

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” เดินหน้าจับมือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาผู้ประกอบการไทยด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ยกระดับการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 พร้อมก้าวเข้าสู่องค์กรแห่งความยั่งยืน เพิ่มศักยภาพการผลิตและขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ คาดจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 1 ร้อยล้านบาท

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” ของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เน้นการปฏิรูปทั้งระบบของภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งปรับปรุงการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรมให้สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ซึ่งหากอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็ง ก็จะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นในระยะยาว
“กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่ให้เติมเต็มห่วงโซ่อุตสาหกรรมในปัจจุบัน และมีระบบการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภารกิจที่ตั้งใจเดินหน้าโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมทั่วโลกย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสู่อนาคต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต และบริการ รวมถึงสามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการ “ผลัดใบเศรษฐกิจ” ในศตวรรษที่ 21 ให้กับประเทศไทย รวมทั้งมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกภาคส่วน
การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญในการยกระดับศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและเกิดความเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ด้วยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาคการผลิต ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการพัฒนาต่อยอดกระบวนการผลิต และด้านผลิตภัณฑ์ ในการยกระดับศักยภาพและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับสากล คาดจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 100 ล้านบาท

“ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือและการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันพัฒนางาน แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับดีพร้อมในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในด้านเทคโนโลยีการผลิต โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม และ ส.อ.ท. จะเข้าไปให้การส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถทางการแข่งขัน การพัฒนาด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือ อุตสาหกรรม 5.0 อาทิ ด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนากระบวนการผลิต และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังร่วมกันให้การสนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมและบุคคลทั่วไป ให้มีความตระหนักและสามารถเพิ่มทักษะด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลทางด้านวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม สังคม ชุมชน และบุคคลทั่วไป รวมทั้งยังได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการ โดยความร่วมมือในครั้งนี้มีระยะเวลารวม 3 ปี โดย โครงการนี้ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. กว่า 16,000 ราย จะเป็นการยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ SMEs จะได้รับการพัฒนาภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นแบบอย่างให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายอื่น ๆ ใช้เป็นต้นแบบในการยกระดับภาคการผลิตต่อไปในอนาคต

“การปรับตัวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยให้เหนือกว่าประเทศคู่แข่ง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้าน ESG หรือการผลิตที่ยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้จะทำให้สินค้าไทยก้าวข้ามกำแพงการกีดกันด้านสิ่งแวดล้อมได้เหนือกว่าประเทศอื่น”
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานยังแข็งแกร่ง แต่สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงขาลงจากผลของดอกเบี้ยที่สูงและความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัมป์ ในเดือนธันวาคม การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจาก 212,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน สู่ 256,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับลดลงจาก 4.2% สู่ระดับ 4.1% สอดคล้องกับตัวเลขเปิดรับสมัครงานที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.09 ล้านตำแหน่ง มากสุดในรอบ 5 เดือน สะท้อนภาพรวมตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ดัชนี ISM ภาคบริการขยับเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดจาก 52.1 มาอยู่ที่ 54.1 อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจาก 74 ในเดือนธันวาคม สู่ระดับ 73.2 ในเดือนมกราคม
แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 28-29 มกราคม แต่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจกำลังเพิ่มขึ้น สะท้อนจาก (i) ยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ของภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (ii) ยอดการยื่นล้มละลายในปี 2567 มากที่สุดในรอบ 14 ปี และ (iii) อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์มากที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าผลจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงอาจกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า นอกเหนือจากผลกระทบของการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์ ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับลดลงอีก 0.75% สู่ระดับ 3.50-3.75% ณ สิ้นปี 2568 สอดคล้องกับความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจยูโรโซนยังเผชิญความท้าทายจากต้นทุนพลังงานที่สูง รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส ในเดือนธันวาคม ดัชนี PMI ภาคบริการกลับมาขยายตัวโดยเพิ่มขึ้นจากในเดือนพฤศจิกายน 49.5 สู่ระดับ 51.6 อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคการผลิตยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 45.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยับเพิ่มขึ้นจาก 2.2% สู่ระดับ 2.4% YoY ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวที่ 2.4% สะท้อนถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ขยับขึ้น นอกจากนี้ ยูเครนประกาศยุติสัญญาการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังยุโรปซึ่งหมดอายุลงเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงเผชิญความเสี่ยงหลายประการที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวในปี 2568 อาทิ ภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ความขัดแย้งทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันกว่า 41% ของ GDP ทั้งหมดของสหภาพยุโรป แม้ว่ายุโรปจะมีปริมาณสำรองก๊าซสูงกว่า 90% แต่การพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่ใช่รัสเซียจะส่งผลให้ต้นทุนพลังงานในประเทศสูงขึ้นและอาจลดทอนความสามารถทางการแข่งขันของยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอภายใต้ความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้น วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1.00% สู่ระดับ 2.00% ภายในปี 2568 เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงแรง

มาตรการกระตุ้นรอบใหม่มีแนวโน้มช่วยพยุงเศรษฐกิจจีน ขณะที่จีนยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก ทางการและภาคเอกชน (Caixin) รายงาน PMI ภาคการผลิตขยายตัวชะลอลงในเดือนธันวาคม ขณะที่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ขยายตัวต่อเนื่องส่วน PMI นอกภาคการผลิตขยายตัวเร่งขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคมยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 0.1% YoY ซึ่งต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตดีขึ้นเล็กน้อยจาก -2.5% เป็น -2.3% สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายบ้านใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ 100 อันดับแรกเริ่มทรงตัวที่ 0% YoY ในเดือนธันวาคมจาก -6.9% ในเดือนพฤศจิกายน
จีนยังคงเผชิญปัญหาอุปทานส่วนเกินและการบริโภคที่ซบเซา อย่างไรก็ตาม มาตรกระตุ้นของรัฐบาลช่วยบรรเทาปัญหาและประคับประคองเศรษฐกิจจีนได้บางส่วน โดยเฉพาะมาตรการอุดหนุนการแลกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ สำหรับในปี 2568 นี้ รัฐบาลมีแผนขยายมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมสินค้ากลุ่มอื่นเพิ่มเติม เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว ยานยนต์พลังงานทดแทน และเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังประกาศให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ภาคธุรกิจเพื่อปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักรใหม่ มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะทำให้การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวดีขึ้น รวมถึงบรรเทาผลกระทบเชิงลบจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2568

เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนสะท้อนแรงส่งการใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มแผ่วลง ธปท. รายงานเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนชะลอลง โดยการบริโภคภาคเอกชนลดลง (-0.4% MoM sa) หลังจากที่เร่งไปในเดือนก่อนจากมาตรการเงินโอนภาครัฐ โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนที่ปรับลดลงมาก เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาหดตัว (-1.8%) ตามการลดลงของการลงทุนทั้งทางด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ และด้านก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ภารส่งออกที่หักทองคำและปัจจัยทางฤดูกาลขยายตัว (+3.0%) จากการส่งออกที่เติบโตในหมวดยานยนต์และสินค้าเกษตรแปรรูปเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคท่องเที่ยวแม้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน แต่รายรับรวมจากภาคท่องเที่ยวไม่สดใสส่วนหนึ่งเป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่ค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงปรับลดลง
การใช้จ่ายในประเทศในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแผ่วลงอย่างชัดเจนสะท้อนถึงการทยอยหมดลงของผลบวกจากมาตรการการโอนเงิน 10,000 บาทแก่กลุ่มเปราะบางราว 14 ล้านคน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป สำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ทางการออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในโครงการ Easy-E-Receipt (ใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย) เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 16 มกราคม ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และมาตรการโอนเงิน 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์จากแอพพลิเคชั่นทางรัฐ (ประมาณ 4 ล้านคน) ตั้งเป้าโอนเงินให้ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นๆ ต่อการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่ยังฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ในปี 2568 วิจัยกรุงศรีคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะเติบโตชะลอลงเหลือ 3% จากปีก่อนที่ขยายตัวได้ราว 4.8%

การลงทุนยังเผชิญกับความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัวช้า และความท้าทายจาก Global Minimum Tax ที่มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี ธปท.รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนธันวาคมกลับมาปรับตัวลดลงสู่ 48.4 จาก 49.3 ในเดือนพฤศจิกายน และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (หดตัว) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ส่วนใหญ่เป็นผลจากความเชื่อมั่นในภาคการผลิตที่ปรับลดลงและอยู่ในแดนหดตัวตั้งแต่กลางปี 2567 ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตปรับดีขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 50 ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
จากข้อมูลความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังต่ำกว่าระดับ 50 เป็นเวลานาน บ่งชี้ถึงความไม่มั่นใจของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ประสบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนภาคเอกชนในปีที่ผ่านมาจึงมีภาพรวมไม่สดใส สำหรับในปีนี้วิจัยกรุงศรีประเมินการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวได้ราว 2.9% แรงหนุนจาก (i) การเร่งลงทุนของภาครัฐ สะท้อนจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปีงบฯ 2568 ขยายตัวสูงถึง 26.5% เมื่อเทียบกับปีงบฯ ก่อน ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐปรับดีขึ้น (ii) ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 มูลค่าเงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และ (iii) ล่าสุดข้อมูลจาก EEC เผยว่าในปีนี้จะมีนักลงทุน 12 ราย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาท เตรียมจะเข้ามาลงทุน โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับดาต้าเซนเตอร์ และเซมิคอนดัคเตอร์ อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2568 ทางการไทยประกาศใช้ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax: GMT) อัตรา 15% ซึ่งจะเรียกเก็บจากนิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises: MNEs) ขนาดใหญ่ที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ประเด็นดังกล่าวอาจมีผลต่อการทบทวนและตัดสินใจในการลงทุนในไทย ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำหรับประเทศที่เคยใช้นโยบายภาษีในระดับต่ำเพื่อเป็นแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ปี 2568 ภายใต้แนวคิด "ออมสิน สวนสนุกแห่งการออม" ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษที่มาในรูปแบบ Glamorous Carnival Magic Theme สวนสนุกที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การออม อย่างมีความสุขและสนุกสนานผ่านฐานกิจกรรมต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถพิเศษ และทักษะด้านกีฬา ตลอดจนส่งเสริมแนวคิดการช่วยเหลือสังคม พร้อมขบวนรถไฟสายความสุขให้น้อง ๆ รับความสนุกทั่วงาน นอกจากนี้ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กดีที่ขาดแคลนทุนทรัพย์จากโรงเรียนวัดไผ่ตัน ทุนการศึกษาจากแคมเปญ 111 ปี ออมดีมีทุน และทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการธนาคารโรงเรียนดิจิทัล พร้อมมอบกระปุก "น้องออมสินตัวตึง" ให้แก่เด็กและเยาวชนที่ลงทะเบียนฝากเงินไว้ ซึ่งกระปุกออมสินในปีนี้แสดงออกถึงความน่ารัก แสนรู้ และล้มลุกได้เหมือนมาสคอตของธนาคารออมสิน พร้อมทั้งออกแบบข้อความที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาเป็นลวดลายกระปุกโดยศิลปินออทิสติกจากมูลนิธิออทิสติกไทย นับเป็นการสร้างโอกาสด้านการแสดงออกถึงศักยภาพและส่งเสริมการใช้ศิลปะมาต่อยอดเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพกระจายรายได้สู่เครือข่ายของมูลนิธิฯ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้กับกลุ่มผู้เปราะบาง ตามภารกิจธนาคารเพื่อสังคม ที่มุ่งสร้าง Social Impact ให้เกิดประโยชน์ที่ครอบคลุมต่อผู้คนและสังคมในวงกว้าง โดยมีผู้บริหารธนาคารออมสิน เด็กและผู้ปกครองร่วมงานกว่า 3,000 คน และมีหน่วยงานพันธมิตร ร่วมสร้างความสนุก อาทิ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด บริษัท เงินดีดี จำกัด และ กองทุนการออมแห่งชาติ ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568

นอกจากนี้ ธนาคารได้นำคณะเด็กและเยาวชนดีเด่น จำนวน 20 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียนในโครงการธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน เข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมรับโล่ประกาศเกียรติคุณสำหรับผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์ ขยัน ประหยัด กตัญญูช่วยเหลือพ่อแม่ ผู้ปกครอง และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 จากพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้ง ได้แสดงความยินดี ให้โอวาท และมอบเสื้อสามารถแก่เด็กและเยาวชนดีเด่นทั้ง 20 คน เมื่อเร็ว ๆ นี้
แกร็บ ประเทศไทย ขานรับนโยบายรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ชวนพันธมิตรค้าปลีกชั้นนำและผู้ประกอบการรายย่อยตบเท้าร่วมแคมเปญ “GrabMart Easy E-Receipt 2.0” มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อช้อปสินค้าที่ร่วมรายการผ่านบริการแกร็บมาร์ท (GrabMart) โดยผู้ใช้บริการสามารถขอรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบผ่านแอปพลิเคชันเพื่อนำมาใช้ลดหย่อนภาษีปี 25681 ตามที่จ่ายจริงได้สูงสุดถึง 30,000 บาท2 พร้อมส่งดีลพิเศษทริปเปิลความคุ้ม “ลดหย่อนง่าย คุ้มได้ 3 ต่อ” มอบส่วนลดสูงสุด 20% ตลอดแคมเปญ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568
นายจิรกิตต์ กว้างสุขสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มเดลิเวอรียอดนิยม แกร็บพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ ‘Easy E-Receipt 2.0’ ซึ่งเป็นการขยายผลจากมาตรการเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีที่ประกาศเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยเราพร้อมอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการที่ซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคบนแกร็บมาร์ทสามารถขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จากร้านค้าที่ร่วมรายการได้โดยตรง ซึ่งในปีนี้แกร็บได้ยกขบวนสินค้ามากกว่า 1.6 ล้านรายการจากร้านค้าพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการค้าปลีกและแบรนด์ชั้นนำ นำโดย ท็อปส์, โลตัส, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, โฮมโปร, เบทาโกร, บิวเทรียม, บีทูเอส, บู๊ทส์, มัทสึโมโตะ คิโยชิ, มูจิ, มาร์คแอนด์สเปนเซอร์, ออฟฟิศเมท, โอเรียนทอล พริ้นเซส รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยจากทั่วประเทศอีกมากมาย”

พร้อมกันนี้ แกร็บยังเอาใจเหล่านักช้อปด้วยโปรโมชัน “ลดหย่อนง่าย คุ้มได้ 3 ต่อ” โดยผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านแกร็บมาร์ท จากร้านค้าที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้รับความคุ้มค่าแบบ 3 ต่อ ต่อที่หนึ่ง: รับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 จากการใช้จ่ายตามจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ต่อที่สอง: พิเศษสำหรับผู้ใช้ใหม่ รับส่วนลดทันที 20% เพียงกรอกรหัส EASY20 (สูงสุด 350 บาท เมื่อซื้อสินค้าขั้นต่ำ 800 บาท) และ ต่อสุดท้าย: รับส่วนลดเพิ่มทันที 15% ในการสั่งซื้อครั้งถัดไป เพียงกรอกรหัส EASY15 (สูงสุด 300 บาท เมื่อสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำ 1,000 บาท)

ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการแกร็บมาร์ทพร้อมใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสามารถติดตามรายละเอียดของแคมเปญฯ ขั้นตอนการขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ทาง https://www.grab.com/th/blog/grabmart-easy-e-receipt
1 อ้างอิงข้อมูลจากทำเนียบรัฐบาล วันที่ 26 ธันวาคม 2567
2 เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย นำโดย นายอิฎฐ์ อภิรักษ์ติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาองค์กร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยพนักงานของบริษัทฯ ร่วมกับองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (PLAN International Thailand) และอุทยานการเรียนรู้ TK Park (Thailand Knowledge Park) จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568 โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ความรู้น้องๆ ภายใต้โครงการ SAFE School โครงการโรงเรียนปลอดภัย หรือ โครงการเสริมสร้างความปลอดภัยรอบด้านในสถานศึกษา

เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาความปลอดภัยในโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการบาดเจ็บ (Injury Prevention) จากภัยต่างๆ ทั้งจากอุบัติเหตุ (Accident), อุบัติภัย (Natural Disaster) และภัยทางสังคม (Social Bullies) โดยมุ่งให้เกิดการสร้างความปลอดภัย ทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มที่อยู่ในโรงเรียนและชุมชนรอบข้าง
นางสาวสลิล สุญาณเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอไอคอมบายนด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ‘Gentle Monster’ (เจนเทิล มอนสเตอร์) แบรนด์แฟชั่นระดับโลกจากเกาหลีใต้ในประเทศไทย กล่าวว่า Gentle Monster เป็นแบรนด์แว่นตาแฟชั่นที่โดดเด่นในด้านการออกแบบในสไตล์และสีสันที่หลากหลาย ประกอบกับกลยุทธ์การมอบประสบการณ์อันแปลกใหม่ผ่านภาพลักษณ์และการตกแต่งร้าน ซึ่งมีกว่า 40 แห่งทั่วโลก โดยจะเปลี่ยนธีมตามฤดูกาลอยู่เสมอ จึงทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จและครองใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

ล่าสุดประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ได้เปิด Pop-Up Store Jewelry 2025 Collection อย่างยิ่งใหญ่ใจกลางแลนด์มาร์กของประเทศไทย ณ บริเวณ EM Gallery ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ซึ่งทั่วโลกมีเพียง 7 แห่งเท่านั้น ได้แก่ เกาหลี, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, สาธารณรัฐประชาชนจีน 3 แห่ง และประเทศไทย

สำหรับ Pop-Up Store Jewelry 2025 Collection สุดพิเศษแห่งนี้เป็นการยกระดับสู่มิติใหม่ของสุนทรียศาสตร์และการมอบประสบการณ์ตรงให้กลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และ GEN Z ด้วยการตกแต่งภายใต้แนวคิด ‘กล่องเครื่องประดับขนาดยักษ์’ เต็มไปด้วยดีเทลหรูหรา สอดคล้องกับแรงบันดาลใจหลักของคอลเลกชันใหม่ จิวเวลรี 2025 ชูจุดเด่นด้านดีไซน์ที่ผสานความงดงามของไข่มุกเข้ากับนวัตกรรมการออกแบบเครื่องประดับและแว่นตา เช่น อาทิ แว่นตารุ่น BIJOU DE-02 แว่นที่สามารถสวมใส่เป็นสร้อยคอไข่มุก, BRIOLETTE-02 แว่นตาที่สามารถสวมใส่เป็นที่คาดผมได้รับแรงบันดาลใจมาจากมงกุฎ, GLITZ-02&ON RING-02 ที่นำเอารูปแบบของต่างหูมาออกแบบให้เข้ากับแว่นตาได้อย่างลงตัว รวมถึงแว่นตากันแดดที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของจิวเวลรีได้อย่างโดดเด่น ราคาเริ่มต้น 11,500 บาท

สามารถแวะไปชม Pop-Up Store Jewelry 2025 Collection ได้ที่บริเวณ EM Gallery ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ตั้งแต่วันนี้ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2568
เพราะการเงินและการศึกษา เรียกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จ ความก้าวหน้าเพื่อการพัฒนาทั้งบุคลากร สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่บริบทต่างๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังทางเทคโนโลยีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ซึ่งได้รับการยอมรับกันว่าเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนธุรกิจ หรือ Business School ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดย AACSB (Association to Advance Collegiate School of Business) มาอย่างต่อเนื่องถึง 3 วาระ ด้วยองค์ประกอบความเข้มแข็งทั้งหลักสูตร องค์ความรู้ทางวิชาการ ทรัพยากรและบุคลากร คณาจารย์มีคุณวุฒิปริญญาเอกมากที่สุดของประเทศไทย
นิตยสาร MBA ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ประจำหลักสูตรการเงิน การลงทุน และการบริหารความเสี่ยง คณะบริหารธุรกิจ นิด้า ที่ได้แบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ตลอดจนการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้เรียนในหลักสูตรMBA ของนิด้า
ศ.ดร. กำพล ได้เผยว่า “ในปัจจุบันทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการลงทุนเองก็ไม่ต่างกัน เราได้เห็นการเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี หรือ Exchange-Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกและโอกาสในการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น”
ทั้งนี้อาจารย์ยังกล่าวถึงบทบาทของ AI และการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศของการลงทุนว่า “AI และเทคโนโลยี Robot Trading ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนในหลายมิติ ใครที่ตามทันเทคโนโลยีก็จะได้รับโอกาส ในขณะที่บริษัทที่ปรับตัวไม่ทันจะเผชิญภัยคุกคาม”
นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีว่า “ในสายการเงิน การตามเทคโนโลยีให้ทันเป็นสิ่งสำคัญ นักศึกษาที่เรียนในสาขานี้จำเป็นต้องมีทักษะใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ความรู้เดิมๆ อีกต่อไป ใครที่รู้จัก AI และนำมาใช้จะได้เปรียบ ส่วนใครที่ยังพึ่งพาความรู้เดิมๆ อาจกลายเป็นจุดอ่อนในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

ศ.ดร. กำพล ขยายความในเรื่องนี้ว่า สำหรับนักลงทุน มีการลงทุนแบบใหม่ๆ กลยุทธ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก ตอนนี้มีการนำ AI มาใช้แพร่หลาย และมีการพูดขยายกันต่อไปว่า ต่อไป AI จะมาแทนอาชีพหลายๆ สายงาน ได้หรือไม่? ตอนนี้ หลายคนมองว่าAI สามารถมาแทนหน้าที่ผู้วิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือหน่วยงานด้านเทคนิค หากว่าคนที่ดูด้าน technical แล้วรู้จักนำ AI มาปรับประยุกต์ใช้ ก็จะเป็นโอกาส แต่ใครที่ใช้เพียงความรู้และทักษะเดิมๆ โดยละเลยการนำเทคโนฯ ใหม่ๆ ก็จะเป็นภัยคุกคาม เพราะสามารถนำ AI แทนได้มั้ย
เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ในหลักสูตร MBA ศ.ดร. กำพล เล่าว่า “ที่นิด้า เราเน้นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างลงตัว หลักสูตรของเรานำเนื้อหาที่ใช้ในการสอบใบประกาศนียบัตรวิชาชีพ เช่น CFA (Chartered Financial Analyst) , FRM (Financial Risk Manager) , และ CFP (Certified Financial Planner) มาใช้ เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่อัปเดตอยู่เสมอ”
ซึ่ง ศ.ดร. กำพล เสริมว่า “เนื้อหาการสอบ CFA ในปัจจุบันมีการเพิ่มเรื่อง Machine Learning และ Data Analytics เข้ามา แม้ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง แต่ต้องเข้าใจเทรนด์และเครื่องมือเหล่านี้ เช่นเดียวกับการเข้าใจคริปโทเคอร์เรนซี และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม และที่สำคัญ CFA ไม่ใช่แค่การสอบ แต่คือมาตรฐานความรู้ที่อัปเดตและครอบคลุมความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่า ถ้าผู้เรียนสอบผ่านมาตรฐาน CFA ซึ่งเป็นการสอบความรู้ที่ อัปเดตตลอดเวลา นั่นหมายความว่า นักศึกษาผู้สอบผ่านก็เป็นผู้มีความรู้ที่ทันยุคสมัยและอัปเดตทเฉกเช่นเดียวกัน และที่สำคัญมาตรฐานการสอบสากลนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่า ผู้สอบผ่านมีความรู้ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเหมือนกันทั่วโลก นี่คือสิ่งที่ MBA นิด้าเราผลักดัน สนับสนุนผู้เรียนให้ไปสอบมาตรฐานสากลเหล่านี้ โดยมี Incentive ว่า ถ้านักศึกษาสอบผ่านจะได้รับทุนสนับสนุนมอบให้ เรียกได้ว่า เป็นจุดแข็งสำคัญหนึ่งของเรา”

ศ.ดร. กำพล ยังพูดถึงแนวโน้มในตลาดการเงินของประเทศไทยว่า “หุ้นไทยในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการสนับสนุนจากกองทุนวายุภักษ์ การลดดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล แต่สิ่งสำคัญคือต้องมองว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับพื้นฐานหรือไม่”
นอกจากนี้ ศ.ดร. กำพล ยังกล่าวถึงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลกว่า “ด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) อาจเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในเชิงยุทธศาสตร์ แนวโน้มหลายบริษัทข้ามชาติใหญ่อาจพิจารณาเลือกมาตั้ง Data Center ในไทย อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และทรัพยากรบุคคลของเราให้มีความพร้อมรับทั้งในแง่คุณภาพและความเพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้ ซึ่งการศึกษาจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสำเร็จในเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่า การลงทุนในประเทศไทยจะยั่งยืนได้ ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ
ในประเด็นด้านการศึกษา ศ.ดร. กำพล เน้นว่า “ประเทศไทยต้องลงทุนในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญในการแข่งขันในระดับโลก”
อาจารย์ยกตัวอย่างประเทศจีนและอเมริกาว่า “ประเทศเหล่านี้มีมหาวิทยาลัยที่ผลิตคนเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น จีนที่สร้างมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรืออเมริกาที่มี Silicon Valley เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล”
ซึ่งมุมมองของ ศ.ดร. กำพล มองว่าการศึกษาไม่ได้หมายถึงการเพิ่มงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแก้ปัญหาคุณภาพการสอนด้วย เช่น การดึงดูดคนที่มีความสามารถมาเป็นครู และการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมาตรฐานการเรียนการสอนที่เท่าเทียม
“การพัฒนาประเทศต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เพราะคนที่มีคุณภาพคือหัวใจของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน” ศ.ดร. กำพลเผย

ศ.ดร. กำพล เผยว่า “MBA ของนิด้าไม่ใช่แค่การเรียนรู้ แต่คือการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เรามุ่งมั่นที่จะเป็นหลักสูตรที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทั้งนักศึกษาและอุตสาหกรรม”
อาจารย์ย้ำว่า “จุดเด่นของเราคือการผสมผสานความรู้ด้านวิชาการและการปฏิบัติจริง เพื่อให้นักศึกษาไม่เพียงแค่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้”
การศึกษาในหลักสูตร MBA ของนิด้า คือ “การลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสร้างผู้นำที่พร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต”
จากแนวคิดและมุมมองของ ศ.ดร. กำพล ที่ได้แบ่งปันต่อผู้อ่าน ผ่านบทความนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนิด้าในการสร้างหลักสูตร MBA ด้านการเงินและการลงทุนที่โดดเด่นและตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM, CFP สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ถ่ายทอดมุมมองและความรู้ที่มีคุณค่า ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ
บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ