December 07, 2025

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จำนวน 4 ท่าน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์และดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

รายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วย นายชูฉัตร ประมูลผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย นางสาวจอมขวัญ คงสกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง และนายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง ทั้งนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบการคุ้มครองเงินฝากในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม

คำว่า “ความยั่งยืน” ในบริบทของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความหมายถึง “การทำความดี” และมุ่งมั่นรักษาคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับความ “ใส่ใจ” ในทุกรายละเอียดที่องค์กรเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และมุ่งหวังให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมทั้งลูกค้า พนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต ที่ปรึกษาการเงิน คู่ค้า พันธมิตร ไปจนถึงผู้คนในสังคม มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และมีความเจริญมั่นคงในระยะยาว

โชน โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะหัวเรือใหญ่ ได้ประกาศวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่ของกรุงเทพประกันชีวิต ที่ในวันนี้ พร้อมจะเดินหน้าเพื่อเป้าหมายสู่ความสำเร็จในการเป็น “บริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ” หรือ To be the Most Caring Life Insurance Company ภายหลังดำเนินธุรกิจมาครบ 73 ปี ทุกย่างก้าวของการเติบโตบนพัฒนาการของสังคมไทย กรุงเทพประกันชีวิตได้ทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจ เพื่อมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ในยุคสมัยที่คนรุ่นใหม่มีความคาดหวังให้ภาคธุรกิจคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  กรุงเทพประกันชีวิตจึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงนโยบายและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทย โดยให้ความสำคัญกับการ “ใส่ใจ” และ “เข้าใจ” ในความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการดีตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามกรอบ GRC (Governance, Risk and Compliance) โดยตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และพร้อมปรับตัว สร้างนวัตกรรม นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจเพื่อความสร้างความแตกต่าง

Happy ‘P’ กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน

กรุงเทพประกันชีวิตได้กำหนดกรอบความยั่งยืนตามกรอบ ESG ที่ครอบคลุมทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการผ่านกลยุทธ์ Happy ‘P’ ซึ่งมีความหมายครอบคลุม 3 เรื่องหลัก

Happy Place “บ้านมีสุข” ภายใต้ค่านิยมขององค์กร 5 ประการ คือ ศรัทธา รับผิดชอบ จริงใจ พัฒนาคน และทำงานเป็นทีม

การเป็นองค์กรที่่ประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมมาภิบาล เราให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อพนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต ที่ปรึกษาการเงิน คู่ค้า และพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อร่วมกันสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน

Happy Peace “ใจมีสุข” การสร้างความสุขสงบทางใจให้กับลูกค้า ให้หมดห่วงต่อภาระทางการเงินที่จะเกิดขึ้น หากเผชิญกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ ในอนาคต ผ่านการวางแผนทางการเงินรอบด้าน ทั้งความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และการบริหารความมั่งคั่ง ด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่ทันสมัย โปร่งใส ในราคาที่ยุติธรรม

Happy People “เรามีสุข” เราร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยมีความตั้งใจที่จะให้ความรู้ทางด้านการเงิน และการประกันชีวิต เพื่อเป็นกลไกหนึ่งของสังคมในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทุกกลุ่ม และยังสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีความมุ่งมั่นเป็นองค์กรที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่เบียดเบียนประชากรในอนาคต

กรุงเทพประกันชีวิต ยังวางกลยุทธ์ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กร ลดความซ้ำซ้อน และลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง เช่น การสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับพนักงาน ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดข้อจำกัดด้านเวลา การใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในกระบวนการพิจารณารับประกัน การทำกระบวนการอย่างอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ซอฟต์แวร์ การสร้างกระบวนการให้บริการแบบไร้กระดาษผ่าน BLA Happy Life Application รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานและการจัดการข้อมูลที่มีความปลอดภัย ทำให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ง่าย รวมถึงยังใช้เทคโนโลยีในการจัดการข้อมูลเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบและมาตรฐานที่กำหนด

“เรายังใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น BLA Happy Life Application การให้บริการปรึกษาด้านการเงินและสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนการสร้างระบบเพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าแบบไร้รอยต่อเพื่่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมููลที่่มีอยู่ให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที โดยได้วางระบบ Customer Data Platform (CDP) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ มีการนำระบบ Machine Learning มาใช้ประกอบการพิจารณาใบคำขอเพื่อลดความเสี่่ยงและการฉ้อฉล และยังติดตั้งคลังข้อมููล (Data Warehouse) เพื่อให้ถูกต้องและเป็นปัจจุุบัน สามารถดึงข้อมููลไปใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว”

ปั้นวัฒนธรรมองค์กรให้มี DNA ความยั่งยืน

การพัฒนาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายประการ ซึ่งต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กรุงเทพประกันชีวิต จึงให้ความสำคัญกับสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้พนักงานทุกคนมี DNA ของความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนร่วมกัน ด้วยการให้ความรู้เรื่อง ESG เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล สร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานสามารถนำไปต่อยอดกับการดำเนินงานของแต่ละสายงาน และตอบโจทย์การสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยปัจจุบัน มีพนักงานมากกว่าครึ่งได้รับการอบรมผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังมีการแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จของโครงการ ESG ภายในองค์กร เพื่อให้พนักงานเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ในปี 2566 และ ปี 2567 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และยังได้รับผลการประเมินในระดับ AA จากตลาดหลักทรัพย์ 

การส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายต่าง ๆ ด้าน ESG ยังช่วยให้โครงการต่าง ๆ ประสบความสำเร็จในทุกมิติ เช่น การใช้พลังงานทดแทนด้วยการติดโซล่าร์เซลล์ ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาในต่างจังหวัด มาตรการลดการใช้ไฟฟ้า ที่ลดลงกว่า 23% และลดการใช้กระดาษได้ถึง 49% จากที่เริ่มรณรงค์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และยังเป็นบริษัทประกันชีวิตรายแรกที่ใช้นโยบายงดรับเงินสดโดยการชำระเบี้ยประกันผ่านแอพพลิเคชั่น เพื่ออำนวยความสะดวก ลดเวลาและการเดินทางของลูกค้า  นอกจากนี้ เรายังส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีนโยบายการลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การลงทุนในหุ้นยั่งยืน และตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“ด้านสังคม (Social) เราอยากเห็นสังคมไทยมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงได้ดำเนินการในหลายโครงการ โดยเฉพาะการให้ความรู้ด้านการเงินและสุขภาพแก่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทหน้าที่ของธุรกิจประกันชีวิตที่ต้องร่วมสร้างความมั่นคงให้กับสังคมไทยในระยะยาว ส่วนด้านสุขภาพ เรามีโครงการฉีดวัคซีนฟรีให้คนในชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมด้านการศึกษาและพัฒนาการของเด็ก ผ่านการจัดทำห้องสมุดขนาดเล็ก พร้อมปรับปรุงพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสนามเด็กเล่นของโรงเรียน ตามหลักแนวคิด Learning by Playing ส่วนด้านธรรมาภิบาล (Governance) เรามุ่งมั่นปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานทางจริยธรรมสูงสุด พร้อมตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามีการดำเนินงานที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ โดยกรุงเทพประกันชีวิต ได้รับผลการประเมินจากการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย หรือ CGR ปี 2566 และ ปี 2567 ในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท จัดโดยสมาคม IOD ภายใต้การสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถือเป็นความภูมิใจและเป็นกำลังใจสูงสุดของพนักงานทุกคน”

เติบโตแบบยั่งยืน กับบทบาทแบรนด์ที่ “ใส่ใจ” มากกว่าการประกันชีวิต

ในวันนี้ที่โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กรุงเทพประกันชีวิต มองเห็นถึงความจำเป็นของการสร้างความใส่ใจที่มากขึ้น เป็นความใส่ใจที่มากกว่าการดูแล และมากกว่าสิ่งที่ระบุอยู่ในเงื่อนไขกรมธรรม์ ในวันนี้ กรุงเทพประกันชีวิต มีความฝันที่ใหญ่ขึ้น เป็นความฝันที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ด้วยการทำให้ความใส่ใจ เป็นการกระทำที่สามารถสัมผัสได้ 

ภายใต้แคมเปญ “ใส่ใจ” กรุงเทพประกันชีวิตต้องการสื่อสารแบรนด์ด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรมากขึ้น โดยเชื่อว่าความใส่ใจจะทำให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และยังเดินหน้าต่อยอดจุดแข็งที่ทำมาตลอดหลายปีด้วยการพัฒนาแบบประกันสุขภาพใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ สิทธิประโยชน์และบริการเสริมใหม่ ๆ จาก  BLA EveryCare ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าทุกกลุ่ม

“เราเชื่อว่าความใส่ใจ หรือ caring มีความหมายที่ลึกซึ้ง และไม่ได้จำกัดเฉพาะลูกค้า แต่ยังรวมถึงพนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต ที่ปรึกษาการเงิน คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคม ซึ่งไม่ใช่แค่การดูแล แต่ได้ทำในสิ่งที่เกินกว่าความคาดหวัง ซึ่งเราให้ความสำคัญและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เรายังมองเห็นความท้าทายและโอกาสในอนาคต ซึ่งความคาดหวังในเรื่องความยั่งยืนจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เราพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นองค์กรที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการแข่งขัน สร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการบริการรูปแบบใหม่ ๆ แต่ยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง”

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ” อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มกราคม 2568 ให้ประชาชนได้ร่วมสัมผัสความยิ่งใหญ่และเฉลิมฉลองการเปิด “สะพานทศมราชัน” พร้อมมอบความสุขเป็นของขวัญให้คนไทย งานนี้จัดเต็มด้วยร้านอาหารเจ้าดัง การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง และกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย ท่ามกลางวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามในโอกาสสำคัญก่อนเปิดใช้งานจริง มหกรรมสุขเต็มสิบ พร้อมมอบความสนุก ความอร่อย และความฟินจุใจให้ทุกคน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 16.00 - 22.00 น.

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวในพิธีเปิดว่า “การจัดงานมหกรรมสุขเต็มสิบในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่เราตั้งใจมอบให้ประชาชน เพื่อเฉลิมฉลองสะพานทศมราชันอย่างยิ่งใหญ่ โดยต่อยอดจากความสำเร็จของกิจกรรมที่ผ่านมา ที่มีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก งานนี้จึงถือเป็นการส่งท้ายสะพานในมุมมองใหม่ พร้อมสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ ก่อนที่เราจะเริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ 29 มกราคม 2568 นี้”

ไฮไลท์กิจกรรมห้ามพลาดในงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ”

1. เดินชมสะพาน พร้อมถ่ายรูปครั้งประวัติศาสตร์ ถือเป็นโอกาสสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีครั้งสุดท้ายก่อนเปิดใช้จริง กับการเดินชมสะพานทศมราชันจากมุมมองใหม่ พร้อมสัมผัสความงดงามท่ามกลางวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสุดยิ่งใหญ่

2. เก็บโมเมนต์น่ารักกับจุดถ่ายรูป “น้องหมูเด้ง” พิกัดถ่ายภาพเช็กอินที่ออกแบบมาเพื่อเป็นแลนด์มาร์กสุดพิเศษ สำหรับบันทึกและแบ่งปันความทรงจำดี ๆ

3. ช้อปเพลิน เดินอิ่มกับร้านค้าและร้านอาหาร Food Truck ขนทัพสินค้าคุณภาพและร้านอาหารมากมายหลากหลายเมนูจากเจ้าดังและร้านชุมชนกว่า 50 ร้าน ให้ทุกคนได้เดินช้อปเพลิน ๆ และลิ้มลองความอร่อยกันแบบจุใจ โดยไม่ต้องกลัวหิว

4. สุดฟิน! Dinner กลางสะพาน ร่วมสัมผัสประสบการณ์ดินเนอร์สุดพิเศษ พร้อมวิวพระอาทิตย์ตกดินในบรรยากาศสุดโรแมนติกบนสะพาน

5. รับชมกิจกรรมดนตรีและการแสดงจากศิลปินชั้นนำ สนุกสุดมันส์ไปกับการแสดงและการเล่นดนตรีจากศิลปินมากมายตลอดงาน อาทิ classy records เเละอื่น ๆ อีกมากมาย

จุดลงทะเบียนเข้างานและการเดินทาง 

  • ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานบนสะพานสามารถลงทะเบียนได้ที่จุดลงทะเบียน บริเวณพื้นที่ทางเข้า-ออก ใต้ทางพิเศษบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่
  • พิกัดจุดลงทะเบียน: https://maps.app.goo.gl/12QKqumwL8qtnYKRA?g_st=com.google.maps.preview.copy 
  • ทั้งนี้แนะนำให้ประชาชนเลือกเดินทางด้วย ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อลดปัญหาการจราจรและความสะดวกของผู้เข้าร่วมงาน

ปิดท้ายการเฉลิมฉลองด้วยกิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ 

นอกจากนี้ กทพ. ยังขอเชิญชวนประชาชนร่วม กิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ บนสะพานทศมราชัน เพื่อเฉลิมฉลองส่งท้ายความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 26 มกราคม 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ค่าสมัครเพียง 499 บาท
  • ผู้สมัคร 10,010 คนแรกจะได้รับเสื้อ Finisher และเหรียญที่ระลึกทันทีหลังเข้าเส้นชัย
  • สำหรับอันดับท็อป 100 คนแรก (ชาย 100 คน หญิง 100 คน) จะได้รับเหรียญที่ระลึกปี 2530 ซึ่งเป็นปีที่เปิดสะพานพระราม 9
  • ผู้สมัครอื่น ๆ จะได้รับของที่ระลึกโดยจัดส่งถึงบ้านทางไปรษณีย์ภายใน 30 วันหลังจบงาน

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์บนสะพานทศมราชัน ได้แล้ววันนี้ ผ่านทางเว็บไซต์ https://race.thai.run/SukTem10 ซึ่งผู้สมัครสามารถรับหมายเลขวิ่ง (BIB) ได้วันที่ 24-25 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุม 0101 อาคารการทางพิเศษแห่งประเทศไทย

ห้ามพลาด! โอกาสครั้งสำคัญที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์บนสะพานทศมราชัน พร้อมสัมผัสความสนุก อิ่มฟิน และเก็บความทรงจำสุดพิเศษนี้ในงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ” แล้วพบกันตั้งแต่วันนี้ ถึง 19 มกราคม 2568 และส่งท้ายความสุขด้วยกิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ในวันที่ 26 มกราคม 2568 มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจนี้ไปด้วยกันได้แล้ววันนี้

ติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/ExpresswayThailand หรือ EXAT Call Center: 1543 กด 7

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น จัดกิจกรรม CP ALL KIDS DAY 2025  เปิดพื้นที่สร้างความสุข สนุก ให้น้องๆ หนูๆ มาเปิดประสบการณ์และร่วมสนุกไปกับ 7 KIDS CLUB ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นจำลองขนาดเล็ก และฐานกิจกรรมแสนสนุกมากมาย ต้อนรับวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568  พร้อมชวนน้องๆ หนูๆ รับสโมกกี้ไบท์ สเลอปี้ มินิเปาไส้ครีม ฟรี ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ  นอกจากนี้ยังมีพี่ๆ ชมรมจิตสาธารณะซีพี ออลล์  พนักงานเซเว่นร่วมส่งมอบความสุขให้น้องๆ หนูๆ ทุกภูมิภาค  

 

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เป็นประจำทุกปีที่ชมรมจิตสาธารณะซีพี ออลล์  พนักงานเซเว่น  สำนักปฏิบัติการ  ศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ รวมถึง Sub Area และ Store Business Partner (SBP) พร้อมใจร่วมจัดงานวันเด็กมาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อส่งมอบความสุข ความสนุก ให้กับเด็กๆ ทุกคน  ในปีนี้เซเว่น อีเลฟเว่นได้จัดงาน CP ALL KIDS DAY 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อให้ลูกหลานพนักงานได้มาสัมผัสบริษัทที่คุณพ่อ คุณแม่ทำงาน และทางบริษัทตั้งใจสร้าง “7 KIDS CLUB” หรือ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นจำลองขนาดเล็ก เพื่อให้เด็กๆ ได้ขายของ ได้สัมผัสความสนุก และให้เด็กๆ ได้เกิดจินตนาการ “7 Kids Club” ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรม 7-ELEVEn เคียงคู่ชุมชน โดยในปีที่ผ่านมาจัดกิจกรรมเปิดบ้านชวนน้องตะลุย 7 Kids Club ไปแล้ว  7 ครั้ง และกิจกรรม 7 KIDS CLUB CAMP ในช่วงปิดเทอม 2 ครั้ง เพื่อให้เด็กๆ ระดับอนุบาลถึงประถมต้น ที่สนใจได้มาทำกิจกรรม เสริมความสุข สนุก และสร้างแรงบันดาลใจ ไปกับพี่ๆ ผู้บริหาร พนักงานซีพี ออลล์ และเซเว่น ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลน้องๆ ทุกคน อย่างอบอุ่น

“ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง คำขวัญวันเด็ก พ.ศ. 2568 โดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร วันเด็กปีนี้ ซีพี ออลล์ เซเว่น อีเลฟเว่น ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดพื้นที่สร้างความสุข สนุก ให้น้องๆ หนูๆ ได้มาเรียนรู้กิจกรรมที่สนุก เป็นประโยชน์ สร้างประสบการณ์ที่ดี และความทรงจำที่ประทับใจให้เด็กๆ ทุกคนได้ทำตามความฝัน ด้วยความรักและความสุขในเส้นทางของตัวเอง” นายยุทธศักดิ์กล่าว

สำหรับกิจกรรม CP ALL KIDS DAY 2025  เด็กๆ จะได้ร่วมกิจกรรมที่หลากหลายผ่าน 7 ฐานการเรียนรู้แสนสนุกไม่ว่าจะเป็น

  • ฐาน 7Go Green: ปลูกจิตสำนึกรักษ์โลก เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
  • ฐาน 7Cooking & All café: เด็กๆ จะได้ลองชงเครื่องดื่ม ทำเบเกอรี่กับพี่ๆ พนักงานร้าน Kudsan
  • ฐาน 7Fun Fly: ทดลองฟิสิกส์หรรษา ลงมือพับ ออกแบบเครื่องบินกระดาษ
  • ฐาน 7Delivery: เรียนรู้กฎจราจรแสนสนุก
  • ฐาน 7Arts: จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะ
  • ฐาน PIM Air: เปิดประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินเสมือนจริง
  • ฐานไฮไลต์ 7KIDS CLUB: เด็กๆ จะได้สัมผัสความสนุกของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นขนาดเล็ก ทุกคนจะได้สวมบทบาทเป็นพนักงานเซเว่น ได้ขายของ เป็นแคชเชียร์ เติมสินค้า อบแซนวิซ อุ่นอาหาร เป็นพนักงาน Delivery ไปส่งของให้ผู้รับตามโจทย์ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เด็กๆ ได้สัมผัสความสนุกอย่างเต็มที่ ได้มีส่วนร่วมและได้เรียนรู้กับพี่ๆ พนักงานมืออาชีพ

บรรยากาศ CP ALL KIDS DAY 2025 ยังคงอบอวลไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ที่อิ่มเอมใจที่ได้เห็นลูกๆ มีความสุขในวันพิเศษ นอกจากนี้ซีพี ออลล์ ได้ประมวลภาพบรรยากาศกิจกรรมวันเด็ก 2568 ที่พี่ๆ จิตสาธารณะซีพี ออลล์ พนักงานเซเว่น ไปร่วมสร้างความสุข กิจกรรมดีๆ ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้โชว์ความสามารถ พร้อมมอบของมากมาย อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม ความสุขของเด็กๆ จากทุกพื้นที่อาทิ ระยอง บุรีรัมย์ ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ นครสวรรค์

การพัฒนาหลักสูตร MBA ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Business School :TBS) ที่ทำมาตลอดกว่า 8 ทศวรรษ และในขณะที่กำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 87 ในห้วงที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับ VUCA World ทาง TBS พร้อมเดินหน้าบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดรับกับความต้องการของภาคธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ภายใต้ Vision ใหญ่ที่มุ่งมั่นในการ “บ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคตที่จะกำหนดทิศทางของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ รศ.ดร.สมชาย สุภัทรกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพของการขับเคลื่อนคณะสู่การเป็นผู้นำและต้นแบบในการสร้างนักบริหารธุรกิจที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น แต่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาเซียนได้ยั่งยืน โดยมีจุดแข็งที่สำคัญคือ หลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย TBS เป็นสถาบันการศึกษาด้านบริหารธุรกิจแห่งแรกในไทยที่เป็น “Triple Crown Business School” นั่นคือการได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับนานาชาติจากสถาบันหลักด้านการบริหารธุรกิจของโลก ได้แก่ AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) จากสหรัฐอเมริกา EQUIS (EFMD Quality Improvement System) จากสหภาพยุโรป และ AMBA (Association of MBAs) จากสหราชอาณาจักร ซึ่งทั่วโลกมีเพียงไม่ถึง 100 แห่ง หรือ 1% ที่เป็น Triple Crown Business School การรับรองคุณภาพในระดับสามมงกุฎนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงคุณภาพของหลักสูตรของ TBS ที่ยืนหยัดปรับปรุง สร้าง และพัฒนาหลักสูตรให้สอดรับกับเทรนด์ของโลกธุรกิจที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว อย่างต่อเนื่อง

 

3 เทรนด์ใหญ่ของหลักสูตร MBA สร้างแกนคิดบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ “รศ.ดร.สมชาย” เผยถึง 3 เทรนด์ใหญ่ของธุรกิจในอนาคต ที่กลายเป็นแกนหลักในการพัฒนาหลักสูตร MBA Thammasat เพื่อสร้างนักบริหารที่ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจทั้งในไทยและระดับอาเซียน

เทรนด์แรก คือ AI in Business Management ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักพูดถึง AI ในภาคการศึกษาว่าควรจำกัดอยู่ที่ตรงไหน แต่วันนี้อยากให้มอง AI ในมิติของการเป็นเครื่องมือในการบริหารธุรกิจ ทำให้งานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น หากเรียน MBA Thammasat แล้วไม่เข้าใจบทบาทของ AI ในการบริหารธุรกิจ ไม่สามารถใช้ AI มาช่วยในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวางแผนและการตัดสินใจทางธุรกิจ รวมทั้งการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรได้ ธุรกิจก็ไปรอดยากในอนาคต สำหรับ TBS เราให้ความสำคัญกับ AI in Business Management โดยได้สอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรมาโดยตลอด แต่ในการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ของ MBA Thammasat ในปี 68 นี้จะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมาเรียน MBA Thammasat นักศึกษาทุกคนจะสามารถใช้เครื่องมือ AI ต่างๆ ในการทำงานได้ในอนาคตได้อย่างเต็มที่

ถัดมาคือ ESG (Environmental, Social, and Governance) การทำธุรกิจให้อยู่รอด เติบโตได้อย่างยั่งยืนได้ในอนาคต ผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรต้องให้ความสำคัญใส่ใจดูแล สิ่งแวดล้อม ชุมชนสังคม พร้อมการกำกับดูแลกิจการที่ดี TBS เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็น University for the People หรือมหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน TBS จึงทำโครงการเพื่อสังคมและชุมชนมาตลอด ที่จับต้องอย่างเป็นรูปธรรมคือ “ธรรมศาสตร์โมเดล” เป็นโครงการเพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชนไทย ที่ทำมานานกว่า 10 ปี โดยเป็นการร่วมทำงานกันของ 3 ภาคส่วน ได้แก่ ชุมชนซึ่งมีภูมิปัญญาดั้งเดิม ภาคธุรกิจที่มีทรัพยากร และ TBS ที่มีนักศึกษาและคณาจารย์ที่มีองค์ความรู้ด้านบัญชีและบริหารธุรกิจ มาผนึกกำลังกันพัฒนาหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์รวมถึงการทำการตลาดและการบริหารการเงิน เป็นสร้างประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ชุมชนน ที่สำคัญคือชุมชนสามารถดำเนินการต่อไปหรือพัฒนาต่อยอดได้อย่างยั่งยืน

ในอดีตชุมชนผลิตสินค้าแล้วขายกันเองในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียง ผลลัพธ์คือแค่อยู่รอด ไม่เติบโต สิ่งที่ TBS ดำเนินการตาม “ธรรมศาสตร์โมเดล” คือ พาทีมนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษา พร้อมภาคเอกชน เข้าไปประชุมระดมสมองกันกับชุมชน และร่วมกันพัฒนาหรือปรับปรุงเพิ่มมูลค่าสินค้าของชุมชน อย่าง เดิมที่ชุมชนปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ แล้วก็นำมาขายเป็นกิโล มูลค่าก็ได้ไม่มาก แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการ “ธรรมศาสตร์โมเดล” มีการนำองค์ความรู้เข้าไปช่วยในทุกฟังก์ชันของการบริหาร ทั้งการออกแบบสินค้า คำนวณต้นทุน ตั้งราคา หาสถานที่ขาย ฯลฯ และชุมชนได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน จากขายข้าวธรรมดาก็พัฒนาเป็น Snack Bar ข้าวไรซ์เบอรี่ ขายผ่านหลากหลายช่องทางทั้งผ่านร้านค้าและผ่านออนไลน์ ขายได้ในราคาสูงกว่าเดิม เป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าหลาย 10 เท่า ที่สำคัญคือแม้ทีมนักศึกษาจะกลับแล้วเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ แต่ชุมชนมีองค์ความรู้ เข้าใจธุรกิจมากขึ้น สามารถพัฒนาต่อยอดกันได้อย่างยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้” แบบนี้ถือว่าบรรลุความตั้งใจของ TBS ที่มีโอกาสในการดูแลสังคม ในขณะเดียวกันนักศึกษาก็ได้ลงมือทำงานจริง เข้าใจบริบทของการทำธุรกิจในทุกมิติอย่างแท้จริง

หนึ่งใน DNA ที่สำคัญของธรรมศาสตร์ที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนคือ คนที่เรียนจบจากธรรมศาสตร์ นอกจากมีความรู้ความสามารถ ยังมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม เราเชื่อว่ามีความรู้แล้วการบริหารธุรกิจให้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องดูแลสังคมรอบข้างด้วย การเติบโตโดยที่ไม่สนใจใคร ไม่ใช่วิสัยของนักบริหารที่ดี ซึ่งจิตสำนึกในการใส่ใจสังคมพร้อมช่วยเหลือดูแลสังคมให้ดีขึ้น กลายเป็น DNA ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว”

เทรนด์สุดท้าย คือ Experiential Learning การเรียนตามเนื้อหาในชั้นเรียนอาจเข้าใจแค่หลักการเบื้องต้น แต่การได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง การได้พบเจอผู้บริหารตัวจริง การได้ลงมือทำจริง จะสร้างความเข้าใจที่มีความลึกซึ้ง ทำให้นักศึกษาพร้อมจะเป็นผู้บริหารที่ทำงานได้จริงในอนาคต

“รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่า TBS เน้นให้นักศึกษานำความรู้ทางการบริหารต่างๆ ไปประยุกต์ในทางปฏิบัติได้จริง ยกตัวอย่างเช่น การมี Business Case Competition เป็นการแข่งขันกรณีศึกษาทางธุรกิจ ทั้งที่เราจัดขึ้นเองและจากการส่งทีมนักศึกษาเข้าแข่งขัน ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยให้บริษัทจริงเป็น Case Company มาเป็นโจทย์ให้นักศึกษาวิเคราะห์และเสนอ Solution เพื่อตอบโจทย์ของ Case Company นั้นๆ รวมถึงรายวิชาที่เน้นให้เรียนรู้เข้าใจโลกของการบริหารจริงๆ ภายใต้โครงการ Course Partnership ที่เราร่วมกับพันธมิตรจากภาคธุรกิจในการพัฒนารายวิชารวมทั้งร่วมสอนด้วย เช่น เราร่วมกับ Big 4 Audit Firm หรือสำนักงานสอบบัญชีระดับโลกทั้ง 4 แห่ง ก็ได้นำทีมผู้บริหารของสำนักงานมาร่วมพัฒนารายวิชาด้านการบัญชีและภาษีและร่วมสอนกับคณาจารย์ด้วย สิ่งที่นักศึกษาจะได้คือ ไม่ใช่แค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่เข้าใจถึงการประยุกต์ใช้ทางปฏิบัติ รวมถึงเข้าใจถึงอุปสรรคและการแก้ปัญหาในทุกมิติจากผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง หรืออย่างวิชา CEO Vision ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ร่วมพบปะพูดคุยกับ CEO ของบริษัทชั้นนำของไทย ในหลากหลายธุรกิจ สิ่งที่นักศึกษาได้จึงไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ได้ Inspiration และ Mindset ในการบริหารธุรกิจ ที่ล้วนสำคัญไม่แพ้องค์ความรู้ด้านวิชาการ

 

ผสมผสานหลักคิดบริหารครบมิติ ยกระดับหลักสูตรทั้งไทยและเทศ

พร้อมกันนี้ “รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรของ TBS ให้สามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้ได้ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ต้องทำควบคู่ไปในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาหลักสูตรภายในส่วนของ TBS เอง และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับเฉกเช่นเดียวกัน

“รศ.ดร.สมชาย” กล่าวว่า ถ้าต้องการบ่มเพาะนักศึกษาให้กลายเป็นผู้นำธุรกิจในอาเซียน การพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งที่ผ่านมา TBS ยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นสถาบันการศึกษาในต่างประเทศจากเดิมที่ทำแค่โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ มาเป็น Strategic Partner คือร่วมมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดเดียวกัน ร่วมทำกลยุทธ์พัฒนาหลักสูตรไปพร้อมกัน อย่างล่าสุด ทาง TBS ได้ร่วมมือกับ SMU (Singapore Management University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศสิงคโปร์ ที่เป็น Triple Crown Business School เช่นเดียวกับ TBS จัดทำโครงการ TBS x SMU 3+1 Dual Degree Program โดยผสานจุดแข็งของทั้ง 2 มหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน โดย 3 ปีแรกจะศึกษาที่ TBS และศึกษาที่ SMU ในปีสุดท้าย เมื่อจบโครงการนักศึกษาก็จะได้รับปริญญาตรีจาก TBS และปริญญาโทจาก SMU นั่นเอง ซึ่งตรงกับ Vision ของ TBS ที่ต้องการยกระดับนักศึกษาให้พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในระดับอาเซียน

สำหรับการพัฒนาหลักสูตรใหม่ ล่าสุด TBS กำลังพัฒนา 2 หลักสูตรใหม่ ทั้งหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรไทย พร้อมเปิดตัวเร็วๆ นี้

หลักสูตรนานาชาติเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการขับเคลื่อนธุรกิจในเวทีต่างประเทศได้ง่ายขึ้น “รศ.ดร.สมชาย” กล่าวต่อว่า TBS ถือเป็นสถาบันแห่งแรกๆ ในไทยที่จัดทำหลักสูตรปริญญาตรีด้านบัญชีและบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ ที่เรียกกันว่า BBA International Program โดยเรียนที่ มธ.ท่าพระจันทร์ ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 30 ปี จนถึงวันนี้เรามองว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะพัฒนาหลักสูตรนานาชาติขึ้นมาเพิ่มเติม ได้แก่ BBM (Bachelor of Business Management) International Program โดยจะเปิดสอนที่ มธ.ศูนย์รังสิต ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในการเรียนรู้ โดยตั้งเป้าเปิดรับนักศึกษาต่างชาติและไทยในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความเป็นนานาชาติอย่างแท้จริง อีกจุดเด่นของหลักสูตรนี้คือทางเลือกในการทำ 2+2 Double Degree คือ เรียนที่ TBS 2 ปีแรก และเรียนต่อที่สถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศอย่างออสเตรเลีย อังกฤษ สิงคโปร์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยพันธมิตรกับ TBS อีก 2 ปี และได้รับปริญญาตรีจากทั้ง 2 สถาบัน เชื่อว่านักศึกษาที่จบจากหลักสูตรนี้จะมีความพร้อมเป็นผู้นำแห่งอนาคตในการขับเคลื่อนธุรกิจของอาเซียนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”

ส่วนหลักสูตรภาษาไทย TBS ได้เตรียมพัฒนาหลักสูตร OneTU 4+1 Dual Degree Program ซึ่งเป็นหลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโท ด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็น Comprehensive University หรือมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรครบถ้วนในทุกศาสตร์ ทั้งสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยคนที่จบปริญญาตรีจากศาสตร์ต่างๆ มักจะขาดทักษะด้านการจัดการซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก ในขณะที่ TBS มีความเชี่ยวชาญด้านทักษะการจัดการ จึงเกิดแนวคิดทำหลักสูตรที่เรียน 4 ปีที่คณะต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเรียนทักษะการจัดการต่อที่ TBS อีก 1 ปี เมื่อจบหลักสูตรจะได้รับปริญญาตรีในศาสตร์เฉพาะด้านจากคณะนั้นๆ และปริญญาโทด้านการจัดการ (Master of Management) จาก TBS ดังนั้น นักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้จะมีความครบเครื่องเป็นอย่างมาก มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์เฉพาะด้านและเติมเต็มด้วยทักษะด้านการจัดการ จึงมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของหลักสูตรใหม่ที่ “รศ.ดร.สมชาย” ย้ำว่า อย่าหยุดคิดหยุดทำ ต้องพัฒนาทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแชร์เคล็ดลับการออกแบบหลักสูตรของ TBS ว่ามาจากการตกผลึกองค์ความรู้จากทุก Stakeholders ที่เกี่ยวข้อง ทั้งความต้องการของนักศึกษา คณาจารย์ ศิษย์เก่า และผู้บริหารจากภาคธุรกิจ ซึ่งการที่ TBS มีพันธมิตรจากบริษัทชั้นนำ ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีศิษย์เก่ามากมายที่พร้อมให้คำแนะนำ มีการทำ Focus group จากทุกกลุ่ม ทำให้ทราบว่าต้องการคนทำงานที่มีทักษะอย่างไรในอนาคต และหลักสูตรควรปรับไปในทิศทางใด เพราะอย่าลืมว่าโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เมื่อนักศึกษาจบไปหลักสูตรเนื้อหาที่เรียนมาต้องใช้บริหารธุรกิจได้จริง ไม่ใช่ล้าสมัย ไม่ทันกับการแข่งขัน หรือมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าหลักสูตร “MBA Thammasat” จะช่วยเติมเต็ม เพิ่มพูนองค์ความรู้ให้แก่นักบริหารได้อย่างครบเครื่องทันโลกธุรกิจทั้งในวันนี้และอนาคต


บทความ/รูปภาพ: กองบรรณาธิการ

บริษัท ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ประกาศแต่งตั้ง คุณวิรงค์ พัฒนกำจร ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานตัวแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

ด้วยบทบาทหน้าที่ใหม่นี้ คุณวิรงค์จะเข้ามาช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนาช่องทางการขายผ่านตัวแทนรวมถึงการบริหารงานธุรกิจด้านอื่น ๆ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดและรายงานตรงไปที่คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต

คุณวิรงค์มีประสบการณ์ในการทำงานกว่า 36 ปีในธุรกิจประกันชีวิต โดยประสบความสำเร็จในการสร้างความเป็นมืออาชีพในงานปฏิบัติการของตัวแทนทั่วประเทศไทย คุณวิรงค์ได้ร่วมงานกับบริษัท เอไอเอ จำกัด หรือ เอไอเอ ประเทศไทย และมีประสบการณ์การทำงานในสายงานบริหารตัวแทนตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับบริหารสูงสุด โดยก่อนจะร่วมงานที่ ชับบ์ ไลฟ์ ประเทศไทย คุณวิรงค์ ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารตัวแทน บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปี 2567

คุณอลิสา อารีพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะได้ต้อนรับคุณวิรงค์ สู่ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ด้วยประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของคุณวิรงค์ในอุตสาหกรรมประกันชีวิต จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนองค์กรในการพัฒนาตัวแทนมืออาชีพ และขยายทีมฝ่ายขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ก้าวสู่ยุคใหม่ ในการส่งมอบประสบการณ์การบริการที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าของเรา”

ทั้งนี้ คุณวิรงค์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต (Kentucky State University) และระดับปริญญาตรีรัฐศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในยุคปัจจุบันที่สภาพภูมิอากาศผันแปรอย่างรวดเร็ว อาจนำมาสู่การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ของสิ่งมีชีวิต ทุกภาคส่วนจึงต้องตื่นตัว รวมถึงภาคธุรกิจ หากตระหนักและใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญและช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนได้ finbiz by ttb จึงชวนผู้ประกอบการมาทำความเข้าใจและจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ให้ธุรกิจสามารถจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้องตรงจุด และเสริมภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กร

การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

โลกได้เผชิญกับการสูญพันธุ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปะทุของภูเขาไฟที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และอีก 1 ครั้งจากการชนโลกของอุกกาบาตขนาดใหญ่ และในครั้งนี้ที่โลกกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ซึ่งจะมีอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 100-1,000 เท่า และมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของสภาพแวดล้อมเร็วกว่าการทำนายโดยสถิติที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็วด้วยอัตราความเร่งที่สูงกว่าอดีต ซึ่งสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะธรรมชาติ แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน ธุรกิจจึงต้องเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงและกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เมื่อความยั่งยืนของโลกคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

อีกหนึ่งปัจจัยที่ธุรกิจต้องให้ความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในธุรกิจมากขึ้น ผลสำรวจจาก Nielsen ในปี 2023 พบว่า 73% ของผู้บริโภคทั่วโลกยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่มองว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “มาตรฐาน” เช่น การตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ลดการใช้พลาสติก หรือมีการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ อาจเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่นำเสนอมูลค่าด้านความยั่งยืนได้ดีกว่า

ความสมดุลระหว่าง ต้นทุน กำไร และความเสี่ยง คือหัวใจความยั่งยืนของธุรกิจ

การผสมผสานเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่ได้แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค แต่ยังช่วยลดต้นทุนระยะยาว และรักษาสมดุลของต้นทุน กำไร และความเสี่ยง เช่น การใช้พลังงานทดแทนหรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม กลายเป็นความยั่งยืนทั้งของโลกและของธุรกิจ

ก๊าซเรือนกระจก 7 ชนิด ที่ธุรกิจต้องลดให้ได้

ก๊าซเรือนกระจกที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอุณหภูมิโลก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็น 74% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง มีเทน เกิดจากภาคเกษตรกรรมและการทิ้งขยะ ไนตรัสออกไซด์ มาจากปุ๋ยเคมีและการผลิตอุตสาหกรรม กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออไรคาร์บอน เกิดจากกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม และใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ อยู่ในกระบวนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ นำมาใช้เป็นฉนวนไฟฟ้าจากอุปกรณ์สวิตช์ไฟฟ้าแรงสูง หากธุรกิจสามารถวิเคราะห์และลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดใช้พลังงานที่มาจากฟอสซิล ก็จะช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวได้

ก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตขององค์กร

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรสามารถแบ่งเป็น 3 Scope ที่สำคัญ ธุรกิจต้องทำความเข้าใจในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ละ Scope จึงจะดูแลได้อย่างตรงจุด

  • Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมของธุรกิจเอง เห็นได้ง่าย ๆ คือ มีควันออกมาจากปล่อง มีการรั่วออกมาโดยตรง
  • Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่ถูกซื้อมา การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน ที่องค์กรของเราซื้อหรือนำเข้ามาโดยที่องค์กรไม่ได้ผลิตเอง มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น และ อากาศอัด
  • Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ เช่น จากซัพพลายเชนของธุรกิจ

 

คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องใส่ใจ

การจัดการคาร์บอนองค์กร เช่น การตั้งเป้า Net Zero หรือการพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ ไม่เพียงสร้างความยั่งยืนในสายตาของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนที่มองหาองค์กรที่มีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน บริษัทใหญ่หลาย ๆ บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นให้เป็นศูนย์ภายในปีที่กำหนด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งของธุรกิจในตลาดโลก ธุรกิจที่ตื่นตัวและเร่งใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้นให้ผู้บริโภค แต่ยังช่วยปูทางสู่ความสำเร็จในอนาคตที่ยั่งยืนและเติบโตได้อย่างมั่นคง

ขั้นตอนสู่การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร

ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดขอบเขตองค์กร แบบควบคุมทางการเงินและควบคุมการดำเนินงาน หรือ แบบปันส่วนตามกรรมสิทธิ์ และการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานตาม 3 Scope

ขั้นตอนที่ 2 การระบุกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในขอบเขตและ Value Chain ขององค์กร

ขั้นตอนที่ 3 การจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมและแหล่งที่มาของก๊าซเรือนกระจก

ขั้นตอนที่ 4 การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขั้นตอนที่ 5 วิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมและค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อปรับปรุงคุณภาพข้อมูล การจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมตามความเกี่ยวข้องและนัยยะสำคัญขององค์กร

ขั้นตอนที่ 6 รายงานและทวนสอบ จัดทำรายงานเพื่อแสดงแหล่งที่มาและกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนที่ 7 ขึ้นทะเบียน ผู้ตรวจสอบจะออกรายงานการทวนสอบ และถ้อยแถลงส่งมาที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะพิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์และออก Certificate เพื่อรับรองว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ในแต่ละ Scope

การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพื่อให้องค์กรรู้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แท้จริง และจัดการก๊าซเรือนกระจกได้ถูกต้องตรงจุด อันจะส่งผลระยะยาวกับความยั่งยืนของโลกและธุรกิจ ทั้งนี้ปัจจุบันมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืนที่ธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างความยั่งยืนของโลกและให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ความร่วมมือระหว่างเอสซีจีซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์และSerendix สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่น

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ในฐานะพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการของสโมสรลิเวอร์พูล ร่วมกับ อาริฟุตบอล จัดกิจกรรมเชียร์ฟุตบอลคู่แดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 2 จากซ้าย) ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในการรับชมสดของการแข่งขันแมตช์ใหญ่ให้แก่ลูกค้า และผู้โชคดีจากกิจกรรมของบริษัทฯ โดยการเนรมิตพื้นที่ของ อาริฟุตบอล สาขา วัน แบงค็อก เป็นพื้นที่เสมือนการไปรับชมที่สนามจริง เพื่อให้แฟนคลับทีมฟุตบอลได้ร่วมเชียร์อย่างสนุกสนานผ่านจอยักษ์ ภายในกิจกรรมยังได้ความสนุกจากนักวิเคราะห์กีฬาฟุตบอลชื่อดัง “ยักษ์ ดอยแดง” และ “บอ บู๋” ที่ได้มาร่วมเติมเต็มประสบการณ์แห่งความสนุกและความประทับใจให้ผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมลูกค้าเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  

การเพิ่มศักยภาพธุรกิจและใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่การทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ สภาพภูมิอากาศ และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโต นโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย การเพิ่มศักยภาพและการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐจะเป็นตัวช่วยสำคัญให้ SME อยู่รอดได้

X

Right Click

No right click