October 13, 2024

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จํากัด มหาชน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี สนับสนุนให้คนไทยได้เป็นเจ้าของบ้านที่มีคุณภาพ โลเคชันดี ในราคาที่เอื้อมถึง มอบดีลสินเชื่อบ้านสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี ผ่อนสบายล้านละ 2,800 บาท ได้นานถึง 2 ปี

นายอธิศ วงศ์ศศิธร (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อมีหลักประกัน ทีเอ็มบีธนชาต และ นายโดม ศิริโสภนา (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด มหาชน ร่วมเติมเต็มความฝันให้คนไทยได้เป็นเจ้าของบ้านคุณภาพดี ในราคาที่เอื้อมถึง จัดแคมเปญสินเชื่อบ้าน ร่วมมอบโปรโมชันสุดพิเศษด้วยอัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า 0% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ผ่อนสบาย ล้านละ 2,800 บาทต่อเดือน และสามารถเลือกผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 35 ปี ฟรี ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย เมื่อกู้ซื้อบ้านกับสินเชื่อบ้านทีทีบี พร้อมทั้งรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจาก พีซแอนด์ลีฟวิ่ง อาทิ รับค่าตกแต่งเพิ่มเติมสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ที่จองและทำสัญญา พร้อมจดทะเบียนจำนอง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ในเครือพีซแอนด์ลีฟวิ่ง ภายใต้ 5 โครงการ CHER สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา, CHER WESTVILLE ราชพฤกษ์, CHER ราชพฤกษ์ - พระราม 5, CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ และ CHERENE กรุงเทพกรีฑา - ร่มเกล้า ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2567 นี้

ทีทีบี ยังคงเดินหน้ามอบบริการและประสบการณ์ที่ดีที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อสานฝันการมีบ้านเป็นของตัวเอง พร้อมหนุนให้กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดี ทั้งในวันนี้และอนาคต  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เจ้าหน้าที่ประจำโครงการ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ สมัครสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่  https://www.ttbbank.com/link/new-home-pr


***หมายเหตุ: กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.01% -  5.22% ต่อปี (MRR ปัจจุบัน 7.83% ต่อปี ณ วันที่ 3 ต.ค. 66)  ผ่อนล้านละ 2,800 บาท คำนวณจากวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 2 ปีแรก    อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร  เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ระดมผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน ร่วมแชร์ความรู้ด้าน ESG และผลกระทบของธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หนุนส่งเสริมผู้ประกอบการไทยยกระดับอุตสาหกรรมเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำประสบการณ์จากภาคเอกชนที่พัฒนาองค์กรด้วยแนวคิด ESG ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาสของธุรกิจไทยในเวทีโลก มาปรับใช้ในองค์กรได้อย่างตรงจุด ทั้งลดต้นทุน การใช้พลังงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ในงานสัมมนา “ttb Business Green Transition Forum 2024” นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต ได้ตอกย้ำว่า ทีทีบีเป็นธนาคารที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยหันมาปรับตัวและเปลี่ยนผ่านก้าวสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าจะมีความท้าทายจากนโยบายหรือกฎระเบียบใหม่ ๆ จากประเทศผู้นำเข้าสินค้า ซึ่งมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยต้องเรียนรู้ และเร่งปรับองค์กร เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ จึงได้ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำแนวคิด ESG ไปปรับใช้กับองค์กรได้อย่างตรงจุดและง่ายขึ้น

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมากในประเทศไทย ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยภาคการเกษตรมีความเปราะบางและได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่มีศักยภาพในการรับมือได้น้อยกว่าสาขาอื่นมาก สำหรับร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ.Climate Change ที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตนั้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืน โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการสามารถเตรียมความพร้อมในการประเมินองค์กรเพื่อจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก และแผนการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ และเทรนด์การค้าระดับสากล ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการเองนับว่ามีความตื่นตัวในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว และจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี หากทำได้จะนำไปสู่การลดต้นทุนให้กับธุรกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และที่สำคัญเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดภายใต้เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30-40% ในปี 2573

ขณะที่นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุนของไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 1) ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality & Net Zero  2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งขั้วและส่งผลต่อการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของการลงทุนทั้งระบบ 3) กติกาภาษีใหม่ของโลก (Global Minimum Tax) ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนการลงทุนและการเลือกแหล่งลงทุนของบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ ในส่วนของบีโอไอได้ผลักดันให้ภาคธุรกิจมุ่งลงทุนสู่ "ความยั่งยืน" ครอบคลุมทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบเขตธุรกิจที่บีโอไอให้การส่งเสริมนั้นค่อนข้างกว้างมากกว่า 400 กิจการ ครอบคลุมตั้งแต่ภาคเกษตร ภาคการผลิต และภาคบริการ ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมมีแนวทางการส่งเสริมครบวงจร โดยมีเงินลงทุนขั้นต่ำเพียงแค่ 1 ล้านบาทก็มาขอรับการส่งเสริมได้ หรือ ถ้าเป็นผู้ประกอบการ SMEs เงินทุนขั้นต่ำเพียง 500,000 บาท ก็สามารถเข้าสู่เกณฑ์การพิจารณาได้ ซึ่งบีโอไอมีมาตรการที่จะช่วยภาคอุตสาหกรรมในการลดก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ “Smart & Sustainable Industry” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับการเสวนา “เส้นทางการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความยั่งยืน โอกาสของธุรกิจไทย” นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ยอมรับว่า Climate Change สำคัญและส่งผลกระทบกับหลากหลายธุรกิจ โดยบ้านปู เน็กซ์ ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจจัดการพลังงาน โดยมุ่งมั่นเป็นองค์กรสีเขียว และพร้อมเป็นที่ปรึกษาด้าน Net Zero Solutions ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวได้อย่างครบวงจร โดยจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญระดับโลกที่จะนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และย้ำว่าผู้ประกอบการต้องเร่งปรับเปลี่ยนวิธีในการทำธุรกิจ เพราะบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากจะเสียปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจและการตลาดในอนาคต

ด้านนายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด บริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มองว่าการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องทำทั้งองค์กร จึงมีการให้ความรู้แก่พนักงานและลูกค้าเพื่อเข้าใจถึงคุณค่าของ ESG  และให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ เช่น การใช้เทคโนโลยีคาร์บอนเคียว ที่นำคาร์บอนมาผสมกับคอนกรีต เพื่อลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผนังพรีคาสท์ การใช้โซลาร์เซลล์ รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดูแลสิ่งแวดล้อม และย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไม่ใช่การลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่อาจใช้วิธีการลดต้นทุน เพื่อให้ได้มาซึ่งการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ ต้องมีการสื่อสารขององค์กรไปในทางเดียวกัน โดยตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการลดคาร์บอนเท่าใด เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนกระบวนการลดต้นทุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมองผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้

 

ขณะที่นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์บนโลกกว่าร้อยละ 80 ทำจากพลาสติกหรือกระดาษ โดยบริษัทฯ เริ่มต้นจากการผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระดาษ และต่อมาได้มีการเพิ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กระแส ESG เริ่มมากขึ้นทั้งในส่วนพฤติกรรมผู้บริโภค กฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มข้นขึ้น บริษัทได้ยึดหลัก ESG 4 Plus: มุ่ง Net Zero, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำร่วมมือ Plus การดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส” โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นพลังงานหมุนเวียน การใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโดยใช้เงิน 0.5% ของรายได้จากการขาย ซึ่งผลที่ได้คือ บรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและการดำเนินการด้าน ESG ของบริษัท พร้อมทั้งแนะนำผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว ให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น การแยกขยะหรือการประหยัดพลังงาน หรือหากต้องการลงทุนในเทคโนโลยีที่สูงขึ้นแล้วลงทุนเพียงบริษัทเดียวไม่คุ้มค่า สามารถแชร์การลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ได้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านและไปต่อได้

ทีทีบี พร้อมเป็นพันธมิตรเคียงข้างลูกค้าธุรกิจ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Transition) ตามกรอบการดำเนินงานในการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด B+ESG  เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจและสังคมสามารถดำเนิน “ชีวิต” และ “ธุรกิจ” ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

รวม 6 เดือนแรกของปี มีกำไรสุทธิ 10,689 ล้านบาท ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุม โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับต่ำที่ 2.6% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังอยู่ในระดับสูงที่ 152% สำหรับครึ่งปีหลังยังคงเดินหน้าดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องตามแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม

ปัจจุบันธุรกิจในไทยมีหลากหลายขนาด ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเติบโตมาจากธุรกิจครอบครัว แต่กว่าจะเติบโตมาเป็นบริษัทที่มั่นคงได้นั้นจะต้องผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย  finbiz by ttb ได้รวบรวมประสบการณ์และกลยุทธ์ของบริษัทที่เติบโตจากธุรกิจครอบครัวสู่การเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง จนสามารถแข่งขันในตลาดอาเซียนได้ มาแบ่งปันสูตรความสำเร็จไว้ดังนี้

โจทย์มีไว้แก้ไข เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ธุรกิจครอบครัวที่ดำเนินการมาอย่างยาวนาน มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจให้ก้าวไปสู่ตลาดอาเซียนและตลาดโลกในอนาคต ซึ่งความท้าทายหลัก ๆ ได้แก่

  • การทำงานร่วมกันในครอบครัว ต้องปราศจากความขัดแย้งและไปกันได้ด้วยดี
  • การสร้างนวัตกรรมและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
  • การจัดการกับพอร์ตโฟลิโอและซัพพลายเชน ที่มีความหลากหลายและซับซ้อน

รู้ปัญหาที่แท้จริงก่อนการทรานส์ฟอร์ม ปัญหาที่พบในธุรกิจซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น มักเกิดจากการขาดการสื่อสารที่ดีในองค์กร ขาดการทำงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงาน การใช้ข้อมูลที่ไม่เกิดประสิทธิภาพ และความไม่เชื่อใจระหว่างหน่วยงานหรือคนทำงาน ไม่กล้าปรับเปลี่ยนสิ่งที่ทำมาตลอด ดังนั้นการทรานส์ฟอร์ม ต้องเริ่มจาก

  1. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กรด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
  2. การรักษาสมดุลระหว่างหน่วยงาน ด้วยการตั้ง KPI ที่ชัดเจนและสอดคล้องไปกับเป้าหมายองค์กร
  3. การมีข้อมูลที่ถูกต้องและสอดคล้องกันในทุกภาคส่วน
  4. การให้ความไว้วางใจกัน โดยลด “ค่าเผื่อ” ออกทุก ๆ กิจกรรม
  5. การลงไปดูหน้างานจริงเพื่อตรวจสอบข้อมูล โดยจะเป็นการสะท้อนปัญหาและตรวจเช็คความถูกต้องของข้อมูล
  6. ยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองและองค์กรอยู่เสมอ

สร้าง LEAN เป็นวัฒนธรรมองค์กร “หาเงินข้างนอก 1 บาท ยากกว่าการลดต้นทุน 1 บาทในโรงงาน” คำกล่าวนี้ถือเป็นหนึ่งในแนวคิด LEAN คือ การมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต ซึ่งการบริหารจัดการธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ผู้บริหารจะต้องสามารถสร้าง LEAN ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรได้ ดังนี้

  1. สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในทีมงาน
  2. เริ่มต้นจากการปรับปรุงกระบวนการที่ทำได้ทันทีและมีผลกระทบเชิงบวกสูง
  3. วัดผลและติดตามการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
  4. ชมเชยและให้รางวัลแก่คนที่ทำงานดีทันทีและเหมาะสม
  5. ลงทุนในข้อมูลที่ถูกต้อง และลงทุนกับการใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์
  6. เปิดโอกาสและเปิดใจให้ทีมงานได้ปรับปรุงและทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ
  7. เปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในซัพพลายเชน ทั้งการทำงานภายในองค์กร และภายนอกองค์กร

การนำแนวคิด LEAN มาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว จะทำให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิผล ทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเติบโตและขยายไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้อย่างมั่นคง 


ที่มา : จากหลักสูตร “LEAN for Sustainable Growth by ttb” รุ่นที่ 19 สำหรับอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Healthcare) แหล่งรวมเรื่องราวความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด ที่ finbiz by ttb (Link >https://www.ttbbank.com/link/pr/finbiz)

X

Right Click

No right click