December 06, 2025

ในช่วงฤดูหนาว ฝุ่น PM 2.5 กลับมาเป็นปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จะได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ เนื่องจากตามธรรมชาติแล้ว   เด็กเล็ก จะมีอัตราการหายใจที่เร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ร่างกายของพวกเขาได้รับมลพิษในปริมาณมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น โรคในระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงยังส่งผลต่อพัฒนาการของสติปัญญาและระบบประสาทอีกด้วย

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ลึกถึงปอด และเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งฝุ่นเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ และโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต โดยเฉพาะในเด็กจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ หากเด็กหายใจเอาฝุ่นละอองเข้าไปสะสมในร่างกายจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบจมูก แสบคอ น้ำมูกไหล

สำหรับเด็กบางรายจะมีการแพ้ คันตาและแสบตา บางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ถ้าฝุ่นตัวนี้เข้าไปทางเดินหายใจส่วนล่าง ก็ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ หลอดลมไว ส่งผลให้เด็กไอเรื้อรัง และสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหอบหืดได้ ในเด็กที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือโรคทางเดินหายใจ จะมีความเสี่ยงอาการกำเริบมากยิ่งขึ้น

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน ให้ข้อมูลต่อว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับเด็ก ที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ การสัมผัสฝุ่นในระยะยาวอาจทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ หรือมีไอคิวลดลงอย่างต่อเนื่อง และการสัมผัสฝุ่นเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้เด็กมีความเสี่ยง “โรคหลอดเลือดหัวใจ” ในอนาคตเร็วกว่าที่คิด โดยจากการศึกษาพบว่า เด็กที่สูดฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าไปสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน ทำให้ความเสี่ยงของ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” เพิ่มขึ้น เพราะฝุ่นสามารถเจาะทะลุเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และลงไปในหลอดเลือดได้ เมื่อฝุ่นเข้าสู่กระแสเลือด จะกระตุ้นให้เกิดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตันส่งผลให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจ  และภาวะหัวใจขาดเลือด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วย

พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน กล่าวปิดท้ายว่า วิธีการดูแลเด็กจากฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่สำคัญมาก พ่อแม่ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงให้เด็กออกไปอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นสูง เช่น พื้นที่กลางแจ้งในช่วงที่มีค่าฝุ่นเกิน 100 มคก./ลบ.ม. ควรจำกัดกิจกรรมกลางแจ้ง และหากต้องออกไปข้างนอก ควรให้เด็กสวมหน้ากากอนามัย N95 ซึ่งสามารถป้องกันฝุ่นขนาดเล็กจากการเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจเช็กค่าฝุ่นในอาคาร และใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อกรองฝุ่นในบ้าน รวมทั้งหากเด็กมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ หอบเหนื่อย หรือหายใจติดขัด ควรพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อทำการตรวจเช็คและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่แค่ปัญหาที่จะส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาพเด็กในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเรื้อรัง   อื่น ๆ ในอนาคต การปกป้องเด็กจากฝุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้และส่งผลดีต่อสุขภาพของพวกเขาในอนาคต

เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงในวงการแพทย์ เมื่อ พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล หัวหน้าทีมเพื่อแพทย์ ได้ยื่นหนังสือถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน (สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา) และพญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ (นายกแพทยสภา) พร้อมคณะกรรมการแพทยสภา เรียกร้องให้ตรวจสอบกระบวนการจัดการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา หลังพบความผิดปกติหลายประการที่อาจกระทบต่อความสุจริตและโปร่งใส

เลือกตั้งสุจริต/โปร่งใสหรือไม่?”

ในหนังสือที่ยื่นถึงผู้เกี่ยวข้อง ระบุประเด็นสำคัญหลายข้อที่สร้างข้อกังขาในกระบวนการเลือกตั้ง เช่น

  • ผู้สมัครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ซึ่งเป็นผู้ดูแลการเลือกตั้งโดยตรง
  • ไม่มีการเปิดเผยทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการสวมสิทธิหรือรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่
  • บัตรเลือกตั้งไม่ถึงมือสมาชิกจำนวนมาก โดยพบว่ามีการคืนซองบัตรเลือกตั้งหลายพันฉบับเนื่องจากการจ่าหน้าผิดพลาด
  • ระบบเลือกตั้งออนไลน์ไร้มาตรฐานความปลอดภัย บริษัทที่รับผิดชอบไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

 

บัตรเลือกตั้งไปไหน?”

การสำรวจพบว่า แพทย์กว่า 46% ไม่ได้รับบัตรเลือกตั้ง แม้แจ้งที่อยู่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า บัตรเลือกตั้งหลายพันฉบับถูกตีคืน จากไปรษณีย์ ซึ่งสร้างความสงสัยว่าเกิดความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ หรืออาจเป็นการจงใจสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ

โดยทีมเพื่อแพทย์เสนอ 5 มาตรการเพื่อความโปร่งใส ได้แก่

  1. เปิดเผยรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พร้อมเลขใบประกอบวิชาชีพผ่านเว็บไซต์
  2. ตรวจสอบการส่งบัตรเลือกตั้งถึงมือแพทย์ทุกคน และรายงานผลอย่างโปร่งใส
  3. ขยายเวลานับคะแนน จนกว่าสมาชิกทุกคนจะได้รับบัตรเลือกตั้งครบถ้วน
  4. ตรวจสอบบัตรลงคะแนนทุกใบต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อยืนยันความถูกต้อง
  5. สุ่มตรวจสอบบัตรลงคะแนนร้อยละ 10 โดยติดต่อเจ้าของบัตรเพื่อยืนยันสิทธิ

 

อย่าปล่อยให้ความเงียบทำลายความเชื่อมั่น”

พญ.อรพรรณ์ เผยว่า การร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้งได้เริ่มต้นตั้งแต่ มิถุนายน 2567 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการตอบกลับหรือวินิจฉัยจากแพทยสภา หากปล่อยให้ความเงียบนี้ดำเนินต่อไป จะทำลายความเชื่อมั่นในระบบเลือกตั้งและองค์กรที่ควรเป็นต้นแบบแห่งความโปร่งใส

 

เสียงจากสมาชิกคือหัวใจสำคัญ”

ทีมเพื่อแพทย์ เน้นย้ำว่า การจัดการเลือกตั้งของแพทยสภาควรสะท้อนความยุติธรรมและสุจริตโปร่งใส หากพบความไม่ชอบมาพากลใด ๆ ควรเร่งแก้ไขและชี้แจงต่อสังคมโดยเร็ว

ในขณะที่กระแสเรียกร้องความโปร่งใสกำลังร้อนแรง สายตาของประชาคมแพทย์และสังคมกำลังจับจ้องไปที่การตัดสินใจของแพทยสภาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและตอบสนองต่อข้อสงสัยของสมาชิก 

ทั้งนี้เรียกร้องให้เลื่อนการนับคะแนน/ประกาศผลคะแนนผู้รับเลือกเป็นกรรมการแพทยสภา จนกว่าแพทย์ได้รับบัตรลงคะแนนเลือกตั้งครบถ้วน ซึ่งยังมีบัตรลงคะแนนที่ส่งไม่ถึงแพทย์ ปณ.คืนแพทยสภา และลักษณะบัตรที่ส่งไม่ถึงแพทย์กว่าพันราย

 

ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจผู้ใช้งานชาวไทย มุ่งสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ด้วยการเปิดตัวโครงการ Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี” ซึ่งมอบสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริโภคชาวไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SME และร้านค้า OTOP ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ช้อปครบ จบทุกสิทธิประโยชน์ ลดภาษีง่าย ๆ กับ Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี

โครงการ “Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี” กับช้อปปี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการช้อปปิ้งและการลดหย่อนภาษี โดยครอบคลุมสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์, แฟชั่น, ของใช้ในบ้าน และ สินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงสินค้าท้องถิ่นที่ร่วมโครงการบนแพลตฟอร์มช้อปปี้หลากหลายรายการ

และเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและนักช้อปไทยให้สอดคล้องกับนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลผ่านโครงการ "Easy E-Receipt 2568" ที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร ผู้ซื้อสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 2568 โดยสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท และยังสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้า OTOP และ SME ที่เข้าร่วมโครงการได้ในวงเงินระหว่าง 20,000 ถึง 50,000 บาท เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี โดยโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568

ค้นหาสินค้าที่ร่วมโครงการได้ง่าย ๆ บนแอปช้อปปี้

  • สังเกตป้าย "Easy E-Receipt" - สินค้าที่เข้าร่วมโครงการจะมีป้าย "Easy E-Receipt" ระบุไว้อย่างชัดเจน คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมจากร้านค้าได้โดยตรง
  • ใช้ตัวกรองค้นหา - เพื่อค้นหาสินค้าที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างสะดวก เพียงเลือกตัวกรอง "Easy E-Receipt" ในแอปช้อปปี้ ระบบจะแสดงเฉพาะสินค้าที่เข้าร่วมโครงการให้คุณทันที
  • ค้นหาสินค้า OTOP ได้อย่างง่ายดาย - สำหรับสินค้า OTOP ที่ร่วมแคมเปญ จะมีป้าย "Easy E-Receipt" และป้าย "OTOP" แสดงบนแอปช้อปปี้อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกช้อปสินค้าได้อย่างมั่นใจ

ศึกษาขั้นตอนการขอใบกำกับภาษีได้บนช้อปปี้

  • ขั้นตอนที่ 1: เลือกไอเทมที่คุณสนใจ พร้อมกดซื้อสินค้า/ซื้อโดยใช้โค้ด
  • ขั้นตอนที่ 2: คลิกขอใบกำกับภาษีก่อนทำการสั้งซื้อ
  • ขั้นตอนที่ 3: กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องและกดส่งคำขอ โดยเปิดการตั้งค่า “ตั้งเป็นข้อมูลตั้งต้นในการออกแบบใบกำกับภาษี” ศึกษาเงื่อนไข ตรวจสอบข้อมูลความถูกต้อง ก่อนกด “ส่งคำขอ”

ยกระดับการจัดการภาษีกับ Easy E-Receipt เพิ่มความสะดวกให้ร้านค้า พร้อมจัดการใบกำกับภาษีได้อย่างมืออาชีพ

ช้อปปี้แนะนำให้ผู้ขายจัดการระบบใบกำกับภาษีให้ชัดเจน เพื่อรองรับคำขอจากผู้ซื้อที่อาจเพิ่มขึ้นผ่านฟีเจอร์ Buyer Tax Invoice (การออกใบกำกับภาษีสำหรับผู้ซื้อ) โดยร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมแคมเปญ Easy E-Receipt จะต้องผ่านการตรวจสอบตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  • ร้านค้าต้องได้รับการยืนยันคำขอว่าสามารถออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรได้
  • หากผ่านเกณฑ์ ระบบจะติดป้าย "Easy E-Receipt" พร้อมเปิดฟีเจอร์ใบกำกับภาษีผู้ซื้อ (Buyer tax invoice) ให้ท่านโดยอัตโนมัติ ร้านค้าสามารถศึกษาวิธีใช้งานฟีเจอร์ Buyer Tax Invoice เพื่อบริหารจัดการคำขอใบกำกับภาษีได้อย่างมืออาชีพ ได้ที่ https://seller.shopee.co.th/edu/article/12512 

เพื่อยกระดับความคุ้มค่าไปอีกขั้น ช้อปปี้ยังมุ่งมั่นสร้างความคุ้มค่าให้ผู้ซื้อและสนับสนุนการเติบโตของผู้ขายในทุกมิติ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านแคมเปญ “Easy E-Receipt” ผ่านดีลและโปรโมชันสุดพิเศษอย่าง โค้ดส่วนลด 10% ลดสูงสุด 5,000 บาท  ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/easy-e-receipt

สยามคูโบต้า ตอกย้ำการเดินหน้าก้าวสู่แบรนด์ชั้นนำระดับโลก (Global Major Brand) ล่าสุดครองแชมป์สุดยอดแคมเปญการตลาด GRAND PRIZE พร้อมกวาด 4 รางวัลจากเวที Marketing Awards of Thailand 2024 ร่วมด้วยรางวัล GOLD AWARD สุดยอดแคมเปญการตลาดประเภท Strategy Marketing ด้วยผลงาน “จากแปลงนาสู่สนามแข่งมิติใหม่ของกีฬาเพื่อเกษตรกรไทย” พร้อมคว้าอีก 2 รางวัล BRONZE AWARD การตลาดยอดเยี่ยมประเภท Innovation and Martech จากผลงาน “KUBOTA SERVICE DA(Y)TA รู้ก่อนพร้อมกว่า” และประเภท Sustainable Marketing จากผลงาน “Turn waste to Agri-Wear” โดย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า สยามคูโบต้าขอขอบคุณคณะกรรมการสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ที่เล็งเห็นศักยภาพและความมุ่งมั่นของสยามคูโบต้าและทุกองค์กรที่เข้าร่วมประกวด ซึ่งรางวัลเหล่านี้จะสร้างกำลังใจในการร่วมมือพัฒนาวงการการตลาดของประเทศไทยให้เติบโต สำหรับสยามคูโบต้าเรามุ่งหวังพัฒนาเกษตรกรและภาคการเกษตรของไทย ตลอดจนต่อยอดธุรกิจของเราให้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนพวกเขาผ่านแคมเปญหรือกิจกรรมการตลาดต่างๆ รางวัลที่ได้รับจึงเป็นสิ่งการันตีถึงคุณค่าที่เราตั้งใจทำตลอดมา  และสยามคูโบต้าขอมอบความสำเร็จนี้ให้กับผู้ที่อยู่เคียงข้าง และอยู่เบื้องหลังโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรไทย ทุกคน

 

สำหรับรางวัลที่สยามคูโบต้าได้รับในครั้งนี้ ได้แก่ รางวัล GRAND PRIZE สุดยอดแคมเปญการตลาดแห่งปี ร่วมด้วยรางวัล GOLD AWARD สุดยอดแคมเปญการตลาดประเภท Strategy Marketing จากผลงาน “จากแปลงนาสู่สนามแข่งมิติใหม่ของกีฬาเพื่อเกษตรกรไทย” การสร้างประสบการณ์ที่ผสานทักษะการขับขี่แทรกเตอร์ในรูปแบบกีฬาเข้ากับการทดสอบสมรรถนะของแทรกเตอร์โดยจำลองสนามการทำงานจริง เพื่อสร้างมิติใหม่ในการเข้าถึงลูกค้าด้วยกลยุทธ์ แตกต่างแต่ตอบโจทย์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด ต่อยอดสู่การขายและสร้างฐานลูกค้าใหม่ ผ่านการจัดการแข่งขันแทรกเตอร์ที่ชูศักดิ์ศรีกีฬาความภาคภูมิใจของเกษตรกรไทยทั่วประเทศ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

 

ในขณะเดียวกัน ยังคว้าอีก 2 รางวัล ได้แก่ รางวัล BRONZE AWARD การตลาดยอดเยี่ยมประเภท Innovation and Martech จากผลงาน “KUBOTA SERVICE DA(Y)TA รู้ก่อนพร้อมกว่า” ภายใต้คอนเซ็ปต์ เข้าถึงทุกหัวใจ แม้ใกล้ไกลใจไม่ห่างกัน โดยการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเชิงลึกในการเตรียมความพร้อมให้กับเครื่องจักรฯ ก่อนฤดูกาลทำเกษตร ผ่านเครื่องมือที่ช่วยจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่แสดงผลบนแดชบอร์ด โดยใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายของศูนย์บริการผู้แทนจำหน่ายคูโบต้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการบริการของลูกค้า พร้อมสร้างความสัมพันธ์อันดีผ่านการบริการที่ครอบคลุม และรางวัล BRONZE AWARD การตลาดยอดเยี่ยมประเภท Sustainable Marketing จากผลงาน “Turn waste to Agri-Wear” แคมเปญที่สยามคูโบต้าจับมือเกรฮาวด์ ออริจินัล นำฟางข้าวเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ผ่านงานวิจัยนวัตกรรมเส้นใยฟางข้าวผสมเส้นใยจากรังไหมเหลือใช้ และถักทอโดยงานฝีมือช่างทอผ้าไทยจังหวัดสุรินทร์ สู่การต่อยอดเป็นเสื้อผ้าสุดเท่สไตล์สตรีทแฟชั่น เพื่อจุดประกายการ Upcycling เศษวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ พร้อมตั้งเป้าปลุกกระแส Sustainable Fashion ให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงโลกที่ดีกว่าเดิม ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และดร.ลักขณา ลีลายุทธโยธิน กรรมการอิสระ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เป็นผู้มอบรางวัล

 

สำหรับรางวัลนี้จัดโดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นงานประกวดแคมเปญการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนและยกย่องผลงานฝีมือของนักการตลาดในประเทศไทยที่มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใครในด้านความคิดสร้างสรรค์ มีการนำนวัตกรรมการตลาดหรือแนวคิดด้านการตลาดต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมือในการตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับองค์กรได้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม สามารถวัดได้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกอย่างยั่งยืน

บัญชี CIBA DPU ร่วมกับ TAFA จัด “Novice Accountant Camp” แก่ นักศึกษา ปวส. วิทยาลัย อี.เทค. เชิญกูรูด้านบัญชี ถ่ายทอดองค์ความรู้ ทั้งจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี การจดทะเบียนนิติบุคคล ความรู้เกี่ยวกับบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล พร้อมเวิร์กช็อปเติมเต็มทักษะจำเป็น ตั้งเป้าปั้นนักบัญชีดิจิทัลมีพื้นฐานแน่น เตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานหรือการศึกษาต่อ

วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับสมาคมสำนักงานบัญชีไทย (Thai Accounting Firms Association : TAFA)  จัดอบรมภายใต้โครงการ “Novice Accountant Camp” ระหว่างวันที่ 16-17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค.) ให้กับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 2 และปวส.(พิเศษ) 2 สาขาการบัญชี จำนวนกว่า 200 คน โดยมีวิทยากรจากทางสมาคม TAFA และ CIBA DPU ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ทั้งในเรื่องของแนวทางการปฏิบัติทางการบัญชีรวมถึงชี้แนวทางการเป็นนักบัญชีที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณวุฒิ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกสู่ตลาดแรงงานหรือการศึกษาต่อ

ดร.อรัญญา นาคหล่อ ผู้จัดการสถาบันพัฒนานักวิชาชีพบัญชี และอาจารย์ประจำหลักสูตรการบัญชียุคดิจิทัล วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า การเรียนการสอนด้านบัญชี ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้ตามหลักสูตรตำราเรียนที่เน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ แต่สำหรับนักบัญชีในยุคใหม่ การเรียนรู้จากตำราเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดในรูปแบบของแคมป์นักบัญชีมือใหม่ (Novice Accountant Camp) เพื่อต้องการพัฒนานักวิชาชีพบัญชีให้กลายเป็นนักบัญชีดิจิทัล ที่มีความรู้พื้นฐานด้านบัญชีและรู้จักการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“ในการปัจฉิมนิเทศปีนี้ของนักศึกษาบัญชีระดับ ปวส.ชั้นปีที่ 2 ของ วิทยาลัย อี.เทค ทางสมาคม TAFA และ CIBA DPU ได้จัดอบรมให้คำแนะนำและเตรียมความพร้อมในการออกไปศึกษาต่อหรือเข้าสู่ตลาดแรงงาน ให้กับ น้องๆ โดยปัจจุบันนักบัญชีต้องแตกต่างไปจากเดิม การมีความรู้พื้นฐานยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ต้องรู้จักเรียนรู้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligenc : AI) หรือ คลาวด์ (Cloud) และต้องเป็นผู้ใช้งานเทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรมากที่สุด” ดร.อรัญญา กล่าว

สำหรับแคมป์นักบัญชีมือใหม่ (Novice Accountant Camp) 2 วัน ที่จัดขึ้น จะเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ผ่านการเวิร์กช็อปเพื่อเติมเต็มทักษะที่จำเป็นสำหรับนักบัญชีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น จรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี การจดทะเบียนนิติบุคคล  ความรู้เกี่ยวกับบัญชี ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล การคำนวณและกรอกแบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทั้งมีการเวิร์กช็อปกรณีศึกษาการประกอบธุรกิจขายเสื้อผ้าแฟชั่น มีหน้าร้านและขายออนไลน์ รวมถึงการแนะนำหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานด้านบัญชี เช่น กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  เป็นต้น

ดร.อรัญญา  กล่าวด้วยว่า ภายใต้โครงการนี้ น้องๆ จะได้เตรียมพร้อมและฝึกปฏิบัติจริง รวมทั้งเรียนรู้ว่าจะนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติด้านบัญชีอย่างไรได้บ้าง ซึ่งปัจจุบันนักบัญชีจะมาทำหน้าที่เพียงจดบันทึกไม่ได้แล้ว และนอกจากทักษะพื้นฐานวิชาชีพ ยังต้องรู้จักการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันมีการนำเรื่อง AI OCR (AI-Optical Character Recognition ) เทคโนโลยีสำหรับอ่านข้อมูลบนเอกสารกระดาษแล้วดึงข้อมูลออกมาเป็นไฟล์ หรือจะต่อยอดด้วยการนำ RPA (Robotic Process Automation ) มาป้อนข้อมูลเข้าระบบอื่นโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้งานบัญชีสะดวกขึ้น หรือมีการนำคลาวด์มาใช้ นักบัญชียุคใหม่ไม่จำเป็นต้องมาเขียนบันทึกบัญชีเอง เพียงแต่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน โดยมีนักบัญชีเป็นผู้สั่งการ

“อาจารย์เชื่อว่านักบัญชีเป็นอาชีพที่ไม่ตกงาน เพราะทุกสถานประกอบการ บริษัท องค์กรจำเป็นต้องมีบัญชี  และต้องมีนักวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ต้องมีใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำบัญชี หรือผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ดังนั้น สิ่งที่เทคโนโลยีจะเข้ามาดิสรัปชันนักบัญชีได้นั้น คือ การไม่เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ปรับตัว หรือความไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีของนักบัญชี หากนักบัญชีปรับตัว เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาทักษะของตัวเองตลอดเวลา เปลี่ยนตัวเองเป็นนักบัญชีดิจิทัล สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยี รู้จักวิเคราะห์ข้อมูล  ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีทำให้งานเร็วขึ้น สะดวกมากขึ้น และช่วยการตัดสินใจแก่นักธุรกิจเพื่อประโยชน์ขององค์กร เชื่อว่านักบัญชีดิจิทัลจะเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการอย่างแน่นอน”   ดร.อรัญญา   กล่าว

ทั้งนี้ หลักสูตรการบัญชียุคดิจิทัลของ CIBA DPU เน้นการเรียนการสอนด้านบัญชีดิจิทัล และเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อตอบโจทย์ยุค Digital Transformation เช่น การนำเสนอข้อมูลทางบัญชีง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว ด้วยโปรแกรม Power BI for Data Analytics หรือสรุปข้อมูลให้เข้าใจง่ายด้วยการใช้งาน Dashboard ประเภทต่างๆ จาก Cloud Accounting Software ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน รวมถึงมีการเพิ่มทักษะด้านบัญชีดิจิทัลให้ผู้เรียน โดยได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มบัญชีชั้นนำ อาทิ ระบบจัดการทรัพยากรองค์กรภายในบริษัท (SAP ERP) , Express Software, FlowAccount, PEAK, NEXTTO รวมทั้ง การนำ Optical character recognition (OCR) และ ระบบการจัดการร้านบนมือถือ (Point of Sale System : POS on Mobile) มาใช้ในการเรียนการสอน และเชิญผู้เชี่ยวชาญมาสอนเสริม ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้เทคโนโลยีควบคู่กับองค์ความรู้ด้านบัญชี พร้อมเป็นนักบัญชีดิจิทัลที่สามารถทำงานได้จริง  

เริ่มแล้ววันนี้กับงานประชุมสุดยอดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งภูมิภาค Cybersec Asia x Thailand International Cyber Week 2025 (โดยความร่วมมือกับ NCSA) เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ งานสำคัญนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับชั้นนำ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำในอุตสาหกรรมจากประเทศไทยและเอเชียทั้งหมด เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือ แบ่งปันข้อมูลเชิงกลยุทธ์ และกำหนดทิศทางในการพัฒนาความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาค

พิธีเปิดเริ่มต้นด้วยคำกล่าวต้อนรับจาก คุณปนัดดา ก๋งม้า รองประธานฝ่ายธุรกิจ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค (ผู้จัดงาน) ซึ่งได้กำหนดแนวทางของงานในครั้งนี้ ต่อด้วย คุณภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย (TCEB)  ที่เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนางานธุรกิจระหว่างประเทศ จากนั้น คุณ อธูล คูมาร์ผู้อำนวยการสภาความปลอดภัยข้อมูลแห่งอินเดีย (DSCI) ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของความร่วมมือข้ามพรมแดนในการยกระดับมาตรฐานความมั่นคงทางไซเบอร์ระดับโลก

 

พิธีปิดท้ายด้วยคำกล่าวจาก พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ที่เน้นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้แข็งแกร่ง จากนั้นมีการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยโดรน หุ่นยนต์สุนัข และการแสดงแสงสีเพื่อแสดงความยินดีกับการเปิดงานอย่างเป็นางการ ก่อนเยี่ยมชมพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของความร่วมมือและนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของงาน Cybersec Asia x Thailand International Cyber Week 2025 อย่างแท้จริง

งาน Cybersec Asia 2025 พร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 4,000 ราย นำเสนอบูธผู้ประกอบการกว่า 140  ราย และวิทยากรระดับโลกกว่า 100 คน งานนี้ถือเป็นศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือที่สำคัญของอุตสาหกรรม ผลักดันการสร้างเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ และการแบ่งปันความรู้ที่ทันสมัยผ่านงานแสดงสินค้าที่ครอบคลุมพื้นที่ 1,800 ตารางเมตร พร้อมพาวิลเลียนจาก สิงคโปร์ อินเดีย อิสราเอล จีน และไต้หวัน เน้นโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์ล่าสุดจากผู้นำระดับโลก สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับผู้เข้าร่วมเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่ทางธุรกิจผ่านงานประชุมและกิจกรรมต่างๆ

พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า "ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อน เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการร่วมมือกัน ผ่านโปรแกรมการฝึกอบรม การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และการตั้งมาตรฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งงาน Cybersec Asia x Thailand International Cyber Week 2025 สร้างแรงกระเพื่อมอย่างยิ่งต่อการพัฒนาตลาดความปลอดภัยไซเบอร์ ทุกธุรกิจและบุคลากรสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัยในภูมิทัศน์ดิจิทัลที่กำลังพัฒนา ทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการสร้างระบบนิเวศความปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นฟอรัมที่สำคัญสำหรับการสำรวจภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ การแสดงโซลูชันล้ำสมัย และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน"

 

คุณปนัดดา ก๋งม้า รองประธานฝ่ายธุรกิจ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค (ผู้จัดงาน) กล่าวเสริมว่า "การจัดงาน Cybersec Asia 2025 ในกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความรู้และศักยภาพทางเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของเรา แต่ยังนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่า 100 ล้านบาทจากธุรกิจและการลงทุนที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งภายในงานและต่อเนื่องไปหลังจบงาน เรามีผู้แสดงสินค้ามากกว่า 140 รายจาก 15 ประเทศและได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าจาก 70 ประเทศทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับนวัตกรรมความปลอดภัยไซเบอร์"

คุณ อธูล คูมาร์ ผู้อำนวยการสภาความปลอดภัยข้อมูลแห่งอินเดีย (DSCI) สนับสนุนว่า "การร่วมมือกันเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก ผมภูมิใจที่จะนำเสนอการแก้ปัญหาล้ำสมัยจากพาวิลเลียนสตาร์ทอัพของอินเดีย ซึ่งขับเคลื่อนโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยการส่งเสริมโปรแกรมการแลกเปลี่ยนและการสำรวจความปลอดภัยของ AI, 5G และการเข้ารหัสควอนตัม เราสามารถสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย"

คุณภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "ในยุคดิจิทัล ความปลอดภัยไซเบอร์เป็นรากฐานสำคัญของเสถียรภาพและการก้าวหน้าระดับโลก ในขณะที่ดิจิทัลของเอเชียกำลังเปิดโอกาสมหาศาล แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงใหม่ๆ ตั้งแต่ภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนโดย AI ไปจนถึงการเข้ารหัสควอนตัม การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมงานแสดงนิทรรศการไปข้างหน้า แต่ยังช่วยปกป้องผู้คนและธุรกิจทั่วโลก"

 

งาน Cybersec Asia x Thailand International Cyber Week 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มกราคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ  ตั้งแต่เวลา 09:30 – 17:00 น. สามารถลงทะเบียนหน้างานเพื่อรับบัตรฟรี!

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติจากเวที Thailand Leadership Awards 2025 ซึ่งจัดโดย The Business Leader of the Year คือ “รางวัลสุดยอดนายจ้างระดับประเทศไทยปี 2025" (Thailand's Best Employer Brand Award 2025) ซึ่งพรูเด็นเชียลฯ สามารถคว้ารางวัลนี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และ รางวัลผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลดีเด่น – ประเทศไทย (Top Most HR Leader – Thailand) 

 

ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นเลิศในการบริหารงานด้านทรัพยากรบุคคล นโยบาย และแนวทางปฏิบัติในด้านต่างๆ ตลอดจนการใช้การสื่อสารทางการตลาดอย่างมีประสิทธิผลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผลักดัน และส่งเสริมด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี (Health & Wellbeing) โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นที่ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เมื่อเร็วๆนี้

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการใน 6 ประเทศที่สะท้อนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาเซียน พบ 81% วางแผนเที่ยวต่างประเทศ แต่กว่าครึ่งต้องการเดินทางในประเทศใกล้ๆ ภายในภูมิภาค โดยไทยยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบ 86% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR VR หรือ AI เป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง 81% เลือกจองตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง ขณะที่ 78% ระบุว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาดแกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้สูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด[1]  ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้ใช้บริการแกร็บใน 6 ประเทศ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 72%) โดยกว่าครึ่ง (52%) ต้องการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (44%) อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมและผลักดัน รวมไปถึงการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ต และประเพณีสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์และลอยกระทง” 

ทั้งนี้ แกร็บยังได้เผย 5 อินไซต์สำคัญของนักท่องเที่ยวอาเซียนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด
  • ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน
  • มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
  • ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ
  • ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว


[1] อ้างอิง สถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ม.ค. - ธ.ค. ปี 2567 โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

วางกลยุทธ์ 2X Speed Recruitment & Development อัดเต็มสปีดการสร้าง และพัฒนาทีมงานให้เติบโต

X

Right Click

No right click