×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

มัลดีฟส์ เป็นอีกจุดหมายปลายทางในฝันของคนไทย ที่ครอบครัว คู่รัก และแก๊งค์เพื่อน สามารถท่องเที่ยวและดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอันงดงามของน้ำทะเลสีฟ้าใสรอบเกาะ รวมถึงดำน้ำท่ามกลางสัตว์น้ำและปะการังมากมาย

เมื่อเร็วๆ นี้ GoPro ได้จัดแคมเปญประกวดคลิปวีดีโอ “#MyGoProMoment” โดยมีผู้เข้าร่วมส่งวีดีโอกว่า 250 คลิป และผู้ชนะ 5 คน ได้ร่วมเดินทางไปยัง คลับเมด คานิ มัลดีฟส์เพื่อร่วมเก็บภาพจากมุมมองใหม่ๆ ผ่านกล้อง GoPro งานนี้ GoPro ได้รวบรวม 4 เคล็ดลับจากผู้ชนะการแข่งขัน ในการเก็บภาพสุดคูลสำหรับวันหยุดพักผ่อนบนชายหาดผ่านกล้อง GoPro

  • เก็บภาพที่วิวใต้น้ำและวิวเหนือน้ำในรูปเดียวกัน (Under-Over Shot)

การถ่ายภาพวิวใต้น้ำและบนน้ำในรูปเดียวกันให้ออกมาสวยนั้น เทคนิคสำคัญคือต้องเลือกวิวใต้น้ำที่สวย ดูเส้นน้ำที่พาดผ่านรูป และดูวิวเหนือน้ำที่ชัดเจน ลองถ่ายท่าทางขณะกำลังเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มชิวิตชีวาให้กับรูปถ่าย ที่สำคัญ ต้องเลือกวันที่มีอากาศแจ่มใส และมีแดด แต่อย่าถ่ายเข้าหาดวงอาทิตย์โดยตรง ลองหันหลังให้ดวงอาทิตย์จะช่วยให้ภาพสว่างและสีสดชัดเจนขึ้น

ด้วยความสามารถในการกันน้ำลึกสูงสุดถึง 10 เมตร ไม่ว่าจะเป็น GoPro HERO6, HERO5 Black, หรือ HERO ก็ทำให้คุณสามารถถ่ายภาพที่เห็นทั้งวิวใต้น้ำและบนน้ำในภาพเดียวกันได้ โดยใช้โดมที่เป็นพอร์ทอะครีลิกสำหรับใส่กล้อง GoPro เพื่อให้ได้เส้นน้ำตัดผ่านหน้าเลนส์แบ่งชั้นใต้น้ำและเหนือน้ำที่สวยงาม

หากคลื่นแรง ลองตั้งค่ากล้อง GoPro ของคุณให้เป็นโหมด Time-Lapse Photo ตั้งค่าไว้ที่ .5 วินาที เพื่อให้กล้อง GoPro ของคุณจับภาพทุกๆ ครึ่งวินาทีให้คุณได้แน่ใจว่าคุณจะได้ภาพที่มีเส้นน้ำที่พริ้วไหวชัดเจน เมื่อ GoPro จมอยู่ใต้น้ำครึ่งนึง อาจทำให้คุณมองจอภาพได้ไม่ถนัด ลองสามารถจับคู่กล้อง GoPro กับ App บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อให้สามารถมองเห็นมุมของการถ่ายภาพได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น

 

  • จับภาพสัตว์น่ารักๆ ที่พบเห็น

เทคนิคสำคัญคือ ลองใช้อุปกรณ์เสริมของ GoPro อย่าง 3-Way ที่สามารถใช้งานได้ 3 วิธีหลักคือ เป็นตัวยึดกล้อง แขนยืดต่อขยาย และขาตั้งกล้อง ช่วยให้คุณสามารถจับภาพปฎิกิริยาธรรมชาติของสัตว์ที่คุณพบเวลาคุณไปเที่ยวทะเลได้ในระยะใกล้ โดยไม่ทำให้สัตว์ตื่นกลัว

ในหลายๆ ครั้ง สัตว์อาจจะเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วโดยคาดการณ์ไม่ได้  แต่คุณเองก็คงไม่อยากที่จะพลาดช็อตเจ๋งๆ ดังนั้นเราแนะนำให้ลองตั้งกล้องของคุณให้อยู่ในโหมด Time Lapse เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีภาพจำนวนหนึ่งไว้เลือก หากสัตว์เหล่านั้นขยับตัว นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ภาพ Time Lapse เพื่อสร้าง Gif ของเหล่าสัตว์ที่คุณพบได้อีกด้วย

  • ลองเล่นกับมุมมองใหม่ๆ

แม้ว่ามุมถ่ายภาพ Front  view ธรรมดาๆ สามารถสร้างภาพถ่ายสวยๆ ได้ แต่อย่ากลัวที่จะลองสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ด้วยการเปลี่ยนมุมกล้อง เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านรูปถ่าย อาจจะลองวาง GoPro ของคุณลงในหลุมทรายเล็กๆ แล้ววางกล้อง GoPro ลงไป เพียงเท่านี้ก็จะได้สนุกกับ Fisheye Effect แบบง่ายๆ ได้แล้ว หรือยึดกล้องเข้ากับลำตัวด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Chesty เพื่อมุมมองที่ไม่เหมือนใคร

 

  • เก็บภาพช่วงเวลาที่สนุกสนานของเด็กๆ

หากคุณเดินทางไปกับเด็กๆ ลองจับลูกๆ ของคุณขึ้นในอากาศแล้วให้ใครซักคนถ่ายภาพ หรือจะยึดกล้อง GoPro ของคุณเข้ากับ Head Strap เพื่อให้ได้มุมมองภาพแบบในรูป

GoPro HERO6 และอุปกรณ์เสริมทั้งหมดสามารถต่างๆ สามารถซื้อได้ผ่านทางตัวแทนจำหน่าย GoPro อย่างเป็นทางการที่ www.mentagram.com/home/dealers-gopro

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ขอนำเสนอรายการโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายดีในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่ขายได้ช้า และขายได้น้อยมาก ทำให้การลงทุนพัฒนาหรือลงทุนซื้ออาจมีปัญหาได้ ในทีนี้ได้จัดอันดับไว้ 20 รายการ ดังนี้:

            อันดับที่ 1 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 33 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 99 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 30 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.1% ต่อเดือน

            อันดับที่ 2 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 0.500-1.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 0.770 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 35 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 27 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 32 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.1% ต่อเดือน

            อันดับที่ 3 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 39.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 มีจำนวน 26 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1014 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 23 หน่วย หรือเหลืออีก 88% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.2% ต่อเดือน

            อันดับที่ 4 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 7.541 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D2: สะพานใหม่ มีจำนวน 130 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 980 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายไม่ได้ ยังเหลืออีก 130 หน่วย หรือเหลืออีก 100% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.3% ต่อเดือน

            อันดับที่ 5 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.590 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D1: สายไหม มีจำนวน 170 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 950 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 5 หน่วย ยังเหลืออีก 165 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.3% ต่อเดือน

            อันดับที่ 6 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K3: มหาชัย เศรษฐกิจ มีจำนวน 115 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 344 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 7 หน่วย ยังเหลืออีก 108 หน่วย หรือเหลืออีก 94% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 7 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 9.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H7: บางปู มีจำนวน 67 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 603 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 8 หน่วย ยังเหลืออีก 59 หน่วย หรือเหลืออีก 88% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 8 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 7.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A5: รังสิต คลอง 7-16 มีจำนวน 86 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 602 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 2 หน่วย ยังเหลืออีก 84 หน่วย หรือเหลืออีก 98% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 9 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 8.120 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D3: บางบัว มีจำนวน 35 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 284 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 1 หน่วย ยังเหลืออีก 34 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน

            อันดับที่ 10 ได้แก่ ตึกแถว ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.734 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A2: บางขัน คลองหลวง มีจำนวน 60 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 164 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 56 หน่วย หรือเหลืออีก 93% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน

            อันดับที่ 11 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.888 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H8: บางนา ตราด กม.10-30 มีจำนวน 504 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1456 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 6 หน่วย ยังเหลืออีก 498 หน่วย หรือเหลืออีก 99% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน

            อันดับที่ 12 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.329 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล N2: วงแหวนรอบนอก-คลองมหาสวัสดิ์ มีจำนวน 53 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 176 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 49 หน่วย หรือเหลืออีก 92% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.5% ต่อเดือน

            อันดับที่ 13 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 6.440 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล N4: บางบัวทอง มีจำนวน 33 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 213 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายไม่ได้ ยังเหลืออีก 33 หน่วย หรือเหลืออีก 100% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน

            อันดับที่ 14 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 25.000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 มีจำนวน 34 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 850 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 31 หน่วย หรือเหลืออีก 91% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน

            อันดับที่ 15 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.292 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล M1: ตลิ่งชัน มีจำนวน 30 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 159 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 6 หน่วย ยังเหลืออีก 24 หน่วย หรือเหลืออีก 80% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน

            อันดับที่ 16 ได้แก่ ที่ดินจัดสรร ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล H8: บางนา ตราด กม.10-30 มีจำนวน 44 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 66 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 3 หน่วย ยังเหลืออีก 41 หน่วย หรือเหลืออีก 93% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน

            อันดับที่ 17 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.604 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 253 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 406 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 15 หน่วย ยังเหลืออีก 238 หน่วย หรือเหลืออีก 94% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.6% ต่อเดือน

            อันดับที่ 18 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.970 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B4: ชินเขต ท่าทราย มีจำนวน 463 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 912 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 16 หน่วย ยังเหลืออีก 447 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 19 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.490 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A5: รังสิต คลอง 7-16 มีจำนวน 211 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 736 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 7 หน่วย ยังเหลืออีก 204 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 20 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา >20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 42.091 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K1: พระรามที่ 2 กม.1-10 มีจำนวน 143 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 6019 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้เพียง 4 หน่วย ยังเหลืออีก 139 หน่วย หรือเหลืออีก 97% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้แค่ 0.7% ต่อเดือน

            อย่างไรก็ตามบางโครงการในทำเล ประเภทบ้านและระดับดังกล่าว ก็อาจขายดีสวนกระแส ทั้งนี้เพราะมีการบริหารจัดการที่ดี ก็เป็นได้เช่นกัน ต้องศึกษาในรายละเอียดด้วย

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ขอนำเสนอรายการโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายดีในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่น่าจะพัฒนา มีอนาคต และผู้ซื้อให้การต้อนรับมากเป็นพิเศษ

            อันดับที่ 1 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.567 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G5: ลาดกระบัง มีจำนวน 41 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 64 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 27 หน่วย ยังเหลืออีก 14 หน่วย หรือเหลืออีก 34% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 76.3% ต่อเดือน

            อันดับที่ 2 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.990 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G2: พัฒนาการ มีจำนวน 30 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 90 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 27 หน่วย ยังเหลืออีกเพียง 3 หน่วย หรือเหลืออีก 10% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 72.1% ต่อเดือน

            อันดับที่ 3 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.529 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F1: วิภาวดี-รัชดา มีจำนวน 625 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1581 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 516 หน่วย ยังเหลืออีก 109 หน่วย หรือเหลืออีก 17% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 68.1% ต่อเดือน

            อันดับที่ 4 ได้แก่ บ้านเดี่ยว ที่มีระดับราคา 10.001-20.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 12.900 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D1: สายไหม มีจำนวน 176 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 2270 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 17 หน่วย ยังเหลืออีก 159 หน่วย หรือเหลืออีก 90% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 68.0% ต่อเดือน

            อันดับที่ 5 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.693 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล D6: นวมินทร์ มีจำนวน 23 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 39 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 8 หน่วย ยังเหลืออีก 15 หน่วย หรือเหลืออีก 65% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 52.1% ต่อเดือน

            อันดับที่ 6 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.550 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล A2: บางขัน คลองหลวง มีจำนวน 952 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1476 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 521 หน่วย ยังเหลืออีก 431 หน่วย หรือเหลืออีก 45% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 49.9% ต่อเดือน

            อันดับที่ 7 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 5.276 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K6: วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม มีจำนวน 275 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 1451 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 167 หน่วย ยังเหลืออีก 108 หน่วย หรือเหลืออีก 39% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 49.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 8 ได้แก่ บ้านแฝด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 4.900 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล K1: พระรามที่ 2 กม.1-10 มีจำนวน 28 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 137 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 26 หน่วย ยังเหลืออีกเพียง 2 หน่วย หรือเหลืออีก 7% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 46.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 9 ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.794 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E1: หทัยราษฎร์ มีจำนวน 23 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 41 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 7 หน่วย ยังเหลืออีก 16 หน่วย หรือเหลืออีก 70% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 10 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.690 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B3: แจ้งวัฒนะ มีจำนวน 1,655 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 2798 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 770 หน่วย ยังเหลืออีก 885 หน่วย หรือเหลืออีก 53% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 11 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 4.014 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล I1: พหลโยธิน มีจำนวน 1,166 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 4680 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 510 หน่วย ยังเหลืออีก 656 หน่วย หรือเหลืออีก 56% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 43.2% ต่อเดือน

            อันดับที่ 12 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.553 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล B3: แจ้งวัฒนะ มีจำนวน 145 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 515 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 66 หน่วย ยังเหลืออีก 79 หน่วย หรือเหลืออีก 54% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 42.2% ต่อเดือน

            อันดับที่ 13 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.460 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล E6: เจ้าคุณทหาร มีจำนวน 72 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 105 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 41 หน่วย ยังเหลืออีก 31 หน่วย หรือเหลืออีก 43% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 41.3% ต่อเดือน

            อันดับที่ 14 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.576 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล G1: รามคำแหง มีจำนวน 36 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 57 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 8 หน่วย ยังเหลืออีก 28 หน่วย หรือเหลืออีก 78% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 36.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 15 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 2.523 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F5: รัชดา-ลาดพร้าว มีจำนวน 2,010 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 5070 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 1323 หน่วย ยังเหลืออีก 687 หน่วย หรือเหลืออีก 34% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 35.4% ต่อเดือน

            อันดับที่ 16 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 5.001-10.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 6.778 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล I1: พหลโยธิน มีจำนวน 2,107 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 14281 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 1209 หน่วย ยังเหลืออีก 898 หน่วย หรือเหลืออีก 43% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 35.0% ต่อเดือน

            อันดับที่ 17 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.486 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F6: เทพลีลา-มหาดไทย มีจำนวน 96 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 143 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 40 หน่วย ยังเหลืออีก 56 หน่วย หรือเหลืออีก 58% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.9% ต่อเดือน

            อันดับที่ 18 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.826 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล L3: บางพลัด มีจำนวน 378 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 690 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 183 หน่วย ยังเหลืออีก 195 หน่วย หรือเหลืออีก 52% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.9% ต่อเดือน

            อันดับที่ 19 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 3.709 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล F1: วิภาวดี-รัชดา มีจำนวน 1,218 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 4518 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 554 หน่วย ยังเหลืออีก 664 หน่วย หรือเหลืออีก 55% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 32.7% ต่อเดือน

            อันดับที่ 20 ได้แก่ ห้องชุด ที่มีระดับราคา 1.001-2.000 ล้านบาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ยหน่วยละ 1.696 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเล C2: ติวานนท์ มีจำนวน 139 หน่วย รวมมูลค่าการพัฒนา 236 ล้านบาท ในรอบ 6 เดือนล่าสุด (มกรา-มิถุนา 2561) ขายได้แล้ว 59 หน่วย ยังเหลืออีก 80 หน่วย หรือเหลืออีก 58% เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งขายได้ถึง 31.5% ต่อเดือน

            อย่างไรก็ตามก็พึงระวัง หากแห่กันไปพัฒนาแบบเดียวกันก็อาจ "พากันลงเหว" ได้

ซัมซุงเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9” (Samsung Galaxy Note 9) สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมในตระกูล “กาแลคซี่ โน้ต” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของซัมซุง ซึ่งจะมาสานต่อตำนานแห่งความสำเร็จด้วยประสิทธิภาพในการใช้งานที่เป็นที่สุด และ S Pen ใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้เป็นครั้งแรก รวมถึงกล้องถ่ายรูปเหนืออัจฉริยะที่จะเก็บทุกภาพแห่งความประทับใจได้อย่างไร้ที่ติ

ดีเจ โกห์ ประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “กาแลคซี่ โน้ต คือตัวแทนของเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยมและนวัตกรรมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสมาร์ทโฟนเสมอมา โดยในครั้งนี้เราได้พัฒนาขีดจำกัดในด้านการใช้งาน ประสิทธิภาพอันทรงพลัง และความฉลาดของซอฟต์แวร์ เพื่อมอบสมาร์โฟนที่ผู้ใช้งานมองหาตลอดมา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้กาแลคซี่ โน้ต คือแฟนอันเหนียวแน่นของซัมซุง และคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดจากซัมซุงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปหรือการใช้งานเพื่อความบันเทิง เรามั่นใจว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 คือคำตอบเดียวที่จะตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน”

 

ประสิทธิภาพทรงพลัง ตอบโจทย์ผู้ใช้สมาร์ทโฟน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหลักของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ เรื่องของแบตเตอรี่หมดเร็ว ความจุข้อมูลไม่พอต่อการใช้งาน  และเครื่องค้างในจังหวะที่เร่งรีบ ซึ่ง กาแลคซี่ โน้ต 9 จะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทุกประการ

  • แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดวัน: กาแลคซี่ โน้ต 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดความจุที่สูงถึง 4,000 mAh นับเป็นสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุด จึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะคุยสาย เล่นเกม หรือดูหนัง ผู้ใช้งานก็สามารถเพลิดเพลินไปกับทุกกิจกรรมและการใช้งานได้ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลากลางคืนเลยทีเดียว
  • เพิ่มความจุ จบปัญหาลบไฟล์เก่า: กาแลคซี่ โน้ต 9 มีให้เลือกใช้งาน 2 ขนาดด้วยกัน โดยสามารถเลือกได้ระหว่างขนาดความจุของหน่วยความจำภายใน 128GB และ 512GB โดนสามารถเพิ่มความจุได้ด้วยการใส่ไมโครเอสดีการ์ด (microSD card) ซึ่งจะทำให้ กาแลคซี่ โน้ต 9 มีขนาดความจุที่สูงมากกว่า 1TB เลยทีเดียว จึงมั่นใจได้ว่าการเก็บรูปภาพ วีดีโอ หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ จะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
  • เร็วแรงทันใจ: กาแลคซี่ โน้ต 9 มีระบบประมวลผล 10nm อันมีประสิทธิภาพการทำงานที่ทรงพลังสูงสุดในปัจจุบัน จึงสามารถรองรับเครือข่ายที่เร็วที่สุดในขณะนี้ ที่ความเร็ว 2 กิกะบิตส์ต่อวินาที เพื่อดาวน์โหลดเนื้อหาต่างๆ ได้โดยไม่ทำให้เครื่องช้าลง ยิ่งไปกว่านั้น กาแลคซี่ โน้ต 9 ยังมีเทคโนโลยีสุดล้ำของวงการ นั่นคือ ระบบ Water Carbon Cooling และคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI-based) ภายในเครื่องเพื่อปรับการทำงานอัลกอริธึ่มให้เกิดความเสถียรในการใช้งาน โดยคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพสูงสุด

 

 

วิวัฒนาการขั้นสุดของ S Pen ปากกาอัจฉริยะ
S Pen ถือเป็นดีเอ็นเอของ “กาแลคซี่ โน้ต” เพราะนอกจาก S Pen จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองได้อย่างอิสระแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาเพื่อฉีกกฎเกณฑ์และลบภาพจำเดิมๆ ของสมาร์ทโฟนขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเพียงอุปกรณ์ในการขีดเขียนหรือวาดรูปทั่วไป โดย S Pen เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ จะมาพร้อมกับความสามารถที่มากขึ้นและการควบคุมอันยอดเยี่ยมเพียงแค่คลิก
ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับบลูทูธแบบ Bluetooth Low-Energy (BLE) ทำให้ S Pen สามารถสั่งการเสมือนรีโมทคอนโทรล โดยการกดปุ่ม S Pen เพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปหมู่ กดเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่น กดบันทึกเสียง กดหยุดหรือเล่นวีดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเพียงปลายนิ้วของผู้ใช้งาน นอกเหนือจากนี้ จะเปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาแอพพลิเคชั่นออกแบบการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบ BLE ภายในปีนี้อีกด้วย

 

เก็บภาพสวยระดับมืออาชีพด้วยกล้องอัจฉริยะ
กาแลคซี่ โน้ต 9 ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีของกล้องถ่ายภาพที่ทำให้ภาพถ่ายออกมาราวกับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย

  • เติมเต็มทุกความงามในภาพถ่าย (Scene Optimizer) กล้องอัจฉริยะ วิเคราะห์ฉาก วิวทิวทัศน์และวัตถุต่างๆอัตโนมัติ ได้ถึง 20 รูปแบบ โดยจะปรับสี คอนทราสให้ได้ภาพที่สวยสมบูรณ์แบบ มีชีวิตชีวา และคมชัดแบบเหนือระดับ
  • จับจุดบกพร่อง ช็อตไหนก็ไม่พลาด (Flaw Detection) แจ้งเตือนทันทีเมื่อพบจุดบกพร่องของภาพ อาทิ ภาพเบลอ การกระพริบตา มีคราบเปื้อนบนเลนส์ หรือเกิดการย้อนแสง โดยจะแจ้งเตือนให้ถ่ายภาพใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ทุกโมเม้นต์สำคัญถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
  • ที่สุดแห่งกล้องถ่ายภาพ จากการผสานความชาญฉลาดอย่างเป็นเอกลักษณ์ทั้งซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ระดับพรีเมี่ยม ทำให้กล้องของ กาแลคซี่ โน้ต 9 ถือเป็นกล้องที่ดีที่สุดในขณะนี้ ทั้งเทคโนโลยีการลบน๊อยซ์ของภาพและกล้องรูรับแสงคู่ (Dual Aperture) ที่สามารถปรับรูรับแสงอัตโนมัติ คล้ายกับรูม่านตาของมนุษย์ ทำให้สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยงามและคมชัดในทุกที่ทุกสภาพแสง

 

ครบทุกการใช้งาน เต็มทุกความบันเทิง

หน้าจอ Infinity Display ถือเป็นจุดสูงสุดของด้านการออกแบบของซัมซุง โดยเฉพาะหน้าจอของ กาแลคซี่ โน้ต 9 ที่ไร้กรอบ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในตระกูลกาแลคซี่ โน้ต ด้วยหน้าจอ Infinity Display แบบ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ที่จะมาเติมเต็มอรรถรสในการรับชมได้อย่างเต็มที่ รวมถึงลำโพงสเตอริโอที่พัฒนาโดย AKG ด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่จะช่วยเปิดประสบการณ์ขณะรับชมวิดีโอ ด้วยภาพและเสียงในระดับมัลติมีเดีย ได้อย่างสมจริง   นอกจากนี้ ยูทูบ ยังได้แนะนำว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็นอุปกรณ์ที่รับชมเนื้อหาต่างๆ บนยูทูบได้สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย

 

โดยกาแลคซี่ โน้ต 9 ยังมอบประสบการณ์การใช้งานแบบพีซีให้กับผู้ใช้งานได้ด้วย Samsung DeX ซึ่งผู้ใช้งานสามารถนำเสนอ พรีเซนเทชั่น ปรับแต่งรูปภาพ หรือรับชมรายการโปรดผ่านสมาร์ทโฟน เพียงแค่ติดตั้ง HDMI adapter เข้ากับ Samsung DeX ผู้ใช้งานก็สามารถใช้งาน กาแลคซี่ โน้ต 9 บนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ทันที อีกทั้งยังใช้ปากกา S Pen เขียนโน้ตไปพร้อมๆ กับดูวีดีโอ หรือใช้ กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็น trackpad กดคลิกขวา ลากและปล่อย รวมถึงใช้งานอื่นๆ บนหน้าจอได้อย่างสะดวกสบาย

 

ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากกาแลคซี่

กาแลคซี่ โน้ต 9 มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในตระกูลกาแลคซี่ อีกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟด่วนแบบไร้สาย คุณสมบัติป้องกันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68 รวมถึงบริการอื่นๆ จากซัมซุง เช่น Samsung Health และ Samsung Pay และ มาตรฐานการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยด้วยระบบ Knox รวมถึงการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมททริค เช่น ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner), ระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) และระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลสำคัญได้อย่างปลอดภัย

อีกทั้ง ยังได้ขยายขอบเขตแห่งความเป็นไปได้ให้กว้างมากยิ่งขึ้น ด้วยการเป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์และบริการต่างๆ ของซัมซุงทุกรูปแบบ อาทิ SmartThings ในการควบคุมอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อ หรือจะเป็นการจัดการต่างๆ ด้วย Bixby ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะส่วนตัว โดยการเปิดตัว กาแลคซี่ โน้ต 9 ในครั้งนี้ ซัมซุงยังทำให้การฟังเพลงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วยการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Spotify ในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง ซิงค์ และส่งเพลงไปมาระหว่าง กาแลคซี่ โน้ต 9 กาแลคซี่ วอทช์ และ สมาร์ท ทีวี ได้อย่างสะดวก

 
ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9 มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง  สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper)  และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) ในราคา 33,900 บาท     

สมาคมการตลาดแถลงวิสัยทัศน์สำคัญ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในฐานะแพลตฟอร์มเพื่อสร้าง รวบรวม และกระจายองค์ความรู้ ส่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้ประสบความสำเร็จบนเวทีการค้าทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก พร้อมกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหัวใจนักการตลาด

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย นำโดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แถลงข่าววิสัยทัศน์และพันธกิจ พร้อมแนะนำทีมคณะกรรมการอำนวยการชุดใหม่ ที่จะมาร่วมเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ เพื่อนำผู้ประกอบการไทยก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนด้วยหัวใจนักการตลาดร่วมกัน

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ กล่าวว่า “ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย ที่ภาคเอกชนและประชาชนชาวไทยได้ร่วมฟันฝ่าก้าวข้ามวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจไปด้วยกัน ในปี 2561 นี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว ด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในประเทศไทยเองก็เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 – 4.7 จากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และในด้านรูปแบบทางธุรกิจ ที่เริ่มมองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายจากเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ (Connectivity)

ในยุคนี้ เป็นยุคที่บริษัทและองค์กรต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ไม่สามารถยืนอยู่ได้โดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน (Collaboration) อีกทั้ง นิยามของการตลาดและบทบาทของนักการตลาดก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยมองทุกอย่างแยกส่วนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สินค้า ราคา โปรโมชั่น จุดขาย หรือ การสื่อสาร โฆษณา ประชาสัมพันธ์  แต่ในยุคนี้ ทุกอย่างถูกหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยมี ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ที่ต้องเน้นความสะดวก สบาย และเข้าถึงได้โดยง่าย หรือ (Convenient)

เทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ (Connectivity) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าโลกธุรกิจไปจากเดิมที่เราเคยรู้จัก นักการตลาดกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง ประสบการณ์ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) ระหว่างโลก On-line และโลก Off-line

ในโลกยุคใหม่ ความเข้าใจผู้บริภคนั้นสำคัญเป็นอย่างมากต่อความสำเร็จของแบรนด์ หัวใจของการเป็นนักการตลาด จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นนักการตลาดตามวิชาชีพอีกต่อไป หากแต่เป็นบทบาทของทุกๆ คนในองค์กร ที่ต้องลุกขึ้นมาปรับหรือเปลี่ยนตัวเอง โดยใช้การตลาดเป็นตัวนำ  พร้อมเรียนรู้และฝึกตนให้มีคุณสมบัติ 5 ประการ ของนักการตลาดในโลกปัจจุบัน คือ ช่างสงสัย (Curious) ช่างสังเกตุ (Observant) มองมุมใหม่ (Innovative)  พร้อมปรับตัว (Adaptive) และ มีความรับผิดชอบ (Responsive)”

 

เมื่อการตลาดมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกๆธุรกิจ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจึงได้กำหนด วิสัยทัศน์ใหม่ คือ การใช้ความเยี่ยมยอดทางการตลาด มาเป็นพลังขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Marketing Excellence as a ‘Competitive Force’ of the Nation)  ที่จะถูกขับเคลื่อนด้วย 4 พันธกิจหลัก คือ

  • สร้าง Head : แพลตฟอร์มในการรวมตัวกันของนักการตลาด (Marketing Wisdom Center)
    • ร่วมกับนักการตลาดมืออาชีพ เพื่อรวบรวม ประมวลความคิด วิเคราะห์กลั่นกรอง เป็น Co-Creation เพื่อร่วมสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านการตลาดและธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อชี้นำและกำหนด Trend ทางการตลาดในแง่มุมต่างๆ พร้อมเผยแพร่แก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป
  • สร้าง Hand : เครือข่ายผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด (Marketing Ambassadors)
    • มุ่งมั่นสร้างเครือข่ายนักการตลาดที่จะมาแบ่งปันความรู้ในการทำธุรกิจและการตลาด จากประสบการณ์จริงและกรณีศึกษาต่างๆ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของทางสมาคมในรูปแบบงานสัมนา งานแลกเปลี่ยนความรู้ ทั้งในระดับจังหวัด และในระดับประเทศ เพื่อร่วมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
  • สร้าง Heart : ชี้ให้เห็นถึง จิตวิญญานการตลาด ที่ถูกต้องและเหมาะสม (Marketing Soul)
    • มีบทบาทสำคัญ ในการปลุกจิตสำนึก และชี้ให้เห็นว่า “การตลาดที่ถูกต้องและเหมาะสม คือ จิตวิญญาณสำหรับทุกธุรกิจ” และการยึดมั่นในจรรยาบรรณการตลาดที่ดี จะส่งผลดีกับธุรกิจในระยะยาว ด้วยการสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องและเหมาะสมร่วมกับภาคเอกชนและภาครัฐ รวมถึงการร่วมมือกันระหว่างสมาคมต่างๆ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง
  • สร้าง Hope : เพื่อจุดประกายธุรกิจรุ่นใหม่ (New Generation Marketers)
    • จุดประกายแรงบันดาลใจ ให้การสนับสนุนองค์ความรู้ ด้านการตลาดให้กับ SMEs, Start Up และนักศึกษาการตลาดและสาขาอื่นๆ ในสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อสร้างความหวัง ความเชื่อมั่น ในการที่จะใช้การตลาดนำพาประเทศไทยไปสู่ THAILAND 0

ทั้งนี้ การจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้าง A Leading Marketing Body ซึ่งประกอบด้วย Head, Hand,  Heart และ Hope สำหรับประเทศไทยได้นั้น ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา และ ภาครัฐ เพื่อสกัดองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านการตลาดร่วมกัน และใช้แพลตฟอร์มดิจิตอลมาเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาผู้ประกอบการไทย เพิ่มการเข้าถึง และกระจายความรู้ต่างๆ ให้กว้างขวางมากขึ้น และร่วมกันก้าวสู่ความเป็นเลิศทางการตลาดของประเทศไทยอย่างยั่งยืน”  นายอรรถพลฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

จากนั้น  คุณบังอร สุวรรณมงคล กรรมการฝ่ายวิชาการและข้อมูลตลาด สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นแชร์ข้อมูล MAT’s Insight: “เทรนด์การตลาดแห่งอนาคต” กล่าวถึง 7 เทรนด์ผู้บริโภคที่นักการตลาดต้องจับตามอง เพื่อเป็นการ Kick off สังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ทางการตลาด

  1. ผู้บริโภคมีความช่างสงสัย และ ไม่รอ ไม่ทนกับสิ่งที่ไม่ใช่
  • ผู้บริโภคยุคใหม่จะเป็นคนช่างสงสัย อยากรู้ทุกรรารยละเอียด และสิ่งนี้สะท้อนในพฤติกรรมการซื้อ โดยผู้บริโภคจะมีการศึกษาข้อมูลก่อนซื้อ และมีการเปรียบเทียบ ศึกษาหรือดูรีวิวสินค้าจากคนใช้จริง เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด ดังนั้น การทำเนื้อหาคอนเทนต์ที่โดนใจ คือ การเข้าใจถึงต้องการและปัญหาของลูกค้า ในแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง และต้องสื่อสารกับพวกเขาในช่วงเวลาที่ใช่ ในสิ่งที่เขาต้องการ
  1. ความคุ้มค่าใหม่ๆในการซื้อสินค้าและบริการ
  • ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการใช้สินค้าและบริการต่างๆอย่างคุ้มค่ากับการจ่าย สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้และความต้องการใหม่ๆยุคปัจจุบัน จึงเกิดโมเดลธุรกิจสินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ๆมากมาย นักการตลาดต้องตั้งคำถามว่า กลุ่มเป้าหมายเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เพราะบางครั้งแนวทางการทำงานในอดีต ไม่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนรุ่นปัจจุบันแล้ว เราอาจต้องปรับโมเดลการทำงานใหม่จากเดิมโดยสิ้นเชิง เพื่อให้อยู่รอดในยุคนี้
  1. ประสบการณ์สำคัญกว่าแค่สินค้าบริการ
  • ในยุคนี้ แม้สินค้าจะเหมือนกัน แต่คุณสร้างความแตกต่างกันด้วยประสบการณ์ได้ ความฝันของผู้บริโภคคือ การได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้าที่เหมือนจริงที่สุด เพราะประสบการณ์ตรงเป็นการสื่อสารที่ทรงอิทธิพลที่สุด จึงเป็นแรงกระตุ้นให้มีการใช้เทคโนโลยีของโลกเสมือนจริงมากขึ้นในหลายธุรกิจ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการก่อนตัดสินใจ
  1. ผู้บริโภคต้องการความง่ายขั้นสุด
  • เราก้าวจากยุค Mobile First เข้าสู่ยุคแห่งความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่พัฒนาเพื่อเพิมความง่ายให้กับทุกๆเรื่องของชีวิต โลกไม่ได้พึ่งพาแค่โทรศัพท์มือถือหรือแท๊ปเลต แต่เทคโนโลยีจะอยู่รายล้อมรอบตัวเรา โดยใช้ร่างกายของเราเป็น interface เพราะมีความง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด ตอบสนองมนุษย์ที่ต้องการความง่ายขั้นสุดเสมอ ซึ่งเทรนด์นี้จะสะท้อนมาในการพัฒนาอุปกรณ์ผู้ช่วยต่างๆ เช่น อุปกรณ์ Voice Command ที่มีความฉลาดมากขึ้น ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง แต่จะเรียนรู้พฤติกรรมเราด้วย เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด
  1. โลกแห่งการเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา
  • กระแสเทคโนโลยีจะมาเรื่อยๆและมาเร็ว ทุกคนจะรู้สึกว่าต้องเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา เพราะความรู้ของเราจะล้าหลังเร็วมาก แม้กระทั่งเรื่องสินค้าและบริการก็เปลี่ยนเร็วจนคนตามไม่ทัน เราจึงต้องทิ้งความรู้เดิม แล้วเรียนรู้ใหม่ตลอด
  1. เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน แต่ก็ต้องการความเป็นมนุษย์เช่นกัน
  • แม้จะมีเทคโนโลยีในโลกการตลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Big Data จนถึง AI แต่การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์เราต้องการ “ความรู้สึกด้วย” เพราะการตลาดที่ดี คือการตลาดที่เข้าใจ ใส่ใจความต้องการของผู้บริโภค และรับรู้ความรู้สึกของพวกเขา ดังนั้น AI ในอนาคตจะมี EI Emotional Intelligence มากขึ้นด้วย เช่น การจับสีหน้าหรือภาษากายให้เห็นอารมณ์ของผู้ใช้งาน หรือการแสดงออกทางอารมณ์ให้กับผู้ใช้งาน เช่น ความรัก ความใส่ใจ ในอนาคต AI จึงจะเหมือนมนุษย์จริงๆ มากยิ่งขึ้น จนเราอาจแยกมนุษย์กับ AI ไม่ออก
  1. รักฉันแล้วต้องรักโลกและสังคมด้วย
  • ผู้บริโภคยุคใหม่ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบยั่งยืนมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากกระแสการลดขยะ การลดการใช้พลาสติก และต้องการทราบที่มาของอาหารที่ทาน และรวมถึงสนใจแบรนด์หรือธุรกิจที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม สังคม และโลกมากขึ้น ดังนั้นแบรนด์ ต้องแสดงจุดยืนชัดเจนในด้านความยุ่งยืน ต่อผู้สังคม สิ่งแวดล้อม และคนที่เกี่ยวข้อง

ในโลกแห่งการตลาดยุคใหม่ ถึงแม้จะท้าทายแต่ก็นับเป็นโอกาสในการขยายและเติบโต การแข่งขันในทุกธุรกิจก็จะมีความเข้มข้นขึ้นอยู่เสมอ สิ่งที่นักการตลาดต้องใส่ใจไม่ใช่แค่ทำธุรกิจของตนเองให้เต็มที่ หรือเพียงการแข่งขันกับคู่แข่งเท่านั้น แต่ต้องรับมือกับสิ่งที่กำลังเป็นไป เข้าใจหัวใจผู้บริโภค และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอย่างไม่หยุดนิ่ง

ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีการสร้างใด จะยั่งยืนไปกว่าการสร้าง ‘คน’ มูลนิธิเอสซีจี จึงส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดทั้งด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ ต้นกล้าชุมชน ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2559 เพื่อมุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการดูแล และพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมูลนิธิเอสซีจีได้สนับสนุนเบี้ยยังชีพ และค่าดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ให้แก่ต้นกล้าเป็นระยะเวลา 3 ปี และเชิญเครือข่ายนักพัฒนารุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะแนวทางการทำงาน ซึ่งปัจจุบันมีต้นกล้าชุมชนกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนั้น มูลนิธิฯ ยังได้จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพต้นกล้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขามาถ่ายทอดความรู้ให้กับต้นกล้า และจัดกิจกรรมศึกษาการทำงานชุมชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมประสบการณ์ พร้อมสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกัน

สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้นำต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 และพี่เลี้ยง รวม 44 คน ลงพื้นที่ชุมชนศึกษาพื้นที่จังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ ร่วมกับ Mr. Tadashi Uchida, President of International OVOP Exchange Committee และทีมงานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ตามแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต้นกล้าและพี่เลี้ยง รวมถึงชุมชนต่างได้รับคำแนะนำ และแนวทางทางการแก้ไขปัญหา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจาก Mr. Tadashi Uchida ที่สามารถนำไปปรับใช้ด้วยการนำเสนอจุดแข็งของสินค้าผ่านการเล่าเรื่องที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างจุดเด่น อันจะนำไปสู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ครั้งนี้ ยังเป็นโอกาสที่ต้นกล้าได้เชื่อมโยงเครือข่าย และเสริมสร้างการทำงานภาคสังคมที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ ต้นกล้าชุมชนยังได้ศึกษาดูงานจากชุมชนบ้านใต้ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง และชุมชนโหล่งฮิมคาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมถึงเยี่ยมชมตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ณ ลานพุทธามหาชัย อ.แม่ทา จ.ลำพูน ที่เริ่มต้นขึ้นจากแรงผลักดันของพฤติพร จินา ต้นกล้าชุมชนหญิงรุ่นที่ 2 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากครั้งที่มูลนิธิฯ พาไปเรียนรู้ที่โอย่าม่าแลนด์ ประเทศญี่ปุ่น

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพต้นกล้าชุมชนว่า “มูลนิธิเอสซีจีตระหนักดีว่า ต้นกล้าชุมชนจะเติบโตและแข็งแรงได้นั้น ต้องได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม การจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพให้น้องๆ ต้นกล้า ทั้งการดูงานที่เมืองฮอกไกโด และเมืองโออิตะ เพื่อศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OVOP (One Village One Product) หรือโอทอป และการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เช่น Mr. Tadashi Uchida และทีมงาน ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการขับเคลื่อนพัฒนา และยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนจากประเทศญี่ปุ่น มายังประเทศไทยเพื่อให้ความรู้กับน้องๆ ทำให้ต้นกล้าได้ปิดประสบการณ์ แนวคิด และมุมมองใหม่ๆ เพราะเราเชื่อว่าการได้สัมผัสประสบการณ์จริงย่อมมีคุณค่าและสร้างแรงแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ต้นกล้า ตลอดจนพี่เลี้ยงได้นำกลับไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของชุมชนตนเอง ถือเป็นเครื่องมือในการเสริมศักยภาพความเข้มแข็งอย่างสมดุลและยั่งยืน

ด้าน Mr. Tadashi Uchida, President of International OVOP Exchange Committee กล่าวถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ว่า “หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OVOP มีความใกล้เคียงกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อย่างมาก คือ เริ่มจากการทำสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ที่สามารถทำด้วยตนเอง แล้วใส่พลังความคิดสร้างสรรค์และความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทำงานอย่างกระตือรือร้น  กล้าหาญ และมุ่งมั่น ผมเชื่อว่าน้องๆ ต้นกล้าสามารถทำได้แน่นอน ดังนั้น ภารกิจของพวกเราคือ ให้คำแนะนำ ความมั่นใจ และความหวังแก่น้องๆ ต้นกล้า พี่เลี้ยง และชุมชนที่เราไปเยี่ยมชม เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าของจิตใจมากกว่าคุณค่าของเงิน และเมื่อพวกเขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีความภาคภูมิใจ และมีเกียรติ ก็จะส่งผลให้ชุมชนมีเสถียรภาพและความยั่งยืน ทำให้คนหนุ่มสาวไม่อยากละทิ้งบ้านไปทำงานในเมือง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในชุมชน

ต้นกล้าหญิง พฤติพร จินา ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2  เจ้าของโครงการสืบสานพันธุกรรมท้องถิ่นเพื่อความมั่นคงทางอาหาร จ.ลำพูน กล่าวถึงความประทับใจว่า “ได้พลังอย่างมากจากคำแนะนำของคุณอูชิดะ และพี่เลี้ยง ทุกคำติชมช่วยยืนยัน และเพิ่มความมั่นใจให้กับเราทุกคน ความทรงจำแบบนี้ให้แรงบันดาลใจมากกว่าการดูจากภาพ หรือการเล่าให้ฟัง การพาไปเจอและได้สัมผัสทำให้เราได้คิดทบทวนแล้วนำกลับไปปรับใช้ ถือเป็นโอกาสที่ดี ขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีมาก นับเป็นบันไดขั้นแรกในการต่อยอดสู่ความสำเร็จสำหรับการเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์พัฒนาชุมชนต่อไป

ด้านบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย นักพัฒนารุ่นพี่กล่าวเสริมว่า “ครั้งนี้ พี่ว่ามีความสมบูรณ์ คือเราได้ดูงานในพื้นที่จริง ทั้งร้านอาหาร กิ๊ฟท์ช้อป ร้านผักอินทรีย์ ทำให้น้องๆ ต้นกล้าที่ยังไม่เห็นภาพการทำงาน ยังมีความลังเล ได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เธอทำได้ ฉันก็ต้องทำได้ การดูงานในพื้นที่จริง ทำให้เห็น ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ส่วนวิทยากรที่เดินทางมาจากญี่ปุ่น ช่วยให้พวกเราได้รับคำแนะนำดีๆ หลายเรื่อง อย่างเรื่องสินค้าที่ดีและมีคุณภาพต้องมีอะไรบ้าง การอธิบายเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ในรูปแบบที่ตลาดต้องการ หลักการตลาด สิ่งที่พี่ชอบมาก คือ การตลาดที่ดีที่สุด คือ ปากต่อปาก บางทีเราละเลยไป ทำอย่างไรให้คนมาเห็นแล้วพูดถึง คิดถึง พี่ว่ากิจกรรมครั้งนี้มีประโยชน์ ถือเป็นคุณูปการแก่นักพัฒนารุ่นใหม่อย่างแท้จริง

มูลนิธิเอสซีจีภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่เพียงต้นกล้าเหล่านี้จะมีอาชีพเป็นของตัวเอง แต่ยังสามารถสร้างอาชีพ กระจายรายได้ให้คนในชุมชน ได้ทำงานในบ้านเกิด ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ละทิ้งรากเหง้าและวิถีชีวิตอันงดงามของตัวเอง มูลนิธิฯ หวังว่าโครงการต้นกล้าชุมชนจะจุดประกายให้เมล็ดพันธุ์นักพัฒนารุ่นใหม่ได้เติบโต หยั่งราก และตั้งมั่น รับใช้บ้านเกิดของตนเองต่อไป    

มูลนิธิเอสซีจี “เชื่อมั่นในคุณค่าของคน”

คุณสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม (คนที่ 2 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ได้เข้าหารือแนวโน้มธุรกิจยิปซั่ม กับท่านสังคม จันสุก (คนที่ 2 จากขวา) ประธานบริษัท สะหวัน ยิปซั่ม โปรดักส์ จำกัด (SGP) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เมื่อเร็วๆ นี้

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมเวิร์คช็อป สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “แอลจีชวนลูกแต้มรัก เติมใจให้แม่” เชิญชวนลูกค้าของแอลจีและครอบครัวจาก LG Life’s Good เฟซบุ๊ค แฟนเพจ มาร่วมกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวและสร้างความทรงจำที่น่าประทับใจ ด้วยการแสดงฝีมือแต่งแต้มสีสันลงกระเป๋าผ้า สื่อความรักจากใจลูกสู่แม่ โดยมีคุณกบ สุวนันท์ ที่จูงมือครอบครัวมาอย่างพร้อมหน้า ทั้งสามี คุณบรู๊ค ดนุพร ลูกสาว น้องณดา และลูกชาย น้องณดล มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานแห่งความรักในบรรยากาศแสนอบอุ่นต้อนรับเทศกาลวันแม่ ปี 2561 นี้

คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอลจีมุ่งมั่นเลือกสรรกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกปีให้ลูกค้าและแฟนๆ ของ LG Life’s Good เฟซบุ๊ค แฟนเพจ ร่วมเสริมสร้างการมีชีวิตที่ดีดังสโลแกน Life’s Good โดยกิจกรรมในปีนี้ นอกจากการเพ้นท์ลวดลายลงบนกระเป๋าผ้าที่สะท้อนถึงความรักให้แก่คุณแม่ทั้งหลาย เรายังรับรู้ได้ถึงความรัก ความประทับใจจากครอบครัวที่เข้าร่วม และเราจะยังคงสร้างสรรค์โอกาสดี ๆ เช่นนี้เพื่อช่วยยกระดับการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น”  

 

 

เอสซีจี เดินหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจรรายแรก ในประเทศเวียดนาม ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาเงินกู้จำนวนกว่า 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 110,000 ล้านบาท) กับ 6 สถาบันการเงินชั้นนำ โดยจะเริ่มการก่อสร้างในไตรมาสที่สาม ปี 2561 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566  เพื่อรองรับความต้องการภายในเวียดนามที่ปัจจุบันสูงถึงปีละ 2.3 ล้านตัน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในระดับสูง

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “โครงการ Long Son Petrochemicals หรือ LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรขนาดใหญ่ระดับ World Scale มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 5,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนหลักของเอสซีจีในปัจจุบัน การลงทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในธุรกิจเคมิคอลส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบสูงทำให้ได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาคิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”

การลงนามในสัญญาเงินกู้เป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐกับ 6 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารมิซูโฮ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีวงเงินจำนวนกว่า 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 110,000 ล้านบาท) และมีระยะเวลาเงินกู้ประมาณ 14 ปี โดยมีธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

LSP ตั้งอยู่ที่เมือง Ba Ria – Vung Tau ห่างจากนครโฮจิมินห์ประมาณ 100 กิโลเมตร มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.6 ล้านตันต่อปี สำหรับผลิตเม็ดพลาสติกชนิด HDPE LLDPE และ PP โดยโครงการมีการดำเนินงานอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมของเวียดนามได้อย่างยั่งยืน

 

บุคคลในข่าว (ซ้ายไปขวา)

1. เยาวดี นาคะตะ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
2. วีระพงศ์ ศุภเศรษฐ์ศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
3. วรางคณา วงศ์ข้าหลวง รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
4. เชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินการลงทุน เอสซีจี
5. ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม General Director, Long Son Petrochemical Company Limited
6. รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี
7. ชลณัฐ ญาณารณพ รองผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์
8. ยูอิชิ นิชิมุระ Regional Head of Greater Mekong Sub-Region, Country Head of Thailand, General Manager of Bangkok Branch, ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น
9. ราจีฟ คันนัน Executive Officer - Head of Investment Banking Asia, ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น
10. มาซายูกิ สุงาวาร่า, Executive Officer and General Manager, ธนาคารมิซูโฮ
11. วศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Corporate Banking ธนาคารไทยพาณิชย์

เอเซียติคฯ ปลื้ม “อัมพวา” กะทิแท้ 100% ขึ้นแท่นท็อปแบรนด์ดาวรุ่งที่เติบโตสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร  การันตีด้วยรางวัล Top Risers จากเวที “แบรนด์ยอดนิยมประจำปี 2561 Brand Footprint Award 2018”  ตอกย้ำผู้นำและปฏิวัติวงการกะทิสำเร็จรูปตัวจริง  พร้อมเดินหน้าวิจัยและพัฒนาสินค้าคุณภาพดีเกรดพรีเมียมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

นายณัฐพล  วิสุทธิไกรสีห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซียติค อุตสาหกรรมเกษตร จำกัด ผู้ผลิต แปรรูป และส่งออกผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้เปิดตัว “อัมพวา” (Ampawa) กะทิแท้ 100% ในรูปแบบขวด PET เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการกะทิสำเร็จรูปสัญชาติไทยในขวด PET รายแรกของโลกที่คัดสรรจากมะพร้าวคุณภาพชั้นดี นำมาคั้นทันทีตั้งแต่กะเทาะเปลือก ผ่านการแปรรูปและบรรจุลงในขวดกันรังสียูวีด้วยเทคโนโลยีการบรรจุเย็นด้วยระบบปลอดเชื้อที่ทันสมัย (Cold Aseptic Filling Technology)  ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง เพื่อเก็บรักษาความขาว ข้น หอม มันของกะทิคั้นสดแบบธรรมชาติ  ปราศจากการปรุงแต่ง ด้วยนวัตกรรมและกระบวนการคิดค้นโดยมีเกณฑ์มาตรฐานคือ กะทิสดจากธรรมชาติ เพื่อให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีมากทั้งจากคู่ค้าและผู้บริโภค

ล่าสุดกะทิแท้ 100% “อัมพวา” ได้รับรางวัล Top Risers หรือแบรนด์ดาวรุ่งที่เติบโตสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร จากเวที “แบรนด์ยอดนิยมประจำปี 2561 Brand Footprint Award 2018” ซึ่งสำรวจและจัดอันดับโดยบริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (Kantar  Worldpanel Thailand : KWP)  ผู้นำด้านการวิจัยพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคเชิงลึกที่มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอัตราการบริโภคสูง (Fast  Moving Consumer Goods : FMCG)  และก่อนหน้านี้ “อัมพวา” ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศด้วยกระแสการตอบรับที่ดีมากจนชนะใจเชฟชาวฝรั่งเศส และได้รับการโหวตให้ได้รับรางวัลและตราพิเศษ  Flavors of The Year Restoration 2018 จากหน่วยงาน “Monadia Organisateur Centre de Qualite” ของฝรั่งเศส

นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จของแบรนด์ “อัมพวา” เกิดจากแนวคิดเชิงรุกและคิดนอกกรอบที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดว่า ทำอย่างไรให้กะทิสำเร็จรูปมีคุณภาพดีเยี่ยมใกล้เคียงกับกะทิคั้นสด รวมถึงการใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบเป็นขวด PET รายแรกของโลก จึงทำให้พร้อมสำหรับการใช้งาน
สะดวกต่อการเก็บรักษา สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบายในการทำอาหารด้วยกะทิสำเร็จรูป รวมถึงการสื่อสารและลักษณะของแบรนด์  “อัมพวา” ที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย และพิสูจน์ได้จริง

“จากความสำเร็จของแบรนด์อัมพวาและการเติบโตของตลาดกะทิสำเร็จรูป ส่งผลให้มีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาด และผลิตสินค้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งบริษัทฯ มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้ผลิตคิดค้นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้ตลาดเติบโตและแข่งขันกันอย่างเต็มที่ ในขณะที่ผู้บริโภคก็จะมีโอกาสได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจการแปรรูปมะพร้าว ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อนำเสนอสินค้าไทยคุณภาพระดับพรีเมียมที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้คนไทยรวมถึงทั่วโลกได้บริโภคสินค้าที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย พร้อมทั้งขอขอบคุณผู้บริโภคที่ให้การตอบรับและไว้วางใจในคุณภาพ ทำให้กะทิอัมพวาประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างรวดเร็ว” นายณัฐพล กล่าว

นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการถ่ายทอดและแบ่งปันผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก (Sharing Coconut Culture with the World) ด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานสินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมการบริหารจัดการธุรกิจด้วยระบบ Zero Waste Management โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทุกส่วนของมะพร้าวอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตติดอันดับ 1 ใน 3 ของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวของคนไทยออกสู่ตลาดโลก

Page 5 of 8
X

Right Click

No right click