

ที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีการกำหนดรอบของการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันสมัยอยู่เป็นระยะๆ อย่างน้อยทุกๆ 5 ปี แต่สำหรับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Business School :TBS) เชื่อว่าโลกของความรู้ ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา ยิ่งเป็น MBA ยิ่งต้องพัฒนาไปให้ไว เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้เรียน สำหรับนำไปใช้ในการบริหารดำเนินธุรกิจ การทำงานในยุคปัจจุบันให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโททางบริหารธุรกิจ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยถึงหลังแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรตลอดจนการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ว่า TBS ยึดหลัก Customer Centric มาตลอด ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ในการกำหนดและพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนให้ได้มากที่สุด
ปัจจุบันผู้ที่สนใจเข้ามาเรียน MBA จะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือ พนักงานทั่วไปที่มีความฝันอยากเป็นผู้ประกอบการ โดยลักษณะของคนกลุ่มนี้คือ ทำงานอยู่ในฟังก์ชันของตัวเอง เช่น บัญชี วิศวกร เทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในงานของตัวเองแต่ยังขาดทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ ดังนั้นเมื่ออยากเปิดบริษัทของตัวเอง อยากทำธุรกิจ อยากทำสตาร์ตอัป ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ก็จะเลือกเข้ามาเรียนรู้ที่ MBA เพราะเป็นหลักสูตรที่จะช่วยให้เริ่มเข้าใจถึงองค์ประกอบของการทำธุรกิจ ต้องมีฟังก์ชันอะไรบ้าง โดยผู้เรียนก็จะได้เรียนรู้ในทุกวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ จบไปก็สามารถเป็นผู้ประกอบการได้
ถัดมาใน กลุ่มที่สองคือ ผู้คนที่อยากเปลี่ยนสายงาน ยกตัวอย่างเช่น เรียนจบปริญญาตรีมาทางด้านวิศวกร แต่เมื่อทำงานไปสักระยะ เริ่มรู้สึกสนใจในงานด้านอื่น อย่าง การเงิน การตลาด ฯลฯ แต่จะเปลี่ยนงานไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังขาดทักษะและประสบการณ์ ดังนั้นจึงเข้ามาเรียน MBA เพื่อศึกษาว่าถ้าเปลี่ยนสายงาน หรือ ธุรกิจที่สนใจอยากทำ ควรต้องมีความรู้มีอย่างไรบ้าง และค่อยเจาะลึกเข้าไปจนเกิดความเชี่ยวชาญ เช่น อยากทำด้านการเงิน ในปีหนึ่งของหลักสูตร MBA ก็จะได้เรียนพื้นฐานทั้งเรื่องของ Finance Marketing Human resources ฯลฯ พอปีสองถ้าสนใจการเงินจริง ๆ ก็สามารถเลือกวิชาการเงินโดยเฉพาะได้ ซึ่งพอเรียนรู้ก็จะมีทั้งทักษะ และประสบการณ์ด้านการเงิน สามารถขยับขยายเปลี่ยนสายงานได้ตามที่ตั้งใจไว้
กลุ่มที่สาม คือ คนทำงานที่ไม่ได้อยากเปลี่ยนสายงาน แต่อยากเติบโตขึ้นไปอีกระดับในองค์กรที่ทำ คือในแง่ของการทำงานต้องยอมรับว่า ถ้าอยากขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นในสายงานที่ทำอยู่ เรื่องความรู้ทักษะในการบริหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เช่น เรียนจบมาแล้วทำงานวิศวกร การจะขึ้นเป็นระดับ Manager Director จะดูเฉพาะข้อมูลของวิศวกรไม่ได้ แต่ต้องรู้จักเรื่องของบัญชี การบริหารดูแลคนในทีม ดังนั้นเพื่อเพิ่มทักษะการมาเรียนต่อปริญญาโท มาเรียน MBA ก็เป็นอีกทางที่ทำให้เติบโตขึ้นไปได้อีก
ดังนั้น ทุกครั้งที่ TBS มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาหลักสูตร จะทำโดยคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์ของผู้เรียนที่จะได้รับมาก่อนเสมอ โดยมีทั้งสัมภาษณ์ผู้เรียนว่าต้องการทักษะ หรือความรู้ด้านไหน และพูดคุยกับองค์กรบริษัทชั้นนำในไทย และต่างประเทศที่เป็นพันธมิตร ว่าต้องการคนทำงานที่มีทักษะแบบไหน และขอความคิดเห็นจากศิษย์เก่าว่าหลักสูตรที่สอนสามารถนำไปใช้งานได้จริง หรืออยากให้ปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบใดบ้าง ร่วมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองการเรียนการสอนกับสถาบันการศึกษาทางด้าน MBA ในต่างประเทศ เพื่อจะได้นำมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับการศึกษาในไทย เรียกได้ว่าการปรับการพัฒนาหลักสูตรทำขึ้นจากสถานการณ์ของโลกการทำธุรกิจ ณ ปัจจุบันและรับเทรนด์ในอนาคตไปพร้อมกัน

หลักสูตรทันสมัย ถ่ายทอดจากตัวจริงในสนามธุรกิจ
โลกธุรกิจมาเร็วเปลี่ยนไว การเรียนการสอนเรื่องของบริหารธุรกิจ ให้กับผู้เรียนที่อยู่ในวัยทำงานที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว กลายเป็นความท้าทายของ TBS ที่ “ศ.ดร.นภดล” ยอมรับว่าหลักสูตรของที่นี่ต้องแน่นและทันสมัย ที่สำคัญผู้สอนในคณะของ MBA ต้องมีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าไปอีกระดับ
“อาจารย์ในภาค MBA มี 2 ภาคส่วนสำคัญ คือ อาจารย์ประจำ ซึ่งคณะอาจารย์ส่วนใหญ่ เป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจ บริษัทใหญ่ ๆ ดังนั้นจึงเข้าใจแนวทางกระบวนการทำธุรกิจในแต่ละยุคสมัยอย่างเข้มข้น ส่วนที่สองคือ กลุ่มของอาจารย์พิเศษ ซึ่งเป็นทั้ง CEO หรือ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท หรือผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ทางคณะเชิญเข้ามาร่วมบรรยายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสอนในหลักสูตร MBA ทางอาจารย์ก็สอนสิ่งที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งทักษะ ความรู้ในการบริหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI หรือ ESG ฯลฯ คือผู้เรียนได้เห็นทั้งภาพการบริหารธุรกิจทั้งในวันนี้ และอนาคต
อย่างวันนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจ เมื่อหลักสูตร MBA สอนให้คนเป็นผู้ประกอบการ เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ ความรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ AI จำเป็นต้องมี เพราะเป็นเครื่องมือที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเข้ามาอยู่ในธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ TBS ทำไม่ใช่พัฒนาหลักสูตร AI ขึ้นมาโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบัน ในหลายวิชาก็จะมีการแทรก เครื่องมือนี้เข้าไปอยู่แล้ว ทางคณาจารย์ก็จะพูดถึง AI ว่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร จะแทรกเรื่อง AI เข้าไปอยู่แล้วในบริบทของวิชาตัวเองที่สอนอยู่แล้ว
หรือ การเพิ่มรายวิชาที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดอย่าง CEO Vision ก็เกิดขึ้นจากแชร์ไอเดียร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับ TBS ที่ต่างเชื่อตรงกันว่า Vision คือหนึ่งในหัวใจของการบริหารธุรกิจให้โตได้อย่างแข็งแรง ซึ่งคนที่จะมาพูดเรื่องราวนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ CEO หรือผู้นำองค์กร อย่างเวลาที่เจอวิกฤตทำอย่างไร นำพาองค์กรไป พลิกฟื้นขึ้นมา การทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง จึงได้สร้างวิชานี้ขึ้นมา โดยเชิญ CEO จากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำองค์กรเอกชน ภาครัฐ เข้ามาร่วมบรรยาย ในบางครั้งก็มีการพานักศึกษาไปดูงานถึงบริษัทเลย

แลกเปลี่ยนความรู้ เพิ่มทักษะการบริหารรอบด้าน
นอกเหนือจากเรื่องของหลักสูตรแล้ว จุดเด่นที่สำคัญของ MBA ของมธ. ที่ต่างไปจากที่อื่น ๆ คือ เรื่องของรูปแบบการเรียนการสอนที่ชัดเจน ตั้งแต่ต้นทางคือ กำหนดเกณฑ์ผู้เข้าเรียนต้องมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ที่ทำเช่นนี้เพราะผู้เรียนจะได้รับทั้งความรู้จากหลักสูตร และความรู้จากการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันของผู้เรียนด้วยกันเอง
ซึ่งเรื่องนี้ “ศ.ดร. นภดล” ย้ำว่าสำคัญมาก “การก้าวไปเป็น CEO ในบริษัท ย่อมเจอคนหลากหลายไม่ได้เจอคนกลุ่มเดียว เจอนักบัญชี วิศวกร สถาปัตย์ ฯลฯ ยิ่งไปสูง ต้องยิ่งเจอคนกว้าง ซึ่ง MBA ก็จะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ อยู่กับคนที่มีความเห็นที่หลากหลายแตกต่างจากคุณ มองภาพจากโจทย์ ที่ไม่เหมือนที่คุณมองในอดีต เหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการบริหารสร้างธุรกิจให้เติบโตในอนาคต” พร้อมกับขยายความต่อว่า
การเรียน MBA ไม่ใช่เรียนจากตำรา แต่เรียนรู้จากการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นจริง เจอปัญหา การแก้ปัญหา ซึ่งภายในชั้นเรียนจะประกอบไปด้วยผู้คนทั้ง 3 กลุ่ม ที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งล้วนมี Background ที่ต่างกัน อยู่ในสายงานต่างกัน แต่ทั้งหมดมีความสนใจธุรกิจ สนใจการบริหารเป็นหลักเหมือนกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และการที่ทุกคนมีประสบการณ์ในการทำงานมาระดับหนึ่ง เมื่อยก Case Study หรือ มีผู้บริหาร CEO ในธุรกิจต่าง ๆ มาร่วมพูดคุย ก็จะเข้าใจการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งการแชร์ไอเดียจะเกิดความสัมพันธ์ทั้ง CEO และในระหว่างผู้เรียนทั้งหมดด้วย
อย่าง หันซ้ายไปเจอเพื่อนที่เรียนเป็นคุณหมอก็ได้รู้ว่าการบริหาร รพ.ต้องเจออะไร หรือ หันไปด้านขวา เจอเพื่อนเรียนที่เป็นนักบัญชี ถ้าเจอปัญหาต้องทำไง หรือเพื่อนด้านหน้าทำงานด้านวิศวะจะจัดการปัญหาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ฉะนั้นยิ่งมีความหลากหลายของผู้เรียนในชั้นเรียนมากเท่าไร ก็จะเป็นประโยชน์มากเท่านั้น เพราะในการทำงาน บริหารธุรกิจจริง ๆ ต้องเจอผู้คนที่หลากหลายทั้งอาชีพที่ต่างกัน ระดับสายงานที่ต่างกัน มีมุมมองที่แตกต่างจากเดิม ๆ การเรียน MBA ก็เหมือนทำให้ผู้เรียนค่อย ๆ ซึมซับกับความคิดเห็นที่แตกต่าง การทำธุรกิจในแง่มุมต่าง ๆ และสามารถนำมาปรับใช้ต่อยอดได้ในแบบของผู้เรียนเอง เพราะเมื่อทำธุรกิจ ต้องบริหารคนหลายฝ่าย เจอโจทย์มุมมองความคิดที่หลากหลาย”

นอกจากสร้างการเรียนรู้ในชั้นเรียนแล้ว ล่าสุด “ศ.ดร.นภดล” เผยว่าได้มีการจัดตั้ง สมาคมศิษย์เก่า MBA ธรรมศาสตร์ ขึ้นมา เพื่อให้เป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างศิษย์เก่านับหมื่นคนกับศิษย์ปัจจุบัน ได้มีโอกาสสร้าง Connection ต่อกัน บนพื้นที่ ที่สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ ผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ MBA Thamamsat Talk เวทีกลางที่จัดให้มีการพูดคุย Update ความรู้ หรือ MBA Thammasat Night เพื่อให้ศิษย์เก่าทุกรุ่นได้มาร่วมทำความรู้จักกันมีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันในมิติต่าง ๆ รวมถึงสร้าง MBATU Club ต่าง ๆ ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างศิษย์เก่าและนักศึกษาปัจจุบันจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่เพิ่มมิติหลักสูตร MBA ของ TBS ให้สามารถผลักดันสร้างคนทำงานที่เก่ง นักบริหารเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้
บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ของธนาคารในกลุ่มเปราะบางที่มีหนี้วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทให้สามารถรักษาทรัพย์สินหลักประกันเป็นสถานประกอบการไว้ได้ ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย ช่วยให้ SMEs ปิดหนี้ได้ไว ไปต่อได้เร็ว ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ตามนโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้
คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้
ช่องทางและระยะเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ
ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ ธปท. www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 (สิ้นสุดเวลา 23.59 น.) หรือตามที่ ธปท. ประกาศเปลี่ยนแปลง
EXIM BANK มุ่งดำเนินภารกิจการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ให้สามารถปิดหนี้ได้ไว สร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไปได้และแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมมาตรการและชำระหนี้ตามเงื่อนไขได้ที่ www.exim.go.th สอบถาม EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ก้าวขึ้นระดับ AA ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน จากการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่ง KKP ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 80 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการยอมรับในระดับ AA และยังคงสถานะหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างสมดุลและยั่งยืน
นอกจากนั้น ความโปร่งใสของ KKP ยังได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Award ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 จากการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียอีกด้วย
นางสาวพัทนัย เหลืองตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสำนักสื่อสารองค์กรและการตลาด กล่าวว่าการขึ้นสู่ระดับ AA คือผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นต่อเนื่องขององค์กร ในการบูรณาการความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์องค์กร ภายใต้เจตนารมณ์ ‘มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน’ โดยพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรมและธรรมาภิบาลที่เป็นไปเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก ภายใต้ 3 มิติ ESG ดังนี้
เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความยั่งยืนในระยะยาว KKP ได้วางกรอบการทำงานอย่างเข้มงวดและชัดเจน เช่น ESG Lending Policy หรือนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และจรรยาบรรณคู่ค้า (Supplier Code of Conduct) เพื่อให้คู่ค้าปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลที่สอดคล้องกับแนวทางของ KKP
ทั้งนี้ การประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความสามารถขององค์กรไทยในการพัฒนาธุรกิจที่สมดุลระหว่างผลกำไรและความรับผิดชอบต่อโลก โดยการยกระดับก้าวขึ้นสู่ระดับ AA ครั้งนี้ได้ทำให้ KKP เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมาตรฐานให้กับการดำเนินธุรกิจในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับ ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในฐานะความจำเป็นสำหรับอนาคต
“ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่เป็นเส้นทางที่เราต้องเดินด้วยความตั้งใจและความรับผิดชอบ KKP พร้อมเดินหน้าสู่ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน สู่การพัฒนาที่ก้าวไกลและยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว ทั้งต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจไทย” นางสาวพัทนัยกล่าว
เพาเวอร์บาย ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล กางแผนงานไตรมาสแรกปี 68 ดึงมาตรการ "Easy E-Receipt 2.0” เป็นจุดขายหลักมัดใจผู้บริโภค ชูจุดเด่นช้อปง่าย-ลดหย่อนภาษีได้ทุกช่องทาง ทั้งหน้าร้านเพาเวอร์บาย และออนไลน์ พร้อมจัดเต็มกับแคมเปญ “เฮงรับปีมะเส็ง” แจกทอง และคูปองส่วนลด รวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท ช้อปคุ้มตั้งแต่วันนี้ – 5 มีนาคมนี้ มั่นใจแคมเปญการตลาดที่เตรียมไว้จะช่วยสร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งให้กับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า

นายสุวิณ โกษีอํานวย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “บรรยากาศการจับจ่ายของผู้บริโภคช่วงต้นปี 2568 นี้ มีแนวโน้มคึกคักต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยาวจนถึงช่วงมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 คาบเกี่ยวไปยังเทศกาลตรุษจีน และวาเลนไทน์ สำหรับปีนี้ เพาเวอร์บาย ยังคงขานรับนโยบายรัฐบาลเข้าร่วมโครงการ "Easy E-Receipt 2.0" เพื่อสร้างดีมานด์ปลุกกำลังซื้อ และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสแรก พร้อมอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าร่วมโครงการได้ทุกช่องทาง ทั้งร้านเพาเวอร์บายทุกสาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน นอกจากนี้เรายังเตรียมแคมเปญพิเศษต้อนรับตรุษจีน “เฮงรับปีมะเส็ง” ไว้เอาใจผู้บริโภคด้วยส่วนลด โปรโมชั่น และสิทธิพิเศษมากมากมาย
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 มาตรการ Easy E-Receipt เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าและมือถือไทยเติบโตอย่างชัดเจน ส่งผลให้มูลค่าการจับจ่ายในช่วง 2 เดือนแรกรวมกว่า 40,000 ล้านบาท สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ มือถือ, แอร์, ทีวี, ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า โดยพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ ในขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวยังเป็นแรงหนุนดันยอดขาย “เพาเวอร์บาย” เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จราว 15,000 บาท”

ไม่เพียงเท่านี้ เพาเวอร์บาย ยังคงเดินหน้าดันยอดขายอย่างต่อเนื่อง จัดแคมเปญ “เฮงรับปีมะเส็ง” ตั้งแต่วันนี้ – 5 มีนาคม 2568 พบโปรโมชั่นสุดเฮง ได้แก่
“เพาเวอร์บาย คาดว่ามาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในปีนี้จะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ผสานกับโปรโมชันที่ครอบคลุมทุกช่องทางจะช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่คุ้มค่า พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่” นายสุวิณ กล่าวปิดท้าย
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand) จัดงานวันนักการตลาด Thailand Marketing Day 2025 Next Marketing Battle เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของผู้นำระดับประเทศ และผู้บริหารองค์กรชั้นนำ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มาเผยกลยุทธ์การรับมือทางด้านเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 รวมถึงทางรอดของธุรกิจและผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน

ภายในงานมีการเสวนาที่น่าสนใจ โดยหนึ่งในหัวข้อสำคัญ ได้แก่ Service Warfare : Winning the Tourism, Care & Wellness Economy through Sustainable Innovation พลิกโฉมวงการท่องเที่ยวและสุขภาพด้วยนวัตกรรมความยั่งยืน โดย แพทย์หญิง ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารอาวุโส กลุ่ม 1 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษถึงกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในมิติ ESG ว่า BDMS มีเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเครือข่ายกลุ่มโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลรอยัล และ BDMS Wellness Clinic อีกทั้งยังมีการให้บริการที่หลากหลาย สิ่งสำคัญ มีความตั้งใจอยากให้ทุกคนอายุยืน และมีสุขภาพที่ดี
BDMS ได้ทำธุรกิจ Wellness มานานกว่า 10 ปี เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness Healthcare) ที่กำลังเติบโตในประเทศไทยและทั่วโลก
แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กล่าวว่า BDMS ตั้งใจที่จะพัฒนาโรงแรมที่รวมบริการ Wellness ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ “การให้บริการ Wellness ในพื้นที่ต่างจังหวัด อย่างที่ภูเก็ต เรามีความร่วมมือกับ ลากูน่าภูเก็ต และกำลังจะเปิดตัวที่ศรีพันวา และสมุยอีกแห่ง อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Wellness ควรถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน มากกว่าจะเป็นบริการที่เข้ารับเป็นครั้งคราว โดยอาจมีการแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplement) ที่เหมาะสมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”

นอกจากนี้ BDMS ยังมีโปรเจคใหญ่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ก่อตั้งศูนย์รวมธุรกิจเกี่ยวกับ Wellness เพื่อทำให้เป็นตัวแทน Wellness ของประเทศไทย เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเกิดขึ้น โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน
“ในส่วนของโครงการใหญ่ของเรา BDMS มีพื้นที่อยู่ที่หัวมุมสวนลุมพินี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเรากำลังพัฒนาให้เป็น Mix Wellness Complex โดยตั้งเป้าหมายให้เป็น Wellness Destination แบบครบวงจร อาทิ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ภายในโครงการดังกล่าวจะมีทั้งคลินิก ร้านค้า (Retail) และโรงแรม เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ (Ecosystem) และเป็นตัวแทนของ Wellness ประเทศไทย ในเรื่องการดูแลสุขภาพไม่สามารถทำได้โดย BDMS เพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือในทุกภาคส่วน เพราะการดูแลสุขภาพไม่ใช่เพียงการดูแลชั่วคราว แต่จะต้องการสร้างระบบ Wellness ที่สมบูรณ์ และต้องมีองค์ประกอบที่หลากหลาย เช่น โรงแรม และบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมการดูแลสุขภาพ”
สิ่งที่เป็นหัวข้อใหญ่ของวันนี้คือ ความยั่งยืน หรือ Sustainable ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับแนวคิด Green ที่สะท้อนถึงการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ในมุมมองของธุรกิจการให้บริการในการดูแลสุขภาพ ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างระบบที่ส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว ทั้งในด้านคุณภาพ ความครอบคลุม และความเท่าเทียมโดยการทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน เริ่มต้นจากการให้บริการสุขภาพที่ดี หลากหลาย และตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่มคน และควรทุกคนได้รับโอกาสในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
BDMS ดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจสุขภาพให้ก้าวหน้าด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ อาทิ เทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแบบไม่ตัดกล้ามเนื้อ ซึ่ง BDMS ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ SET Awards ในประเภท Value Based Healthcare นับเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย และลดระยะเวลาการฟื้นตัว ทั้งนี้ นวัตกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ BDMS ในการสร้างคุณค่าให้กับระบบสุขภาพโดยรวม ซึ่งความสำเร็จนี้ย้ำให้เห็นถึงบทบาทของนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม และความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ดีและยั่งยืนสำหรับทุกคนในอนาคต
เอส โคล่า ต่อยอดความแรงของยอดขาย เดินหน้ารุกช่องทางขายร้านอาหาร เปิดแคมเปญ “ขอเอสขวดพี่” ดึงพรีเซนเตอร์ตัวตึง “ตั้ม วราวุธ โพธิ์ยิ้ม” ยกขบวนบุกร้านอาหารเด็ดทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดตัวแบบสับเนรมิตศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เป็นพื้นที่แห่งความ Awesome สำหรับนักกิน บุกสร้างสีสันในร้านอาหารกว่า 1,000 ร้านเด็ด พร้อมจัดเต็มสื่อแบบ 360 องศา ทุกพื้นที่ Touch Point ผลักดันแบรนด์เอสให้เป็นแบรนด์แรกที่ลูกค้าเรียกหา

นางสาวสุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “หลังจากที่ เอส ปรับโฉมภาพลักษณ์และการสื่อสาร ภายใต้คอนเซป เอสโคล่า Born to be Awesome เกิดมาซ่ากล้าเป็นตัวเอง แคมเปญการตลาดได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนซี สามารถสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 22.4% (การเติบโตเชิงปริมาณ ข้อมูลจากนีลเส็นไอคิว ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 – พฤศจิกายน 2567) โดยเป็นการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าดั้งเดิม รวมถึงช่องร้านอาหาร (Food Service and Restaurant) ซึ่งเป็นช่องทางการขายที่มีบทบาทสำคัญต่อตลาดน้ำอัดลม ไม่แพ้ช่องทางขายอื่น ๆ”
“เอส โคล่า สูตรใหม่ ที่มีส่วนผสมของ Asian Spice ได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค เพราะรสชาติของเอสโคล่าอร่อยซ่ากลมกล่อม ให้ความสดชื่นดับกระหาย อีกทั้งกินคู่อาหารก็ยิ่งเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารอร่อยยิ่งขึ้น เอส โคล่า เล็งเห็นโอกาสในการรุกตลาดขยายฐานการดื่ม occasion คู่อาหารอย่างเต็มรูปแบบ เปิดแคมเปญ ‘ขอเอสขวดพี่’ แคมเปญสื่อสารการตลาดที่มาพร้อมเพลงจิงเกิลสนุก ๆ สร้างการจดจำและเรียกหาเอสเป็นเครื่องดื่มคู่มื้ออาหาร พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ตัวตึงอย่าง ตั้ม-วราวุธ โพธิ์ยิ้ม หรือ ตั้ม The Star ที่จะนำทัพยกขบวนบุกไปสร้างสีสันในย่านที่เป็น Strategic Area ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 1,000 ร้านค้า”

พร้อมกันนี้ ในงานเปิดตัวแคมเปญที่จัดขึ้นที่สามย่านมิตรทาวน์ วันที่ 10 มกราคมนี้ เอสก็จัดเต็มกิจกรรมที่ชวนให้กลุ่มลุกค้า และแฟนคลับ ได้มาเรียกหาเอสขวดพี่พร้อมกัน ภายในงานมีกลุ่มอินฟลูอินเซอร์ชื่อดัง สกาย-วงศ์รวี, นานิ-หิรัญกฤษฎิ์, มาร์ค-ภาคิน, ปิงปอง-ธงชัย, และ นนท์-อินทนนท์ ที่มาสร้างสีสันเล่นเกมส์ “เก้าอี้ดนตรีในร้านอาหารที่ว๊าวที่สุดในประเทศ” ลุ้นรับรางวัลกินฟรี อีกทั้งยังมีขบวนทรู๊ปออกตามล่าคนสั่งเอส เพื่อลุ้นรับรางวัลกินฟรียกโต๊ะ ที่แหล่งของกินวัยซ่าอย่างบรรทัดทอง
นอกจากนี้ แคมเปญนี้มีการใช้สื่อแบบ 360 องศา เพื่อ Bombard สร้างสีสันให้กับแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นสื่อนอกบ้านอย่าง Billboard ที่จะเข้ามาช่วยสร้างอิมแพ็คในโลเคชั่นสำคัญของกรุงเทพฯ และปริมณฑล สื่อ Transit Ads เช่น BTS, MRT และสื่อ ณ จุดขายร้านค้า เช่น Tops, 7-11, Big C, Makro ตลอดจนสื่อ Social Media, KOLs และ Online Radio เป็นต้น

อีกกิจกรรมสนุกในแคมเปญนี้ คือ กิจกรรมออนไลน์ ที่ให้ผู้บริโภคทุกคนเรียกหาเอสดื่มคู่มื้ออาหาร เพียงถ่ายรูปเอสรสชาติใดก็ได้กับอาหารจากร้านโปรด ติดแฮชแท็ก #ขอเอสขวดพี่ เพื่อลุ้นทองคำมูลค่า 10,000 บาท หรือลุ้นรางวัลกินฟรีที่ร้านอาหารในเครือโออิชิ รวม 75 รางวัล ตลอดระยะเวลา 3 เดือน (มกราคม - มีนาคม 2568) รวมมูลค่ารางวัลกว่า 180,000 บาท
“แคมเปญ ‘ขอเอสขวดพี่’ เอส มุ่งเน้นสื่อสารตอกย้ำความ Awesome ในรสชาติของเอสโคล่า ใน Occasion คู่มื้ออาหาร ซึ่งพรีเซ็นเตอร์อย่าง “ตั้ม-วราวุธ” ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความ Awesome, สนุกสนาน, มีความสามารถด้านดนตรี สื่อสารจิงเกิลสนุกๆของแคมเปญนี้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว อีกทั้งตั้มยังเป็นคนที่ชอบกินอาหาร และมีรายการอาหารเป็นของตัวเองอีกด้วย สามารถสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างดี” คุณสุภรณ์ เด่นไพศาล กล่าวปิดท้าย

สำหรับตลาดน้ำอัดลมในปี 2567 ที่ผ่านมา มีมูลค่าอที่ 70,772 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ 9% จากปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากนีลเส็นไอคิว ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 – พฤศจิกายน 2567) โดยการดื่มคู่กับมื้ออาหาร ยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกค่อนข้างมาก ตามไลฟ์สไตล์การทานอาหารนอกบ้านของคนไทยที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ช่วยสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ความคุ้มครองกรณีเข้ารักษาตัวแบบผู้ป่วยใน (IPD) สูงสุด 150,000 บาท และผู้ป่วยนอก (OPD) คุ้มครองสูงสุด 1,000 บาทต่อครั้ง และกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท (เบี้ยรักษาเท่ากันทุกช่วงอายุ) (ความคุ้มครองนี้เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์)
สำหรับรายละเอียดผลิตภัณฑ์หรือสนใจทำประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล สำหรับแรงงานต่างด้าว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทิพยประกันภัย โทร. 1736 หรือ บริษัท ทีเคอาร์โบรกเกอร์เรจ จำกัด โทร. 093-036-2459
เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต ประเดิมศักราชใหม่ ลุยจัดงานใหญ่ AGENCY KICK OFF & YEAR PLAN 2025 งานประชุมและวางแผนงานประจำปีของผู้บริหารตัวแทนทุกระดับจากทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “The Builder 2025...สร้างคน สร้างงาน สร้างความสำเร็จ” ประกาศความสำเร็จในปีที่ผ่านมา และปักหมุดเดินหน้าพัฒนาศักยภาพตัวแทน ปูทางสู่การเติบโตในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง พร้อมดันแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมการบริการ เตรียมลุยตลาดเพื่อสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน

โดยภายในงานได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหาร เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมให้แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ นายสมศักดิ์ อรรถเสรีพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน บมจ. เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) ร่วมแชร์กลยุทธ์การเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งสำหรับช่องทางตัวแทน พร้อมประกาศเป้าหมายสำคัญภายใน 3 ปี เร่งเดินหน้าคัดสรรและสร้างตัวแทนคุณภาพรุ่นใหม่ พัฒนาตัวแทนในหลักสูตร LFP (LION Financial Planner) ให้คำปรึกษาทางการเงินระดับมืออาชีพ ส่งเสริมตัวแทนสู่คุณวุฒิ MDRT (Million Dollar Round Table) ด้วยโปรแกรมพิเศษ คุณวุฒิ MDRT ต่อเนื่อง 4 ปี รับ 2 ล้านบาท พร้อมการผลักดันการเติบโตในสายอาชีพสู่การเป็นผู้บริหารตัวแทนระดับสูง

ทางด้าน นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ร่วมให้กรอบการดำเนินงานและพร้อมสนับสนุนช่องทางตัวแทน ภายใต้แนวคิด “Lifetime Partner 24: Driving Growth” พร้อมให้คำมั่นในการสนับสนุนช่องทางตัวแทนอย่างเต็มกำลังจากทุกภาคส่วนขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าช่องทางตัวแทนจะสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ร่วมด้วย นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า ที่มาแชร์แผนการพัฒนากิจกรรมบริการ และแนวทางยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพื่อสร้างการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ได้รับเกียรติจาก นายจาเร็ด ชิว (Jared Chew) Regional Head of Agency Development ตัวแทนผู้บริหารจากภูมิภาคเอเชีย ที่มาร่วมถ่ายทอดแนวคิด “The Builder” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเพิ่มพูนความรู้ความสามารถแก่ผู้บริหารตัวแทนฝ่ายขาย นำไปสู่การบริหารทีมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยงานจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ รอยัล ฮิลล์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดนครนายก