

InnovestX เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ตอกย้ำบทบาทผู้นำในการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) ชุดแรก จำนวน 3 ตัว เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตสู่ตลาดจีน
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสาม ประกอบด้วย
1) HSHD23 ที่เป็น DR ETF ที่อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ETF ตัวแรกของประเทศไทย ลงทุนในหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง มีประวัติการจ่ายปันผลสูงเฉลี่ย 6–8% ต่อปี
2) CATL23 หุ้นเทคแบตเตอรี่แห่งอนาคต ที่เติบโตเคียงข้างยอดขายรถยนต์ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ทั่วโลก
3) BABA23 ที่อ้างอิงหุ้น Alibaba กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีผู้นำอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน
การเปิดตัว DR ชุดนี้ สอดรับกับนโยบายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศให้ง่าย สะดวก และได้ประสิทธิภาพ เสมือนการลงทุนในหุ้นไทย ซื้อขายเป็นเงินบาท ไร้กังวลภาษี ทั้งนี้ DR ทั้ง 3 ตัว พร้อมให้นักลงทุนซื้อขายได้แล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป บนตลาดหุ้นไทยผ่านแอป Streaming พร้อมโปรโมชันช่วงเปิดตัว เทรด DR 3 ตัวใหม่ผ่าน InnovestX ฟรีค่าธรรมเนียม* ตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.68 – 31 ก.ค. 68 มูลค่าสูงสุด 2,000 บาท
ในงานเปิดตัว DR23 ครั้งนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมด้วย นาย โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) Head of Institutional Sales, Global X by Mirae Asset และ นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer, InnovestX ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR23) วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
นายพยนต์ พงศาวรี Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนควรมีทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ InnovestX จึงพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทัดเทียมระดับโลก พร้อมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ครบทุกสินทรัพย์ทั่วโลก (All-Weather Products) เพื่อให้การลงทุนง่าย ราบรื่น และตอบโจทย์ทุกจังหวะการลงทุน รวมถึง DR23 ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซื้อขายด้วยเงินบาท ภายใต้การกำกับดูแลของไทย ลดข้อจำกัดทั้งด้านภาษีและขั้นตอนการลงทุนต่างประเทศ
DR23 ชุดแรกนี้ เราคัดสรร ETF และหุ้นจีนคุณภาพจากตลาดฮ่องกง ซึ่งเรามองว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ทั้งยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 และการขยายตัวอย่างรวดเร็วใน AI, EV และ Cloud Computing
1. HSHD23 – DR ETF ปันผลสูงตัวแรกในไทย อ้างอิง Global X Hang Seng High Dividend Yield ETF (3110.HK) ลงทุนในหุ้นฮ่องกงที่จ่ายปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าดัชนีหลัก ได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐจีนที่ผลักดัน SOE ให้สร้างผลตอบแทนมั่นคง เช่น PCCW Ltd (0008.HK) บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง หรือ Uni-President China Holdings Ltd (0220.HK) บริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในจีน เป็นต้น
2. CATL23 – DR หุ้น CATL ผู้นำแบตเตอรี่รถ EV ระดับโลก ครองตลาด 37% เป็นพันธมิตรหลักของ Tesla, BMW, Mercedes-Benz มีฐานะการเงินแกร่ง รายได้-กำไรเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนโอกาสในธีมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)
3. BABA23 – DR หุ้น Alibaba ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีน ผ่านแพลตฟอร์ม Taobao–Tmall พร้อมธุรกิจ Cloud, AI และโลจิสติกส์ (Cainiao) มีศักยภาพการเติบโตทั้งกำไร เงินสด และการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง BABA23 จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตในธีมเทคโนโลยีจีนและนวัตกรรม
DR23 โดย InnovestX ซึ่งได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA จาก Fitch Ratings เปิดประตูสู่การลงทุนต่างประเทศ ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นระดับโลกได้ง่ายเหมือนซื้อหุ้นไทย ด้วยราคาซื้อขาย (Fair Price) ที่สอดคล้องกับสินทรัพย์อ้างอิงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่ม SCBX พร้อม Market Maker ดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ซื้อขายราบรื่น มั่นใจใน Market Stability โดยจุดแข็งของ DR23 ยังอยู่ที่ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ตรงในการออกและบริหาร DR โดยเฉพาะ และทีมนักวิเคราะห์จาก InnovestX Research ที่สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกทั้งเศรษฐกิจ พื้นฐาน ปัจจัยเทคนิค คำแนะนำการลงทุน และพร้อมให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลหุ้นแม่ของ DR23 และเครื่องมือคำนวณราคา DR23 ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของ Fair Value เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมั่นใจ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX แพลตฟอร์มลงทุนที่มั่นใจได้จากกลุ่ม SCBX ที่เดียวที่ลงทุนครบ ง่าย ได้เปรียบ ในทุกสภาวะตลาดทั่วโลก”
ผู้ลงทุนสามารถพิมพ์สัญลักษณ์ HSHD23, CATL23 หรือ BABA23 ในแอป Streaming เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าคุณจะใช้บัญชี InnovestX หรือโบรกเกอร์รายอื่น DR23 ทั้งสามตัวซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนระดับโลกได้สะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น
บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ประกาศแต่งตั้งนายกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นายกวีวุฒิจะรับภารกิจสำคัญในการสานต่อและนำพา SCB 10X สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะต่อไป โดยยังคงมุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยระดับโลก พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมให้กับองค์กร ปัจจุบัน SCB 10X มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการและลงทุนทั่วโลกมูลค่ากว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ นายกวีวุฒิยังดำรงตำแหน่ง Chief Innovation Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของกลุ่ม SCBX ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและผสานการเชื่อมโยงกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมระยะยาวของกลุ่ม SCBX และภารกิจการลงทุนของ SCB 10X ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงเสริมสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรม เร่งการสร้างผลลัพธ์ และขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม SCBX ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ก่อนหน้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB 10X นายกวีวุฒิได้สั่งสมประสบการณ์ตลอดจนความเชี่ยวชาญในด้านนวัตกรรม การบุกเบิกสร้างธุรกิจใหม่ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งนวัตกรรม รวมถึงการบริหารกองทุนร่วมลงทุน ในองค์กรชั้นนำของประเทศทั้งภายในกลุ่ม SCBX และธุรกิจพลังงาน
นายกวีวุฒิสำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางจาก Stanford d.school
SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย ค่าเงิน และตลาดหุ้นไทย หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC, SCB Finance Market, SCB CIO และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป เพื่อวิเคราะห์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ลูกค้าได้รับทราบอย่างทันท่วงทีภายหลังการประกาศผลการประชุมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%ต่อปี พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนเพื่อให้ลูกค้าได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดย SCB EIC มอง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจเริ่มสอดคล้องภาคเอกชน คาดว่ายังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้าน SCB Finance Market ประเมินเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น และกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายปีที่ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทย แต่ยังไม่ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แม้หากถูกปรับลดในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade ด้าน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. แต่อาจเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ดีเท่ากับภูมิภาค ขณะที่ กองทุนThai EGSX จะช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้ ส่วน SCB CIO เผย ธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมสนับสนุนการขาย 4 กองทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์ IPO 2 – 8 พ.ค. นี้ หลังจากนั้นจะเปิดขายพร้อมรับสับเปลี่ยน LTF หลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC เปิดเผยว่า จากผลการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.00% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี สะท้อนว่า กนง. เริ่มมีมุมมองเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเริ่มมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากมุมมองเดิมหลังสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีนำเข้า และ กนง. ได้ประเมินมุมมองเศรษฐกิจไทยออกมาเป็นฉากทัศน์อ้างอิง (Reference Scenario) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.0% ในปีนี้ และ 1.8% ในปี 2569 และฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Scenario) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.3% ในปีนี้ และ 1.0% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ด้วย นอกจากนี้ กนง. ยังกล่าวถึงภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัว ดูจากสินเชื่อที่หดตัวและ NPL ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ มุมมองต่อเศรษฐกิจของ SCB EIC และ กนง. ไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุมมองล่าสุด SCB EIC ณ เดือน เม.ย. มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 1.5% ในกรณีฐาน บนสมมติฐานที่ว่า ไทยจะต่อรองลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ได้แค่ครึ่งเดียว ถึงแม้สหรัฐฯ จะชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปชั่วคราว 90 วัน ผลกดดันต่อการส่งออกไทยจะเริ่มเห็นในช่วงครึ่งหลัง แต่สำหรับความเชื่อมั่นในการลงทุนของธุรกิจไทยน่าจะถูกกระทบตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้แล้ว ผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้มองว่าการลงทุนเอกชนปีนี้จะยังไม่ฟื้นจากที่เคยหดตัวในปีที่แล้ว ภาคการท่องเที่ยวเองก็อาจจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากอย่างที่เคยคาดไว้ หากดูทิศทางเศรษฐกิจรายไตรมาสจะเห็นว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงเรื่อยๆ จากไตรมาสแรกที่จะยังเห็นเติบโตได้ 3% ไตรมาส 2 จะขยายตัวลดลงเหลือ 2.2% และลดลงเหลือเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 4
SCB EIC จึงยังคงมุมมองต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามเดิม โดยมองว่า จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 อย่างละ 1 ครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่องไปปีหน้า และความไม่แน่นอนยังสูงมาก หลังจากนี้คงต้องอยู่ที่ภาครัฐว่าจะเจรจาต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ภาคธุรกิจและประชาชนจะเตรียมปรับตัวจากสถานการณ์ข้างหน้าที่มองเห็นแบบนี้อย่างไร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของภาระทางการเงินลูกหนี้และช่วยดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนภาครัฐอาจอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอีกทาง
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการประชุม กนง. ที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี และ 10 ปี ทรงตัว ส่วนประเด็นที่ Moody’s ปรับลดมุมมองที่มีต่อไทยนั้น เนื่องจากเป็นเพียงการปรับมุมมอง แต่ยังไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยังอยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตขั้นต่ำของระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ดังนั้น แม้จะถูกปรับลดลงในอนาคต ก็ยังอยู่ในระดับ Investment Grade จึงยังไม่เห็นความเสี่ยงของการเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยออกมา
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า ในระยะสั้น ไตรมาสที่ 2 ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้ โดยอยู่ในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า ที่สหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้นภาษีตอบโต้บางส่วน หลังผ่านช่วงเวลา 90 วัน ที่ชะลอการเก็บภาษีชั่วคราว ซึ่งจะทำให้เงินเอเชีย รวมถึงเงินบาทอาจอ่อนค่า โดยที่ธนาคารกลางต่างๆ อาจยอมให้ค่าเงินอ่อนค่าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่ ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจกลับมาแข็งค่าบ้าง นอกจากนี้ยังมาจาก เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีนี้ รวมทั้งเป็นผลจากในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่บริษัทข้ามชาติจะส่งเงินกลับไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศ (Dividend payout) รวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง
สำหรับระยะยาว คาดว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ โดยมอบกรอบการเคลื่อนไหวที่ 32.50-33.50 บาท ในช่วงสิ้นปี 2568 เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง มีการนำเงินออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ขณะที่สกุลเงินหลักอื่น เช่น เงินยูโร เยน และสวิสฟรังก์ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินยูโร มีแนวโน้มแข็งค่า จากเงินทุนไหลกลับเข้ายุโรป ส่วนเงินเยน อาจแข็งค่าขึ้นต่อตามการขึ้นดอกเบี้ยและกลุ่มประกันที่นำเงินกลับเข้าญี่ปุ่น
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า โดยปกติตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองได้ดีกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไป 0.25% จะให้ประโยชน์ 1.3% ของกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 20-25 จุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะตลาดหมี ดังนั้น จึงอาจปรับขึ้นได้ในช่วงสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับในภูมิภาค ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว โรงไฟฟ้า ค้าปลีก และขนส่ง
ส่วนกรณีการปรับลดมุมมองเครดิตของไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบระยะยาว โดยในปี 2565 ไทยก็เคยถูกปรับลดเครดิตของกลุ่มธนาคารมาแล้ว เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการปรับลดมุมมองเครดิตทั้งหมด สะท้อนถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP และอัตราส่วนหนี้รัฐบาลต่อรายได้ ปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับที่เคยมีอยู่ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเรื่องการเปิดให้ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai EGSX) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยชะลอแรงขายหุ้นไทยได้
นายสรรค์ชัย สกุลสุรเอกพงศ์ ผู้จัดการ Investment Product Selection and Partnership, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB WEALTH พร้อมส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX ตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนการจำหน่ายกองทุน Thai ESGX ที่จัดตั้งโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ที่มีหลากหลายสไตล์การลงทุนให้เลือก จำนวน 4 กองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2568 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท หน่วยลงทุนละ 10 บาท ผ่านสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ประกอบด้วย
1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBT70X) มีความเสี่ยงระดับ 5 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พื้นฐานดี ไม่เกิน 70% และตราสารหนี้ที่เด่น ESG 2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAPX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืน พร้อมกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงไม่เกิน 20% 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTAX) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนไม่น้อยกว่า 80% และใช้กลยุทธ์คัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุน เพื่อเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ 4) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (SCBTS100X) มีความเสี่ยงระดับ 6 มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 100 บริษัทที่คำนวณอยู่ในดัชนี SET100FF ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวม Thai ESGX จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นเงินลงทุนใหม่ โดยสามารถลงทุนได้ในช่วง IPO และหลังจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ส่วนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุน 5 ปี นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน
ส่วนที่สอง สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีหน่วยลงทุนอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน Thai ESGX และไม่ได้ดำเนินการสับเปลี่ยนหรือขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ นับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นต้นมา ส่วนนี้สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทุกหน่วยลงทุน จากทุก บลจ. มายังกองทุน Thai ESGX ได้ นับตั้งแต่วันที่จัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้ง 4 กองทุนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ จะเริ่มรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.- 30 มิ.ย. 2568 โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในสัดส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างปี 2569-2572 สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท
สำหรับ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF มายัง Thai EGSX จะช่วยให้นักลงทุนได้ต่อยอดสิทธิลดหย่อนภาษี โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนใหม่ ทำให้ไม่ต้องรีบขายขาดทุนหน่วยลงทุน LTF ที่ขาดทุนอยู่ ขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นคัดเลือกหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนใน Thai ESGX เป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนในหุ้นยั่งยืน เป็นการลงทุนในบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ด้วย
เมื่อนับรวมวงเงินสำหรับการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ หากใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนครบทุกรูปแบบ จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรวมสูงสุดที่ 1,400,000 บาท แบ่งเป็น กองทุนรวม Thai ESGX ส่วนเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 300,0000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน, Thai ESGX ส่วนที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF สูงสุด 300,000 บาท, กองทุนรวม Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และ การลงทุนเพื่อการเกษียณรวมสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และเบี้ยประกันบำนาญ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
คำเตือน
· เอกสารนี้จัดทำขึ้นโดย SCB CIO ณ วันที่ 2 พ.ค. 2568 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง
· กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
· โปรดศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดโครงการของกองทุนรวม Thai ESGX และคู่มือภาษีจากบริษัทจัดการลงทุน และศึกษาเงื่อนไขการลงทุนและการลดหย่อนภาษีตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนดต่อไป
· เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด
· เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777
SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.2% (เดิม 2.6%) จากกำแพงภาษีสหรัฐฯ และการโต้กลับในปัจจุบันสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ (Universal tariff) 10% กับเกือบทุกประเทศทั่วโลกแล้ว และเก็บภาษีเฉพาะรายสินค้า (Specific tariff) หลายรายการ เช่น ยานยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม รวมถึงเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) สินค้าจีนสูงถึง 125% (หากรวม Specific tariff จะเป็น 145%) สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้คู่ค้าราว 60 ประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 3 หลังพ้นช่วงเจรจา 90 วัน โดยเอเชียและอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่อาจได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง
SCB EIC ประเมินภาครัฐทั่วโลกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่ความไม่แน่นอนยังสูง โดยมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยรวม 75 bps (เดิมมอง 50 bps) เพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ความเสี่ยงเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเร่งลดดอกเบี้ยรวม 125 bps (เดิมมอง 100 bps) เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อไม่สูงนัก ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (7-day reverse repo) รวม 50 bps ในปีนี้ (คงมุมมองเดิม) และอาจคงระดับอัตราดอกเบี้ยนี้ไม่ให้ต่ำกว่า 1% เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายสำหรับเหตุการณ์ด้านลบอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน อาจขยายตัวได้ราว 3% ตามการขยายตัวของการส่งออกสินค้าที่เร่งตัวก่อนการขึ้นภาษี การบริโภคภาคเอกชน และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ขณะที่เหตุแผ่นดินไหวเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมหลังเกิดเหตุการณ์จนถึงช่วงสงกรานต์ที่ปรับลดลงจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวบางกลุ่มยังคงเติบโตดี เช่น อินเดีย และรัสเซีย
เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเสี่ยงเผชิญ Technical recession จากผลสงครามการค้ารอบใหม่นี้ และความไม่แน่นอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบสูงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยอาจขยายตัวเพียง 1.5% ในปี 2568 (เดิมมอง 2.4%) จากการส่งออกที่จะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และการลงทุนภาคเอกชนที่แผนการลงทุนใหม่ ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอออกไป ตามแนวโน้มสงครามการค้าที่รุนแรงกว่าคาดและความไม่แน่นอนสูงของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสงครามการค้า เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้นด้วยหลังจากจีนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ การประเมินผลกระทบทางตรงผ่านสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ สัดส่วนกว่า 80% จะโดนเก็บอัตราภาษีตอบโต้สูงกว่าประเทศคู่แข่ง รวมถึงการประเมินผลกระทบทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีนที่โดนกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ สูงมากและตอบโต้กลับในลักษณะเดียวกัน SCB EIC ประเมิน หากสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทย 36% ตามที่ประกาศไว้จริง มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ จะลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท หลังภาษีประกาศใช้นาน 5 ปี อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลการเจรจาของภาครัฐ เพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริงอย่างต่อเนื่อง
สงครามการค้ารอบใหม่นี้จะส่งผลต่อภาคธุรกิจไทยเป็นวงกว้าง แต่ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบสูง ส่วนใหญ่ผลิตสินค้าที่พึ่งตลาดสหรัฐฯ สูงและอาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง หรือเป็นสินค้าขั้นกลางและขั้นปลายที่พึ่งอุปสงค์จีนสูง หรือเป็นสินค้าที่อาจถูกกระทบจาก Global slowdown หรือ China influx เข้าไทยรุนแรงขึ้น เช่น เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร แผ่นวงจรพิมพ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ SCB EIC ยังประเมินว่าลูกจ้างราว 11% ของลูกจ้างทั้งหมดเข้าข่ายที่อาจได้รับผลกระทบสูงตามมา
SCB EIC มองว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตามความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้นมาก จากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ประกอบกับความตึงตัวของภาวะการเงินที่มีอยู่เดิม โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย. 2568 ทั้งนี้ประเมินว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่าช่วงปี 2561–2562 ที่เกิดสงครามการค้า 1.0 ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งขณะนั้นไทยยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วหลัง Trump เลื่อนขึ้น Reciprocal tariffs ในระยะสั้นคาดว่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสหรัฐฯ อาจกลับมาขึ้น Reciprocal tariffs บางส่วนได้ และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตชะลอลง ในระยะยาวคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ขณะที่สกุลเงินหลักอื่นแข็งค่าขึ้น ประกอบกับราคาทองสูงยังช่วยพยุงเงินบาท ในภาพรวมเมื่อพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งหลักพบว่ามีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยถูกกระทบเพิ่มเติมจากประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้อีกด้วย
SCB CIO มองความไม่แน่นอนของสงครามการค้ายังมีแนวโน้มอยู่สูงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ส่งผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก และความผันผวนในตลาดการเงิน โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่กระทบต่อการลงทุน ได้แก่ 1) นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวหรืออาจถดถอยจากสงครามการค้า 2) สหรัฐฯ เผยความคืบหน้ามาตรการทางการคลัง แต่อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มาจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าได้ และ 3) กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปี 2568 เสี่ยงถูกปรับประมาณการลดลง แนะนำ ลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีระยะสั้น-กลาง และทองคำ ลดความผันผวนของพอร์ต หรือกองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยมองว่า ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการลงทุน ได้แก่
ปัจจัยแรก คือ การประกาศเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ ที่แข็งกร้าวกว่าคาด ในเดือน เม.ย. ทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นว่า สหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation ที่เศรษฐกิจชะลอตัว ท่ามกลางเงินเฟ้อที่สูง หรืออาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ หากมีการตอบโต้รุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ และสร้างความผันผวนให้กับการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก
“ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้ายังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรอง แต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำจากทุกประเทศทุกสินค้า 10% (Universal Tariffs) ยกเว้น เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะ (Specific Tariffs) ที่ 25% ไปก่อนแล้ว รวมทั้ง ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และสินค้ายานยนต์จากคู่ค้าทุกประเทศที่ 25% พร้อมทั้ง ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนรวมทั้งสิ้น 145% ท่ามกลางการตอบโต้กลับที่รุนแรงจากจีน นำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ของโลก นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะขึ้นภาษีเฉพาะบางสินค้าเพิ่มเติม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ สินค้าเกษตร และเวชภัณฑ์ ซึ่งประเด็นนี้จะทำให้การลงทุนยังมีแนวโน้มผันผวน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในระยะสั้น” นายศรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของมุมมองการลงทุนของ BlackRock หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) พบว่า BlackRock ได้ปรับลดกรอบการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เหลือ 3 เดือน จากการที่สินทรัพย์เสี่ยงยังคงเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น และปรับสัดส่วนการลงทุนหุ้นทั่วโลกลดลง อยู่ที่ Neutral
ปัจจัยที่ 2 คือ สหรัฐฯ เตรียมเผยความคืบหน้าการทางการคลัง แต่อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มาจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าได้ เนื่องจาก ภาษีนำเข้า จะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชัดขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568 ในขณะที่ การผ่านร่างงบประมาณ ถึงแม้จะมีความคืบหน้า โดยสภาครองเกรสเริ่มใช้กระบวนการที่ทำให้ผ่านกฎหมายได้ด้วยการใช้คะแนนเสียงในวุฒิสภาสหรัฐฯ เพียง 51 เสียง แทนที่จะใช้ 60 เสียงตามปกติ และสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังภายในปีนี้ ได้แก่ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 15% สำหรับผู้ผลิตในสหรัฐฯ การขยายเพดานหักลดหย่อนภาษีท้องถิ่นและมลรัฐ การยกเว้นภาษีทิปและค่าล่วงเวลา และการขยายเครดิตภาษีเกี่ยวกับเด็ก อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการทางการคลังอยู่ และการผ่านร่างงบประมาณ อาจเกิดขึ้นล่าช้าไปจนช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2568
ปัจจัยสุดท้าย คือ กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปี 2568 มีความเสี่ยงถูกปรับประมาณการลดลง จากประเด็นสงครามการค้าที่กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กระทบการใช้จ่ายผู้บริโภค ภาวะทางการเงิน รวมถึง การตัดสินใจลงทุนและจ้างงาน อย่างไรก็ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่กำลังทยอยประกาศออกมา อาจยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก โดยผลสำรวจนักวิเคราะห์สถาบันต่างๆ คาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรก ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุด 6 อันดับแรกในดัชนี S&P500 ได้แก่ Microsoft, Apple, Meta, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Amazon และ Nvidia จะขยายตัว +17.4%YoY ขณะที่ บริษัทโดยรวมที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ส่วนใหญ่ยังรายงานกำไรต่อหุ้น ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นายศรชัย กล่าวว่า SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock โดยมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงเป็นสินทรัพย์ผู้นำในโลกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง และอาจมีนโยบายเชิงบวกด้านอื่นเกิดขึ้น เช่น การลดภาษีเงินได้ และการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ เป็นต้น ขณะที่ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน ตามอัตราที่ถูกเรียกเก็บ
ทั้งนี้ SCB CIO ไม่แนะนำการลงทุนบนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว มีแนวโน้มผันผวนสูง โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลบนประเด็นการขาดดุลการคลังและแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ โดยแนะนำให้เน้นลงทุนใน หุ้นกู้คุณภาพดี ระยะสั้น-กลาง ของทั้งสหรัฐฯ และไทย เพื่อสร้างรายได้ และลงทุนในทองคำ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนผ่านกองทุนผสม ที่มีผู้เชี่ยวชาญปรับพอร์ตลงทุนได้ ขณะที่ SCB CIO ยังคงติดตามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น การเจรจามีแนวโน้มเป็นไปได้ด้วยดี ก็พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้ง
บทความโดย SCB CIO โดยอ้างอิงจาก บทวิเคราะห์รายเดือน ซึ่งเผยแพร่ ณ วันที่ 22 เม.ย. 2568 โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง Link บทวิเคราะห์ https://www.scb.co.th/getmedia/b96b9867-6e5c-4102-8b3c-bda08eff96d6/2025-cio-blackrock-april.pdf