ส่งเสริมการสร้างอาชีพ - พัฒนาสิทธิประโยชน์ – ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ระหว่าง นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเอกชาติ นาคาไชย รองผู้อำนวยการ รักษาการแทน ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และ นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า “แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นรูปแบบธุรกิจ ที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเสมือนตัวกลางที่อำนวยความสะดวกระหว่างผู้บริโภค ผู้ให้บริการ และผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานได้กำหนดนโยบาย ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับการดูแลสภาพการจ้าง สภาพการทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงาน จึงมีแนวคิดในการจัดทำบันทึกความร่วมมือ ว่าด้วยการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในสังกัดกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

ในการหาแนวทางยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างคนทำงานในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลกับผู้ให้บริการฯ หรือมีช่องทางในการบริหารจัดการกับปัญหาที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ชัดเจน รวมถึงการสร้างงาน ให้กับผู้สูงอายุ ที่ต้องการเลือกประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ที่ต้องการหารายได้เสริม โดยได้ร่วมมือกับกรมการจัดหางาน ในการส่งตำแหน่งงานว่างเพื่อสร้างอาชีพ ตลอดจนส่งเสริมการทำงาน หรือสร้างมาตรฐานในการทำงาน ที่ปลอดภัย โดยร่วมกับสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งการลงนามร่วมกันในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบธุรกิจบริการระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลกับผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล และเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงอาชีพของ ผู้ว่างงานและผู้สูงอายุที่ประสงค์จะทำงานอีกด้วย”

 

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแพลตฟอร์มดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นและกลายเป็นส่วนสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการทำงานในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านการใช้เทคโนโลยี แกร็บให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลพาร์ทเนอร์คนขับ ซึ่งใช้แพลตฟอร์มของเรา เป็นช่องทางในการหารายได้ โดยที่ผ่านมาแกร็บมุ่งเน้นการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมและสอดคล้อง กับระบบอุปสงค์อุปทาน ทั้งยังพัฒนาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานของพาร์ทเนอร์คนขับ และสร้างมาตรฐานให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้คุ้มครองระหว่างการให้บริการ การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและเป็นไปตามข้อกำหนดของ ธปท. รวมไปถึงการจัดทำคอร์สอบรมเพื่อให้ความรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นผ่านโครงการ GrabAcademy เป็นต้น”

“การผนึกความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแกร็บในการร่วมผลักดันมาตรฐานการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลให้เป็นรูปธรรม โดยเราพร้อมสนับสนุนและ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแพลตฟอร์มเพื่อหารายได้ ตลอดจนดูแลให้แรงงานเหล่านี้ได้รับสิทธิประโยชน์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

 

ทั้งนี้ บันทึกความร่วมมือระหว่าง แกร็บ ประเทศไทย และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในครั้งนี้มีเป้าหมายหลัก ที่จะส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลผ่านการดำเนินงานใน 3 ส่วนสำคัญ คือ

· การส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ที่เป็นมาตรฐานกับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและแกร็บจะร่วมหาแนวทางในการสนับสนุนและจัดทำมาตรการในการดูแลผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสม ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เป็นมาตรฐาน ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยที่ผ่านมา แกร็บให้ความสำคัญกับการจัดสรรสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ นอกเหนือจาก การบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสม โดยเฉพาะ การจัดทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองพาร์ทเนอร์

คนขับทุกคนตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังให้บริการแล้ว โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และวงเงินชดเชยสูงสุด 200,000 บาท ในกรณีเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพของพาร์ทเนอร์คนขับโดยมีวงเงินสูงสุด 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม โดยสามารถแบ่งชำระได้แบบรายวัน เป็นต้น

· การส่งเสริมการสร้างอาชีพและโอกาสในการหารายได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลให้กับผู้ที่ว่างงาน รวมถึงผู้สูงอายุ โดยแกร็บและกรมการจัดหางานจะร่วมกันส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ จากแพลตฟอร์มของแกร็บในการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน หรือ บริการด้านเดลิเวอรี ซึ่งที่ผ่านมา แกร็บเปิดโอกาสให้กับคนไทยหลายแสนคน สามารถเข้ามา เป็นพาร์ทเนอร์คนขับเพื่อหารายได้เสริม โดยไม่จำกัดเพศ วัย การศึกษา หรือแม้แต่ผู้ที่มีข้อจำกัด ทางด้านร่างกาย เช่น ผู้พิการทางการได้ยิน นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มโครงการ ‘แกร็บวัยเก๋า’ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยวัยเกษียณสามารถหารายได้และส่งเสริมคุณค่าในตัวเองผ่านแพลตฟอร์มของแกร็บ โดยปัจจุบันมีพาร์ทเนอร์คนขับกลุ่มนี้มากกว่า 13,000 คน

· การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับแรงงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยแกร็บและ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานจะร่วมกันพัฒนาแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในระหว่างการทำงานให้กับผู้ประกอบอาชีพในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การจัดอบรมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงาน หรือการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อป้องกันภัยต่างๆ เป็นต้น โดยที่ผ่านมา แกร็บให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความปลอดภัย เป็นอันดับต้นๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่ใช้แพลตฟอร์มของแกร็บ โดยได้พัฒนาเทคโนโลยี และมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบตรวจสอบการเดินทางแบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์ Safety Centre ที่ทั้งผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับสามารถแชร์ข้อมูลการเดินทางให้กับเพื่อน หรือครอบครัวได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถขอความช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน และฟีเจอร์ Audio Protect ที่ช่วยบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อป้องกันเหตุร้ายและใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างการเดินทาง เป็นต้น

แกร็บ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ตอกย้ำความเป็นผู้นำซูเปอร์แอปในตลาดเรียกรถผ่านแอปและเดลิเวอรี เร่งเครื่องรุกธุรกิจเต็มสูบโดยชูไฮไลท์ “4A” มุ่งรักษาฐานลูกค้าหลัก (Active Users) ผุดบริการใหม่ที่เน้นความคุ้มค่า (Affordability) ใช้เทคโนโลยีเอไอเสริมแกร่ง (AI Technology) โหมธุรกิจโฆษณา-บริการใหม่ (Ads & New Services) พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนโดยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมการใช้รถ EV การชดเชยคาร์บอน และการพัฒนาศักยภาพ-เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้หญิง

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีทองของ แกร็บ ประเทศไทย ภายหลังจากที่เราได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยผลประกอบการทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และความสำเร็จ จากการเปิดตัวบริการใหม่ๆ ตลอดจนโครงการความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการเดินทางที่เติบโตขึ้นอย่างมากภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ด้วยอานิสงส์ของนโยบายการเปิดประเทศและการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทำให้ใน ปีที่ผ่านมายอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นถึง 139%1 ขณะที่ธุรกิจเดลิเวอรีของเรา ก็ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริการ GrabFood และ GrabMart ยังคงครองใจผู้ใช้บริการยุคใหม่ที่มองหาความสะดวกสบายและบริการ ที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันเราก็ได้พัฒนาฟีเจอร์และบริการใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างบริการรับเองที่ร้าน

(Pickup) บริการสั่งอาหารแบบกลุ่ม (Group Order) หรือแม้แต่บริการกินที่ร้าน (Dine-in) ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของธุรกิจทางการเงิน เราได้เพิ่มช่องทางการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยร่วมมือกับ Alipay และ Kakao Pay พร้อมขยาย ฐานผู้ใช้บริการในต่างจังหวัดผ่านการผนึกพันธมิตรกับธนาคารกรุงไทยโดยได้เชื่อมต่อระบบชำระเงินของแกร็บเพย์ วอลเล็ต (GrabPay Wallet) เข้ากับแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT”

“แกร็บมองเห็นสัญญาณเชิงบวกและเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ยังคงมีแนวโน้ม การเติบโตที่ดี โดยปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลสูงถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ2 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเรียกรถผ่านแอปและฟู้ดเดลิเวอรี ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 15%3 ภายในปี 2568 โดยในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย เตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มสูบเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยมุ่งเน้นไป ที่ 4 ประเด็นหลัก (หรือ 4A) ควบคู่ไปกับการสานต่อโครงการต่างๆ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับทุกคนในอีโคซิสเต็มของเรา” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

สำหรับในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจโดยเน้นไปที่ 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย

· Active Users: แกร็บให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าหลักโดยมุ่งรักษาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการโดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลัก คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สมาชิกแพ็กเกจ GrabUnlimited และลูกค้าคุณภาพ ที่ใช้บริการเป็นประจำ (Quality User) ผ่านการผนึกความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตร อาทิ การร่วมมือกับการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทยและ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าการ ให้ส่วนลดสำหรับสมาชิก GrabUnlimited รวมถึงการเปิดตัวแพ็กเกจสมาชิกแบบรายปีเพื่อรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว ตลอดจนการพัฒนาสองแฟล็กชิพแบรนด์ของบริการ GrabFood อย่าง #GrabThumbsUp และ Only at Grab เพื่อรักษามาตรฐานและประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

· Affordability: เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แกร็บได้นำเสนอบริการใหม่โดยชูจุดเด่นใน เรื่องความคุ้มค่าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้บริการที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นหลัก โดยแกร็บได้เปิดตัวบริการ “GrabCar SAVER” สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ขนาดเล็กในราคาประหยัดลงสูงสุดถึง 15% (เมื่อเทียบกับบริการ GrabCar) ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทดลองให้บริการแล้วใน 20 จังหวัด และบริการ “GrabBike SAVER” สำหรับการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ในระยะทางไม่เกิน 4 กิโลเมตรในราคาเริ่มต้นเพียง 26 บาท ในส่วนของธุรกิจเดลิเวอรี นอกจากการเพิ่มทางเลือกในการจัดส่งอาหารแบบประหยัดหรือ “SAVER Delivery” แล้ว ล่าสุด แกร็บได้เปิดตัวซับแบรนด์ใหม่ “Hot Deals” เป็นเครื่องหมายการันตีความคุ้ม เอาใจสายประหยัดด้วยการนำเสนอเมนูเด็ดที่ลดราคาเป็นพิเศษจากหลากหลายร้านอาหาร มาพร้อมส่วนลดออนท็อป ในทุกช่วงเวลาให้ได้อิ่มคุ้มทั้งวัน

 

· AI Technology: ในปีที่ผ่านมาแกร็บได้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML: Machine Learning) มากกว่า 1,000 โมเดลเพื่อพัฒนาบริการและเสริมประสิทธิภาพ ในการดำเนินธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค สำหรับในปีนี้ แกร็บ ประเทศไทย ยังคงนำเทคโนโลยีที่พัฒนาเองเหล่านี้ มาใช้ต่อยอดเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้แพลตฟอร์มให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า อาทิ การนำ AI และ ML มาใช้ปรับปรุงและพัฒนาระบบพิจารณาเครดิตสำหรับการให้สินเชื่อกับพาร์ทเนอร์ หรือการพัฒนา GrabGPT เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำคอนเทนต์หรืองานออกแบบภายในองค์กร เป็นต้น

· Ads & New Services: แกร็บเตรียมขยายบริการ GrabAds เต็มสูบเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโฆษณา โดยนอกจากการ เจาะตลาดลูกค้าองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว สินค้าสุขภาพ-ความงาม และสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ในปีนี้แกร็บ ยังเตรียมผลักดัน “Self-serve Ads” เครื่องมือในการโฆษณาสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้า ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็กสามารถเพิ่มยอดขายจากการทำโฆษณาและแนะนำโปรโมชันกับลูกค้าได้ด้วยตัวเอง โดยมีผลตอบแทนจากการโฆษณา (Return on Ad Spend) เฉลี่ยสูงถึง 6 เท่า4 นอกจากนี้ แกร็บยังวางแผนที่จะพัฒนาและปรับปรุงบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เรียกรถและเดลิเวอรี อาทิ บริการจองการเดินทางล่วงหน้า (Advance Booking) และกินที่ร้าน (Dine-in) ให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ผู้ใช้บริการยิ่งขึ้น

นอกจากการพัฒนาในด้านธุรกิจแล้ว แกร็บ ประเทศไทย ยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน ในสังคมควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้เรายังเดินหน้าสานต่อโครงการสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการ GrabEV เพื่อผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับให้ได้ 10% ภายในปี 2569 โครงการ Carbon Offset ที่ยังคงร่วมปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอนจากการใช้บริการ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและร้านค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง เพื่อเป้าหมายในการสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้คนไทย” นายวรฉัตร กล่าวทิ้งท้าย

แกร็บฟู้ด แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรียอดนิยม เผยรายชื่อ 60 “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ที่ได้รับรางวัล #GrabThumbsUp Awards ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Journey of Passion” เพื่อยกย่องและการันตีสุดยอดร้านอาหารอร่อยยกนิ้วที่เต็มเปี่ยมด้วย Passion ในการรังสรรค์เมนูและประสบการณ์ความอร่อยเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คัดสรรโดยแกร็บและผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับประเทศ นำโดย หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ “เชฟต้น” ธิติฏฐ์ เจ้าของร้านอาหารระดับมิชลินและเจ้าของรางวัลอันดับ 1 Asia's 50 Best Restaurants “คัตโตะ” ยูทูปเบอร์แถวหน้าสายกิน และภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล บรรณาธิการ THE STANDARD LIFE พร้อมเปิดตัวสาขารางวัลใหม่ที่สะท้อนเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน อาทิ สุดยอดร้านรัก(ษ์)โลกและสิ่งแวดล้อมแห่งปีอย่าง theCOMMONS สุดยอดร้าน Celebrity แห่งปีกับร้านมาการองสุดฮอตอย่าง SOURI โดยวิน-เมธวิน สุดยอดเมนูใหม่ขวัญใจมหาชนกับ “ชาองุ่น” จากร้าน BEARHOUSE รวมถึงรางวัลพิเศษที่มอบให้กับผู้ทรงอิทธิพลในวงการอาหารนำโดย มาวิน ทวีผล จากเพจ Mawinfinferrr

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นปีที่สามแล้วที่แกร็บฟู้ดได้จัดงาน #GrabThumbsUp Awards เพื่อยกย่องสุดยอดร้านอาหารอร่อยยกนิ้วที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากหลายแสนร้านอาหารทั่วประเทศที่อยู่บนแพลตฟอร์มของเรา ตั้งแต่ร้านสตรีตฟู้ด คาเฟ่ ไปจนถึงระดับไฟน์ไดนิ่ง สำหรับในปีนี้งานประกาศรางวัลของเราจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Journey of Passion’ เพื่อยกย่องสุดยอดร้านอาหารจากทั่วประเทศที่มี

ความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพและรสชาติของอาหารให้ยอดเยี่ยมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค โดยเรายังคงความเข้มข้นของการคัดเลือกผ่านเกณฑ์การตัดสินในด้านต่างๆ ทั้งรสชาติอาหาร ชื่อเสียง และความนิยมของร้านซึ่งสะท้อนผ่านยอดขายและการรีวิว โดยต้องได้รับคะแนนจากผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่า 4.5 (จากคะแนนเต็ม 5) และได้รับการรีวิวเชิงบวกไม่ต่ำกว่า 100 เสียง ที่สำคัญในปีนี้เรายังได้เพิ่มเกณฑ์ตัดสินใหม่ โดยพิจารณาจากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของร้าน ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึง Passion ของร้านอาหารต่างๆ ที่พยายามยกระดับคุณภาพและมาตรฐานเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ”

สำหรับในปีนี้ รางวัล #GrabThumbsUp Awards 2024 ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารระดับประเทศมาร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินเพื่อคัดเลือก “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” อันได้แก่ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ หรือ “คุณอิ๊งค์” กูรูด้านอาหารและนักชิมแถวหน้าของเมืองไทย กรรมการรายการแข่งขันทำอาหารยอดฮิตอย่าง MasterChef Thailand และ IRON CHEF Thailand ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร หรือ “เชฟต้น” เชฟและเจ้าของร้าน Le Du ระดับมิชลิน 1 ดาว และรางวัลอันดับ 1 จาก Asia's 50 Best Restaurants ปี 2023 อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล หรือ “คัตโตะ” ยูทูปเบอร์สายอาหารเจ้าของเพจ “เสือร้องไห้” และภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล บรรณาธิการ THE STANDARD LIFE สำหรับในปีนี้มี 488 ร้านอาหารจากทั่วประเทศที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยยกนิ้วจาก #GrabThumbsUp โดยมี 60 ร้านที่คว้ารางวัล “สุดยอดร้านอาหารแห่งปี” ในสาขาต่าง ๆ ไปครอง โดยมีสาขารางวัลใหม่ที่สะท้อนพฤติกรรมและเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน อาทิ

· สุดยอดร้านรัก(ษ์)โลกและสิ่งแวดล้อมแห่งปี ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมุ่งสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านแคมเปญรณรงค์ในด้านต่าง ๆ โดยรางวัลนี้เป็นของ “theCOMMONS” ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ที่มีความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีดีกลับสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม

· สุดยอดเมนูใหม่ขวัญใจมหาชน กับเมนู “ชาองุ่น” จากร้าน “BEARHOUSE” ที่สร้างกระแสให้คนพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องในโลกออนไลน์และยืนยันด้วยยอดขายถล่มทลาย

· สุดยอดร้าน Celebrity แห่งปี กับร้าน “SOURI” ร้านมาการองสุดฮอตของหนุ่มวิน เมธวิน กับคอนเซ็ปต์พาสเทลสีสันสดใส โดดเด่นด้วยไส้หนาแบบสไตล์เกาหลี ขายดีจน Sold Out แทบทุกวันและกลายเป็นกระแสไวรัล

· สุดยอดร้านระบบการจัดการยอดเยี่ยม คือ “Lucky’s Hungry” และ “ข้าวหมูย่างคุณหญิง” ที่ไม่เพียงมียอดขายสูง แต่ยังมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการจัดการคำสั่งซื้อ การเตรียมอาหาร รวมถึงการส่งมอบอาหารให้กับไรเดอร์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าได้รับอาหารที่สดใหม่ ไม่ต้องรอนาน

· รางวัลพิเศษที่มอบให้กับ “ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปีในวงการอาหาร” นำโดย มาวิน ทวีผล ตัวพ่อสายรีวิวจากเพจ Mawinfinferrr จูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์ พิธีกรตัวแม่ที่หันมาเอามาดีกับการรีวิวร้านอาหารที่เจ้าตัวชื่นชอบผ่าน Instagram Junesawitri และปรางแก้ว บัณฑรรุ่งโรจน์ ยูทูปเบอร์จากช่องรีวิวอาหารสุดฮอตอย่าง Bim กินแหลกล้างโลก

“เราหวังว่ารางวัล #GrabThumbsUp Awards จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญให้กับพาร์ทเนอร์ร้านอาหารที่ได้ทุ่มเทพัฒนาคุณภาพอาหารและมาตรฐานการให้บริการตลอดทั้งปีที่ผ่านมา และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Passion ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารอื่นๆ ที่อยู่บนแพลตฟอร์มในการส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้ใช้บริการในอนาตต ทั้งนี้ แกร็บฟู้ดจะยังคงพัฒนาบริการของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริการเดลิเวอรี และจะยังคงเดินหน้าส่งเสริมพาร์ทเนอร์ร้านอาหารของเราเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ #GrabThumbsUp Awards 2024 ได้ทางเว็บไซต์ https://www.grab.com/th/blog/grabthumbsup-awards-2024/

แกร็บมาร์ท แอปพลิเคชันสั่งสินค้าควิกคอมเมิร์ซยอดนิยมอันดับหนึ่งในไทย เผย 5 สินค้าที่ผู้ใช้บริการนิยมสั่งซื้อมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมส่งแคมเปญ “GrabMart สงกรานต์สาดโปร” สร้างสีสันในช่วงหน้าร้อน ผนึกกำลังร้านค้าพันธมิตรทั่วประเทศคัดสรรสินค้าคุณภาพเอาใจสายช้อป ทั้งผลไม้ยอดฮิตอย่างทุเรียน มะยงชิด และไอเทมสุดฮอตอย่างปืนฉีดน้ำ เสื้อลายดอก และกางเกงช้าง จัดเต็มส่วนลด-ดีลเด็ดกระตุ้นตลาดตลอดเดือนเมษายน

นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “สงกรานต์เป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ที่คนไทยให้ความสำคัญและส่งผลต่อพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวที่คนส่วนใหญ่ออกเดินทางเพื่อกลับภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวพักผ่อน โดยมักซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการสังสรรค์หรือเลี้ยงฉลอง รวมถึงเป็นของฝากสำหรับญาติผู้ใหญ่และคนในครอบครัว ซึ่งรวมถึงการช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดย 5 สินค้าที่คนไทยนิยมสั่งซื้อผ่านแกร็บมาร์ทมากที่สุดในช่วงสงกรานต์2 คือ พวงมาลัย กระเช้าเครื่องดื่มรังนก น้ำอบ-ดินสอพอง กระเช้าผลไม้ และ ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและอโรมา”

“เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้น่าจะกลับมาคึกคักมากกว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลังผู้คนออกมาใช้ชีวิตกันตามปกติ รวมถึงการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลังการเปิดประเทศ และเพื่อร่วมสร้างสีสันให้กับเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ แกร็บมาร์ทได้ร่วมกับพันธมิตรร้านค้าทั่วประเทศส่งแคมเปญ ‘GrabMart สงกรานต์สาดโปร’ โดยพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ร่วมแคมเปญพร้อมใจมอบส่วนลดสูงสุดถึง 20% และพิเศษ! สำหรับผู้ใช้บริการแกร็บมาร์ท

ที่ช้อปครบ 400 บาทขึ้นไป ยังได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 15% (สูงสุดไม่เกิน 100 บาท) เพียงใส่โค้ด SK100 พร้อมสิทธิ์ส่งฟรีทุกออเดอร์สำหรับผู้ใช้บริการ GrabUnlimited ตั้งแต่วันที่ 3 - 30 เมษายนนี้”

นอกจากนี้ แกร็บมาร์ทยังได้เพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายเพื่อต้อนรับหน้าร้อน ทั้งผลไม้หน้าร้อนอย่างทุเรียน มะม่วง มะยงชิด รวมไปถึงไอเทมเด็ดที่ทุกคนมองหาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็น ปืนฉีดน้ำ เสื้อลายดอก แว่นตาและซองกันน้ำ รวมถึงกางเกงช้างซึ่งถือเป็นไอเทมสุดฮอตที่กำลังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ

แกร็บ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำซูเปอร์แอป เผยภาพรวมความสำเร็จปี 2565 ตั้งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Building Sustainable Growth through Innovation” ชู 2 กลยุทธ์หลักขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2566 “Power of Superapp” และ “Operational Efficiency” มุ่งเชื่อมโยงและผสานการทำงานของทุกธุรกิจภายในอีโคซิสเต็มเพื่อสร้างซินเนอร์จีและเสริมแกร่งบริการ พร้อมใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ครอบคลุม 4 ธุรกิจหลัก อันได้แก่ บริการการเดินทาง (Mobility) บริการเดลิเวอรี (Deliveries) บริการทางการเงิน (Financial Services) และบริการสำหรับองค์กร (Enterprise)

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงในที่ผ่านมา เราได้เห็นสัญญาณบวกและแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในทุกธุรกิจของแกร็บในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้* โดยเฉพาะในบริการขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ ที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น บริการการเดินทาง ซึ่งในปีที่ผ่านมาแกร็บได้รับการรับรองแอปพลิเคชันจากกรมการขนส่งทางบก โดยปัจจุบันบริการการเดินทางของแกร็บกลับมามียอดใช้บริการมากกว่าช่วงก่อนโควิด และหลังจากที่มีการเปิดประเทศ ยอดใช้บริการในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งขึ้นถึง 152%** ”

 

“ขณะที่ บริการเดลิเวอรี ยังคงได้รับความนิยมและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้สถานการณ์โควิดจะดีขึ้นตามลำดับ แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยผู้ใช้บริการมีความคุ้นชินกับการสั่งอาหารรวมถึงสินค้าหรือของใช้แบบออนดีมานด์ ทั้งบริการแกร็บฟู้ดที่ยังคงเติบโต โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในปีที่ผ่านมาเติบโตสูงกว่าในกรุงเทพฯ ถึง 3 เท่า*** และบริการแกร็บมาร์ท ซึ่งเทรนด์การสั่งสินค้าประเภทของสดยังคงเติบโต โดยมีสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของสินค้าทั้งหมด ในส่วนของ บริการทางเงิน เราได้มีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่มุ่งให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในอีโคซิสเต็ม อาทิ บริการสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อเป็นช่องทางในการหารายได้ในแบบที่ช่วยรักษ์โลก และบริการ PayLater เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารจัดการด้านการเงินให้กับผู้ใช้บริการซึ่งได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดี”

“ภายหลังดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลา 10 ปี แกร็บยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจ GrabForGood เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่ 2 กลยุทธ์สำคัญ นั่นคือ “Power of Superapp” ที่มุ่งผสานความร่วมมือและการทำงานของทุกธุรกิจในอีโคซิสเต็มของแกร็บให้เกิด Synergy และเอื้อประโยชน์ต่อกัน และ “Operational Efficiency” ที่จะดึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในทุกกระบวนการทำงานของแกร็บ เพื่อขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก อันได้แก่ บริการการเดินทาง บริการเดลิเวอรี (รับส่งอาหาร สินค้าและพัสดุ) บริการทางการเงิน และบริการสำหรับองค์กร”

 

สำหรับในปี 2566 แกร็บ ประเทศไทย มีแผนที่จะขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้

· บริการการเดินทาง (Mobility) : โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ

o ยกระดับมาตรฐานเสริมความเชื่อมั่น โดยยังคงให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแกร็บและเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ใช้บริการให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาหรืออัพเกรดเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมไปถึงการกำหนดและควบคุมมาตรฐานการให้บริการของพาร์ทเนอร์คนขับอย่างเข้มงวด เป็นต้น

o รุกตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเน้นยกระดับบริการเพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยถึง 28 ล้านคน**** ด้วยการจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ดีอย่างไร้รอยต่อตั้งแต่สนามบิน รวมไปถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ตอบรับการใช้งานของชาวต่างชาติ

o เจาะตลาดพรีเมียม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายสูง โดยเราเตรียมส่งแคมเปญพิเศษเจาะตลาดกลุ่มนี้ พร้อมเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับที่ให้บริการเรียกรถด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้สามารถตอบรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น

· บริการเดลิเวอรี (Deliveries): โดยมี 3 ไฮไลท์สำคัญ คือ

o ตอกย้ำในด้านคุณภาพ (Quality) ของทั้งร้านอาหารบนแพลตฟอร์มและการให้บริการ โดยยังคงชูโรงซับแบรนด์ #GrabThumbsUp ที่คัดสรรและรวบรวมร้านอร่อยชื่อดังจากทั่วประเทศมาสร้างประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้ใช้บริการ พร้อมเตรียมเปิดตัวแคมเปญและกิจกรรมพิเศษเพื่อมัดใจผู้ใช้บริการในเร็วๆ นี้

o เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งอาหารและสินค้า (Efficiency) ด้วยเทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบแผนที่ และระบบคำนวณเวลารออาหาร เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และลดเวลาในการจัดส่งสินค้า

o เน้นสร้างฐานสมาชิกและความภักดีของผู้ใช้บริการ (Loyalty) ผ่านแพ็คเกจสมาชิก GrabUnlimited ด้วยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับส่วนลดที่ครอบคลุมทุกบริการของแกร็บ

· บริการทางการเงิน (Financial Services): โดยยังคงมุ่งส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสทางเงินให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ-ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็น การขยายวงเงินสินเชื่อสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าสูงสุดถึง 500,000 บาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารในการขยายธุรกิจและเสริมสภาพคล่องหรือการขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่สำหรับพาร์ทเนอร์คนขับ อาทิ บริการสินเชื่อสำหรับผ่อนชำระสินค้าอื่นๆ เช่น ทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ รวมไปถึงการนำเสนอ

ผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทั้งพาร์ทเนอร์คนขับและผู้ใช้บริการ

· บริการสำหรับองค์กร (Enterprise): โดยผลักดันบริการซูเปอร์แอปสู่ภาคธุรกิจ ผ่าน Grab for Business โซลูชันที่จะช่วยบริหารจัดการทุกบริการของแกร็บสำหรับลูกค้าองค์กร ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการเวลา และค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมบุกตลาดโฆษณาเต็มรูปแบบ โดยชู GrabAds สื่อโฆษณามาแรงบนซูเปอร์แอปอย่าง Grab ที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายและแม่นยำ

“สำหรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจในระยะยาวนั้น แกร็บ ประเทศไทย มุ่งขับเคลื่อนองค์กรและสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ภายใต้แนวคิด ‘Building Sustainable Growth through Innovation’ ซึ่งจะครอบคลุมการพัฒนาใน 3 ประเด็นหลัก อันได้แก่ 1) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกคนในอีโคซิสเต็ม ซึ่งไม่ใช่เพียงการสร้างผลกำไรของบริษัทฯ แต่จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับทั้งพาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านค้า ผู้ใช้บริการ รวมถึงสังคมโดยรวม 2) ร่วมผลักดันประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า โดยมุ่งส่งเสริมรูปแบบการทำงานของโลกยุคใหม่ การเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม และ 3) สร้างความเชื่อมั่นสู่การเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจทุกคน โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีให้กับพนักงาน การปลูกฝังเรื่องธรรมาภิบาล พร้อมปั้นทรัพยากรบุคคลให้กลายเป็นผู้นำที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” นายวรฉัตร ปิดท้าย

 

 

X

Right Click

No right click