

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 เผยมีกำไรต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit After Tax) ที่ 3.1 พันล้านบาท EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจากการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น พร้อมการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy)
นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ในไตรมาส 3 ปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและภูมิภาค รวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด การลงทุนด้านโครงข่ายของเราเสริมสร้างความเชื่อมั่นทั้งในด้านความพร้อมอย่างเต็มประสิทธิภาพ การดำเนินงานที่ยืดหยุ่นคล่องตัว และการเชื่อมต่อที่แข็งแกร่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เรายังให้ความสำคัญในการเร่งช่วยเหลือลูกค้าและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สำหรับ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของเราในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการผสานปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อยกระดับทั้งการดำเนินงานภายในและการบริการลูกค้า เรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด"
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ในไตรมาส 3 ปี 2567 เรายังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าด้วยการลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท โดยมุ่งเน้นที่การดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วมากกว่า 10,000 สถานีจากทั้งหมด 17,000 สถานี นอกจากนี้ เรากำลังนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึก เพื่อสร้างสรรค์บริการรูปแบบใหม่ ยกระดับการดำเนินธุรกิจ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำแผนการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ หรือ Responsible AI (RAI) Maturity Roadmap ของ GSMA มาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ AI ของเราเป็นไปอย่างมีจริยธรรมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล"
ในไตรมาส 3 ปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาในส่วนผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลงสุทธิ 1.2 ล้านเลขหมาย หรือ 2.3% จากไตรมาสก่อน โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการรวม 49.3 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมาอยู่ที่จำนวน 15.2 ล้านราย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.1 ล้านราย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 12.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน ส่งผลให้ไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรภายหลังการปรับปรุงดีขึ้นอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ รายได้รวมอยู่ที่ 5.08 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% (YoY) โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการในทุกกลุ่มธุรกิจ"
จากการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการผสานการบริหารผลงานร่วมกับวัฒนธรรมองค์กร ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 3.7% (YoY) จาก ARPU เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.6% (YoY) รายได้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 7.5% (YoY) โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ ARPU อย่างต่อเนื่องที่ 9.8% (YoY) ส่วนรายได้จากบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (PayTV) เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 1.8% จากปีที่แล้ว
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 9.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนเครือข่ายลดลง 13.3% (YoY) โดยมีปัจจัยหลักจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมทั้งจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 17.7% (YoY) โดยการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในโครงการปรับปรุงด้านธุรกิจและการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย ซึ่งจากการเร่งดำเนินการเพื่อรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในด้านสำคัญต่าง ๆ และการมุ่งเน้นเชิงลึกในการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้าง ทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง
ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5,530 ล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 646 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน (QoQ) เพิ่มขึ้น 2.7% (QoQ) อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.2% ในไตรมาส 3 ปี 2567
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย จำนวน 3,917 ล้านบาท ส่งผลให้มีขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 810 ล้านบาท ซึ่งเมื่อปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3,107 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 709 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) ไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 9,919 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นที่การดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
แนวโน้มสำหรับทรู คอร์ปอเรชั่นในปี 2567 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) เติบโต 4-5% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA จะเติบโต 12-14% (YoY) ในขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมถึงการลงทุนเพื่อการควบรวมกิจการยังคงอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2567 จะยังคงมีกำไรหากไม่รวมการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เครือข่ายที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญในไตรมาส 3 ปี 2567
เร่งดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสารถนนพระราม 4 ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยนายเลิศรัตน์ รตะนานุกูล หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์ นำทีมวิศวกรพื้นที่ร่วมปฏิบัติการสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการฯ พร้อมด้วย กรุงเทพมหานคร โดย นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการฯ , กสทช. โดย ผศ.ดร. สาวัสดิ์ บุณยะเวศ ที่ปรึกษา และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินงานรื้อถอนสายสื่อสารที่ยกเลิกการใช้งานแล้วบนเสาไฟฟ้า หลังจากติดตั้งโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง Fiber Optic Cable (FOC) ฝังในระดับใต้ดินเพื่อใช้ทดแทนสายสื่อสารเดิม ย่านถนนพระราม 4 ช่วงแยกคลองเตย ถึงถนนสุขุมวิท
เร่งดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสารถนนพระราม 4 ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยนายเลิศรัตน์ รตะนานุกูล หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์ นำทีมวิศวกรพื้นที่ร่วมปฏิบัติการสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการฯ พร้อมด้วย กรุงเทพมหานคร โดย นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการฯ , กสทช. โดย ผศ.ดร. สาวัสดิ์ บุณยะเวศ ที่ปรึกษา และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินงานรื้อถอนสายสื่อสารที่ยกเลิกการใช้งานแล้วบนเสาไฟฟ้า หลังจากติดตั้งโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง Fiber Optic Cable (FOC) ฝังในระดับใต้ดินเพื่อใช้ทดแทนสายสื่อสารเดิม ย่านถนนพระราม 4 ช่วงแยกคลองเตย ถึงถนนสุขุมวิท
ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าสนับสนุนการจัดงานระดับโลก "PT Grand Prix of Thailand 2024" หรือ "ไทยแลนด์ โมโตจีพี 2024" ศึกชิงเจ้าแห่งความเร็ว ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2567 ด้วยการขยายสัญญาณ 5G และ 4G เพิ่มอีก 3 เท่า พร้อมรองรับการจัดงาน และผู้ชมชาวไทยและต่างชาติเข้าชมมากกว่าแสนคนต่อวัน โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบความเร็วที่ติดตามการแข่งขัน MotoGP ประจำปี โดยการจัดครั้งนี้ที่ จ.บุรีรัมย์ ประเทศไทยนับเป็นสนามที่ 20 จากจำนวนทั้งหมด 22 สนามทั่วโลกของปี 2567
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เราให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเชื่อมต่อดิจิทัลในงานระดับโลก โดยงาน PT Grand Prix of Thailand 2024 จะมีผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก เราจึงได้เตรียมความพร้อมด้านเครือข่าย 5G อย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดการจัดงานแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 พื้นที่หลักของงาน ได้แก่ พื้นที่ลานกิจกรรม (Commercial Area) และพื้นที่อัฒจรรย์ (Grandstand Area)"
มาตรการเสริมทัพ 5G รองรับงาน PT Grand Prix of Thailand 2024
"ทีมงานได้นำข้อมูลการจัดงานปี 2023 มาวิเคราะห์สำหรับการวางแผนรองรับในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมามีการใช้งานดาต้าเพิ่ม 21% และผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 24% (YoY) ในพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ในสนาม” นายประเทศกล่าวเพิ่มเติม "ดังนั้นในปี 2024 เราจึงวิเคราะห์การออกแบบพื้นที่ต่างๆ ในการจัดงาน โดยลานกิจกรรม หรือ Commercial Area ซึ่งเป็นเวทีคอนเสิร์ตและบูธต่างๆ รอบงาน เราได้เพิ่มความจุของเครือข่ายเพื่อรองรับการใช้งานโซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันติดต่อสื่อสารต่างๆ ส่วนในพื้นที่อัฒจรรย์ หรือ Grandstand Area ซึ่งเป็นพื้นที่รับชมการแข่งขันโดยตรง เราได้ปรับแต่งสัญญาณให้รองรับการใช้งานแบบหนาแน่นสูง และการ LIVE ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถแชร์ประสบการณ์สุดตื่นเต้นของการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นายประเทศกล่าวทิ้งท้ายว่า "นอกจากการเตรียมความพร้อมในสนามช้างที่เป็นพื้นที่จัดงานแล้ว เรายังคำนึงถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมตลอดการเดินทาง ด้วยความที่งานระดับโลกครั้งนี้จะดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมาก ทั้งผู้เข้าแข่งขัน ทีมสนับสนุน สำนักข่าวต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ขยายขีดความสามารถของเครือข่าย 5G, 4G ให้ครอบคลุมจุดสำคัญทั่วทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง เช่น สนามบิน และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อให้ชาวต่างชาติที่มาประเทศไทยได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายที่เหนือชั้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ"
ทรู คอร์ปอเรชั่น มั่นใจว่าการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมงาน "PT Grand Prix of Thailand 2024" หรือ "ไทยแลนด์ โมโตจีพี 2024" ศึกชิงเจ้าแห่งความเร็ว ให้สามารถเชื่อมต่อ แชร์ และสตรีมได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งในพื้นที่จัดงาน การเดินทางสัญจร และแหล่งท่องเที่ยวทั่วจังหวัดบุรีรัมย์ ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการจัดงานระดับโลก พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์ให้เป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประสบความสำเร็จในการปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) เป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 141.3 พันล้านเยน (ประมาณ 33 พันล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม (Refinancing) และถือเป็นบริษัทแรกของไทยในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ที่ได้รับสินเชื่อความยั่งยืนดังกล่าว
การปิดดีลเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนครั้งแรกของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการเข้าสู่ตลาดเงินเยนของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเป็นสินเชื่อความยั่งยืนสกุลเงินเยนที่บริษัทไทยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารญี่ปุ่นและธนาคารต่างประเทศชั้นนำมากที่สุด บริษัทฯ จึงตัดสินใจขยายวงกู้เพิ่มขึ้นจากเริ่มแรก 109.9 พันล้านเยน เป็น 141.3 พันล้านเยน เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เดิม
ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีรายแรกของไทยที่ได้รับวงเงินกู้ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Syndicated Loan) และถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัท อีกทั้งวงเงินกู้ที่ได้รับนี้ยังมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารทางการเงินและการลดต้นทุนของบริษัท สำหรับเกณฑ์การวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ Scope 2 และ (2) การเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในสถานีฐาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน Scope 1 และ Scope 2 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมาย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ตามแนวทาง Science-Based Target Initiative (SBTi)
วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยในปี 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก จากทั้งหมด 166 บริษัทในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมสำหรับการประเมินความยั่งยืนขององค์กรโดย S&P Global เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน วงเงินกู้สกุลเงินเยนเชื่อมความยั่งยืนนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นระยะยาวในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและการนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานของบริษัท
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "บริษัท มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารชั้นนำทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างดียิ่งสำหรับวงเงินกู้สกุลเงินเยนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนในครั้งนี้ และถือเป็นอีกก้าวสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขยายฐานการระดมเงินไปยังตลาดต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารการเงิน ลดความเสี่ยงตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน อีกทั้งยังสอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายของทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน
ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การเติบโต และผลประโยชน์จากการควบรวม ทั้งนี้ เรามั่นใจว่าปี 2567 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเติบโตที่มีกำไร ในขณะที่ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการทำกำไรอย่างยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม ตลาด และประเทศไทยโดยรวม การเติบโตอย่างยั่งยืนนี้มาจากผลประโยชน์จากการควบรวม การมีวินัยทางการเงิน การควบคุมต้นทุน การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับบริการให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด และการให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพเครือข่าย”
วงเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่นนี้ เป็นการร่วมปล่อยกู้จากกลุ่มธนาคารชั้นนำ โดยมี Bank of China (Hong Kong) Limited, BNP Paribas (ดำเนินการผ่านสาขาสิงคโปร์), DBS Bank Ltd, Mizuho Bank, Ltd., Natixis สาขาสิงคโปร์, Oversea-Chinese Banking Corporation Limited, Standard Chartered Bank (Singapore) Limited และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Mandated Lead Arrangers and Bookrunners) Mizuho Bank, Ltd. ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานการจัดอันดับเครดิตกับบริษัทจัดอันดับเครดิต JCR ของญี่ปุ่น และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านความยั่งยืน