

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด และภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 6 จากซ้าย) ให้เกียรติกล่าวเปิด โครงการ KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ที่ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 พร้อมด้วยทีมโค้ชชั้นนำ โดยในซีซั่น 5 ได้ประเดิมสนามแรก ณ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีเยาวชนทั้งเพศชายและเพศหญิงอายุระหว่าง 13-15 ปี จากทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความฝันในการเป็นนักกีฬาฟุตบอลตบเท้าเข้าร่วมโครงการกว่า 600 คน โดยในปีนี้ เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษารวมกว่า 200,000 บาท พร้อมด้วยกรมธรรม์ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง ทุนประกันมูลค่ารวมกว่า 5,000,000 บาท ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ขอแสดงความยินดีกับ 2 เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกในสนามนี้ ได้แก่

สำหรับ KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ไม่เพียงแต่สนับสนุนการพัฒนาทักษะฟุตบอล แต่ยังส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและความมั่นใจในตนเอง เพื่อให้เยาวชนไทยก้าวสู่ความสำเร็จตามความฝัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่สนับสนุนความมุ่งมั่นว่า ทุกคนทำได้ หรือ Know You Can
และเตรียมพบกับสนามที่ 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะจัดขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมเปิดรับสมัครในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 หากเยาวชนท่านใดสนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1159 หรือทางเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/Hearts.in.action.volunteers
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีรากฐานการศึกษาแข็งแกร่งในการผลิต วิชาชีพครูชั้นสูงแห่งแรกแห่งเดียวในประเทศไทย กับปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 76 ของมหาวิทยาลัย ภายใต้ปรัชญา “Education is Growth การศึกษาคือความเจริญงอกงาม” ล่าสุด รองศาสตราจารย์ ดร.ชลวิทย์ เจียรจิตต์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) คนใหม่ กล่าวว่า“ผมตั้งใจจะพัฒนามหาวิทยาลัย ให้ตอบโจทย์สังคมและทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อเตรียมตัวให้นิสิตจบออกไปเป็นบัณฑิตที่พร้อมทั้งด้านวิชาการและเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าแก่สังคม พร้อมพัฒนามหาวิทยาลัยทั้งด้านกายภาพ และพัฒนาคุณภาพ การศึกษาให้ก้าวหน้าในระดับสากลด้วยแนวคิดเชิงรุก “Learning University for Society” LOVES SWU Growth for All” โดยแต่ละประเด็นในการพัฒนาแต่ละด้าน มีรายละเอียดดังนี้

L Lifelong Learning มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ กับแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ผ่านการร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงศูนย์กลางทางวิชาการเพื่อสังคม (SWU Scholar Hub for Society) มีคณาจารย์และนักวิชาการในฐานะผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่าง ๆ ที่สามารถสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางความรู้ให้กับสังคมไทย มศว พร้อมที่จะให้นักข่าวมาสัมภาษณ์อาจารย์และนักวิชาการในมหาวิทยาลัยเพื่อคืนความรู้สู่สังคม และ Excellent Center ศูนย์กลางนักวิชาการระดับสากลทั้งในไทยและต่างประเทศ และการส่งเสริมและสนับสนุนนิสิตที่มีศักยภาพให้กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (One Faculty, One Teacher)
O Opportunity โอกาสของทุกคน ผู้เรียนนิสิตให้ทุนการศึกษา ให้สวัสดิการต่างๆ ผลักดันนิสิตสู่การเป็นพลเมือง (Global Citizen) และมี Societal Mindset ให้เด็กเห็นคุณค่าสังคมพร้อมออกสู่สังคมอย่างมีความสุข และสานพลังเสริมศักยภาพในระดับนานาชาติ กับการทำความร่วมมือกับสถาบันต่าง ๆ ที่เสริมสร้างศักยภาพนิสิตและคณาจารย์
V Value Added ยกระดับคุณค่าขององค์กร พื้นที่การเรียนรู้แห่งอนาคต AI UNIVERSITY และ SWU Holding Company กับการบริหารการลงทุนเพื่อนำองค์ความรู้มาสร้างนวัตกรรมอย่างมืออาชีพ พัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์รัฐบาลและทิศทางของโลก
E Environment กับแนวคิด พื้นที่ของทุกคนเพื่อทุกคน University for all ปรับภูมิทัศน์ให้เป็น Universal Design รองรับการใช้พื้นที่สำหรับคนทุกแบบ และเพิ่มศักยภาพ Green University รวมถึง Health and Well-being areas

S Social Engagement พันธกิจสัมพันธ์เพื่อสังคม มศว มหาวิทยาลัยเพื่อสังคมร่วมผลักดัน มหาวิทยาลัยเข้าสู่มาตรฐาน ESG โดยการบริการวิชาการสู่สังคม (OFOC – One Faculty, One Community) 1 คณะ 1 ชุมชน, อโศก โมเดล และ องครักษ์ โมเดล กับการส่งเสริมสุขภาวะทั้งกายและใจ เช่น เปิดพื้นที่การออกกำลังกาย การใช้สนามในการวิ่ง ทำกิจกรรม มีการจัดสอนโยคะ ทุกวันจันทร์และพุธ ช่วง 17.00 และแอโรบิกเพื่อสุขภาพ ทุกเย็นวันอังคารและพฤหัสบดี ณ ลาน 400 ล้าน อาคารนวัตกรรมศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี เริ่ม 17:30 เป็นต้นไป และ เซิร์ฟสเก็ต สเก็ตบอร์ด ทุกเย็นวันพุธ ณ บริเวณลานเล่นล้อ เริ่ม 16:30 เป็นต้นไป

ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ “มศว” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้เพื่อสังคมที่มีรากฐานแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำทางการศึกษาในการผลิตครูและวิชาชีพครูชั้นสูงมาถึงวันนี้และเป็นสถาบันการศึกษาที่บ่มเพาะและสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อผลิตคนดีและคนเก่งสู่การรับใช้สังคม
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านวัสดุศาสตร์ (Materials Science) ได้รับพระราชทานโล่เกียรติคุณผู้สนับสนุนกิจการงานของมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากการสนับสนุนผลิตภัณฑ์โพลิยูรีเทนในการผลิตขาเทียมที่มีความคงทนแข็งแรง ช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังจัดการอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมให้แก่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ พร้อมปรับปรุงระบบการผลิตให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ
ในโอกาสนี้ นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ประธานบริหาร พร้อมกับคณะผู้บริหารของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จฯ และรับพระราชทานโล่เกียรติคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ อาคารมูลนิธิขาเทียม ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน กล่าวว่า “Dow รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนมูลนิธิขาเทียมฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ความร่วมมือตลอด 29 ปีนี้ ไม่เพียงช่วยให้ผู้พิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ แต่ยังสะท้อนถึงพันธกิจของ Dow ในการใช้วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเรามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างสรรค์โซลูชันด้านวัสดุที่มีความหมายต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับวันนี้และคนรุ่นต่อไป”
ความร่วมมือระหว่าง Dow และมูลนิธิขาเทียมฯ ไม่เพียงช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ แต่ยังส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยผลิตภัณฑ์และการสนับสนุนของ Dow ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน และยกระดับมาตรฐานการผลิตของมูลนิธิฯ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
เอสซีจี ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เปิดโรงงานเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เอสซีจีซี (SCGC) ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ให้ผู้ประกอบการ SMEs จากจังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรีกว่า 50 คน ในโครงการ “Go Together เติบโตด้วยกัน สู่โลกยั่งยืน” ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง พร้อมและเปลี่ยนความคิดเห็นและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับขีดความสามารถให้พร้อมต่อการแข่งขันและเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อรับมือกับภาวะโลกเดือด โดยได้รับเกียรติจากนายอนุพงศ์ ถาวรวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี และนายพิชิต ธีรชัยไพศาล รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เข้าร่วมเยี่ยมชมกิจการ โดยมีนายศาณิต เกษสุวรรณ ที่ปรึกษา สำนักงานการบริหารความยั่งยืน เอสซีจี และนายนิพัทธ์ ล้ำเลิศลักษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็มเอฟซี จำกัด ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC พร้อมด้วยคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ ณ นิคมอุตสาหกรรม อาร์ไอแอล จ. ระยอง

ผู้ประกอบการได้สัมผัสเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาด และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ SCGC ตามแนวทาง Inclusive Green Growth ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ


โครงการ Go Together จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ประกอบการจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ร่วมศึกษากระบวนการบริหารจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันของอุตสาหกรรมไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทย ช่วยผลักดันเงินทุนสนับสนุน Green Finance ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวม สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน
ในขณะที่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัญหาสำคัญในวงการสาธารณสุข องค์กรด้านเฮลท์แคร์และผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขทั่วโลกจึงจำเป็นต้องพัฒนาและหาแนวทางในการให้บริการสาธารณสุขที่ดีกว่า พร้อมๆไปกับการตระหนักถึงความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในบทความนี้จะขอนำทุกท่านไปอัปเดต 10 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปีค.ศ. 2025 ที่จะมาช่วยส่งมอบการดูแลรักษาที่ดีกว่าให้กับผู้คนได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน
เมื่อจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอและต้องรับภาระงานที่หนัก ผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์จึงหันมาใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเพื่อลดภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยจากผลสำรวจ 2024 Philips Future Health Index report เผยให้เห็นว่า 92% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์เชื่อว่า เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากร โดยเทคโนโลยีอัตโนมัติสามารถช่วยลดงานและกระบวนการที่ซ้ำซ้อนได้ ในขณะที่กว่าร้อยละ 90 ยังเชื่อว่าเทคโนโลยีอัตโนมัติจะลดภาระงานด้านเอกสาร ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น
Generative AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น 85% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ทั่วโลกจึงหันมาลงทุนหรือมีแผนที่จะลงทุนใน Generative AI ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าเทรนด์นี้จะมาแรงในช่วงปี 2025 นี้
ในปัจจุบัน Generative AI สามารถเป็นผู้ช่วยเสมือนจริงที่ช่วยลดระยะเวลาทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่มาช่วยจัดระเบียบบันทึกทางคลีนิกและช่วยสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยระหว่างทีมต่างๆ ให้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง Generative AI สามารถช่วยด้านการจัดการรายงานประวัติผู้ป่วยจำนวนมาก เพื่อให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยจัดงานรายงานและประมวลผลข้อมูลทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายได้อีกด้วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาตัวเองได้

แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยปรับปรุงการการทำงานด้านบริหารจัดการและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยได้อย่างมาก แต่บทบาทของ AI ในด้านสาธารณสุขไม่ได้มีเพียงแต่ในด้านการทำงานระบบอัตโนมัติ แต่ AI ยังสามารถช่วยยกระดับทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางขาดแคลนในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก แต่หากมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้จะช่วยให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยให้บุคลากรรุ่นใหม่สามารถให้การดูแลรักษาที่มีประสิทธภาพได้อย่างมั่นใจ
ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ทำให้การสแกนหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ cardiac CT เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถเข้าถึงเครื่องมือได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพและส่งมอบบริการในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย ยังสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางที่ส่วนกลางผ่านระบบทางไกล หรือการฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้มั่นใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการรักษามะเร็งยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจที่เกิดจากการรักษามะเร็ง อย่างการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด โดยงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดที่ผ่านการรักษามะเร็ง มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจสูงถึง 37% [1] ด้วยเทคโนโลยี AI ล่าสุดสามารถตรวจจับสัญญาณของการเป็นพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) ได้เร็วขึ้นในระหว่างการรักษา ผ่านระบบตรวจจับอัตโนมัติในการวัดค่าการทำงานของหัวใจ (Echocardiographic) และช่วยปรับปรุงกระบวนการทำซ้ำและลดเวลาในการศึกษาผล ช่วยให้กระบวนการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการรักษาล่าช้า ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเผชิญกับโรคหัวใจที่รุนแรงหลังการรักษา

การปฏิวัติเงียบๆ ในวงการศัลยกรรมได้เริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อการผ่าตัดเล็ก (minimal invasive) กำลังเข้ามาแทนที่การผ่าตัดใหญ่แบบดั้งเดิม โดยการผ่าตัดเล็กมาเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาแบบเดิมโดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดความเจ็บปวด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนได้ดีขึ้น
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้การศัลยกรรมหรือผ่าตัดเล็กแบบ minimally invasive ก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ก็มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน แพทย์จำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือการตรวจวินิจฉัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพเอ็กซเรย์ 2 มิติ แบบภาพสด, ภาพจากอัลตราซาวด์แบบ 3 มิติ, การตรวจด้วยอัลตราซาวด์หลอดเลือด (IVUS) และการวัดการไหลเวียนของเลือด (FFR หรือ iFR) และในขณะเดียวกันก็ต้องประเมินและติดตามภาวะของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการเชื่อมต่อของระบบ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือต่างๆ จึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น การบูรณาการระบบเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ศัลยกรรมสามารถวางแผนการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยได้ด้วยความมั่นใจ
ตัวอย่างนวัตกรรมล่าสุดของฟิลิปส์ในกลุ่ม Image-guided therapy ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เพราะทุกๆ 2 วินาที จะพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของภาวะความพิการในระยะยาว อย่างไรก็ตาม น้อยกว่า 5% ของประชากรทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ด้วยการสวนหลอดเลือดแบบไม่ต้องผ่าตัด (mechanical thrombectomy) หรือการผ่าตัดเล็ก (minimal invasive) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง [2] นอกจากนี้การเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และเพิ่มการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับเทคนิคการรักษาแนวทางใหม่ล่าสุดแบบผ่าตัดเล็ก ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ฟิลิปส์มุ่งมั่นจะทำต่อร่วมกับองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization)

การดูแลผู้ป่วยวิกฤต เวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่มักจะไม่ทันการณ์เสมอ บุคลากรทางการแพทย์มักจะเสียเวลาในการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยจากหลากหลายแหล่ง การใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศที่เชื่อมต่อเป็นวงกว้างสำหรับติดตามอาการผู้ป่วยจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลจากเครื่องมือและเทคโนโลยีที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้ป่วยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกจุดในโรงพยาบาล
ในปี 2025 เราจะได้เห็นความก้าวหน้าของเครื่องติดตามสัญญาณชีพที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบข้อมูลสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลจากเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่หลากหลาย เราจะได้เห็นการบูรณาการของเครื่องมือทางการแพทย์และการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีจากหลากหลายแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยวิกฤตให้กับผู้ให้บริการสาธารณสุข ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพทางคลีนิก ความแม่นยำของข้อมูล และการเพิ่มเวลาให้กับเจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกันในอุตสาหกรรมจะช่วยทำให้ระบบและอุปกรณ์ต่างๆ สามารถ "สื่อสาร" กันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้สามารถส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างสะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้ การทลายกำแพงของการเชื่อมต่อข้อมูลจะทำให้เราสามารถพัฒนาอัลกอริธึมที่ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถประเมินและคาดการณ์อาการของผู้ป่วยได้ล่วงหน้า และป้องกันความรุนแรงในผู้ป่วยได้
เราเพิ่งจะเริ่มหาแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต เพื่อการตั้งค่าแจ้งเตือนหากพบความผิดปกติหรือกรณีฉุกเฉิน ในอนาคต เทคโนโลยี AI จะสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้ ด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยกับเคสอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันหลายพันเคส เพื่อหาแนวทางรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ได้มีเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อีกหนึ่งเทรนด์ที่สำคัญไม่แพ้กันและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2025 คือ การดูแลสุขภาพนอกโรงพยาบาล โปรแกรม "การดูแลรักษาที่บ้าน" (Hospital-at-home) มีความต้องการเพิ่มขึ้น เพราะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาเหมือนในโรงพยาบาลจากทุกที่
เทคโนโลยีการติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วยระยะไกล (Remote patient monitoring) มีบทบาทสำคัญ ด้วยการส่งผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อช่วยประเมินและดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล นอกจากนี้ยังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างเช่นผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวอีกด้วย และสามารถติดตามอาการผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยสามารถออกจากโรงพยาบาลได้อย่างเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการเตียงในโรงพยาบาลที่มีอย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้มากขึ้น
ในปี 2025 เราจะได้เห็นความก้าวหน้าของ AI และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) ที่จะมาช่วยติดตามและประเมินความเสี่ยงของอาการผู้ป่วยจากระยะไกล โดยใช้ข้อมูลสัญญาณชีพและข้อมูลอื่นๆ ในการประเมินร่วมกัน จากรายงาน Future Health Index 2024 พบว่าเทคโนโลยีติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วยจากระยะไกล จะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการนำ AI มาใช้มากที่สุดในอีกสามปีข้างหน้า และ 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์วางแผนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีนี้ การใช้เทคโนโลยีติดตามสัญญาณชีพระยะไกลไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการกลับเข้าโรงพยาบาลได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและได้รับความสบายใจเมื่อได้อยู่ที่บ้าน

การรักษาพยาบาลผ่านทางออนไลน์ (Virtual Care) เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 จนถึงวันนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบริการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขที่ดีกว่าด้วย ทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด การเข้าถึงระบบสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล หรือชุมชนที่ด้อยโอกาสเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม และการดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง
อย่างการใช้เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกลและการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ณ จุดบริการตรวจ ร่วมกับการปรึกษาผ่านทางวิดีโอออนไลน์แบบเรียลไทม์ เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลรักษาแบบเทเลเฮลท์ (Telehealth) ที่เข้ามาช่วยให้ผู้คนเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้มากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อีกทั้งยังช่วยลดการเดินทางไปพบแพทย์ที่อยู่ห่างไกลได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเทเลเฮลท์แพทย์ประจำ ณ สถานพยาบาลปฐมภูมิจะสามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ถึง 40% ร่วมกับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางอนไลน์ [3]
ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีการดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในประเทศอินโดนีเซีย เผชิญกับความท้าทายด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เนื่องจากเป็นภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขตามยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของรัฐบาล การดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกล และ AI เป็นเครื่องมือสำคัญของอินโดนีเซียที่ใช้เพื่อให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้ป่วยแม้ในพื้นที่ห่างไกล

การเลี้ยงดูลูกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการใช้สมาร์ทดีไวซ์และแอปพลิเคชันต่างๆ พ่อแม่ยุคใหม่เข้าถึงข้อมูลที่ช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่ไม่เพียงแต่สามารถช่วยในการติดตามและประเมินด้านสุขภาพ แต่ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรมของเด็กได้อีกด้วย
ในปี 2025 นี้คาดว่าจะมีคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่ใช้แอปพลิเคชันและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการดูแลลูกๆ โดยงานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า 80% ของพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกา และ 79% ของพ่อแม่ในยุโรปสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์สมาร์ทเทคโนโลยี [4,5] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการนำข้อมูลจากสมาร์ทเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยในการดูแลด้านความปลอดภัยและสุขภาพของลูก
อุปกรณ์ภายในบ้านเชื่อมต่อกันมากขึ้นผ่านระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์วิดีโอและการฟังเพลงผ่านโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สวมใส่ (wearables) และสมาร์ทดีไวซ์ เช่น ถุงเท้า จุกนม และเครื่องติดตามต่างๆ สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับกิจกรรมหรือสัญญาณชีพของเด็กๆ ได้ รวมถึงการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจด้วย อุปกรณ์ติดตามที่มี AI บางอย่าง ยังสามารถแปลเสียงร้องของทารก เพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงความต้องการของลูก เช่น ความหิว หรือความต้องการอื่นๆ ได้รวดเร็วขึ้น
เป็นที่ชัดเจนว่าเครื่องมือดิจิทัลกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเลี้ยงดูลูกยุคใหม่ และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่สามารถทดแทนการดูแลลูกด้วยการลงมือทำจริงๆ แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้พ่อแม่รู้สึกมั่นใจในการดูแลลูกมากขึ้น

จากเทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กล่าวถึงข้างต้น ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ศักยภาพอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงวงการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และ AI ยังช่วยในด้านการพัฒนาความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์อีกด้วย
อุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกถึง 4.4% [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่ง แต่เทคโนโลยี AI สามารถช่วยวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็น การลดขยะและของเสีย หรือการปรับปรุงการจัดการสถานพยาบาล นอกจากนี้ AI ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย แต่ทำให้ลดการใช้พลังงานต่อการสแกนแต่ละครั้ง ดังนั้นการใช้ AI เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่น่าจับตาสำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้งาน AI มากขึ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากดิจิทัลโซลูชั่นส์จำเป็นต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการและการจัดเก็บข้อมูล พร้อมกับการใช้น้ำเพื่อทำความเย็นให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความร้อนสูง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนในการเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ นอกจากนี้ การใช้ AI ยังเพิ่มการใช้พลังงานถึงปีละ 26% ถึง 36% และการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปี [7] ในขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องตระหนัก ในขณะที่ Generative AI ถูกคาดการณ์ว่าจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึง 2.5 ล้านตันภายในปี 2030 [8] ขณะที่เราขับเคลื่อนวงการเฮลท์แคร์สู่ยุคดิจิทัล ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมที่คำนึงสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงาน ทรัพยากร และน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว

การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ หรือประมาณ 71% มาจากห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง ไปจนถึงกระบวนการกำจัดสินค้าหรือบริการ [9] จริงๆ แล้ว การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จาก 3 ภาคส่วน คาดว่าจะช่วยลดผลกระทบได้ถึง 7 เท่าเทียบกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จากการดำเนินงานขององค์กร องค์กรด้านสาธารณสุขเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อผลประกอบการในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้นความร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ความโปร่งใสและความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไปจนถึงความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ จากรายงาน Future Health Index ปี 2024 พบว่าภายในสามปีข้างหน้า 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์มีแผนที่จะเลือกซัพพลายเออร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน และ 41% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ยังมีแผนที่จะใช้กลยุทธ์การจัดซื้ออย่างยั่งยืน ที่รวมถึงการใช้อุปกรณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ในขณะที่ ฟิลิปส์ มุ่งมั่นทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและนำแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนมาใช้ ซึ่งการจัดหาสินค้าและบริการอย่างมีความรับผิดชอบนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ได้
ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรม Refurbishment ที่เน้นการใช้วัสดุสิ้นเปลืองและพลังงานน้อยลง การใช้อุปกรณ์ให้นานขึ้นผ่านการอัพเกรด และการนำกลับมาใช้ซ้ำ จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดขยะได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดเครื่องมือการแพทย์ที่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ (Refurbished) จะเติบโตจาก 17.05 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ไปถึง 30.78 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 [10]

เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นทั่วโลกกำลังก่อให้เกิดความท้าทาย โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตและโรคที่เกิดจากความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม มลพิษทางอากาศ ไฟป่า และอื่นๆ [11] สถานพยาบาลหลายแห่งมีจำนวนผู้ป่วยที่เกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมากขึ้น แต่ไม่ทุกแห่งที่สามารถรับมือกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยได้ และไม่เพียงการรับมือกับการดูแลรักษาผู้ป่วยเท่านั้น แต่ระบบสาธารณสุขและสถานพยาบาลยังต้องเตรียมรับมือด้านการดำเนินงานและสถานประกอบการด้วย
ในปี 2025 มีการถกในประเด็นนี้มากขึ้นในระดับโลก โดยคาดว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้วงการสาธารณสุขพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทางหนึ่งคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการให้บริการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพแม้จะเผชิญกับภัยพิบัติทางอากาศ รวมถึงการใช้พลังงานทดแทน และการนำแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนมาใช้
นอกจากนี้การฝึกอบรมและเพิ่มทักษะเกี่ยวกับการจัดการโรคที่เกี่ยวข้องการความร้อน หรือโรคที่มียุงเป็นพาหะ ยังช่วยเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ และเสริมสร้างสุขภาพเชิงป้องกันภายในชุมชน เพื่อให้สามารถจัดการกับโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่นได้
การเตรียมความพร้อมและการดำเนินการตามแนวทางข้างต้น จะช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถรับมือต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น และมั่นใจในสุขภาพที่ดีของทุกคนในอนาคตได้[i]

[1] https://www.jacc.org/doi/10.1016/j.jacc.2022.04.042
[2] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK562154/
[3] https://hbr.org/2022/05/the-telehealth-era-is-just-beginning
[4] Philips Pregnancy+ user survey, 2022
[5] Philips Pregnancy+ parents survey conducted by InSights Consulting, November 2022
[6] https://noharm-global.org/documents/health-care-climate-footprint-report
[8] https://www.nature.com/articles/s43588-024-00712-6
[9] https://noharm-global.org/documents/health-care-climate-footprint-report
[11] https://www.who.int/news/item/02-11-2023-climate-change-and-noncommunicable-diseases-connections
สร้างสีสันในการจับจ่ายใช้สอยช่วงต้นปีให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น “เซเว่น อีเลฟเว่น” ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและ OTOP ผ่านโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ในหมวดสินค้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ OTOP ชวนช้อปสินค้าคุณภาพ ของดีของเด็ดของคนไทย ที่ร้านเซเว่นฯ คัดมาให้เลือกสรรกว่า 750 รายการ ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค วางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯ และแพลตฟอร์มออนไลน์ 7 Delivery, All Online ผ่านช่องทาง 7 App ส่งเสริมการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยลดหย่อนภาษีให้กับบุคคลที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำใบกำกับภาษี ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท เริ่มจับจ่ายได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่เซเว่นฯ ทุกสาขา

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดช่องทางการลดหย่อนภาษีผ่านร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ในโครงการ Easy E-Receipt 2.0 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องเป็นการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) ความพิเศษของปีนี้คือการแบ่งวงเงินลดหย่อนเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการทั่วไป ส่วนที่สอง 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชน โดยนโยบายหลักของร้านเซเว่นฯ คือการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาอย่างต่อเนื่อง
เซเว่นฯ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่เคียงคู่คนไทยมากว่า 35 ปี ขอเป็นกำลังสำคัญในการร่วมสนับสนุนสินค้าวิสาหกิจชุมชน SME และ OTOP ที่เป็นคู่ค้าและอยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ กว่า 750 รายการสินค้า มาวางจำหน่ายในร้าน เซเว่นฯ ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของทานเล่น และข้าวของเครื่องใช้ โดยทางร้านเซเว่นฯ จะทำป้ายสัญลักษณ์ที่ชั้นวางสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้านี้เป็นสินค้า OTOP ลดหย่อนภาษีได้ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยได้สะดวก และมั่นใจว่าสินค้ารายการใดบ้างที่ร่วมลดหย่อนภาษีโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ร่วมอุดหนุนได้ที่ร้านเซเว่นฯ ทุกสาขา ทั่วประเทศได้ในวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568

สำหรับรายการสินค้า ที่เข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ในร้านเซเว่นฯ อาทิ
- สินค้าท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย ได้แก่ น้ำพริก ผัดหมี่อุดร แหนมหมูย่าง ก๋วยจั๊บอุบลกึ่งสำเร็จรูป น้ำอินทผลัมสกัด ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เป็นต้น
- สินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค ได้แก่ ยาสีฟันสมุนไพร แชมพูใบหมี่อัญชัน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หมอน ขนมเปี๊ยะ หนังปลาแซลมอนอบกรอบ ทองม้วน กล้วยแปรรูป มะพร้าวแก้ว ครองแครงกรอบ ขนมผิง ลูกอมกะทิ เป็นต้น
สำหรับเงื่อนไขการซื้อสินค้าที่จะได้รับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice)
- 30,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าและบริการทั่วไป (ยกเว้นโรงแรม ที่พัก)
- 20,000 สำหรับซื้อสินค้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ OTOP
สำหรับวิธีการขอใบกำกับภาษีสามารถทำได้ 4 วิธี สะดวก ง่าย ทุกช่องทาง
1.ขอผ่าน 7 APP สมัครรับใบเสร็จผ่านไอคอนใบเสร็จ e-Tax และกดขอใบกำกับภาษี
2.ขอกับพนักงานที่ร้าน แจ้งขอใบกำกับภาษีเต็มรูปกับพนักงานร้าน โดยใช้บัตรประชาชนตัวจริง
3.ขอผ่าน 7-ELEVEN Delivery เมื่อลูกค้าทำการสั่งซื้อสำเร็จ กดเข้าเมนูบัญชีของฉัน เลือกประวัติคำสั่งซื้อ และกดแถบข้อความขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
4.ขอผ่าน ALL ONLINE ลูกค้าระบุเลือกขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปบนหน้าจอก่อนกดสั่งสินค้า และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมตรวจสอบความถูกต้อง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ loyaltyxpert.com เปิดเผยว่าประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า คือการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้า แบรนด์สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืน กระตุ้นความรู้สึกเชิงบวก และเพิ่มความผูกพันกับแบรนด์ของลูกค้าผ่านประสบการณ์เฉพาะตัวของลูกค้าและโอกาสพิเศษ นอกเหนือจากการทำธุรกรรมทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์เหล่านี้จะช่วยยกระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคและภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยองค์กรต่าง ๆ สามารถส่งเสริมความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและยาวนานกับลูกค้าได้ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ที่ดีเข้ากับการทำธุรกรรมเพื่อแลกของรางวัล เช่น สะสมแต้ม โดยผลการวิจัยพบว่า 70% ของผู้บริโภคที่ผูกพันกับแบรนด์ด้วยอารมณ์ ยินดีจ่ายให้กับธุรกิจที่ไว้ใจมากกว่าเดิมถึงสองเท่าหรือมากกว่า
BUZZEBEES ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งด้าน CRM & Digital Engagement ครองสัดส่วนการตลาดในประเทศไทยกว่า 90% ได้ร่วมมือกับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ผู้สร้างและดำเนินการ Bitkub Chain เครือข่ายบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมและมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการนำ BEES’ Reward ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกของรางวัลที่รวมของรางวัลกว่า 1,000 รายการ ของ BUZZEBEES ไป plug in หรือเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Bitkub NEXT เพื่อขยายขอบให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ถือเหรียญ KUB ผ่าน Ecosystem ของ BUZZEBEES
นายศิรภพ จันทรโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือในการต่อยอดสิทธิพิเศษและของรางวัลบนแอปพลิเคชัน Bitkub NEXT ครั้งนี้ถือเป็นอีกมิติหนึ่งในการยกระดับระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ของประเทศไทย ทำให้ระบบนิเวศดิจิทัลมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยขยายขอบเขตไปยังกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะสามารถสร้างประโยชน์แก่ผู้ใช้งานผ่าน Use Case ใหม่ ของเหรียญ KUB อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเติบโตในอนาคตของทั้งสองฝ่ายได้อย่างแข็งแกร่ง”
นางสาวณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES) กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ Bitkub Chain ในครั้งนี้เป็นการยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้มีความทันสมัยและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม BEES’ Reward ของ BUZZEBEES ซึ่งมีสินค้าและบริการหลากหลายไปเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Bitkub NEXT ทำให้ผู้ถือเหรียญ KUB สามารถแลกรับของรางวัลที่ตรงกับความต้องการและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเองได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีทั้งของรางวัลที่เป็นสินค้า (Physical Rewards) บริการ และบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (E-voucher) ซึ่งการเชื่อมต่อนี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและขยายขอบเขตของระบบนิเวศดิจิทัลให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”
ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้ง BUZZEBEES และ Bitkub Chain ในการผลักดันการเติบโตร่วมกันในระบบนิเวศดิจิทัล การเชื่อมต่อระบบ BEES’ Reward กับแอปพลิเคชัน Bitkub NEXT จะขยายขอบเขตการรับรางวัลและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ถือเหรียญ KUB และผู้ใช้งาน Bitkub NEXT ซึ่งมั่นใจว่าจะมอบประสบการณ์เชิงบวกให้กับผู้ใช้งาน และช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ของลูกค้าบนแพลตฟอร์มได้มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน BUZZEBEES ให้บริการครอบคลุมใน 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM Loyalty & Marketing Platform) 2. ธุรกิจจัดหาของรางวัลและสิทธิพิเศษ (Rewards & Privileges Management) 3. ธุรกิจบริการอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจร (E-Commerce Enabler Service) 4. ธุรกิจบริการระบบจัดการร้านค้าและการรับชำระเงิน (Retail & Restaurant Solutions) และ 5. ธุรกิจบริการด้านการตลาดดิจิทัลและอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer & Digital Marketing) โดยทุกบริการครอบคลุมใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและกัมพูชา โดยดูแลแพลตฟอร์มพันธมิตรกว่า 1,200 แพลตฟอร์ม และมีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มกว่า 160 ล้านบัญชี
อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของธุรกิจในประเทศไทยในปี 2568 ขึ้นจากอันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 1 ตามรายงาน Allianz Risk Barometer ภัยธรรมชาติอยู่ในอันดับ 2 จากการคาดการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น น้ำท่วม ซึ่งจะทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่การหยุดชะงักทางธุรกิจยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญในอันดับ 3
ในขณะที่ความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงที่สุดของโลกและเอเชีย ได้แก่ การหยุดชะงักทางธุรกิจ เหตุการณ์ทางไซเบอร์ และภัยธรรมชาติ จากรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปีนี้ ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกของผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงกว่า 3,700 คนจากกว่า 100 ประเทศ
วาเนสสา แม็กเวล Allianz Commercial Chief Underwriting Officer กล่าวว่า "ปี 2567 เป็นปีที่ไม่ปกติในแง่ของการบริหารความเสี่ยง และรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปีสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ปีนี้แตกต่างจากปีอื่นๆ ตรงที่ ความเสี่ยงในอันดับสูงๆ สัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีใหม่ กฎระเบียบ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น ทำให้สาเหตุและผลที่ตามมาซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการบริหารความเสี่ยงและพยายามพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ

คริสเตียน แซนดริก Regional Managing Director of Allianz Commercial Asia กล่าวว่า "การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทในภูมิภาคนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเนื่องจากเศรษฐกิจเอเชียมีส่วนในการค้าโลกและในระดับภูมิภาคมากขึ้น การหยุดชะงักทางธุรกิจยังมักเกิดจากเหตุการณ์ เช่น เหตุการณ์ทางไซเบอร์หรือภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงสูงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นและมีความผันผวน ธุรกิจต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการบริหารความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานและมาตรการรับมือมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ เช่น การป้องกันความสูญเสีย การใช้ซัพพลายเออร์หลายราย การโอนความเสี่ยงทางเลือก และนโยบายประกันภัยระดับนานาชาติ"
ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า "อัคคีภัยและความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เป็นความกังวลหลักของบริษัทในประเทศไทย เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของการหยุดชะงักทางธุรกิจและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ธุรกิจต้องประเมินและปรับปรุงแนวทางการบรรเทาความเสี่ยงจากอัคคีภัยอย่างรอบคอบและสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียจากเหตุการณ์ใดๆ เมื่อเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ภัยธรรมชาติและการหยุดชะงักทางธุรกิจจึงกลายเป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ ในประเทศไทย สิ่งนี้ตอกย้ำความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น รวมถึงมาตรการโอนความเสี่ยงเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการหยุดชะงักทางธุรกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้"
อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความเสี่ยงอันดับ 1
อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยขึ้นจากอันดับ 4 มาเป็นอันดับ 1 ความรุนแรงของภัยนี้ทำให้เกิดการหยุดชะงักอย่างมากและส่งผลให้การฟื้นตัวใช้เวลานานมากขึ้นเมื่อเทียบกับภัยด้านอื่นๆ โรงงานที่เสียหายอาจใช้เวลาหลายปีในการสร้างใหม่และกลับมาดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มกำลัง
ในปี 2567 มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอัคคีภัยและการระเบิดหลายเหตุการณ์ในประเทศไทยที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย และธุรกิจหยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมีที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทย ระเบิดที่โรงงานเหล็กในจังหวัดระยอง เพลิงไหม้โรงงานสารตั้งต้นพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และระเบิดคลังดอกไม้ไฟในภาคกลาง
อลิอันซ์ คอมเมอร์เชียล วิเคราะห์การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัยการหยุดชะงักทางธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในช่วงห้าปีซึ่งสิ้นสุดลงในปี 2566 (มูลค่าเกิน 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และพบว่าอัคคีภัยเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเรียกร้องค่าสินไหมเหล่านี้ และคิดเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งในสามของมูลค่าการเรียกร้องค่าสินไหมทั้งหมด (36%)
ภัยธรรมชาติยังคงเป็นความกังวลหลัก
ภัยธรรมชาติจัดอยู่ในอันดับความเสี่ยงที่สำคัญเป็นอันดับสองในประเทศไทย ซึ่งเเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงที่สุดในโลก เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนมากกว่า 180,000 ครัวเรือนและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเกษตรกรรม โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 4.34 หมื่นล้านบาท (1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติที่มีหน้าที่ประสานงานการดำเนินงานเพื่อการบรรเทาทุกข์และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ในเอเชีย ภัยธรรมชาติยังคงเป็นความเสี่ยงในอันดับ 3 โดยมีผู้ตอบข้อนี้ 27% อุณหภูมิของภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยมีผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้นจากน้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น ภัยธรรมชาติเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งเผชิญกับแผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูดในคาบสมุทรโนโตะ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียที่มีประกันภัยมูลค่าสามพันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงในฮ่องกง ซึ่งประสบกับฝนตกหนักที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกเมื่อ 140 ปีที่แล้วจากไต้ฝุ่นไห่ขุย
ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงเป็นความเสี่ยงในอันดับที่ 3 ของโลกโดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 29% ปี 2567 นับเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันที่ความสูญเสียที่มีประกันภัยมีมูลค่าสูงเกินหนึ่งแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2567 ซึ่งคาดว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เป็นปีแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง มีพายุเฮอริเคนและพายุรุนแรงในอเมริกาเหนือ น้ำท่วมรุนแรงในยุโรป และภัยแล้งในแอฟริกาและอเมริกาใต้
การหยุดชะงักทางธุรกิจสัมพันธ์กับความเสี่ยงด้านอื่นอย่างมาก
การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงอันดับ 3 ในประเทศไทย โดยธุรกิจต่างๆ เผชิญความเสี่ยงจากหลายด้าน การหยุดชะงักทางธุรกิจสัมพันธ์อย่างมากกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำท่วมในเดือนสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าประมาณ 491 ล้านบาท (14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และส่งผลให้ไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลกมีปริมาณการผลิตยางพาราลดลง 30% ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
ธุรกิจในประเทศไทยยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก เช่น การเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูกซึ่งส่งผลให้โรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้น 40% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ถึงมิถุนายน 2567 เมื่อเทียบกับ 12 เดือนก่อนหน้า ผู้ผลิตรายเล็กประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นและค่าแรงที่สูง
การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในเอเชีย อยู่ในสามอันดับแรกในทุกประเทศและเขตการปกครอง และเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในจีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการหยุดชะงักอย่างรุนแรงของห่วงโซ่อุปทานในช่วงระหว่างและหลังการระบาดของโควิด 19
ในระดับโลก การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงในอันดับ 1 หรือ 2 ในการจัดอันดับความเสี่ยงของอลิอันซ์ทุกปีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และยังคงรักษาตำแหน่งอันดับ 2 ในปี 2568 โดยมีผู้ตอบข้อนี้ 31% โดยทั่วไปแล้วการหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นผลมาจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์หรือระบบล่ม การล้มละลาย หรือความเสี่ยงทางการเมือง เช่น ความขัดแย้งหรือความไม่สงบในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจตามปกติ หลายเหตุการณ์ในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าทำไมบริษัทต่างๆ ยังคงมองว่าการหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นภัยคุกคามหลักต่อโมเดลธุรกิจของพวกเขา การโจมตีของกลุ่มฮูธิในทะเลแดงทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักจากการเปลี่ยนเส้นทางของเรือขนส่งสินค้า นอกจากนี้ เหตุการณ์เช่นการพังทลายของสะพาน Francis Scott Key ในบัลติมอร์ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งในระดับโลกและท้องถิ่น การวิเคราะห์ของ Circular Republic ร่วมกับอลิอันซ์และองค์กรอื่นๆ พบว่าการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบในระดับโลก จะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก 1.4 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้น การหยุดชะงักเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ตั้งแต่ 5% ถึง 10% ของต้นทุนผลิตภัณฑ์ และทำให้เกิดการหยุดทำงานในด้านต่างๆ เพิ่มเติม
10 อันดับความเสี่ยงในประเทศไทย

แหล่งที่มา: Allianz Commercial. ตัวเลขแสดงความถี่ที่ความเสี่ยงนั้นถูกเลือกเป็นเปอร์เซ็นต์จากคำตอบทั้งหมดของประเทศนั้น
ผู้ตอบแบบสอบถาม: 33 คน ตัวเลขรวมไม่ได้เป็น 100% เนื่องจากสามารถเลือกความเสี่ยงได้สูงสุด 3 รายการ
จากเทรนด์รักษ์โลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง “โฮมโปร” ผู้นำรีเทลเรื่องบ้านและเจ้าของโมเดลธุรกิจ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” พร้อมยกระดับสู่การสร้างสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) แบบ Closed-Loop ครบทุกขั้นตอนสำหรับสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าได้เป็นเจ้าแรก ดันโจทย์สุดท้าทายในกลุ่ม “เครื่องใช้ไฟฟ้า” จับมือผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่ใช้วัสดุที่มีส่วนผสม PCR (Post-Consumer Recycled) และทุ่มงบสร้างการรับรู้ในผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายปีหน้า ภาพรวม 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อยู่ที่ 500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าต่อยอดสู่เป้าหมายใหญ่ Net Zero ปี ค.ศ.2050
นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำรีเทลเรื่องบ้านชั้นนำของไทย กล่าวถึงที่มาของโมเดลรักษ์โลก อย่าง “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ที่สะท้อนจุดยืนเป็นตัวกลางสำคัญระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค โฮมโปรมองเห็นแรงขับเคลื่อนในนวัตกรรมเรื่องบ้าน ทั้งฝั่งผู้ผลิตที่ต้องการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดออกมาขาย และฝั่งผู้บริโภคที่มองหาหรือต้องการเปลี่ยนสินค้าใหม่ที่ดีกว่าเดิม จึงได้หยิบพื้นฐานธุรกิจในมือมาทำโมเดล Trade-In ก่อนใช้ชื่อว่า “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการสร้างคุณค่า Corporate Feature ในระยะยาว แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มีโปรโมชั่นเก่าแลกใหม่ทั่ว ๆ ไป ที่มีขึ้นเป็นครั้งคราว
หลังจากการทำโมเดล “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ในช่วง 6 เดือนแรก โฮมโปรได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม โดยทำยอดขายได้ถึง 800 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 240 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพและความสำเร็จของแนวทางนี้ ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการยกระดับจาก Trade-In สู่กระบวนการ Closed-Loop Circularity อย่างเต็มรูปแบบ เริ่มต้นจากการเก็บของเก่ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและสุขภัณฑ์จากบ้านลูกค้า ผ่านระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมสโตร์กว่า 130 สาขาทั่วประเทศ มาคัดแยก บด ล้าง หลอม และจัดการซากเก่าอย่างถูกวิธี ภายใต้โรงงานที่ได้มาตรฐาน เพื่อนำเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงไปผลิตเป็นสินค้าใหม่ร่วมกับคู่ค้า และนำกลับมาจำหน่ายอีกครั้งในรูปแบบสินค้ารักษ์โลก (Circular Products)
สินค้ารักษ์โลก (Circular Products) ใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่งในการพัฒนา จนอยู่ตัวทั้งยอดขายและยอดผลิต สินค้าหลักๆ คือ กระเบื้องที่รีไซเคิลจากซากสุขภัณฑ์ แต่ด้วยของเก่าที่ลูกค้านำมาแลก 80-90% คือเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับที่โฮมโปรเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ด้วยยอดขายสินค้ากว่า 9 แสนชิ้น/ปี ทำให้โฮมโปรมองความท้าทายต่อไปถึงการสร้างอิมแพคในตลาด ด้วยการทำเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Closed-Loop Circularity อย่างแท้จริงในทุกขั้นตอน
“โจทย์แรกที่โฮมโปรต้องเผชิญคือ การโน้มน้าวผู้ผลิตให้มาร่วมมือกับเรา นี่เป็นเรื่องยากเพราะทุกขั้นตอนของ Closed-Loop มีต้นทุนที่ต้องเสีย” นางสาวเสาวณีย์ เล่า “วิธีการที่โฮมโปรใช้คือ การทำให้เห็นว่าโมเดลนี้ สามารถทำได้จริงๆ ซึ่งโฮมโปรลงมือผลักดัน Sell-Out ผ่านการลงทุนในพื้นที่โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องสินค้ารักษ์โลก, การให้ส่วนลดในแคมเปญแลกเก่าเพื่อโลกใหม่, สนับสนุนค่าติดตั้ง-รื้อถอนของเก่าฟรี ทำให้ผู้ผลิตสนใจและเริ่มมาลองตลาดกับเรา และสามารถขายสินค้าได้จริง”
“นอกจากนี้ ประโยชน์ที่ผู้ผลิตจะได้รับ คือ การได้ร่วมมือกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม PCR (Post-Consumer Recycled) อย่างน้อย 30% เป็นการรองรับเทรนด์สินค้าสิ่งแวดล้อมแห่งอนาคต พร้อมตอบรับ พ.ร.บ. WEEE (Waste Electrical and Electronic Equipment) ที่จะมีผลบังคับใช้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า”

อีกหนึ่งโจทย์ที่มีความท้าทายไม่ต่างกัน คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากกระบวนการ Closed-Loop Circularity โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นสินค้ารีไซเคิลที่ทำเพื่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ โดยโฟกัสที่การให้ความสำคัญกับการช่วยโลกมากกว่ามองที่กำไร ซึ่ง นางสาวเสาวณีย์ เล่าว่า โฮมโปรมั่นใจว่าผู้บริโภคในยุคนี้ฉลาดเลือกอย่างมาก ประกอบกับโฮมโปรได้ใช้งบลงทุนกว่า 30 ล้านบาท ในการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุด “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” เพื่อสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภครับรู้และเข้าใจว่า ซากเก่าที่นำมา Trade-In ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี และนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีคุณค่าอีกครั้ง พร้อมเน้นย้ำว่า “เก่าแลกใหม่ที่ไหนก็มี แต่ถ้าแลกและจัดการอย่างถูกวิธี ต้องที่ โฮมโปร เท่านั้น” เพื่อสื่อสารถึงความจริงใจในการทำโครงการฯ นี้ เป็นการทำเพื่อผู้บริโภคจริงๆ
“โฮมโปรให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมาก โดยเราเปลี่ยนงบประมาณที่เคยใช้ในแคมเปญการตลาด มาใช้สร้างการรับรู้และความเข้าใจ เพราะเราเชื่อว่านี่เป็นการลงทุนที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่เราตั้งเป้าไว้ คือ ในช่วงอายุ 28-55 ปี เน้นกลุ่ม Gen X, Baby Boomer ค่อนข้างเยอะ ในขณะเดียวกัน Gen Y จะเข้าใจหลักการของ Closed-Loop ได้ง่าย จากการสื่อสารให้เห็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกับตัวเองหรือคนรุ่นหลัง”
นางสาวเสาวณีย์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ แม้โฮมโปรจะให้ความสำคัญกับโมเดล “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทคือ การเรียนรู้และเข้าใจในลูกค้า เข้าใจ Pain Point หนึ่งสิ่งที่สำคัญคือเรื่องการซ่อมบำรุง เมื่อเทรนด์ในอนาคตเปลี่ยน ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบเรื่องค่าซากมากขึ้น ตอนนั้นการซ่อมจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และผู้คนจะเปลี่ยนของใหม่ช้าลง โฮมโปรจึงได้เปิดศูนย์ซ่อมมืออาชีพ (Repair Service Center) ทั่วประเทศ ขึ้นเมื่อกลางปี 2024 ที่ผ่านมา ที่มีทั้งบริการ Carry-in และ On-site โดยได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีสินค้านำมาซ่อมประมาณ 3,000-4,000 ชิ้น/เดือน พร้อมช่วยฝึกทักษะช่างให้มีความชำนาญและมีงานทำไปในตัวด้วย

“นอกจากนี้ เรามุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยชะลอการทิ้งและการเกิดขยะให้ครอบคลุม โดยสินค้าที่ซื้อจากโฮมโปรจะมีการขาย Extended Warranty หรือขยายเวลารับประกันในราคาถูกกว่าตลาด ซึ่งเรามองว่านี่ไม่ได้เป็นการค้าเพื่อกำไร แต่เป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้ทิ้งหรือเปลี่ยนของให้ช้าลง ด้วยระยะเวลารับประกันที่นานขึ้นนั่นเอง”
ทั้งนี้ ความท้าทายในการทำเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Closed-Loop Circularity เริ่มมีผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างต่อเนื่อง จากการจำหน่ายสินค้าอย่างตู้เย็น, เครื่องทำน้ำอุ่น และยังมีไลน์สินค้าต่าง ๆ ที่เตรียมจัดจำหน่ายในปีหน้า เช่น เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องปั้มน้ำ รวมถึงสินค้าที่กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนา โดยใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน โดยปี 2025 นี้ โฮมโปรตั้งเป้ายอดขายสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ประมาณ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมียอดขายจากกลุ่มอื่นร่วมด้วย คือ กลุ่มกระเบื้อง และกลุ่ม Water Solution อาทิ เครื่องปั้มน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่น โดยเป้าหมายหลักโฮมโปรคือยกระดับยอดขายทั้ง 3 กลุ่มหลักนี้ ให้เป็น 20% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2030 ซึ่งเป็นมิติสำคัญสู่เป้าหมายใหญ่ Net Zero ในปี 2050 ข้างหน้าอีกด้วย