×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 813

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

เป้าหมายการพัฒนายั่งยืนหรือ (SDGsSustainableDevelopment Goals เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศของสหประชาชาติที่อยู่ภายใต้การพัฒนา ปี ค.ศ. 2030 โดยมีประเทศสมาชิก 194 ประเทศร่วมลงนามเพือรับรองและให้คำมั่นว่าจะร่วมกันบรรลุ SDGs ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ให้คำมั่นด้วย ในการนี้รัฐบาลไทยจึงดำเนินการผลักดัน SDGs ผ่านกลไกคณะกรรมการที่ยั่งยืน(กพย.) ในโอกาสที่สำนักงานกองทุนสนันสนุนการวิจัย (สกว.) และโครงการประสานงานการวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs Move เปิดเวทีสาธารณะ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย : สถานะก้าวต่อไป" ณ.โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ องค์กรหลายภาคส่วนได้เข้าร่วมงาน เพื่อร่วมระดมความคิดเห็นและพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ผ่านภาคีเครือข่ายประชารัฐ องค์กรเอกชนและกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีทั่วประเทศ 

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเ ศษ เรื่อง“SEP for SDGs: หัวใจขับเคลื่อน Thailand 4.0” กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy: SEP) ในนาม "SEP for SDGs" กับ "Thailand 4.0" มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร บางท่านเห็นว่า SDGs เป็นการนำแนวคิดจากข้างบนลงมาสู่ระดับล่าง From Grand To Ground ซึ่งเห็นว่าหลักการ SDGs นำมาจากหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ รัชกาลที่ 9 ได้ผ่านการลงพื้นที่ปฎิบัติจริงและพิสูจน์มาแล้ว จากนั้นจึงนำมาเป็นแนวคิดใหม่ของการพัฒนาโลก From Grand To Ground 

ดังนั้น SEP และ SDGs จึงสอดรับไปด้วยกัน และประเทศไทยของเราจะก้าวเดินไป ทางไหนในอนาคต ทางสกว.จะดำเนินโครงการสำรวจสถานะของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทประเทศไทย ซึ่ง"SEP for SDGs" และ "Thailand 4.0" นั้นเป็นเรื่องที่สอดรับกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการมุ่งพัฒนาประเทศไปสู่ “ความยั่งยืน” การเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืนนั้น จะต้องเริ่มจากการสร้างสมดุลในการพัฒนา หรือ "Thriving in Balance" ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหลัก คิดของคนให้ถูกต้อง และปรับกระบวนทัศน์ในการพัฒนาให้ถูกทาง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ Thailand 4.0

 

สำหรับการปรับโครงสร้างสู่ ระบบเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า (Value-Based Ecosystem) ได้แก่

          1.ระบบเศรษฐกิจไหลเวียน (Circular Economy)ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้มนุษย์มีความสมดุลอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ตอบโจทย์ ความยั่งยืน การเติบโตโดยใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การมุ่งเน้นธุรกิจ การผลิตและการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  การปรับแนวคิดจากเดิมที่เคยคำนึงแต่ความได้เปรียบเรื่องต้นทุนเป็นหลัก (Cost Advantage)มาเป็นการคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งระบบ(Loss Advantage) การส่งเสริมองค์กรที่ คิดดี ทำดี การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะและเมืองน่าอยู่ การมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน ตัวอย่างงานวิจัยของ ม.เทคโนโลยีสุรนารีได้ทำโครงการ จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดนวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน, เทคโนโลยีบำบัดขยะมูลฝอยโดยวิธีกลและชีวภาพ

          2.ระบบเศรษฐกิจกระจายตัว (Distributive Economy)  จะลดความเหลื่อมล้ำทำให้เกิดสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ จะได้ตอบโจทย์ ความมั่นคง” โดยกระจายความมั่งคั่งและโอกาส ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข เช่น สร้างภูมิคุ้มกันที่เพียงพอให้ กับคนยากจน 40 แรก การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ยกระดับผลิตภาพของาคการเกษตร การปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาและ ปรับทักษะแรงงานให้สอดรับกับโลก ยุค 4.0 การส่งเสริมเอสเอ็มอีให้เข้มแข็ งและแข่งขันได้บนเวทีโลก การสร้างคลัสเตอร์เศรษฐกิจระดับ กลุ่มจังหวัด และจังหวัด  การพัฒนา Innovation Hub ให้กระจายในระดับูมิภาค การสร้างเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือใน รูปแบบประชารัฐ เป็นต้น ยกตัวอย่าง ภาคประชารัฐและมหาวิทยาลัยในภาคอีสาน ได้ทำวิจัยโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว

         

3.ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy ) เป็นกลไกขับเคลื่อนสู่ ความมั่งคั่ง”  ปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นเงิน ทุนและทุนทางกายภาพ มาเป็นการเน้นปัญญามนุษย์และเทคโนโลยี เพราะมันจะตอบโจทย์ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี ทำให้เทคโนโลยีเกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ นำความมั่งคั่งมาให้ เช่น การยกระดับทักษะด้านดิจิตอลไอซีทีและมีเดีย การยกระดับความสามารถด้านวิจัยและพัฒนา การสร้างคลัสเตอร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม การบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี การออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาวิสาหกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การพัฒนาทักษะและงานใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ การทำธุรกิจ การบริหารจัดการสมัยใหม่ เป็นต้น

 

        

ทั้ง  ระบบเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า นี้ช่วยสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง "มนุษย์ กับ ธรรมชาติ" "มนุษย์ กับ มนุษย์" และ "มนุษย์ กับ เทคโนโลยี" สอดรับกับ SDGs ทั้ง 17 เป้าหมายอย่างสอดคล้องลงตัว ในบริบทของเอกชนนั้น การพัฒนาที่ยั่งยืนยากที่จะเกิดขึ้น จากการทำกิจกรรม CSR เพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนถาวรก็ต่อเมื่อภาคเอกชนมีการ ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ จาก"Greed for Growth, Growth for Greed" มาเป็น "Doing Good, Doing Well" Doing Good เพื่อตอบโจทย์ Stakeholders ส่วน Doing Well เพื่อตอบโจทย์ Shareholders ของบริษัท Doing Good สะท้อนความเป็น "คน" ขององค์กร ในขณะที่ Doing Well สะท้อนความเป็น "ตน" ขององค์กร Doing Good และ Doing Well จึงเสมือน หยิน กับ หยาง ที่ต้องสร้างให้เกิดความสมดุล เมื่อสมดุลจึงจะเกิดการเติบโต แต่เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน

 

การขับเคลื่อน SEP for SDGs บนภาคีเครือข่ายความร่วมมือประชารัฐ และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ  79,593 แห่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ยั่งยืน SEP for SDGs จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการ “ลงมือปฏิบัติ” อย่างจริงจัง และต้องเป็นการลงมือปฏิบัติในระดับพื้นที่ ภูมิสังคม ศักยภาพ เงื่อนไขและความท้าทายที่แตกต่างกัน ตามโมเดล "Action-Oriented Area-Based Economy ส่วนโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน จะยังคงเป็นกลไกทางตลาด (Market-Based Economy) แต่ต้องเสริมสร้างให้เป็น "Merit-Oriented Market-Based Economy" ที่แต่ละองค์กรดำเนินธุรกิจคิดดี ทำดีจะได้รับประโยชน์ โดยยึด “Doing Good, Doing Well” เป็นสำคัญนั่นเอง

        "SEP for SDGs" จะบรรลุผล หากร่วมมือกันและลงไปสู่พื้นที่อย่างจริงจัง ถึงเวลาที่เราคนไทยทุกาคส่วนจะร่วมกันทำเรื่องนี้ให้ กลายเป็นจริง เชื่อว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง 

 
 

บทความ CSV ตอนนี้ จะพาท่านไปรู้จัก การระบุโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม หรือ Shared Value Opportunity Identification (SVOI) โดยมีจุดมุ่งหมายในการค้นหาประเด็นสำคัญที่สามารถนำมาดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม และริเริ่มกิจกรรมซึ่งมีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดตามแนวทางการสร้างคุณค่าร่วม

 

การให้ความช่วยเหลือในบริบทของ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่ผ่านมา มักเป็นการบริจาคเพื่อการกุศลในรูปของการให้เงินหรือวัตถุสิ่งของ ซึ่งถือเป็นจุดนำเข้าในกระบวนการทำงานร่วมกับชุมชนหรือผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มเป้าหมาย แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานโดยอาศัยการให้เงินหรือวัตถุสิ่งของโดยลำพัง อาจเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกตลอดเวลา หรืออาจกลายเป็นความสัมพันธ์ในทางลบ หากการให้นั้นจำต้องยุติลงในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า

 

ความจำเป็นในการหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเชิงกลยุทธ์ จึงเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้น สำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการผลสัมฤทธิ์ที่เป็นความยั่งยืนจากการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคม โดยคำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการส่งมอบผลประโยชน์นั้น เพราะหากต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงกว่าประโยชน์ที่ส่งมอบ คุณค่าสุทธิที่เกิดขึ้นจะติดลบ และสะท้อนให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ชุมชนหรือผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มเป้าหมายพลอยเสียโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่า

 

ทำให้การประยุกต์ใช้ความถนัดความเชี่ยวชาญของหน่วยงาน และการใช้โครงข่ายธุรกิจสนับสนุนการทำงานของชุมชนหรือผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มเป้าหมาย ในลักษณะที่ก่อให้เกิดการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างธุรกิจและสังคม จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของ CSV ซึ่งสร้างให้เกิดเป็นความแตกต่างในการดำเนินงานเหนือองค์กรอื่น จนนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวของกิจการ

วิธีการระบุโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม (SVOI) ประกอบด้วยกระบวนการใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ทบทวนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ หรือ Review Existing Investments 2. พัฒนาภูมิภาพของประเด็น หรือ Develop a Landscape of Issues 3. คัดกรองประเด็นที่มีศักยภาพต่อการสร้างคุณค่าร่วม หรือ Screen Issues for Shared Value Potential และ 4. จัดลำดับความสำคัญในโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม หรือ Prioritize Shared Value Opportunities

 

กิจกรรมในขั้นตอนการทบทวนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือที่ดำเนินอยู่ ประกอบด้วย การสัมภาษณ์ผู้ที่ริเริ่มแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมการให้ความช่วยเหลือในแต่ละความริเริ่ม (Initiatives) ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน การประเมินการดำเนินความริเริ่มที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้ โดยพิจารณาจากคุณค่าทางธุรกิจและทางสังคมที่ได้รับ การประมวลและหารือถึงข้อค้นพบจากการประเมิน ร่วมกับคณะทำงานขององค์กร

 

กิจกรรมในขั้นตอนการพัฒนาภูมิภาพของประเด็น ประกอบด้วย การหารือกับผู้บริหารระดับสูงในประเด็นที่เป็นความสำคัญยิ่งยวดทางธุรกิจและเชื่อมโยงกับประเด็นทางสังคม การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นทางธุรกิจและประเด็นทางสังคมตามที่ได้รับข้อมูลจากการหารือกับผู้บริหารระดับสูง และการจัดทำรายการประเด็นที่มีศักยภาพต่อการสร้างคุณค่าร่วม

 

กิจกรรมในขั้นตอนการคัดกรองประเด็นที่มีศักยภาพต่อการสร้างคุณค่าร่วม ประกอบด้วย การนำรายการประเด็นที่ถูกระบุว่ามีศักยภาพต่อการสร้างคุณค่าร่วม มาพิจารณาโดยใช้เกณฑ์คัดกรองหลัก และการใช้เกณฑ์คัดกรองเสริมในการกลั่นกรองประเด็นเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น)

 

กิจกรรมในขั้นตอนการจัดลำดับความสำคัญในโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม ประกอบด้วย การจัดทำเค้าโครงกิจกรรมซึ่งมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ พร้อมผลลัพธ์ทางธุรกิจและทางสังคมที่คาดว่าจะได้รับ และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อร่วมกันกำหนดโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วมใน 2-3 กิจกรรม โดยสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการระบุโอกาสดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม คือ ประเด็นสำคัญที่สามารถนำมาดำเนินการสู่แนวทางการสร้างคุณค่าร่วม และกิจกรรมซึ่งมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ตามแนวทางการสร้างคุณค่าร่วมธุรกิจที่ดำเนินการมาถึงขั้นนี้ จะทำให้ได้มาซึ่งการตราคุณค่าร่วม (Shared Value Proposition) ที่เป็นอัตลักษณ์ของกิจการ จากการประเมินโอกาสและความท้าทายทางธุรกิจ ประเด็นทางสังคมที่อยู่ในความสนใจขององค์กร และสินทรัพย์และความเชี่ยวชาญที่สามารถนำมาใช้ และจะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลตั้งต้นสำหรับการออกแบบความริเริ่มแห่งคุณค่าร่วม (Shared Value Initiatives) ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์การดำเนินงานทั้งในทางธุรกิจและในทางสังคมไปพร้อมกันในระยะถัดไป

 


เรื่อง : ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ  ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์

 

ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่กระเตื้องขึ้น สินค้าที่เป็นเป้าหมายการลงทุนเดิมทั้งหลาย ดูจะมีแนวโน้มราคาที่ไม่ดึงดูดใจ

Page 4 of 4
X

Right Click

No right click