December 06, 2025

ชวนส่งต่อความสุขผ่านภาพถ่าย หัวข้อ “Forwarding Happiness” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 290,000 บ. สมัครวันนี้ – 15 ก.พ. นี้

SCB WEALTH นำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติของ SCB WEALTH Holistic จัดงาน SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ “Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025” วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การลงทุนปี 2568 พร้อมคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ได้ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน จากนโยบาย Trump 2.0 ที่กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน คาดปีนี้เฟดลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ด้านเศรษฐกิจไทยโต 2.4% รับผลกระทบการกีดกันการค้าจากสหรัฐ เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน พร้อมประเมินไทยปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 2% ส่วน SCB CIO แนะตลาดหุ้นสหรัฐ โดดเด่นสุด ผลตอบแทนมีโอกาสเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดี แม้ Valuation แพง แนะลงทุนระยะยาว ในหุ้นกลุ่ม Quality Growth เกาะกระแส AI ด้าน InnovestX แนะลงทุนแบบเก็งกำไร ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,550 จุด จากปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ Family officeพร้อมให้คำปรึกษาการลงทุนในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อความมั่งคั่งทางการเงินในอนาคต

คุณศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH จัดงาน SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ “Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025” เพื่อมุ่งเน้นให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องจับตามองในปี 2568 พร้อมโซลูชั่นการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ที่สามารถให้คำแนะนำครบทุกองค์รวมของ SCB WEALTH Holistic เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ SCB WEALTH ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งให้คำปรึกษาเพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายในทุกช่วง State of life  เพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ พร้อมส่งต่อมรดก และความมั่งคั่งให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน

ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2568 การขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน แม้แรงกดดันระยะสั้นจะลดลงตามทิศทางเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะส่งผลกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบาย Trump 2.0 ของสหรัฐฯ ที่จะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันการค้าโลกให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว แต่ปัญหาการเมืองในบางประเทศอาจเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ

ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินโลกในปี 2025 จะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยทั้งปี 125 BPS  และ 50 BPS  ตามลำดับ มากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 ที่เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่ำลงตามอุปสงค์โลกชะลอตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump

เศรษฐกิจไทยในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 2.4% จากผลกระทบการกีดกันการค้ารุนแรงขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน นอกจากนี้ สงครามการค้ารอบใหม่จะทำให้ไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศจะมีปัจจัยกดดันมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไทยเติบโตชะลอลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มกระทบหลายประเทศ การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ในช่วงปีนี้ เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีความเสี่ยงหลายด้าน ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังฟื้นตัวจำกัด ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะใช้เวลาคลี่คลายส่งผลกดดันการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน  

SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับลดลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี อยู่ที่ 2% จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัวต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะขึ้นกับความจำเป็นในการเตรียมรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่จะเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 นี้ SCB CIO มองว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ท่ามกลาง 3 ประเด็นสำคัญ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนโลก ได้แก่

1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดการเงินโลก นโยบายที่สำคัญของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก่ นโยบายกีดกันผู้อพยพ การผ่อนคลายกฎระเบียบ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และการลดภาษีเงินได้ ซึ่งนโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น การผ่อนคลายกฎระเบียบและคุมการขาดดุลงบประมาณ อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสในสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อตลาดฯ เช่น ยืดอายุการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร่วมกับการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างมาก อาจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นและกระตุ้นเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ อาจผลักดันสกุลเงินดอลลาร์ สรอ.ให้แข็งค่ามากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของ Trump ที่ต้องการให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่า เพื่อสนับสนุนภาคการผลิต

2) ความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ยังหนืด จากผลกระทบของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำให้อาจปรับลดดอกเบี้ยได้ช้าลง และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯ ตัวสั้นมีโอกาสปรับลดได้น้อยลง ขณะที่ Bond Yield ตัวยาว มีโอกาสเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield Curve) ชันมากขึ้น ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ตัวสั้น ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้น น้อยกว่าตราสารหนี้ตัวยาว อย่างไรก็ตาม หากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น เช่น กรณีที่มีการตอบโต้ทางการค้ากันรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น และส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลงได้

3) กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทิศทางการเงินการลงทุน AI กำลังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI เช่น ศูนย์ข้อมูล ระบบประมวลผล และแหล่งพลังงานที่สนับสนุน AI จะมีความสำคัญอย่างมาก โดยการลงทุนใน AI ไม่เพียงแต่จะสร้างโอกาสสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เช่น กลุ่ม Software แต่ยังครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กลุ่ม Utilities และการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ เมื่อเรียงลำดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั่วโลก พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นที่สุด มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และกระจายเป็นวงกว้างขึ้น แต่ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้ลงทุนระยะยาว โดยคัดเลือกหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่เกาะกระแส AI ผสมผสานกับกลุ่ม Defensive ที่รายได้และกำไรของบริษัท มีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจต่ำ ขณะเดียวกัน ก็สามารถหาโอกาสจากการลงทุนระยะสั้น ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ทางด้าน ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เผชิญปัจจัยกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น เงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า และความไม่แน่นอนบนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จึงอาจยังไม่น่าสนใจลงทุนในระยะสั้น แต่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไทย ในส่วนของ ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชายขอบที่มีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ สามารถหาโอกาสลงทุนในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยท้าทายที่ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้มากขึ้น SCB CIO จึงแนะนำให้ ลดความเสี่ยงให้พอร์ต โดยลงทุนระยะยาวในหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ ที่มี Duration สั้น yield ยังน่าสนใจ พร้อมแบ่งเงินส่วนหนึ่งลงทุนใน REITs / สินทรัพย์ผสม เพื่อสร้างกระแสเงินสด นอกจากนี้ แนะนำลงทุน ทองคำ ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และสงคราม

คุณสุกิจ  อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด  เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนใน ปี 2025 จะมี “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปี 2025 คือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” จากความท้าทายสำคัญในปี 2025 ได้แก่ 1) นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า 2) ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูลข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก หากพิจารณาจากพฤติกรรมของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นายอีลอน มัสก์ ที่มักจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร 3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯแม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation ของหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี 4) เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับ 2 ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และ ผลกระทบจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และ 5) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Currency war ตามมา ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

ในปี 2568 ประเมินเป้าหมาย SET Index ที่ 1,550 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่น จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิเช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการแพทย์และกลุ่มพาณิชย์ สำหรับหุ้นแนะนำแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) Value stock  ได้แก่หุ้น AOT,BBL  และ CPALL  2) Dividend stock  ได้แก่หุ้น AP,BCP  และ LHHOTEL  3) Laggard stock   ได้แก่หุ้น BCH,GPSC  และ HMPRO  และ 4) Mid-small cap growth  ได้แก่ หุ้น AMATA , AU  และ INSET

ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส  Wealth Planning and Family Office  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2024 ต่อเนื่องมายังปี 2025 ทางลูกค้ากลุ่ม Wealth และ Family Business ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารจัดการและการส่งต่อทรัพย์สินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการวางแผนการส่งต่อธุรกิจครอบครัว (กงสี) การวางโครงสร้างและการลงทุนการขยายกิจการในธุรกิจใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการสะสมความมั่งคั่งและการวางแผนเพื่อการส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปทั้งในด้านความมั่งคั่งของครอบครัวและธุรกิจครอบครัว ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้บริการแก่ลูกค้าในรูปแบบ Holistic Solutions ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ช่วงอายุไม่ว่าจะในด้านการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation) การดูแลให้คำแนะนำในด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อการส่งต่อของธุรกิจครอบครัวและมรดก (Wealth Planning and Wealth Transfer)

สำหรับบริการของ Wealth Planning and Family Office  เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของลูกค้าทำหน้าที่เป็น Family Office เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) ในแต่ละช่วงวัยและแต่ละบริบทชีวิตในด้านการดูแลให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินการส่งต่อธุรกิจครอบครัวและมรดกในรูปแบบการแนะแนวทาง (Navigate) การดูแลอำนวยความสะดวก (Facilitate) และให้คำแนะนำในเบื้องต้น (Initial Advice) ให้กับสมาชิกในครอบครัวโดยครอบคลุมในทุกๆ รุ่น อาทิ การวางรากฐานแนวความคิดของครอบครัว แนวการดำเนินการธุรกิจครอบครัวและการเชื่อมต่อจากรุ่นสู่รุ่น ธรรมนูญครอบครัว สัญญาก่อนสมรส บัญชีทรัพย์สิน พินัยกรรม พินัยกรรมชีวิต กลไกการขจัดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวโดยคนกลางผ่านกระบวนการประนีประนอม (Mediation) หรือการระงับข้อพิพาทโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ในด้านธุรกิจครอบครัว (Family Business) จะเป็นการให้คำแนะนำในด้านการวางแผนจัดตั้งบริษัท Holding การจัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุน การต่อยอดในธุรกิจเดิมและการขยายในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) การวางแผนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO : Initial Public Offering)  การควบรวมกิจการ (M&A) การวางแผนเพื่อการปกป้องกันธุรกิจครอบครัวไม่ให้ตกเป็นของบุคคลภายนอก หรือการวางกลยุทธ์สำหรับการออกจากธุรกิจเดิมไปยังธุรกิจใหม่ การวางแผนประกันชีวิตและภาษีเพื่อการส่งต่อความมั่งคั่ง และภาษีรับมรดก รวมถึงภาษีที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ เป็นต้น

ในด้านบริการของ Wealth Planning and Family Office ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวของลูกค้า (Family Members Resource) ทุกๆ ท่านเพื่อช่วยในการวางรากฐานและการส่งต่อให้กับสมาชิกในครอบครัวในทุกๆ รุ่น โดยเฉพาะการตระเตรียมสำหรับทายาทในกลุ่ม Gen Alpha และ กลุ่ม Gen Beta เพื่อรองรับการส่งต่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นหลักการพื้นฐานของครอบครัวทั้งทางความคิด วัฒนธรรม ค่านิยม หลักคุณธรรม จริยธรรม ความเชื่อที่ครอบครัวยึดถือสำหรับปฏิบัติระหว่างสมาชิกครอบครัวและต่อสังคมตามหลัก ESG (Environment, Social, และ Governance) การกำหนดนโยบายและแผนการส่งต่อทรัพย์สินและสืบทอดตำแหน่งสำคัญๆ ของธุรกิจครอบครัว การกำหนดหน้าที่สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งข้อกำหนดว่าห้ามสมาชิกในครอบครัวทำเรื่องใดบ้าง สวัสดิการของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งธรรมนูญครอบครัว สัญญาผู้ถือหุ้น พินัยกรรม หรือเอกสารใดๆ เป็นเครื่องมือช่วยในการวางกฎระเบียบการส่งต่อเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คือการวางรากฐานทางความคิดจิตวิญญาณและการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างสมาชิกในครอบครัวจนมีการหล่อหลอมกลายเป็นเสาหลักที่เข้มแข็งจนกลายเป็นความมั่งคั่งทางความคิดของสมาชิกในครอบครัว เพื่อก่อให้เกิดความสามัคคีของสมาชิกในครอบครัวทุกๆ รุ่นที่จะช่วยกันดูแลความมั่งคั่ง ทรัพย์สินและธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยั่งยืน        

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน นำโดย นางสาวน้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร   แบรนด์และกิจการเพื่อสังคม ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดย ดร.ปิ่นสักก์  สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมระดมความคิดเพื่อฟื้นฟูและดูแลระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งการจัดการปัญหาขยะทะเล โดยเน้นกลยุทธ์ Up-Scale และ Up-Speed เพื่อเร่งขยายผลในโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่าง SCGC และ ทช. อาทิ ทุ่นกักขยะลอยน้ำ  บ้านปลา การปลูกป่าชายเลน

 

พร้อมกันนี้ SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ล่าสุด “SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3” จำนวน 25 ชุด ให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปกักขยะลอยน้ำบริเวณปากแม่น้ำลำคลองสาขาต่าง ๆ ไม่ให้หลุดรอดสู่ทะเล โดยระหว่างปี 2563 จนถึงปี 2567 (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะฯ ไปแล้วกว่า 50 ชุด ติดตั้งใน 17 จังหวัด สามารถลดปริมาณขยะบกไหลลงสู่ทะเลได้กว่า 90 ตัน ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับระบบนิเวศทางทะเล

สำหรับ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ : SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3 ได้ออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน สามารถลดน้ำหนักทุ่นได้กว่า 50% ประกอบติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ขนส่งในปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยวจึงช่วยลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ สามารถรองรับน้ำหนักขยะได้กว่า 700 กิโลกรัมต่อตัว อายุการใช้งานยาวนานกว่า 25 ปี แม้วางอยู่กลางแสงแดด เนื่องจากวัสดุที่นำมาใช้เป็นพลาสติก HDPE เกรดพิเศษเช่นเดียวกับที่ใช้ใน SCGC Floating Solar Solutions จึงมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ SCGC ได้ร่วมกับ ทช. และภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมเยาวชน The Youth Fund สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มปิโตรเคมี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ องค์กร AEPW (Alliance to End Plastic Waste) ขับเคลื่อนภารกิจพิทักษ์ทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โดย SCGC ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนามาสร้างสรรค์ “นวัตกรรมเพื่อพิทักษ์ทะเล” (Innovation for Better Marine) อาทิ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ บ้านปลาเอสซีจีซี รวมทั้งร่วมก่อตั้งเครือข่าย “Nets Up” โมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อทะเลยั่งยืน เปลี่ยนอวนประมงที่ไม่ใช้แล้ว สู่ Marine Materials วัสดุทางเลือกใหม่จากนวัตกรรมรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังได้นำพนักงานจิตอาสาร่วมเก็บขยะชายหาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่าน มีจิตอาสากว่า 2,000 คน สามารถเก็บขยะชายหาดได้กว่า 3 ล้านตัน

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้วยศักยภาพอันมหาศาลในการสร้างรายได้และการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำระดับโลก ในปีนี้ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค และ Royal Dutch Jaarbeurs ซึ่งมีประสบการณ์อันยาวนานในการจัดงานแสดงเทคโนโลยีในหลากหลายอุตสาหกรรม พร้อมเปิดตัวเวที B2B ครั้งแรกในเอเชีย ที่มุ่งเน้นการสร้างอนาคตด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย งาน Travel & Tech Asia 2025 (ทราเวล แอนด์ เทค เอเชีย 2025) จะเป็นศูนย์กลางที่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีได้เชื่อมโยงกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยตรง เพื่อร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมสู่อนาคต งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะผู้จัดงานได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว Travel & Tech Asia 2025 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดงาน พร้อมจัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตของเทคโนโลยีการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย” ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรมร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ได้แก่ 

- คุณนัวร์ อาหมัด ฮามิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) 

- คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) 

- คุณมิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาค กลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและจีน Booking.com 

- คุณอังคณา ตั้งกระจ่าง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด Landmark Lancaster Hotel Group

- คุณปนัดดา ก๋งม้า รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค (ตัวแทนผู้จัดงาน)

 

คุณจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา กล่าวว่า “กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืนผ่านการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ โดยเรามุ่งพัฒนาระบบข้อมูลและข้อมูลท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนอย่างไร้รอยต่อ ความร่วมมือนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย งาน Travel & Tech Asia 2025 เป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพและความพร้อมของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและเทคโนโลยีในภูมิภาค รวมทั้งเน้นย้ำถึงการมุ่งมั่นของเราในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่บูรณาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในระดับโลก”

 

คุณปนัดดา ก๋งม้า รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าวว่า "การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวในยุคนี้ ซึ่งต้องปรับตัวให้ทันกับความคาดหวังใหม่ ๆ ทั้งในด้านความยั่งยืน ความปลอดภัย การจองที่สะดวกและรวดเร็ว รวมถึงการบริการแบบเรียลไทม์ผ่าน AI ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ" พร้อมเน้นย้ำว่า Travel & Tech Asia 2025 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว


คุณนัวร์ อาหมัด ฮามิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) กล่าวว่า "เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลภูมิทัศน์ของการท่องเที่ยวในเอเชีย โดยนำเสนอโอกาสใหม่ๆ ทางด้านนวัตกรรมและแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ด้วยการบูรณาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เราเชื่อว่าเรากำลังตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับการเดินทางที่ส่งผลดีต่อด้านสิ่งเเวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสบการณ์ให้เเก่นักท่องเที่ยว เทคโนโลยีจะช่วยส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว"

คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวเสริม “อนาคตของการท่องเที่ยวในไทยขึ้นอยู่กับการที่เรามุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ ด้วยกลุ่มคนที่ทำงานด้านเทคโนโลยีที่มีความตื่นตัว รวมทั้งการสนับสนุนของนโยบายรัฐบาล และจุดแข็งที่มีอยู่ของไทย ทำให้เรากำลังก้าวหน้าไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปอยู่ในแถวหน้าของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”

คุณมิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาคประจำกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและจีน Booking.com กล่าวว่า  " ทาง Booking.com ได้มีการใช้ AI มากกว่าทศวรรษ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ทำให้แผนการเดินทางเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้นและสามารถจัดการได้อย่างเฉพาะบุคคลได้มากยิ่งขึ้น เทคโนโลยี่ช่วยให้เราบรรลุภารกิจของเรา ในการทำให้ทุกคนสามารถสัมผัสโลกและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้เร็วกว่าที่เป็นมา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันของธุรกิจการท่องเที่ยว  ซึ่งภาคธุรกิจไม่สามารถมองข้ามบทบาทการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้ เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่จะช่วยให้เกิดการแข่งขันในตลาดอย่างมีศักยภาพ และนี่เป็นส่วนสำคัญอย่างต่อการเติบโตโดยรวมของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

คุณอังคณา ตั้งกระจ่าง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด Landmark Lancaster Hotel Group กล่าวว่า “ในอุตสาหกรรมการโรงแรม การบริการถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการยกระดับคุณภาพการบริการและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งทำให้เราสามารถดูแลลูกค้าแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น เเละในมุมมองของเรา เทคโนโลยีไม่ได้เข้ามาแทนที่ "human touch" ในการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า แต่กลับช่วยเสริมศักยภาพในการมอบประสบการณ์ที่ดี  ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจของเรา  ทั้งนี้ความแม่นยำของเทคโนโลยียังช่วยลดข้อผิดพลาดของคนในการทำงานอีกด้วย ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโรงเเรม เราจึงให้ความสนใจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และตั้งตารอที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้กับการทำงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงยิ่งขึ้น”

Travel & Tech Asia 2025 ไม่เพียงแต่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างโอกาสและแพลตฟอร์มสำหรับนวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบโจทย์การเดินทางในทุกมิติ ภายในงานจะมีการจัดแสดงนวัตกรรมจากบริษัทชั้นนำกว่า 60 บริษัท พร้อมคาดการณ์ว่าจะดึงดูดผู้เข้าชมงานกว่า **2,000 คน โดยไฮไลต์สำคัญจะประกอบด้วย เทคโนโลยีและโซลูชันการเดินทางที่ยั่งยืน เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ ระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว ประสบการณ์เสมือนจริง (AR/VR) เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น FinTech เพื่อการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย 

นอกจากนี้ งานยังได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และหน่วยงานชั้นนำอื่น ๆ

เตรียมพบกับอนาคตของการท่องเที่ยวระดับเอเชียในงาน Travel & Tech Asia 2025 ระหว่างวันที่ 2-3 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเทคโนโลยีที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  โทร: 02-211-1661 ต่อ 250  หรือเว็บไซต์: https://travelandtechasia.com

ดีป้า เปิดบ้านหลังใหม่ในซอยลาดพร้าว 10 ต้อนรับคณะฑูต ผู้บริหารระดับสูงจากเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ตอกย้ำศักยภาพการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเต็มพิกัด พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในหัวข้อ ‘depa of the Future’ ในงาน The 8th Founding Anniversary of depa หวังยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยและคุณภาพชีวิตคนไทยตามแนวคิด perform better, think faster and live better.

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดอาคารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (สำนักงานใหญ่) แห่งใหม่ในซอยลาดพร้าว 10 ต้อนรับคณะฑูต ผู้บริหารระดับสูงจากเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน แสดงความพร้อมตอกย้ำศักยภาพการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มความสามารถ จากนั้นได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในหัวข้อ ‘depa of the Future’ ภายในงาน The 8th Founding Anniversary of depa โดยระบุว่า โลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมกลับเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่า ดังนั้น Self-sustainability จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่ง ดีป้า พร้อมสร้างโอกาสใหม่ที่จะช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับอนาคตของประเทศไทย ประกอบไปด้วย 3 แนวทางสร้างความเปลี่ยนแปลง ได้แก่

Making Change for Digital Skill Improvement

เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลผ่านแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลคนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย หรือ Digital Skill Roadmap ผ่านเครือข่ายเทคโนโลยี 5G ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้เกิด Digital Talent ในทุกอำเภอทั่วประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการจ้างงานและการพัฒนาทักษะผ่านการมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับองค์กรธุรกิจที่ส่งพนักงานฝึกอบรมในหลักสูตรดิจิทัลที่ ดีป้า และเครือข่ายพันธมิตรให้การรับรองสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 250% นอกจากนี้ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 150% ของเงินเดือน 12 เดือนแรกของผู้จบการศึกษาด้านดิจิทัล สำหรับประชาชนทั่วไป ดีป้า จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษี โดยประชาชนสามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับดิจิทัล วงเงินรวมไม่เกิน 50,000 บาทมาหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 ได้ 100%

Making Change for New Opportunities

ปรับเปลี่ยนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุน ดิจิทัลสตาร์ทอัพ และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก หรือ A New Paradise of Global Technology and Supply Chain เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ควบคู่ไปกับการมุ่งยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศผ่านการขับเคลื่อนไทยในรูปแบบใหม่ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย พร้อมเติมเต็มศักยภาพคนไทยในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมให้มีความพร้อมรองรับทุกโอกาสในอนาคต

Making Change for Thai Ecosystem Development

เปลี่ยนแปลงข้อจำกัดให้กลายเป็นเส้นทางสู่โอกาสใหม่ของประเทศไทย โดยการผสานสิทธิประโยชน์ทางภาษี และสิ่งที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ บัญชีบริการดิจิทัล (Thailand Digital Catalog) กลไกยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลไทยที่มีการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐาน dSURE และราคา ซึ่งถือเป็นช่องทางการเข้าถึงตลาดภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการสร้างทรัพยากรสำคัญอย่าง ‘คน’ โดยการ Upskill, Reskill, New Skill และการดึงดูดกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนเข้าสู่ประเทศ

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ดีป้า จะยกระดับรูปแบบการส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ระดับ Idea Stage โดยสร้างให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสตาร์ทอัพที่มีไอเดียธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนไม่น้อยกว่า 200 ทุน นอกจากนี้ ดีป้า จะผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม พ.ศ. ... เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

ดีป้า พร้อมทำงานเพื่ออนาคตของคนไทย และเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้อยู่ในระดับชั้นนำของโลก ภายใต้วิสัยทัศน์ We work smart every day to build a world-class digital economy and to help people perform better, think faster and live better.

ตั้งแต่วันนี้ถึง 28 ก.พ. 68 ซื้อสินค้าทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท พิเศษยิ่งกว่า ลูกค้าทรู ดีแทค ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน นำอายุการใช้งาน รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 1,000 บาท

บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีจากภาครัฐ “Easy E-Receipt 2.0” พร้อมนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุนที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ชูกองทุนแนะนำผ่านการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ย้ำต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568 เท่านั้น

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลผ่านโครงการ Easy E-Receipt 2.0 โดยนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุน (Front-end Fee และ Back-end Fee) ที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้แก่กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ ธุรกรรมการซื้อและขายกองทุน ต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 – 28 กุมภาพันธ์ 2568

นายวินกล่าวต่อไปว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย ได้แก่ Core Portfolio ซึ่งเน้นลงทุนระยะยาวแบบจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำเป็นกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนผสมที่จัดพอร์ตการลงทุนให้สำเร็จรูป ประกอบด้วย 3 กองทุนตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ กองทุน K-WPBALANCED ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 55-85%, K-WPSPEEDUP ที่เน้นสัดส่วนในหุ้นมากขึ้น 50-80% และ K-WPULTIMATE ที่เพิ่มสัดส่วนหุ้นได้มากถึง 100% ทั้งนี้ กลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series มีกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นกระจายการลงทุน (Asset Allocation) ในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก ซึ่งสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีในทุกสภาวะตลาด อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์จากพาร์ทเนอร์ระดับโลก J.P. Morgan Asset Management เข้ามาช่วยดูแลพอร์ตแบบ Look Through (มองเห็นสินทรัพย์ทุกตัวในพอร์ต) และปรับพอร์ตได้อย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลเชิงลึกจากทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทั่วโลก

สำหรับ Satellite Portfolio ซึ่งเน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำเป็นกองทุน K-FIXEDPLUS มีนโยบายการลงทุนที่เน้นตราสารหนี้คุณภาพดีระยะกลาง-ยาว ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ, K-GSELECT มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF เน้นกระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก และ K-PROPI มีนโยบายการลงทุนในหุ้น / REIT ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในและต่างประเทศ โดยกองทุนได้รับ Morningstar 4 ดาว จากผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (ข้อมูลจาก Morningstar ณ 31 ธ.ค. 2567)

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนกับกองทุนกสิกรไทยได้ง่ายๆ ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย จะจัดส่งใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอีเมลที่ผู้ลงทุนได้สมัครไว้ (สำหรับผู้ลงทุนที่สมัครใช้บริการ K-Mutual Fund Reports) และสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีบริการ K-Mutual Fund Report หากต้องการใบกำกับภาษีเก็บไว้เป็นหลักฐานในการลดหย่อน สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน ส่งกลับมาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เพื่อดำเนินการออกเอกสารและจัดส่งให้ผู้ลงทุนต่อไป ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมการขายและค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888


ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน • กองทุนมีนโยบายที่แตกต่างกันทั้งด้านสินทรัพย์/ภูมิภาค/ประเทศ/กลุ่มธุรกิจที่กองทุนลงทุน ราคาของหลักทรัพย์จึงมีความผันผวนตามปัจจัยที่กระทบ • กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือ ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะพันธมิตรหลักของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล นำโดย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 2 จากขวา) ร่วมประกาศถึงความพร้อมในการผลักดันเยาวชนที่หลงใหลในกีฬาฟุตบอล ในงานแถลงข่าวเปิดตัว LFC International Academy Thailand ณ โรงเรียน DBS Denla British School

โดยกลุ่มแอกซ่าเป็นพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2019 และในปีที่ผ่านมา ได้ขยายความร่วมมือไปอีก 5 ปีจนถึงปี 2029 ซึ่งรวมถึงสิทธิ์ในการตั้งชื่อศูนย์ฝึกอบรม AXA Training Centre ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นสนามฝึกซ้อมให้กับนักเตะสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทั้งนี้สำหรับ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต มีโครงการและกิจกรรมมากมายที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นพันธมิตรกับทางสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล อาทิ แคมเปญ “ลุ้นทริปบินลัดฟ้าเที่ยวอังกฤษ พร้อมดูบอลทีมลิเวอร์พูลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต” นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับทาง LFC International Academy ประเทศไทย ในการจัดโครงการ  KTAXA x LFC Football Clinic เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ และในปีนี้ทางบริษัทฯ ยังมีโครงการอีกมากมายที่จะร่วมมือกับทาง LFC International Academy เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีใจรักฟุตบอลตลอดปี 2568 นี้

ทั้งนี้ทางบริษัทฯ และสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล มีเป้าหมายเดียวกัน ในการส่งเสริมเยาวชนให้มีสุขภาพแข็งแรง และยกระดับทักษะฟุตบอลให้แก่เยาวชนไทยได้ก้าวขึ้นสู่ระดับสากล อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่สนับสนุนความเชื่อมั่น ว่าทุกคนทำได้ “Know You Can” และบริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุน อยู่เคียงข้างความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย เพื่อก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จดังหวัง

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ดำเนินการส่งมอบรางวัลรถยนต์ BYD SEAL จำนวน 3 คัน รวมมูลค่า 4,497,000 บาท ให้กับลูกค้าผู้โชคดี 3 ท่าน จากแคมเปญ ‘ฉลองครบรอบ 30 ปี BYD’ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุน พร้อมทั้งให้ความไว้วางใจในกลุ่มธุรกิจเรเว่รวมถึงรถยนต์ BYD โดยตลอดมา

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ สำนักงานใหญ่กลุ่มธุรกิจเรเว่ อาคารโรงแรมสยาม แอท สยาม พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูง ของบีวายดีไทยแลนด์และกลุ่มธุรกิจเรเว่ พร้อมด้วยตัวแทนจากสื่อมวลชนชั้นนำ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการจับฉลาก สำหรับรายชื่อลูกค้าผู้โชคดีมีดังต่อไปนี้

และพิธีส่งมอบ BYD SEAL[1] ให้กับ 3 ผู้โชคดี มีขึ้นในวันที่ 22 มกราคม 2568 ณ สนามพีระเซอร์กิต พัทยา ซึ่งจัดขึ้นหลังพิธีจับฉลากและประกาศรายชื่อลูกค้าผู้โชคดี จากแคมเปญ ‘ฉลองครบรอบ 30 ปี BYD’

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจเรเว่ขอแสดงความยินดีกับลูกค้าผู้โชคดีทั้ง 3 ท่านจากแคมเปญนี้ พร้อมกันนี้เราขอขอบคุณทุกการสนับสนุน และความไว้วางใจจากลูกค้า BYD ทุกท่าน ที่มีให้กับเราโดยเสมอมาอีกครั้ง จนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้ BYD ก้าวขึ้นสู่เป็นผู้นำระดับโลก ของอุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์พลังงานใหม่ นำไปสู่การจัดแคมเปญ ‘ฉลองครบรอบ 30 ปี BYD’ ซึ่งไม่เพียงแต่มอบสิทธิ์ให้ลูกค้ากลุ่มล่าสุดของเรเว่เท่านั้น แต่ยังมอบสิทธิ์ให้ลูกค้ากลุ่มบุกเบิก นับตั้งแต่คนแรกที่ออกรถกับเรเว่ ทำให้มีลูกค้ากว่า 70,000 ท่าน ได้ร่วมลุ้นกับเราในกิจกรรมนี้ เรเว่ขอให้คำมั่นว่าจะไม่หยุดยั้งการส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อเป็นการตอบแทนทุกความไว้วางใจต่อไป”

มร. เบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดีไทยแลนด์ จํากัด กล่าวว่า “BYD ดำเนินธุรกิจมานานถึง 30 ปี โดยสะสมประสบการณ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อยมา จนเกิดเป็นยานยนต์พลังงานใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมและคุณภาพ ให้ผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงชาวไทยได้สัมผัส เราขอกล่าวขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยจากใจจริง ที่ให้การตอบรับอย่างดีโดยเสมอมา BYD จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ต่อไป และจะสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานอีกระดับร่วมกับกลุ่มธุรกิจเรเว่ ให้สมกับความเชื่อมั่นที่ได้รับจากผู้บริโภคชาวไทย”

สัมผัสนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่จาก BYD ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการได้แล้ววันนี้ ที่ผู้จำหน่าย BYD ทั้ง 137 แห่งทั่วประเทศ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BYD และเรเว่ ได้ที่ reverautomotive.com/ ไม่พลาดข่าวสารล่าสุดจากเรา เพียงติดตาม Facebook Page: BYD RÊVER Thailand


[1] เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง เผยมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2568 ในงานสัมมนา KRUNGSRI PRIVATE BANKING Investment Outlook 2025 ในหัวข้อ 2025 and Beyond: Power Dynamics after Trump Era โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้แก่ Mr. Shaun Jamieson, Vice President Global Allocation Team BlackRock ดร. อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยสรุปเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ชี้นักลงทุนควรจับตานโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

BlackRock คาดการณ์โอกาสและความเสี่ยงรอบใหม่

เริ่มต้นด้วยมุมมองเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ Mr. Shaun Jamieson, Vice President Global Allocation Team, BlackRock ได้แบ่งกรอบการวิเคราะห์สถานการณ์ออกเป็น 3 ส่วน ประกอบไปด้วย ปัจจัยคงที่ ปัจจัยผันแปร และสุดท้ายคือการนำทั้ง 2 ส่วนมาวิเคราะห์เป็นกลยุทธ์การลงทุน ทั้งนี้ ในส่วนของปัจจัยคงที่ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ พึ่งพาภาคบริการมากขึ้น ทำให้ความผันผวนทางเศรษฐกิจลดน้อยลง 2) ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคบริการ 3) ภาคครัวเรือนสหรัฐฯ มีเงินออมสูง สืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง COVID-19  4) การลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CapEx) ที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจ และคาดว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP ได้ถึง 15% ใน 10 ปีข้างหน้า และ 5) สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง สะท้อนจากมูลค่าเงินทุนจำนวนกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกองทุนตลาดเงิน ซึ่งอาจหนุนตลาดหุ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีตัวแปรที่ยังคงต้องติดตาม ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านการค้า ขณะที่นโยบายด้าน Deregulation อาจจะให้ผลในเชิงบวก 2) ผลกระทบของกระแสทวนกลับของโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) โดยที่แต่ละประเทศจะเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้น 3) ทิศทางนโยบายการเงินของ FED ที่ยังคาดเดาไม่ได้ และ 4) หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะระบุถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ซึ่งหากนำปัจจัยทั้ง 2 มาวิเคราะห์ถึงผลกระทบโดยรวมที่อาจเกิดขึ้น มองว่าในระยะสั้นจะมี Positive Demand Shock จากตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการบริโภค รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่จะยังส่งผลบวกต่อ
อุปสงค์ในภาพรวม ขณะที่เงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ แต่ในระยะยาวจะเกิด Positive Supply Shock การลงทุนภาครัฐและเอกชนที่เน้นประสิทธิภาพการผลิต เช่น เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ช่วยทดแทนแรงงาน

สำหรับมุมมองด้านการลงทุน แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นจะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่ยังมีโอกาสการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีผลประกอบการและกระแสเงินสดเติบโต ซึ่งปัจจุบันอัตราการเติบโตของรายได้และกระแสเงินสดอิสระสูงกว่าในอดีต ขณะที่ยุโรปมี Valuation ที่น่าสนใจ แต่มีความเสี่ยงในการเติบโต อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบริษัทชั้นนำในกลุ่ม Healthcare และ Financial ที่น่าสนใจเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของ Corporate Reform ซึ่งการซื้อหุ้นคืนช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นด้านตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในตราสารอายุสั้นที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตราสารหนี้ระยะยาว นอกจากนี้ High Yield Bond และตราสารหนี้ที่มีหลักประกันยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งจากการชำระหนี้ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

จับตาจีนตั้งรับ ‘ทรัมป์ 2.0’ ขณะที่ ‘ไทย’ เตรียมสู้ศึกการค้าสองด้าน

ด้าน ดร. อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แบ่งการวิเคราะห์การลงทุนในจีนเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจไทยและโลก โดยมองว่าเศรษฐกิจจีนยังอยู่ในช่วง Stabilization คือเน้นทำให้เศรษฐกิจมีความมั่งคง รักษาระดับการเติบโต และเตรียมปรับโครงสร้างระยะยาว โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีผลต่อ GDP ประมาณ 15-30% ขณะที่รัฐบาลจะหันไปสนับสนุนเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตกว่า 8% ของ GDP ส่วนด้านนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศจีนและดึงฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ อาจเป็นการขึ้นกำแพงภาษีกับทุกประเทศ เพื่อดึงโรงงานจากจีนและประเทศอื่นๆ กลับไปยังสหรัฐฯ

สำหรับท่าทีการตอบโต้ของจีน มองว่า จีนจะเน้นการพัฒนาตลาดภายในประเทศและขยายไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มต้นพร้อมกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน เช่น AI, พลังงานทางเลือก และ Quantum Computing ซึ่งโดยสรุปแล้ว มองว่าการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ (Globalization) ในรอบนี้ สหรัฐฯ และจีนจะพึ่งพาตนเองมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบกับความมั่งคั่งที่ลดลง แต่จะแข็งแกร่งในระยะยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะไทยและประเทศกำลังพัฒนา จะเผชิญความท้าทายจากการย้ายฐานการผลิตกลับและสินค้าจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดโลก

Krungsri Investment Intelligence แนะคอยความชัดเจนจากปัจจัยสำคัญ

ด้าน นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มองปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2568 เป็น 4 ประเด็น ดังนี้

  1. เศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ : นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ดี และมีโอกาสเกิด Recession ต่ำ อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจ
  2. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด 7 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับตลาดหุ้นในปี 2568
  3. อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond Yield) : อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช้าและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจส่งผลให้ FED ปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น ทั้งนี้ ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ Bond Yield อยู่ในระดับสูง ซึ่งมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้โลก
  4. นโยบายทรัมป์ 2.0 : อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัว และเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามนโยบายในแง่บวกคือนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและ Deregulation ทั้งนี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าทรัมป์จะสามารถดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้ได้มากน้อยและรวดเร็วแค่ไหน

โดยทีม Krungsri Investment Intelligence ได้สรุปมุมมองและคำแนะนำการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์ ไว้ดังนี้

- ตราสารหนี้โลก : แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยแนะนำกองทุน KF-CSINCOM ที่มีการปรับ Duration ของกองทุนสม่ำเสมอ และปรับสัดส่วน High Quality กับ High Yield ตามสภาวะตลาด

- ตลาดหุ้นโลก : มีมุมมองที่เป็นกลาง แต่มีมุมมองเป็นบวกกับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากมาตรการของทรัมป์ อย่างไรก็ตามควรติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากราคาหุ้นอาจมีความผันผวนจาก Valuation ที่อยู่ในระดับสูง

- หุ้นยุโรป : จังหวะซื้อที่ดีคือช่วงที่ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจยุโรปยังมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำรอความชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

- หุ้นญี่ปุ่น : ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทมีนโยบายการซื้อหุ้นคืน

- หุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา : มองว่ามีปัจจัยกดดัน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และอัตราผลตอบแทนสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

- หุ้นจีน : มองว่ากำลังเผชิญ 2 ประเด็นหลัก คือ การค้าระหว่างประเทศและภาคอสังหาฯ อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะมีการประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นระยะๆ ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

- หุ้นไทย : มองว่ามีความเสี่ยงจากการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของ GDP อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยบวก

- หุ้นเวียดนาม : จะมีปัจจัยบวกจากการอัปเกรดเป็น Emerging Markets แต่ต้องระวังผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งมีผลต่อประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ

สำหรับผู้สนใจบริการ KRUNGSRI PRIVATE BANKING สามารถเข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศึกษารายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.krungsri.com/th/wealth/krungsri-private-banking

X

Right Click

No right click