

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย ร่วมกับสำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมกับจังหวัดภูเก็ต จัดการทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ที่จังหวัดภูเก็ต มุ่งยกระดับความปลอดภัยในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งทรูในฐานะผู้รับผิดชอบการแจ้งเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Center: CBC เตรียมเดินหน้าเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเตือนภัย หรือ Cell Broadcast Entity: CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร (end-to-end) เพื่อเตรียมความพร้อมอีกขั้นก่อนเปิดให้บริการจริง
จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติจังหวัดภูเก็ต ในปี 2566 ระบุว่าภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมสูงถึง 11.3 ล้านคน โดยเป็นชาวต่างชาติ 8.4 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.9 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 388,017 ล้านบาท นับเป็นจังหวัดอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานครเท่านั้น นอกจากนี้ ความโดดเด่นของภูเก็ตยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เมื่อเว็บไซต์ Bounce จัดอันดับให้เป็น "เกาะท่องเที่ยวที่ดีที่สุด" (The Best Island Destinations) ของโลกในปีนี้ ด้วยความสำคัญดังกล่าว ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงร่วมกับ กสทช. ดีอี ปภ. กำหนดภูเก็ตเป็นพื้นที่ทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน CBS เพื่อเตรียมยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนเมืองไข่มุกแห่งอันดามัน และเพิ่มศักยภาพความมั่นใจในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) ในการทดสอบเสมือนจริงที่ภูเก็ตว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่นภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ในการทดสอบเสมือนจริงระบบ CBS ที่ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย การทดสอบครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการทดสอบเสมือนจริงครั้งแรกในไทยจากทรู คอร์ปอเรชั่นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
“ภูเก็ตถูกเลือกเป็นจังหวัดที่ 2 ที่จัดทดสอบเสมือนจริงระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ Cell Broadcast Service (CBS) ซึ่งการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดให้บริการจริงจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในระบบความปลอดภัยให้กับชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน โดยเฉพาะการรับมือกับภัยธรรมชาติทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นคลื่นสูง พายุ หรือสึนามิ ระบบสามารถส่งการแจ้งเตือนแบบทันท่วงทีไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน พร้อมรองรับการแสดงผลได้ทุกภาษา ทั้งในรูปแบบข้อความ Pop-up และเสียงแจ้งเตือน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Text to Speech พิเศษสำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลการเตือนภัยได้อย่างทั่วถึง” นายจักรกฤษณ์ กล่าว
ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ หรือ Cell Broadcast Service (CBS) สามารถออกแบบเตือนภัยได้ทุกภาษาที่ตรงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวของภูเก็ต นอกจากนี้ ทรูยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ หรือ Business and Network Intelligence Center: BNIC เพื่อเป็น War Room บริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
ระบบ CBS ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นนำมาทดสอบใช้งานมีจุดเด่นสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
สำหรับการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือกับผู้ใช้งานจริง หรือ "LIVE – Cell Broadcast Service" ที่ภูเก็ต นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทัดเทียมนานาประเทศ โดยเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กสทช. ดีอี และ ปภ. ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยทรูในฐานะ Cell Broadcast Center หรือ CBC จะเตรียมเชื่อมต่อระบบทดสอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งทำหน้าที่เป็น Cell Broadcast Entity หรือ CBE บนเครือข่ายที่ให้บริการจริง (Live Network) แบบครบวงจร เพื่อความพร้อมก่อนเปิดให้บริการต่อไป
เพิ่มสีสันให้ทุกมื้ออร่อยเติมความสนุกซ่า ทุกที่ทั่วไทย... ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย คุณสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์และผสานสิทธิประโยชน์ลูกค้า (ที่ 3 จากซ้าย) ร่วมกับ พันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “โคคา-โคล่า” ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดย คุณสุพัตรา พิทยาโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ที่ 3 จากขวา) และ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) โดยคุณพบทอง สวัสดี ผู้อำนวยการตลาด(ที่ 2 จากขวา) ผนึกกำลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย คุณสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ (ที่ 2 จากซ้าย) เปิดลิสต์ความอร่อยซ่าทุกย่านทั่วไทย มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าทรู และดีแทค ได้อิ่มฟินไปกับมื้อเด็ดคู่ “โค้ก” ไม่มีน้ำตาล ใช้ 0 คะแนนแลกรับโค้ก ซีโร่ ขนาด 330 มล. ฟรี! เพียง สแกน QR ที่ร้านแล้วรับสิทธิ์ ง่ายๆ ผ่านแอปทรูไอดี และดีแทคแอป เมื่อสั่งอาหารที่ร้านพันธมิตรกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ รวม 100,000 ขวด สานต่อจากความสำเร็จโครงการ “ทรูชวนชิม” มอบประสบการณ์ เที่ยวสนุก กินอร่อย ดื่มโค้ก ซีโร่ ฟรี ไปดื่มคู่มื้ออาหารโปรด และออกเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่มีสะดุดบนเครือข่ายทรู 5G ที่ครอบคลุมทุกที่ทั่วไทย สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน กระตุ้นรายได้ร้านค้ารายเล็กทั่วประเทศ เริ่มต้นความซ่าได้แล้ววันนี้ถึง 31 มกราคม 2568 พร้อมอร่อยซ่าต่อเนื่องช่วงต้นปีที่ภาคใต้ ฟรี! "โค้ก" ขวดแก้ว ขนาด 300 มล.
ลูกค้าทรู ดีแทค ปักหมุดความซ่า ฟรี! ทั่วไทย ใกล้ไหน อร่อยนั่น เช็กแผนที่เลย https://ttid.co/OiLl/FreeCoke
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 ชุด อายุตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี ผลตอบแทนระหว่าง 2.95-4.00% ต่อปี ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของ TRUE ที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 21 - 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 21 – 22 และ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5 เป็นต้นไป
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมทำกำไร (หลังรายการปรับปรุง) ในไตรมาส 3/2567 ถึง 3,107 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) 41,509 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ตลอดจนการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ EBITDA ในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 24,981 ล้านบาท เติบโต 16.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือเติบโต 2.7% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการยังปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% โดยทรูจะยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าและการบริหารงานภายใน พร้อมมุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”
การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้คืนหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (Refinancing) โดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 2 ปี ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 2 ปี ถึง 3 ปี สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 7 ปี และ 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านมาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวน และในช่วงดอกเบี้ยขาลง ดังเช่นการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนคงที่ในระยะยาวได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6
ผสานความล้ำสมัย และบริการเหนือระดับ เพื่อชีวิตในเมืองยุคใหม่ ภายใต้ธีม "Smart Life Smart City with True Together" ตอบโจทย์ทุกเจน เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์
เร่งดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสารถนนพระราม 4 ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายเลิศรัตน์ รตะนานุกูล หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์ นำทีมวิศวกรพื้นที่ร่วมปฏิบัติการสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการฯ พร้อมด้วย กรุงเทพมหานคร โดย นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการฯ , กสทช. โดย ผศ.ดร. สาวัสดิ์ บุณยะเวศ ที่ปรึกษา และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินงานรื้อถอนสายสื่อสารที่ยกเลิกการใช้งานแล้วบนเสาไฟฟ้า หลังจากติดตั้งโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง Fiber Optic Cable (FOC) ฝังในระดับใต้ดินเพื่อใช้ทดแทนสายสื่อสารเดิม ย่านถนนพระราม 4 ช่วงแยกคลองเตย ถึงถนนสุขุมวิท
ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ตามนโยบายภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานโทรคมนาคมที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในการปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมืองให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น