November 13, 2025

บริษัท กสิกร เอกซ์ จำกัด (KX) ร่วมกับ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดตัวโครงการ "พาสปอร์ตดิจิทัลสวนสัตว์ (Zoo Digital Passport)" บนแพลตฟอร์ม Coral ของ KX เพื่อยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวสวนสัตว์ ให้มีความทันสมัยและมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้สามารถสำรวจแหล่งท่องเที่ยวภายในสวนสัตว์ผ่านแผนที่ดิจิทัล พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สัตว์ป่าผ่านของสะสมดิจิทัล (Digital Collectible) ที่สามารถสะสมจากแต่ละจุดท่องเที่ยว เริ่มต้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี เป็นแห่งแรกในวันที่ 11 เมษายน 2568 โดยนักท่องเที่ยวสามารถสะสมของสะสมดิจิทัลจากสัตว์ป่า 15 ชนิด 17 ตัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายโครงการไปยังสวนสัตว์อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างยั่งยืน

นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Senior Venture Director บริษัท กสิกร เอกซ์ จำกัด (KX) เปิดเผยว่า Coral เป็นแพลตฟอร์มพาสปอร์ตดิจิทัลที่ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ระหว่างองค์กรและผู้ใช้บริการผ่านกลไกการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ล่าสุดได้จับมือกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดตัวโครงการ "พาสปอร์ตดิจิทัลสวนสัตว์ (Zoo Digital Passport)" บนแพลตฟอร์ม Coral ของ KX ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่า ร่วมกิจกรรมสะสมของสะสมดิจิทัล และมีส่วนร่วมกับภารกิจขององค์การสวนสัตว์ ทำให้ได้รับทั้งความรู้และความสนุกไปพร้อมกัน นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์ผ่านการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Coral และเดินเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียวตามแผนที่ดิจิทัล พร้อมสะสมของสะสมดิจิทัลจากสัตว์ป่าหลากหลายชนิด เช่น ชะนี ละมั่ง เพนกวิน คาปีบาร่า เต่าอัลดาบรา สล็อต 2 นิ้ว ฮิปโปโปเตมัส (แม่มะลิ และ ขาหมู) ฮิปโปโปเตมัสแคระ (หมูเด้ง) ยีราฟ นกฟลามิงโก แรดขาว ลีเมอร์หางแหวน นกชาปีไหน (ในกรงนกใหญ่) ช้าง (แสนรัก) เลียงผา และ หมีขอ

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นการยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวสวนสัตว์ไปอีกขั้น เป็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยผสมผสานเทคโนโลยีกับแนวคิดการอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศ พร้อมกับเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนผ่านแพลตฟอร์ม Coral ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่สนับสนุนพันธกิจหลักขององค์การสวนสัตว์ในการให้ความรู้ การอนุรักษ์ และการวิจัย นอกจากนี้ พาสปอร์ตดิจิทัลสวนสัตว์ยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ส่งเสริมให้มนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล โครงการนี้จะเปิดให้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 เมษายน 2568 โดยเริ่มต้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางสีเขียวแห่งแรก และมีแผนขยายไปยังสวนสัตว์อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ให้ทั้งความสนุกและความรู้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Coral ได้ที่ https://coralworld.page.link/download หรือดูรายละเอียดโครงการได้เร็วๆ นี้ที่ทาง https://www.facebook.com/ZPOTthailand และ https://www.facebook.com/coralworld.co

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า การประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงเกินคาดเป็นการเดินเกมเพื่อเจรจา ซึ่งกำหนดการขึ้นภาษีที่จะมีผลในวันที่ 9 เม.ย. ค่อนข้างกระชั้น และไทยคงต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การส่งออกปี 2568 จะหดตัว -0.5% จากเดิมที่มองไว้ 2.5% ส่วนจีดีพีไทย ได้รับผลกระทบราว 1% ทำให้ประมาณการใหม่อยู่ที่ 1.4% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4% ซึ่งการประเมินดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลของการเจรจากับสหรัฐฯ

 

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า จาก Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯเก็บไทย 37% เบื้องต้นคาดว่าจะกระทบมูลค่าการส่งออกของไทยประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 4 แสนล้านบาทในปี 2568 ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว อาจจะปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของภาครัฐหลังจากนี้ โดยอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์และชิ้นส่วน เกษตร และอาหาร เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อประกอบภาพกับกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอลงเพิ่มเติมหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ (MPI) เสี่ยงจะหดตัวลงกว่าเดิม หรือติดลบ 3.4% ในปี 2568 (เดิมคาดที่ติดลบ 1.0%) ขณะเดียวกัน แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้เราปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 ลงมาที่ 35.9 ล้านคน (เดิมคาด 37.5 ล้านคน)

  • ในวันที่ 2 เม.. 2568 สหรัฐฯ ประกาศปรับเพิ่มภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกชาติ ซึ่งมองว่าเป็นเกมการเรียกเจรจาของสหรัฐฯ กับนานาประเทศเพื่อนำมาสู่ข้อตกลงใหม่ของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยหลังจากนี้ ต้องติดตามผลการเจรจาที่ออกมา ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าของแต่ละประเทศในระยะข้างหน้า
  • ไทยโดนภาษีในอัตรา 37% (ขยับจากเดิม 36%) ในขณะที่คู่ค้าอื่นๆ ถูกปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.. 2568 (รูปที่ 1) นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับคู่ค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2568 ขณะที่ สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วน ที่อยู่ใน Section 232 ซึ่งถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 25% นั้น จะถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ส่วนยา เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ก็ถูกยกเว้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ แต่จะถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าภายใต้ Section 232 หรือไม่นั้น ต้องรอติดตามความชัดเจนต่อไป

  • ผลกระทบต่อการค้าของไทย (ยังไม่ได้รวมผลจากการเจรจา): ส่งออกไทยปี 2568 มีแนวโน้มหดตัวลงมาอยู่ที่ -0.5% จากประมาณการเดิมที่ 2.5% จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับสินค้าไทยที่อัตรา 37% มากกว่าที่คาดไว้ที่อัตรา 10% อย่างมีนัยสำคัญ
    • ผลกระทบทางตรง: การส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัวที่ -10% ในปี 2568 จากความต้องการสินค้าไทยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มาก และ/หรือกลุ่มที่อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหาร (ข้าว ปลา กุ้ง อาหารสัตว์เลี้ยง) และเครื่องประดับ เป็นต้น ซึ่งในภาวะที่การแข่งขันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงและอัตรากำไรมีจำกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่สามารถปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาอุปสงค์ได้มากเท่าใดนัก
    • ผลกระทบทางอ้อม: การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจาก
      • การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าต่างๆ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าไปยังจีน อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ โพลิเมอร์ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
      • การส่งออกไทยไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจีน อาทิ รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น พลาสติกและโพลิเมอร์ เป็นต้น
      • การส่งออกในภาพรวมได้รับผลกระทบจากอุปสงค์โลกที่ชะลอลง โดยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้าทั่วโลกในระดับสูงคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบสินค้าอื่นๆ เช่น เกษตรและอาหาร รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปด้วย
    • อย่างไรก็ดี ประมาณการการส่งออกนี้ได้คำนึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการส่งออกทองคำที่ปรับสูงขึ้นตามปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเข้าไปแล้ว โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกทองคำจะมีสัดส่วนต่อการส่งออกโดยรวมเพิ่มจาก 9% ในปี 2567 มาอยู่ที่ 3.4% ในปี 2568
  • ในด้านการนำเข้าปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.0% จากประมาณการเดิมที่ 4% จากการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางของไทยที่คาดว่าจะปรับลดลงสอดคล้องกับการส่งออก ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง นอกจากนี้ ได้คำนึงถึงแรงหนุนบางส่วนจากมูลค่าการนำเข้าทองคำที่คาดว่าจะขยายตัวตามราคาที่ปรับสูงขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดี เนื่องจากฐานมูลค่าการนำเข้าทองคำอยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้า จึงคาดว่ามูลค่าการนำเข้าทองคำจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่ามูลค่าการส่งออกทองคำในปีนี้
  • ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย: การลงทุนเอกชนจะมีความล่าช้าออกไป และการบริโภคครัวเรือนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากการสงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน โดยยังขึ้นอยู่กับการเจรจาของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บมีการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะข้างหน้า ในขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการเยียวยาผลกระทบดังกล่าวจากภาครัฐ
  • เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปีก่อนหน้าอาจล่าช้าออกไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก ประกอบกับได้คำนึงถึงผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค. ที่คาดว่าจะส่งผลให้การก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจล่าช้าออกไปเล็กน้อย จากก่อนหน้านี้ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องในปีนี้อยู่แล้ว ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการลงทุนภาคเอกชนปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 1.4% จากประมาณการเดิมที่ 5%
  • การบริโภคภาคเอกชนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. ในขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ภาคการผลิตของไทยที่อาจจะหดตัวลึกขึ้น ส่งผลต่อการจ้างงานที่ชะลอลง ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังสูง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนลงมาอยู่ที่ 2.0% จากประมาณการเดิมที่ 4%
  • ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซ้ำเติมจำนวนนักท่องเที่ยวสำคัญที่เดิมก็มีสัญญาณปรับลดลงอยู่แล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เป็นต้น ภายใต้การแข่งขันในการดึงนักท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในช่วงข้างหน้า ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้มาอยู่ที่ 9 ล้านคน จากประมาณการเดิมที่ 37.5 ล้านคน
  • ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบในเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และคาดว่าขนาดผลกระทบดังกล่าวอยู่ที่ 0% ของ GDP ส่งผลให้ GDP ปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงจาก 2.4% มาอยู่ที่ 1.4% (รูปที่ 2) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

  • นโยบายการเงินการคลังอาจจะต้องผ่อนคลายมากกว่าที่ประเมิน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับลดเร็วขึ้นในเดือนเม.ย. และปรับลดเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รวมถึงมาตรการการคลังที่จะออกมาเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว ท่ามกลางข้อจำกัดพื้นที่การคลังที่มากขึ้น
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ภาครัฐควรเร่งสร้างความชัดเจนทั้งข้อเสนอการเจรจาผ่อนปรนเงื่อนไขทางการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ตลอดจนการประเมินผลกระทบและแนวทางเยียวยาภายใต้กรณีต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนและความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน

รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch)

ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่แห่งปี K WEALTH Forum หัวข้อ Five for 2025: FIVE Themes That Will Shape Global Investment Strategies” เจาะลึก 5 ปัจจัยหลักที่กำลังจะเปลี่ยนฉากทัศน์สำคัญของโลกด้านการเงินและการลงทุน นำโดย K WEALTH ศูนย์รวมความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งครบทุกมิติ ร่วมกับบริษัทด้านการลงทุนชั้นนำระดับโลก J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier ชี้เศรษฐกิจโลกปีนี้ ยังไปต่อได้ เทคโนโลยี AI ยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง จับตานโยบาย America First โดยเฉพาะมาตรการทางการค้าที่ไม่เพียงจะส่งผลต่อประเทศคู่ค้าแต่อาจส่งผลกระทบกับ GDP ของสหรัฐฯ ด้วย พร้อมคาดการณ์ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้อีก 1-2 ครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ในขณะที่ IMF ออกโรงเตือนหนี้สาธารณะท่วมโลก และทั่วโลกยังเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ชี้โอกาสการลงทุนในต่างประเทศ แนะธีมลงทุน “GO GLOBAL” และ “Diversification” เพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมติดตามข้อมูลเจาะลึกโอกาสลงทุนในหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นทั่วโลกกับ K WEALTH: GO GLOBAL The Series บนช่องทาง Youtube: K WEALTH ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เริ่มต้นปี 2025 ตลาดผันผวนอย่างหนัก นำโดยหุ้นไทยและหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับหลายประเทศ ความกังวลกลับมาอีกครั้งว่าเศรษฐกิจอเมริกาที่ว่าจะดี อาจจะถอยเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดฝั่งขาขึ้นก็มี เช่น หุ้นจีนในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้นราว 20% จากการปลุกชีพเทคฯ จีนของ DeepSeek ในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความผันผวนนี้เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส ความเสี่ยงคือการลงทุนผิดที่ผิดเวลา ขณะที่โอกาสคือการทำความเข้าใจ วิเคราะห์สถานการณ์ และใช้ช่วงที่ราคาย่อลง ทยอยลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับแต่ละท่านตามแผนการลงทุนที่วางไว้ทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว  

“งานสัมมนา K WEALTH Forum ในวันนี้  จึงนำเสนอประเด็นหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และกำลังเปลี่ยนฉากทัศน์สำคัญของโลก นำทีมโดย K WEALTH ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์บริหารความมั่งคั่งของธนาคารกสิกรไทย พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญในระดับสากลจากบริษัทชั้นนำระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และ Lombard Odier เพื่อให้ทุกท่านจัดการเงินลงทุนอย่างมีความสมดุล เหมาะกับสถานการณ์ และที่สำคัญ ตอบโจทย์เป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน”

จับตา 5 ประเด็นหลัก เปลี่ยนเกมการลงทุนโลก

  • ประเด็นที่ 1 เทคโนโลยี AI อิทธิพลของ AI เห็นได้ชัดจากราคาหุ้น NVIDIA ที่พุ่งขึ้นมาเกือบ 6 เท่า นับจากการเปิดตัวของ ChatGPT ในปี 2022 ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านคนต่อสัปดาห์
  • ประเด็นที่ 2 America First Policy นโยบายที่ทั่วโลกกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือ การขึ้นภาษีนำเข้า แต่ Fed ได้ทำการศึกษาแล้วว่า ทุกๆ 1% ของภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ GDP ของอเมริกาลดลง 14% แปลว่า America First Policy ไม่ได้กระทบแต่ประเทศคู่ค้า อเมริกาก็ต้องระวังเศรษฐกิจตัวเองด้วย

ธุรกิจส่งออกไทยก็เตรียมทำงานหนักโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ของเราคาดว่าการส่งออกของไทยจะชะลอลงจาก 5.4% ในปีที่แล้วเหลือเพียง 2.5%

  • ประเด็นที่ 3 อัตราดอกเบี้ย ช่วงปี 2022-2023 Fed ขึ้นดอกเบี้ย จาก 25% เป็น 5.5% เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิดเร็วจนเงินเฟ้อพุ่ง และเริ่มลดดอกเบี้ยรวม 1% ในปีที่แล้ว ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา Fed ตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ 4.5% ช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย กนง. ของไทยก็ขึ้นดอกเบี้ยด้วย แต่ขึ้นน้อยกว่าคือจาก 0.5% เป็น 2.5% และล่าสุด กนง. ลดดอกเบี้ยลงมาที่ 2%
  • ประเด็นที่ 4 หนี้สาธารณะ IMF ออกมาเตือนเรื่องวิกฤติหนี้ที่ท่วมโลกหลายครั้ง เพราะหนี้สูงจะทำให้รัฐบาลไม่มีเงินมาใช้เวลาเศรษฐกิจมีปัญหา ล่าสุด หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 64% ของ GDP และมีโอกาสจะชนเพดานที่ 70% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 100%
  • ประเด็นที่ 5 ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีรัสเซีย – ยูเครน ที่ผ่านความยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่จบสิ้น รวมถึงยุโรป และความคุกรุ่นก็ยังคงอยู่ในตะวันออกกลางและช่องแคบไต้หวัน

ด้าน Mr. Michael Strobaek, Global Chief Investment Officer and Head of Investment Solutions of Bank Lombard Odier ให้ความเห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านโยบาย ‘America First’ ของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตได้แข็งแกร่ง แต่นโยบายทางการค้าก็สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น อาจมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ต้องดูให้ลึกในหลายๆ ด้าน ว่าแต่ละประเทศมีการบริหารจัดการอย่างไร ความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจ เป็นการกู้จากในหรือนอกประเทศ และกู้มาเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งในระยะยาวแล้วอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่าก็ได้           

ขณะเดียวกัน Mr. Tai Hui, Chief Market Strategist, Asia Pacific of J.P. Morgan Asset Management กล่าวถึงโอกาสในการลงทุนจากกระแส AI ว่าไม่ได้มีเพียงการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยี AI โดยตรงเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสในหลายๆ ธุรกิจที่นำ AI มาใช้เพิ่ม Productivity เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิต Hardware ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแส AI เติบโตได้อีกในอนาคต สำหรับเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะต้องพิจารณาผลกระทบต่อแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อธุรกิจพลังงานและอาหารในยุโรป แต่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับไม่ได้ส่งผลต่อการผลิตน้ำมันอย่างที่คาดการณ์

สำหรับปัจจัยอัตราดอกเบี้ย คุณศิริพร สุวรรณการ, CFA, CFP, Chief Investment Officer, K WEALTH ธนาคารกสิกรไทย มองว่าอยู่ในวัฎจักรขาลง ธนาคารแห่งประเทศไทยเซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ส่วน Fed มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% ซึ่งสูงกว่าของไทยประมาณ 2% อาจมองเป็นโอกาสลงทุนใน Money Market ของสหรัฐฯ แต่ควรระวังความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาด

นอกจากนี้ คุณศิริพร แนะนำว่า ควรให้ความสำคัญคอนเซปต์ “GO GLOBAL” และ “Diversification” คือกระจายความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ผ่านกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ ‘Core & Satellite’ โดย ‘Core’ เป็นส่วนที่มั่นคงและมีโอกาสให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว กระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก แนะนำลงทุนใน ‘Global Balanced Fund’ ส่วน ‘Satellite’ เป็นการเลือกลงทุนจากการประเมินสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ โดยปัจจุบันให้น้ำหนักกับกองทุนตราสารหนี้ไทย เช่น กองทุน K-FIXEDPLUS และกองทุนหุ้นกลุ่ม Health Care ที่ยังราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น กองทุน K-GHEALTH

คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, กรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย เสริมว่า ควรพิจารณาลงทุนในตลาดโลกสำหรับ Core Port เพราะมีโอกาสลงทุนที่กว้างกว่า และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากสินทรัพย์หลายประเภท มีธีมการลงทุนที่อาจไม่มีในประเทศไทย เช่น หุ้นเทคโนโลยี การแพทย์ พลังงานสะอาด นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ตด้วยเครื่องมือการลงทุนหลากหลายที่มีในตลาดโลก เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก ทำให้มีตัวเลือกหลากหลาย ช่วยบริหารพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สำหรับโซลูชันด้านการบริหาร Core Port คุณปณตพล ตัณฑวิเชียร, CFA, Chief Investment Officer บลจ. กสิกรไทย แนะนำกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series และ K-ALLROAD Series ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้

K-WealthPLUS Series เป็นกลุ่มกองทุนผสมที่เกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partnership) กับบลจ. ชั้นนำระดับโลกอย่าง J.P. Morgan Asset Management ร่วมบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างใกล้ชิด ผ่านกลยุทธ์กระจายการลงทุน (Asset Allocation) ทั่วโลก ในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าการลงทุนแบบกระจุกตัวในสินทรัพย์ประเภทเดียว โดยมีให้เลือก 3 กองทุน ได้แก่ K-WPBALANCED เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนในต่างประเทศโดยเน้นสัดส่วนของตราสารหนี้มากกว่าหุ้น K-WPSPEEDUP เหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของหุ้นได้ตั้งแต่ 50-80% และ K-WPULTIMATE เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการเพิ่มสัดส่วนของหุ้นได้ตั้งแต่ 80-100%

K-ALLROAD Seriesเป็นกลุ่มกองทุนที่ได้ร่วมมือกับทาง Lombard Odier โดยกลยุทธ์การลงทุนแบบ ALL ROADS ได้ผ่านการทดสอบในช่วงเวลาต่างๆ ของตลาดมาอย่างยาวนาน ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว โดดเด่นด้วยกลยุทธ์การบริหารพอร์ตแบบ Risk-Based Allocation หรือ การลงทุนโดยพิจารณาความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก นั่นคือ ให้น้ำหนักน้อยในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่ให้น้ำหนักมากในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ พร้อมกลไกจัดการความเสี่ยงช่วงขาลง (Drawdown management) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้โยกย้ายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญสภาวะตลาดที่ผันผวน เพื่อลดผลกระทบที่รุนแรง ซึ่ง K-ALLROAD Series มีความเสี่ยงให้ลูกค้าเลือกได้ถึง 4 ระดับ ได้แก่ K-ALLBASIC, K-ALLRD-UI-A(A), K-ALLGR-UI-A(A) และ K-ALLEN-UI-A(A)

เตรียมพบกับซีรีส์พิเศษ K WEALTH GO GLOBAL The Series ในวันที่โลกเหวี่ยง ตลาดสะเทือน โอกาสลงทุนอยู่ตรงไหน เจาะลึกโอกาสลงทุนหลากหลายมิติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ติดตามได้ผ่านช่องทาง Youtube: K WEALTH ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป

*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

กสิกรไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยมาตรการพักชำระเงินต้น ผ่อนเฉพาะดอกเบี้ยนานสูงสุด 3 เดือน วงเงินสินเชื่อที่กู้เพิ่มได้เพื่อซ่อมแซมบ้านและสถานประกอบการ และสินเชื่ออื่นๆ พร้อมแนะแนวทางการรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ธนาคารตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของลูกค้า จึงรีบดำเนินการเร่งด่วนออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ โดยมีรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือดังนี้   

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าบุคคล

  1. สินเชื่อบ้านกสิกรไทย พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
  2. สินเชื่อบ้านกู้เพิ่มได้เพื่อซ่อมแซมบ้าน อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน
  3. บัตรเครดิตกสิกรไทย, สินเชื่อเงินด่วน Xpress Loan และบัตรเงินด่วน Xpress Cash พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
  4. สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือนสูงสุด 50% ระยะเวลา 3 เดือน และขยายระยะเวลาผ่อน 3 เดือน

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ

  1. วงเงินสินเชื่อเดิม พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
  2. สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมสถานประกอบการ ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี ดอกเบี้ย 3.5% ใน 2 ปีแรก โดยให้พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน

 

สำหรับลูกค้าที่ทำประกันที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินกับธนาคารกสิกรไทยสามารถติดต่อแจ้งเคลมประกันกับ บมจ.เมืองไทยประกันภัย Call Center 1484 หรือ Line @mtifriend และเตรียมเอกสารแจ้งเคลมดังนี้ แบบฟอร์มแจ้งเรียกร้องค่าสินไหม ใบเสนอราคาค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน หรือใบเสร็จรับเงิน เอกสารส่วนตัว ภาพถ่ายความเสียหาย และเอกสารอื่นๆ ตามที่บริษัทแจ้งขอ

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อเพื่อเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2568 โดยลูกค้าบุคคลติดต่อได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ลูกค้าธุรกิจติดต่อที่ผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ K-BIZ Contact Center 02-8888822 และลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ติดต่อที่ KLeasing Call Center 02-6969999

 

X

Right Click

No right click