามทุกช็อต

 

ดื่มด่ำอย่างเต็มอรรถรสกับจอแสดงผลระดับ 4K HDR

XZ2 Premium มอบจอแสดงผลที่ดีเยี่ยมที่สุดของตลาดสมาร์ทโฟนในเวลานี้ หน้าจอมีความละเอียด 4K HDR ขนาด 5.8 นิ้วรุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น 11% และสว่างขึ้น 30% เมื่อเปรียบเทียบกับจอ 4K HDR รุ่นก่อน เพื่อให้คุณสามารถดื่มด่ำและเพลิดเพลินกับความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งภาพยนตร์หรือคอนเทนท์ ระดับ 4K HDR มอบความคมชัดและสีสันที่สวยล้ำเหนือจินตนาการ และสำหรับคอนเทนท์ที่มีความละเอียดไม่ถึงระดับ 4K HDR โซนี่ได้นำเทคโนโลยี X-Reality™ for mobile ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในโทรทัศน์ BRAVIA® TV มาปรับปรุงคุณภาพไฟล์วีดีโอหรือYoutubeให้มีคุณภาพสวยงามใกล้เคียงกับไฟล์ High Dynamic Range (HDR) ทำให้คุณสามารถรับชมคอนเทนท์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากคุณภาพของภาพและเสียงที่สวยงามคุณภาพสูง คุณยังจะ รู้สึก สมจริงยิ่งกว่าเคยด้วยเทคโนโลยี Dynamic Vibration System รุ่นใหม่ ซึ่งจะทำการวิเคราะห์สัญญาณเสียงและสั่นที่ตัวเครื่อง ทำให้คุณสนุกไปกับภาพยนตร์ เกม หรือคลิปวีดีโอ ราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นจริงในมือคุณ พร้อมลำโพงสเตอริโอคู่หน้า S-Force Front Surround รองรับไฟล์ High-Resolution Audio มาพร้อมฟีเจอร์ DSEE HX มอบเสียงที่ทรงพลังให้คุณได้รับประสบการณ์ความกระหึ่มและมีมิติมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเข้ารหัส LDAC

 

ดีไซน์ใหม่สวยล้ำอย่างมีเอกลักษณ์

ดีไซน์หรูใหม่ล่าสุด วัสดุใช้เป็นกระจกแบบ 3D Glass ที่มีความโค้งรับกระชับกับมือและมีความทนทานยอดเยี่ยมด้วยการใช้กระจก Corning® Gorilla® Glass 5 ทั้งด้านหน้าและหลังผสมผสานกับโลหะอย่างลงตัว มาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP65/IP68 นำเสนอสีดำเงางาม (Chrome Black) สะท้อนถึงความหรูหราร่วมสมัยในทุกมุมมอง

 

ประสิทธิภาพการทำงานขั้นสุดยอด

ด้วยขุมพลังซีพียูที่ดีที่สุดในปัจจุบันของ Qualcomm® Snapdragon™ 845  พร้อมชิปโมเดม X20 LTE มอบความเร็วขั้นสุดยอดในการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วดุจสายฟ้า (สูงสุด 1.2 Gbps) และทำงานด้วยโมเด็ม Gigabit LTE รุ่น 2 ซึ่งพัฒนาใหม่ มาพร้อมหน่วยความจำ (RAM) สูงถึง 6GB เพื่อให้คุณใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

Xperia XZ2 Premium ให้คุณใช้งานเต็มวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 3540 mAh พร้อมโหมดควบคุมการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ Smart Stamina และ STAMINA รวมถึงเทคโนโลยีการถนอมแบตเตอรี่ในขณะชาร์จ Battery Care และ Qnovo Adaptive Charging ที่ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน QI (รุ่น WCH20) และเครื่องชาร์จรุ่นอื่น ๆ ที่รองรับมาตรฐาน Qi

 

กำหนดการวางจำหน่าย

Xperia XZ2 Premium จะเปิดจองตั้งแต่วันที่ 10 - 19 สิงหาคม 2561 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 29 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป ในราคา 27,990 บาท นำเสนอในโทนสีดำ (Chrome Black) เท่านั้น  

  • ลูกค้าที่จองล่วงหน้าได้ที่ร้านโซนี่สโตร์ และ โซนี่สโตร์ออนไลน์ (https://store.sony.co.th)
  • 50 ท่านแรกที่โซนี่สโตร์ รับฟรี! ชุดหูฟังบลูธูท 2 สไตล์รุ่น 2-way Style USB Audio & Bluetooth® Headset (SBH90C) มูลค่า 5,990 บาท
  • หลังจาก 50 ท่านแรก รับฟรี ชุดหูฟังบลูธูทรุ่น SBH56 มูลค่า 2,990 บาท แก้ว Xperia Mug และกระเป๋า Xperia Bag

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อศูนย์บริการลูกค้าโซนี่ โทรศัพท์ 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์  www.sony.co.th
หมายเหตุ: โซนี่สโตร์ มี 6 สาขาได้แก่ พารากอน เอ็มโพเรียม เดอะมอลล์บางกะปี เดอะมอลล์บางแค และเดอะมอลล์งามวงศ์วาน

Page 4 of 8
X

Right Click

No right click