×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 43.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 176.54 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 15.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 263.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.95 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 227.23 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 98.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.44 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 73.40 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 89.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 196.84 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 30.04 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 16.77 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 6.23  มีรายได้จากการขาย 531.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.27 จากงวดเดียวกันของปีก่อน 482.10 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มหลัก ในงวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 79.4 ของรายได้จากการขายทั้งหมด และมีปริมาณการขายสินค้ารวมเติบโตขึ้น 7,191 ตัน

ต้นทุนขายอยู่ที่ 337.18 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.61 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 339.26
ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบ และการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้า ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 194.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.13 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 142.84 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36.58 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 29.63 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลทรายและกระเทียม นอกจากนี้ ในงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตไปโรงงานใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างโรงงานที่แหลมฉบังและที่อมตะซิตี้ ประกอบกับโรงงานแห่งใหม่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้การผลิตยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงานแห่งใหม่ บริษัทสามารถใช้อัตรากำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 51  ขณะที่ โรงงานแห่งเก่า ยังใช้ผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มที่มีออเดอร์ขนาดเล็ก และผลิตกลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงแกง กลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป 

“จากความสำเร็จของโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้  สนับสนุนผลงานในปีนี้ให้โดดเด่นตั้งแต่ไตรมาสแรก ขณะที่ ในไตรมาส 2/2561 ยังเดินหน้าตามแผน สนับสนุนรายได้จากการขายในงวดครึ่งปีแรกให้เติบโตขึ้น และมียอดขายเป็นสกุลเงินบาท 60% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 30% สกุลเงินยูโร 10%  ขณะที่การเพิ่มขึ้นของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น รวมทั้งได้ผลบวกจากต้นทุนการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง สนับสนุนให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างน่าประทับใจ มาอยู่ที่ 89 ล้านบาท ทุบสถิติกำไรสุทธิในปีก่อนที่ 59 ล้านบาท และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2557 อยู่ที่ 86 ล้านบาท" จิตติพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในงวดครึ่งปีหลัง มั่นใจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรกได้ จากแผนการบริหารจัดการภายในที่ดี ได้รับผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลและกระเทียมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง การทยอยปรับราคาขายสินค้าขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ สำหรับยอดขายที่เป็นสกุลเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 90% ของยอดขายทั้งหมด โดยเฉลี่ยปรับราคาขายขึ้นในกรอบประมาณร้อยละ 1.5 – 6.5 ในแต่ละสินค้าไม่เท่ากัน สนับสนุนผลประกอบการซึ่งจะสามารถทำนิวไฮรายไตรมาสได้อีก จึงปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2561 ที่วางไว้จะเติบโตร้อยละ 5 -10  เป็นเติบโตร้อยละ 10 – 15 เทียบกับปี 2560 รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 947 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ทั้งรายได้และกำไร

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.12 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในงวดครึ่งแรกของปีนี้ กำหนดวันที่จ่ายปันผล 7 กันยายน 2561

ณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ FSMART ผู้ให้บริการตู้เติมเงินออนไลน์บุญเติม ช่องทางการชำระเงินที่มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศไทย  เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวมเป็นเงิน 234 ล้านบาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับงวด 6 เดือน กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลระหว่างกาลปี 2561 (Record date) ในวันที่ 23 สิงหาคม 2561 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 4 กันยายน 2561

 โดยผลประกอบการงวด 6 เดือนปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 1,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,484 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 275 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถติดตั้งตู้บุญเติมเพิ่มขึ้นอีก 5,695 ตู้ ทำให้ปัจจุบันมีตู้รวมทั้งสิ้น 130,348 ตู้ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าเติมเงินทั้งบริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ บริการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร บริการเติมเงินออนไลน์ประเภทอื่น ๆ รวมทั้งบริการรับชำระบิลอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 25% หรือมีมูลค่าเติมเงินรวม 21,032 ล้านบาท จากจำนวนผู้ใช้บริการ 25 ล้านเลขหมาย และจำนวนการทำรายการผ่านตู้บุญเติม 2.2 ล้านรายการต่อวัน

 ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 769 ล้านบาท กำไรสุทธิ 144 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการเชิงรุกเล็งจุดติดตั้งคุณภาพ เพื่อให้ยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ (ARPU) เพิ่มมาที่ 32,198 ต่อตู้ต่อเดือน รวมไปถึงบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

  “ตู้บุญเติม” ยังถือเป็นผู้นำตลาดตู้เติมเงินออนไลน์ ทั้งในส่วนของจำนวนตู้และมูลค่าการเติมเงิน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด อยู่ที่ประมาณ 22% จากมูลค่าตลาดบริการโทรศัพท์มือถือประเภทเติมเงินล่วงหน้า (Pre-Paid) รวมกว่า 1.33 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทยังคงรักษาแนวทางการทำงานด้วยกลยุทธ์จุดตั้งตู้บุญเติมที่มีคุณภาพ ทั้งจุดติดตั้งในพื้นที่ใหม่ และปรับเปลี่ยนในทำเลเดิม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการขายด้วยแคมเปญต่างๆ ทั้งรายการสะสมแต้มเพื่อชิงโชคและแลกของรางวัล รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆตามเทศกาลเพื่อตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการตู้บุญเติม

 สำหรับการดำเนินงานในครึ่งปีหลังบริษัทเชื่อว่าจะมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง ด้วยฐานลูกค้าเดิมที่เป็นกลุ่มผู้นิยมใช้เงินสดในการใช้จ่าย รวมถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ใช้ “Be Wallet” แอปพลิเคชั่นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนมือถือ (E-wallet) โดยบริษัทจะเพิ่มการให้บริการใหม่อื่นๆ ที่ช่วยทำให้ตู้บุญเติมเป็นช่องทางที่ครบวงจรมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกและตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด อาทิ เพิ่มธนาคารสำหรับโอนเงินอีก 2 ธนาคาร ตามนโยบายที่จะให้บริการประเภทโอนเงินบนตู้เติมเงินกับ 4 ธนาคารขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้และฐานลูกค้าให้รู้จักกับตู้บุญเติม นอกจากนี้ จะเพิ่มบริการการชำระค่าตั๋วโดยสาร การชำระบิลสาธารณูปโภค การขายประกันภัย/ประกันอุบัติเหตุ และบริการอื่น ๆ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบันยังคงมาจากธุรกิจให้บริการเติมเงินประมาณ 83% ส่วนที่เหลือเป็นการโอนเงิน และบริการอื่นๆ

 ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะติดตั้งตู้บุญเติมเพิ่ม 10,000 ตู้ ทำให้สิ้นปี 2561 มีตู้บุญเติมรวมทั้งสิ้น 134,653 ตู้ เพื่อสนับสนุนให้มูลค่าการใช้บริการผ่านตู้บุญเติมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2560 โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการบริหารจัดการยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ต่อเดือน (ARPU) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% และผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

  นอกจากนี้ บริษัทฯ เล็งต่อยอดธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ โดยอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในการพัฒนาธุรกิจใหม่ผ่านตู้เติมเงิน อาทิ การจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ และการรับพิสูจน์ตัวตน (e-KYC) ให้กับกลุ่มธนาคารและกลุ่ม e-Wallet ต่าง ๆ เป็นต้น โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยทั้ง 2 บริการยังคงเกี่ยวโยงกับธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งเป็นโอกาสในการอำนวยความสะดวกทั้งผู้ใช้บริการและธนาคารพาณิชย์ที่จะเข้าสู่สังคมระบบดิจิทัลต่อไป

 

ปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 19% เป็นผลจากงานโครงการปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% งานค้าส่ง/ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 14% และงานส่งออกเท่ากับปีก่อนหน้า

การเพิ่มขึ้นของงานโครงการเป็นผลจากการก่อสร้างและปรับปรุงศูนย์การค้าและร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีสินค้าที่ส่งไปติดตั้งในงาน turnkey ไตรมาสก่อนหน้า สามารถส่งมอบงานและรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ ส่วนการเพิ่มขึ้นของงานขายส่ง/ขายปลีกเป็นผลจากการขายในร้าน Lighting Solution Center ของบริษัทที่ถนนรัชดาภิเษก และที่ถนนราชพฤกษ์ปรับตัวดีขึ้น สำหรับงานส่งออกนั้น การเลื่อนส่งมอบสินค้าให้งานบางโครงการในประเทศเมียนมาร์และประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้รายได้จากการขายยังคงเท่ากับปีก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 181.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 11% สาเหตุใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และในปีนี้มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศเวียดนามและการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเชีย รวมทั้งผลจากการปรับเงินเดือนประจำปี

ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 24.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 16.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 194% เป็นผลจากกำไรเบื้องต้นรวมรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 36.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 17.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2561 ปกรณ์ระบุว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการขายและให้บริการเติบโต 20% จากปีก่อน ในฐานะผู้นำธุรกิจแสงสว่าง พร้อมรุกขยายงานโครงการของภาครัฐบาลและเอกชนที่คาดว่าจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ที่รอรับรู้เป็นรายได้อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้

สำหรับการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีมีการเติบโตที่ดี จากความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อสินค้าและบริการของบริษัทฯ  และความเชี่ยวชาญในธุรกิจแสงสว่าง โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายสัดส่วนส่งออกต่างประเทศที่ 9% ของรายได้จากการขายและบริการ อีกทั้ง การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างของบริษัทฯ  สร้างความรู้ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อผลักดันให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ LED แทนการใช้หลอดไฟส่องสว่างแบบเดิม สนับสนุนรายได้จากการขายปลีกและขายส่งให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้

 

  ลอรีอัล บริษัทความงามที่มีแบรนด์ในเครือกว่า 34 แบรนด์ เปิดเผยผลประกอบการครึ่งแรกของปีพ.ศ. 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยลอรีอัล มีรายได้รวม 13,390 ล้านยูโร หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 6.6%   โดยแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโต 11.4% และแผนกเครื่องสำอางชั้นสูงเติบโต 13.5% ในขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคและแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมีการเติบโตได้เล็กน้อย ได้แก่ 1.6% และ 2.5% ตามลำดับ ตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่เข้มแข็งที่สุดคือกลุ่มตลาดใหม่ซึ่งประกอบด้วย ตลาดละตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก แอฟริกาและตะวันออกกลาง และเอเชียแปซิฟิก โดยในแถบเอเชียแปซิฟิกเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 22% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแบรนด์ในตลาดระดับพรีเมี่ยมในประเทศจีนและฮ่องกง ตลาดอเมริกาเหนือมีการปรับตัวที่ดีขึ้นโดยเติบโต 3% ในขณะที่ตลาดยุโรปตะวันตกลดลง 0.8%

 ฌอง-พอล แอกง ประธานและเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ตลาดความงามยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีการยกระดับเข้าสู่ตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น การเติบโตในระดับเลขสองหลักของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางและแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง มีปัจจัยสำคัญมาจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และความความเข้มแข็งของแบรนด์ นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมากถึง 36.4% โดยนับเป็น 9.5% ของรายได้รวม ในช่องทางค้าปลีกสินค้าปลอดภาษีนั้น ลอรีอัลเติบโตขึ้นถึง 27.3% ด้วยอัตราการเติบโตในครึ่งปีแรก ในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถมีอัตราเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมได้สำเร็จ”  

นอกจากนั้น ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ลอรีอัล ได้รุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการประกาศซื้อกิจการและบรรลุข้อตกลงลิขสิทธิ์หลากหลายแบรนด์ ได้แก่ ซื้อกิจการบริษัทเครื่องสำอางเกาหลี สไตล์นันดะ แบรนด์ 3CE ซื้อกิจการแบรนด์พัลพ์ไรออท (Pulp Riot) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมืออาชีพจากอเมริกา และ บรรลุข้อตกลงลิขสิทธิ์กับวาเลนติโน ในส่วนผลิตภัณฑ์น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ลอรีอัล ยังได้ประกาศโครงการเข้าซื้อกิจการสถานีน้ำแร่โซไซเท เด เธิร์มส์ เดอ ลาโรช-โพเซย์  (Société des Thermes de La Roche-Posay) ซึ่งเป็นสถานีน้ำแร่แห่งแรกในยุโรปที่ก่อตั้งในปี 1921 เพื่อรักษาและบรรเทาอาการโรคผิวหนัง อาทิ โรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้ โรคสะเก็ดเงิน แผลไฟไหม้ อาการข้างเคียงของผิวหนังจากการรักษามะเร็ง ด้วยคุณสมบัติของน้ำแร่ลาโรช-โพเซย์ และ ได้ซื้อกิจการบริษัทโลโกโคส นาทัวคอสเมติค เอจี (Logocos Naturkosmetik AG) ประเทศเยอรมนี ที่เป็นแนวหน้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติจากฟาร์มออแกนิก ซึ่งทุกแบรนด์เป็นวีแกน โดยมีแบรนด์อาทิโลโกนา (Logona) และ ซานเธ (Sante) ลอรีอัลมีแผนที่จะนำแบรนด์ดังกล่าวจัดจำหน่ายในต่างประเทศด้วย

 

 อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร KKP เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 มียอดการเติบโตของสินเชื่อที่ 10.2% ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการออกมาดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของกลุ่มธุรกิจฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งสายช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า และการยกระดับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) และการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ซึ่งทำให้ธนาคารวิเคราะห์จำแนกกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ได้โดยละเอียด และสามารถลดสินเชื่อกลุ่มที่ไม่มีคุณภาพ และขยายสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลกำไรเหมาะสมและมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อ KK SME นอกจากนั้น ยังได้รับแรงสนับสนุนในด้านต้นทุนการเงินจากผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อการลงทุน KKPSS (KK Phatra Smart Settlement) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเหมือนเงินฝากประจำสำหรับลูกค้า Wealth Management ของ บล. ภัทรโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นการระดมเงินฝากจำนวนมากให้กับธนาคารโดยไม่ต้องใช้ต้นทุนในด้านสาขาและบุคลากรเพิ่มเติม ทั้งนี้ หลังเปิดตัวเพียงเมื่อต้นปี 2561 ปัจจุบันมียอดกว่า 2 หมื่นล้านบาท

 ชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัทย่อยว่า กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) (ทุนภัทร) และบริษัทย่อย ได้แก่ บล.ภัทร และ บลจ.ภัทร จำนวน 824 ล้านบาท  มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ  5,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9%จากงวดเดียวกันของปีก่อน  ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%  และรายได้อื่น 1,160 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 8,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 จากงวดเดียวกันของปี 2560 ครึ่งปีแรกสินเชื่อโดยรวมขยายตัวที่ 10.2% โดยสินเชื่อมีการขยายตัวในทุกประเภท รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องที่ 2.8 % จากสิ้นปี 2560 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมยังคงปรับลดลง ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 4.5% ลดลงเมื่อเทียบกับ 5.0% ณ สิ้นปี 2560  ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16.27% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ12.72% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2561 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.35% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.80%

  อภินันท์กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า กลุ่มธุรกิจฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา Business Model ใน 3 ธุรกิจหลัก เพื่อกระจายโครงสร้างรายได้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. ด้านธุรกิจสินเชื่อยังคงมุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่เลือกแล้วว่ามีอัตราผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) ที่เหมาะสม หรือสามารถนำไปสู่รายได้ด้านอื่นแก่กลุ่มธุรกิจฯ  อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อลอมบาร์ด สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าขนาดใหญ่หรือบริษัทจดทะเบียน 2. ด้านธุรกิจ Wealth Management จะมุ่งเติบโตทั้งในด้านสินทรัพย์ของลูกค้า และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการให้บริการของกลุ่มธุรกิจฯ ในกระเป๋าของลูกค้า (share of wallet) โดยขยายผลผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนอย่าง บัญชี KKPSS, หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note), Shark-Fin Note, Daily Range Accrual Note (DRAN), Fund Linked Note ซึ่งจะเป็นทั้งฐานเงินฝากและค่าธรรมเนียมของธนาคารต่อไป ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากมีลูกค้า Wealth Management จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจฯ จึงจะเปิดตัวบริการการลงทุนในต่างประเทศ (Offshore Investment) โดยร่วมกับ Investment Bank และ Asset Management ของต่างประเทศ ประมาณ 10 แห่ง ที่ผ่านการกลั่นกรองโดยทีมวิจัยลูกค้าบุคคล (CIO Office) และนำเสนอต่อลูกค้าแต่ละรายโดยทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Consultant) และทีมที่ปรึกษาวางแผนการลงทุน (Investment Advisor) พร้อมกันนั้น ยังยกระดับสาขาธนาคารให้เป็น Financial Hub หรือศูนย์บริการทางการเงินครบวงจรที่สามารถให้บริการในด้านการลงทุนให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันมี 3 สาขา  คือ เซ็นทรัลเวิลด์ ทองหล่อ และเยาวราช  3. ด้านธุรกิจสินเชื่อบรรษัท ธุรกิจตลาดการเงิน และธุรกิจวานิชธนกิจ ของกลุ่มธุรกิจฯ ยังเติบโตก้าวกระโดดจากการผสานความร่วมมือและบูรณาการอย่างเป็นผลระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากสินเชื่อที่เติบโตกว่า 60% และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

Page 2 of 3
X

Right Click

No right click