

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) แต่งตั้งนายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ทำหน้าที่กำกับดูแลสายงานจัดการลงทุน รับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ครอบคลุมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก และการจัดสรรการลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกำหนดให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
นายวจนะมีประสบการณ์การทำงานในธุรกิจจัดการกองทุนมากว่า 20 ปี โดยได้ร่วมงานกับ บลจ.กสิกรไทย เป็นเวลากว่า 12 ปี ดำรงตำแหน่งล่าสุดก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ คือ Chief Investment Officer นายวจนะเป็นอีกหนึ่งบุคลากรที่มีประสบการณ์การทำงานด้านการลงทุนที่รอบด้าน ทั้งการบริหารจัดการกองทุน การพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ และการวางแผนกลยุทธ์องค์กร ทำให้นายวจนะมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจจัดการกองทุน การประเมินสภาวะตลาดทุน และพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนไทยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญด้านการจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลก ด้านการศึกษานายวจนะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเงิน จาก University of New South Wales ประเทศออสเตรเลีย และได้รับใบรับรอง Chartered Financial Analyst (CFA) ซึ่งเป็นหลักสูตรคุณวุฒิวิชาชีพทางการเงินและการลงทุนระดับสากลที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จัดงานเนื่องในวาระก้าวสู่ปีที่ 5 หลังจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 มุ่งเป้าสู่การเป็นองค์กรแห่งชาติ ที่เชื่อมต่อเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อคนไทยทุกคน
ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ประธานกรรมการ และ พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นำคณะกรรมการและผู้บริหารให้การต้อนรับ นางสาวกัลยา ชินาธิวร ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าแสดงความยินดีและร่วมบริจาคสมทบทุนกองทุนหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ในโครงการจัดซื้อเครื่องผ่าตัดต้อกระจกระบบควบคุมแรงดันลูกตาให้แก่โรงพยาบาลนครปฐม ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 อาคารสโมสร NT สำนักงานใหญ่

สำหรับในปี 2568 นี้ยังเป็นวาระครบรอบ 150 ปี กิจการโทรคมนาคมของประเทศไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศไทยมากว่าศตวรรษครึ่งแล้ว จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการระลึกถึงพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และผู้ที่มีคุณูปการที่ร่วมสร้างคุณประโยชน์และมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กล่าวถึงทิศทางนโยบายการดำเนินงานปี 2568 โดยมุ่งสร้างรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจสื่อสารไร้สายและกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์ประจำที่บรอดแบนด์ อีกทั้งเร่งพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ NT รุกตลาด Digital ได้มากขึ้น สร้าง ICT Solution เพื่อรองรับความต้องการด้านดิจิทัลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภารกิจของ NT หลังจากควบรวมองค์กรเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และการลงทุนระหว่างทั้งสององค์กร ตลอดจนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินร่วมกันโดยเฉพาะโครงข่ายโทรคมนาคมเข้าด้วยกันแล้ว

ปัจจุบัน NT ได้วางทิศทางองค์กรระยะสั้น โดยภายในปี 2569 เป้าหมายสำคัญที่จะเป็นผู้พัฒนาและสนับสนุนระบบการพัฒนาและบริหารจัดการภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล และหลังปี 2570 ได้วางบทบาทองค์กรที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบจัดการและการวิเคราะห์ฐานข้อมูลภาครัฐให้เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม และขยายพื้นที่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้ครอบคลุมเมืองและเขตเศรษฐกิจสำคัญทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ NT ได้เปิดตัวชุดเอกลักษณ์องค์กรเพื่อสนับสนุนการสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์องค์กร ที่ผสมผสานความเรียบง่าย และความทันสมัยเข้าด้วยกัน โดยในงานผู้บริหารและพนักงานได้ร่วมแสดงพลังเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกันแต่งกายชุดเอกลักษณ์ เพื่อสื่อถึงความสามัคคีของพนักงานที่มีเป้าหมายเดียวกันคือการบริการ ใส่ใจดูแลลูกค้าอย่างเต็มกำลัง สนองให้เกิดความพอใจในการบริการ ทำงานมุ่งมั่นความเป็นเลิศ สรรค์สร้างนวัตกรรมและซื่อสัตย์ โปร่งใส ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวขององค์กรรวมถึงพนักงานของ NT ทุกคน ที่มีความพร้อมในการให้บริการประชาชนในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าผู้ใช้บริการของ NT ทุกคน สามารถมั่นใจว่าจะได้รับการใส่ใจดูแลอย่างดีที่สุด อย่างเท่าเทียมกันตลอดเวลา
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดงานประชุมผู้จัดการฝ่ายขาย “Distribution Day & Agency Kick Off – ในคอนเซ็ปต์ Bolder & Bigger Year of 2025” เพื่อสนับสนุนฝ่ายขายทุกช่องทางจัดจำหน่าย นำทัพโดย คุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่า ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (คนกลาง)และคุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย (คนที่ 2 จากขวา) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงร่วมเปิดงาน และประกาศเป้าหมาย ทิศทางนโยบายของบริษัทฯ ในปี 2025 ในการมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลลูกค้า และฝ่ายขายทุกท่าน รวมถึงให้การสนับสนุน และยกระดับให้ฝ่ายขายประสบความสำเร็จในปีแห่งการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งงานประชุมดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมมากมาย เพื่อส่งเสริมนักขาย ให้ก้าวสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ ผ่านการให้ความรู้ จากคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร ที่มาบอกเล่าเรื่องราวของการสร้าง ค่านิยมองค์กร Care & Dare เพื่อสร้างศักยภาพของฝ่ายขายในการพิชิตเป้าหมายร่วมกัน และ ดร.อุกฤษฎ์ ศรีดโรมนต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทน ที่มาสร้างแรงบันดาลใจกับหัวข้อ “Dare to Dream” รวมถึงดร. วิทย์ สิทธิเวคิน ที่ให้เกียรติร่วมแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ ภายใต้หัวข้อ “Breaking Boundaries” โดยภายในงานมีฝ่ายขายระดับผู้อำนวยการ และผู้จัดการ เข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่งกว่า 2,500 ท่านจากทั่วประเทศ ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ เมืองทองธานี

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามวัตถุประสงค์หลักในการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติ และการแสดงออกถึงวัฒนธรรม Care & Dare อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มแอกซ่า สำหรับปี 2024-2026 ภายใต้วิสัยทัศน์ "Unlock the Future" ซึ่งบริษัทฯ พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
แกร็บ ประเทศไทย เดินหน้าปลุกพลังคนรุ่นใหม่ เสริมแรงบันดาลใจให้ Gen Z ผ่านการประกวดแผนธุรกิจ GrabSpark 2024 เปิดเวทีโชว์ศักยภาพในการนำเสนอไอเดียที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี-บิ๊กดาต้าเสริมทักษะด้านธุรกิจและนวัตกรรม พร้อมปลูกฝังแนวคิดด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจยุคดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่ก้าวสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นใจ โดย 4 นิสิตจากรั้วจามจุรีสามารถฝ่าด่านการแข่งขันกับผู้สมัครนับพันจาก 32 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จนคว้ารางวัลชนะเลิศด้วยแผนธุรกิจ “Ever Grow and Never Ending” นำเสนอโซลูชันที่ช่วยผลักดันให้บริการซูเปอร์แอปเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมเชื่อมโยงคนในอีโคซิสเต็มเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้ธุรกิจ

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นปีที่สามแล้วที่ แกร็บ ประเทศไทย ได้จัดการประกวดแผนธุรกิจ GrabSpark โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของนิสิตนักศึกษาไทย ซึ่งถือเป็นตัวแทนของ Gen Z ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีอัตราการเติบโตกว่า 2 เท่าของ GDP ในปีนี้[1] โดย Gen Z เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ฉับไว เห็นโลกกว้าง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ มองเห็นโอกาสใหม่ๆ และกล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นเจเนอเรชันที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Impact) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในการดำเนินธุรกิจของแกร็บที่มุ่งพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา (Pain Point) และตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ การเปิดเวทีให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพผ่านการนำเสนอแผนธุรกิจถือเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่แกร็บต้องการผลักดันให้พวกเขาได้ใช้ความรู้และทักษะที่มีคิดต่อยอดเพื่อพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ โดยสามารถใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้าและเทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการ ทั้งยังส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นทีม พร้อมปลูกฝังแนวคิดด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและธุรกิจแห่งอนาคตอีกด้วย”
การประกวดแผนธุรกิจ GrabSpark จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2022 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ GrabCampus ที่มุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับกลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยในปีนี้แกร็บได้เปิดโอกาสให้เยาวชนจากทุกสถาบันเข้าร่วมการประกวดแผนธุรกิจภายใต้โจทย์ “The Next Chapter of Superapp: Unlocking Potential for Accelerated Sustainable Growth” เพื่อนำเสนอไอเดียและแผนการตลาดในการผลักดันบริการซูเปอร์แอปให้สามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดดและยั่งยืน โดยมีนิสิตนักศึกษากว่า 1,116 คนจาก 32 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อแสดงศักยภาพ และชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และสิทธิพิเศษ Fast-track เพื่อเข้าร่วมโปรแกรม GrabIntern ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานที่ แกร็บ ประเทศไทย เพื่อสัมผัสประสบการณ์การทำงานในธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะในระดับมืออาชีพในโลกธุรกิจจริง

ทั้งนี้ หลังผ่านการประกวดที่เข้มข้นและการพิจารณาตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารผู้มากประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในหลายสาขา ทีมที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดแผนธุรกิจ GrabSpark 2024 ไปครองคือ ทีม G Good จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นด้วยแผนธุรกิจที่ชื่อ “Ever Grow and Never Ending”

นางสาวคณิตา เนตรดวงมณี ตัวแทนจากทีม G Good กล่าวว่า “แผนธุรกิจของเรามุ่งเน้นไปที่การสร้างความสมดุลระหว่างการสนับสนุนพาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บและการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยเรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาบริการ GrabFood และ GrabMart ซึ่งมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว พร้อมต่อยอดความสำเร็จที่มีอยู่เดิม โดยสำหรับ GrabFood เราได้วิเคราะห์และออกแบบโซลูชันที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้พาร์ทเนอร์ร้านค้า และพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างรอบด้าน ตั้งแต่การเดินทางไปจนถึงการทานอาหารที่ร้าน ส่วน GrabMart เราเน้นการขยายพาร์ทเนอร์ในระบบเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพ พร้อมสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้แก่พาร์ทเนอร์ร้านค้าอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังเสนอการทำ Gamification ที่เชื่อมโยงบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเพลิดเพลินและความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว โดยเรามั่นใจว่าแผนธุรกิจนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพาร์ทเนอร์และผู้ใช้บริการ ผ่านกลยุทธ์ที่เน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแกร็บในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม”
[1] อ้างอิงจาก ข่าวเว็บไซต์รัฐบาลไทย https://www.thaigov.go.th/news/contents/ministry_details/91333
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เตรียมจัดงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ” เพื่อเฉลิมฉลองการเปิด “สะพานทศมราชัน” ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมระหว่าง วันที่ 10-19 มกราคม 2568 เวลา 16.00-22.00 น. พร้อมเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งของการแสดงพลังความสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568 และสร้างความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตบนสะพานแห่งความภาคภูมิใจของชาติ

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวในรายละเอียดว่า กทพ. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความปราบปลื้มแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าในพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและสร้างประวัติศาสตร์ก่อนการเปิดใช้สะพานทศมราชัน กทพ. จึงมีการจัดงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ” ระหว่าง วันที่ 10-19 มกราคม 2568 เวลา 16.00-22.00 น. เป็นเวลา 10 วัน โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมสะพานทศมราชัน พร้อมถ่ายภาพและเลือกชมสินค้า OTOP จากชุมชน ภายในงานได้รวมร้านค้าจากชุมชนและพันธมิตรกว่า 50 ร้านค้า อีกทั้ง กทพ. ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน กิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ ในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568 บนสะพานทศมราชัน นับเป็นการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเปิดให้ใช้สะพานทศมราชันได้จริงในปลายเดือนมกราคมนี้

“มหกรรมสุขเต็มสิบ” จะเป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนได้เข้าถึงและเข้าชมสะพานทศมราชันในมุมมองที่ไม่เคย มีมาก่อน กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เดินชม ถ่ายภาพและสัมผัสกับความงดงามของสะพานเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมพลังของความสามัคคีผ่านกิจกรรมเดิน-วิ่ง และการร่วมสร้างประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน กิจกรรมนี้เป็นมากกว่าความสนุกสนาน เพราะสะท้อนถึงความตั้งใจของ กทพ. ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไทย ทั้งนี้ ยังได้ร่วมกับหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนในการดูแลประชาชนตลอดการจัดกิจกรรม พร้อมทั้งมีจัดจุดคัดกรอง จุดลงทะเบียนสำหรับประชาชน รวมถึงการประชาสัมพันธ์กฎระเบียบ ข้อบังคับ สำหรับประชาชนที่ต้องการขึ้นไปร่วมกิจกรรมด้านบนด้วย”

นายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและบำรุงรักษา) กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดสะพานทศมราชันถือเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งจะช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับโครงข่ายทางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางและขนส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสะพานแห่งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ กทพ. ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย แต่ยังได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างขั้นสูงสามารถรองรับการจราจรได้ถึง 8 ช่องจราจร พร้อมโครงสร้างที่แข็งแรงรองรับแรงลมได้ถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก
สำหรับ “สะพานทศมราชัน” เป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทยที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการฯ ที่ กทพ. เชื่อว่าสะพานแห่งนี้จะไม่เพียงเป็นโครงสร้างสำคัญ แต่ยังกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่อีกด้วย
สำหรับการเปิดใช้สะพานทศมราชัน ประชาชนสามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้ดังนี้
- ทิศทางขาเข้ากรุงเทพฯ สามารถใช้ทางขึ้นบริเวณด่านฯ สุขสวัสดิ์ ถนนสุขสวัสดิ์ เพื่อใช้งานสะพาน โดยสามารถวิ่งเข้าสู่ทางพิเศษเฉลิมมหานคร มุ่งหน้าบางนา - ดินแดง และทางพิเศษศรีรัช มุ่งหน้าแจ้งวัฒนะ - ถนนพระราม 9 บริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่
- ทิศทางขาออกกรุงเทพฯ สามารถใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษศรีรัช ผ่านจุดเชื่อมต่อเข้ามาที่สะพานฯ บริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ และลงที่ทางลง บริเวณด่านฯ สุขสวัสดิ์ ไปเพื่อถนนพระรามที่ 2 ได้

นายอิทธิพล สมุทรทอง นักวิ่งระดับตำนาน ผู้เคยสร้างประวัติศาสตร์ในวันเปิดสะพานพระราม 9 ได้กล่าวเสริมว่า “เมื่อ 37 ปีที่แล้วในปี พ.ศ. 2530 ผมได้ร่วมวิ่งบนสะพานพระราม 9 ในวันที่เปิดใช้งานครั้งแรก ความภาคภูมิใจและความทรงจำในวันนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ วันนี้การได้เห็นสะพานทศมราชัน ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่และงดงาม ผมรู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติที่ได้ร่วมวิ่งอีกครั้งบนสะพานแห่งนี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สะพาน แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทย ทุกคนจะได้มีส่วนร่วม ผมขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งเพื่อสร้างความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตด้วยกัน”

“มหกรรมสุขเต็มสิบ” ผู้เข้าร่วมงานจะพบกับกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ การเดินชมสะพาน ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้สัมผัสสะพานแห่งนี้ก่อนเปิดใช้งานจริง และยังสามารถเลือกช้อปสินค้าชุมชนในบรรยากาศสุดพิเศษ โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมสะพาน ระหว่างวันที่ 10-19 มกราคม 2568 เวลา 16.00-22.00 น. โดยขอแนะนำให้ประชาชนเดินทางโดยรถสาธารณะ พร้อมลงทะเบียนก่อนขึ้นสะพาน ณ บริเวณทางเข้า-ออก พื้นที่ใต้ทางพิเศษบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ ภายในงานได้รวมร้านค้าจากชุมชนและพันธมิตรทั้งหมดกว่า 50 ร้านค้า ให้ผู้ร่วมงานได้เลือกซื้อและสนับสนุนสินค้าไทยและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชุมชนอีกด้วย

กิจกรรมเดิน-วิ่งสร้างประวัติศาสตร์ บนสะพานทศมราชัน จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568 เปิดให้ขึ้นสะพานตั้งแต่เวลา 03.00 น. และเริ่มปล่อยตัวนักวิ่งเวลา 05.00 น. ค่าสมัครเพียง 499 บาท โดยเปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ผู้สมัคร 10,010 คนแรก จะได้รับเสื้อ Finisher และ Top 100 ที่เข้าเส้นชัย จะได้รับเหรียญที่ระลึก ปี 2530 ปีที่เปิดสะพานพระราม 9 ทันทีหลังเข้าเส้นชัย สำหรับผู้ที่สมัครหลังจากนั้น ของที่ระลึกจะจัดส่งถึงบ้าน ภายใน 30 วันหลังจบงาน
งานนี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ประชาชนจะได้สัมผัสสะพานแห่งความภาคภูมิใจในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ขอเชิญชวนคนไทยและผู้สนใจร่วมเดิน วิ่ง และบันทึกความทรงจำที่สะพานทศมราชัน พร้อมสร้างความสุขและพลังแห่งความสามัคคีในงาน “มหกรรมสุขเต็มสิบ” ไม่เพียงเท่านั้น งานนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของสะพานทศมราชัน ที่สะท้อนถึงความภาคภูมิใจและการพัฒนาของประเทศไทย เชิญชวนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ และสร้างความทรงจำอันทรงคุณค่าร่วมกัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่ง ได้ที่ : www.thai.run Facebook : https://www.facebook.com/ExpresswayThailand และ EXAT Call Center โทร. 1543 กด 7
โอเพ่นสเปซ (Openspace) กองทุนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับการเติบโตของสตาร์ทอัพในประเทศไทย พร้อมเผยวิสัยทัศน์ของบริษัทเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย มุ่งผนึกกำลังกับสถาบันต่าง ๆ ในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงผู้ร่วมลงทุน และชุมชนสตาร์ทอัพ เพื่อปลดล็อคศักยภาพของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีและส่งเสริมอีโคซิสเต็มที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
โอเพ่นสเปซ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบันเป็นกองทุนชั้นนำที่บริหารจัดการเงินทุนเกือบ 30,000 ล้านบาท ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุม 6 ตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โอเพ่นสเปซ ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ลงทุนสำคัญในวงการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพอย่างรวดเร็ว ด้วยการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากกว่า 60 แห่งทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กุญแจสู่ความสำเร็จของโอเพ่นสเปซ คือการใช้ข้อมูลเชิงลึกและความเชี่ยวชาญระดับสูงของทีมงานเพื่อเสริมศักยภาพให้แก่บริษัทที่ได้เข้าลงทุนได้สร้างผลงานที่โดดเด่นพร้อมกับสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
โอเพ่นสเปซ ยังได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยและส่งเสริมอีโคซิสเต็มอย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นนี้สะท้อนให้เห็นได้จากบทบาทของ คุณณิชาภัทร อาร์ค ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของกองทุนโอเพ่นสเปซเวนเจอร์ส ซึ่งนอกจากบทบาทในกองทุนแล้ว ยังดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ ที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตของประเทศไทย ได้แก่ บทบาทกรรมการสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Thai Venture Capital Association), สมาชิกคณะกรรมการของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management, Chulalongkorn University) และสมาชิกคณะกรรมการของสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล (Institute for Technology and Innovation Management, Mahidol University)

คุณณิชาภัทร อาร์ค ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กองทุนโอเพ่นสเปซ กล่าวว่า “โอเพ่นสเปซ ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ด้วยเงินลงทุนรวมเกือบหนึ่งพันล้านบาท เราภูมิใจในบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่เราได้ลงทุนอย่างมาก เนื่องจากมีทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ทำอยู่ในเชิงลึกและสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างน่าพอใจ กองทุนของเรายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย และมองหาโอกาสที่จะเพิ่มเงินลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับจุดแข็งของประเทศไทย เช่น การเงิน การแพทย์ การเกษตร การบริการและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เรายังสนใจสตาร์ทอัพที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานทดแทนและการลดโลกร้อน เนื่องจากปัญหาใหญ่เช่นนี้จะต้องนำเทคโนโลยีมาแก้ไขถึงจะเห็นผลที่ชัดเจน”
พอร์ตโฟลิโอของโอเพ่นสเปซในประเทศไทยประกอบด้วย ฟินโนมีนา (Finnomena) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการลงทุนดิจิทัลชั้นนำของไทยที่มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลเกือบ 50,000 ล้านบาท, เฟรชเก็ต (Freshket) ซึ่งจำหน่ายวัตถุดิบด้านอาหารแบบครบวงจรผ่านแพลตฟอร์มที่สะดวกต่อการติดตามในทุกขั้นตอน โดยปัจจุบันได้ให้บริการแก่ธุรกิจร้านอาหารกว่า 20,000 แห่ง และมีอัตราการเติบโตถึง 10 เท่าในระยะเวลาเพียง 4 ปี นอกจากนี้ ยังมีอบาคัส ดิจิทัล (Abacus Digital) ผู้ให้บริการสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันมันนี่ทันเดอร์ (MoneyThunder) ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการเงินด้วยเทคโนโลยี AI ให้กับกลุ่มคนที่หลากหลาย โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้เงินกู้นอกระบบ ปัจจุบัน มีผู้สนใจสมัครสินเชื่อกับมันนี่ทันเดอร์ สูงถึง 200,000 รายต่อเดือน โดยมียอดดาวน์โหลดแอปแล้วกว่า 20 ล้านครั้ง ยอดปล่อยสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง โดยมี NPL ต่ำกว่าตลาดถึง 3 เท่า อบาคัส ดิจิทัลได้รับการจัดให้อยู่ใน Forbes Asia 100 to Watch โดยนิตยสาร Forbes เมื่อปีที่แล้ว โดยมีการคัดเลือกสตาร์ทอัพจากผู้สมัครทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 13 ประเทศ

คุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง กลุ่มบริษัท ฟินโนมีนา กล่าวถึงความร่วมมือกับโอเพ่นสเปซ และการสนับสนุนที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับฟินโนมีนาอย่างต่อเนื่อง ว่า “โอเพ่นสเปซ เวนเจอร์ส ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักลงทุน แต่เป็นพันธมิตรที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของฟินโนมีนา ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โอเพ่นสเปซช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการสร้างแบรนด์ การสร้างกลยุทธ์เพื่อกระจายประเภทสินทรัพย์ และการวางแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ นอกเหนือจากเงินทุนแล้ว ทีมงานของโอเพ่นสเปซ ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อความสำเร็จของฟินโนมีนา โดยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญกับธุรกิจของเราในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสรรหาบุคลากรไปจนถึงการวางกลยุทธ์”
โอเพ่นสเปซยังคงมุ่งมั่นผลักดันอนาคตสตาร์ทอัพของประเทศไทย และในการก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. 2568 นี้ บริษัทพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการขับเคลื่อนการเติบโตที่มั่นคง และผลักดันนวัตกรรมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมต่อประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจหรือต้องการหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกับโอเพ่นสเปซ ในประเทศไทย สามารถติดต่อได้ที่อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีรับมอบสิ่งของและผลิตภัณฑ์จากบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด โดยนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นผู้กล่าวรายงาน และคุณอรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและองค์กรสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย เป็นตัวแทนมอบผลิตภัณฑ์ลอรีอัล ให้กับกระทรวง พม. จำนวน 649,446 ชิ้น รวมมูลค่า 37,864,034 บาท

โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมอบดังกล่าวจะถูกนำไปเพื่อช่วยเหลือประชาชน กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประสบปัญหาทางสังคม และครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้บริหารกระทรวง ผู้บริหารบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ข้าราชการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมในพิธีรับมอบดังกล่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม.