ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เตรียมสำรองเงินสดในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2567 ระหว่างวันที่ 5 – 11 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อรองรับการใช้บริการของลูกค้าและประชาชน จำนวน 13,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการสำรองที่สาขา จำนวน 4,000 ล้านบาท และตู้เอทีเอ็ม จำนวน 9,500 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ทีทีบี มีสาขาทั่วประเทศ จำนวน 532 สาขา และเครื่องเอทีเอ็ม จำนวน 3,015 เครื่องทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2566)

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ขยายบริการรับฝากเงิน-จ่ายบิล ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยผ่าน โลตัส Banking Agent รวมกว่า 2,300 สาขาทั่วประเทศ เสิร์ฟบริการถึงมือ ยกระดับประสบการณ์การเงินที่เหนือกว่า ตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย ที่มาพร้อมความปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านอย่างแท้จริง

นางสาวกนกวรรณ เพชรพิสิฐโชติ ประธานกลุ่ม บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกรรมธนาคาร และความมั่งคั่งทางการเงิน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ธนาคารจึงจับมือ “โลตัส” ห้างค้าปลีกชั้นนำของไทย แต่งตั้งเป็นตัวแทนธนาคาร (Banking Agent) ให้บริการรับฝากเงินสดและชำระบิลผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงิน (แคชเชียร์) ที่ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 2,300 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงช่วงเวลาเปิดให้บริการที่ยาวนานกว่าเคาน์เตอร์ของธนาคาร เป็นการขยายช่องทางเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทีทีบี สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างไร้รอยต่อ 

“โลตัส เป็นห้างค้าปลีกชั้นนำของไทยที่เป็นที่รู้จัก มีสาขาจำนวนมาก และหลายสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ซึ่งการผนึกความร่วมมือระหว่างทีทีบี กับ โลตัสในครั้งนี้จะช่วยให้ลูกค้าทีทีบี เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกล และสามารถเลือกเวลาในการทำธุรกรรมการเงินได้ยาวนานมากขึ้น โดยผู้ใช้บริการยังวางใจได้ในเรื่องความปลอดภัยในทุกครั้งที่ทำธุรกรรมการเงิน เชื่อว่า ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การเงินที่ประทับใจมากขึ้น” นางสาวกนกวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถฝากเงินที่ โลตัส ทุกแพลตฟอร์ม ได้ตั้งแต่ 100-20,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ฝากสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท / วัน / บัญชี / บัตรประชาชน โดยมีค่าธรรมเนียมบริการรายการละ 15 บาท นอกจากการฝากเงินสดแล้ว ลูกค้าทีทีบี ยังสามารถใช้บริการจ่ายบิลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จ่ายบิลบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และจ่ายบิลสินเชื่อรายย่อย ที่จุดบริการในโลตัสทุกแห่ง โดยสามารถชำระเงินได้ไม่เกิน 49,000 บาท / รายการ จำกัด 2 ครั้ง / เลขสัญญา / เลขบัตรเครดิต / วัน และมีค่าธรรมเนียมบริการรายการละ 10 บาท

นางสาววิณัฎฐา นิภาวงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจบริการ โลตัส กล่าวว่า โลตัส เดินหน้าเติมเต็มประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบสมาร์ทให้ลูกค้า และมุ่งมั่นเป็นค้าปลีกที่เป็น SMART Life Solutions ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตรอบด้าน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก พร้อมรองรับความต้องการทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ปัจจุบันโลตัส มีสาขาทั่วประเทศกว่า 2,300 แห่ง ที่จะช่วยให้เข้าถึงช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวกทุกที่และทุกเวลา ด้วยความพร้อมของจำนวนสาขาที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และช่วงเวลาการเปิดให้บริการของโลตัส จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของทีทีบี สามารถฝากเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงินของโลตัสได้อย่างสะดวก และมีช่วงเวลาในการทำธุรกรรมได้นานมากขึ้นกว่าการใช้บริการของสาขาธนาคารตามปกติ  ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการให้บริการในสาขา ให้เป็นศูนย์กลางในการอำนวยความสะดวกของคนในชุมชน พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ช้อปปิ้งที่รองรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตรอบด้าน เพื่อให้ลูกค้า รู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส

ในช่วงเปิดให้บริการใหม่นี้ ทีทีบี ร่วมกับ โลตัส จัดรายการ “ฝากเงิน รับคูปองเงินสด 20 บาท” โดยลูกค้าสมาชิกมายโลตัสที่ฝากเงินสดเข้า ทีทีบี ที่โลตัสทุกสาขา ระหว่างวันที่ 4 มกราคม 2567– 30 เมษายน 2567 จะได้รับคูปองเงินสด (คูปองท้ายบิล) มูลค่า 20 บาท สำหรับใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้ามูลค่า 200 บาท/ใบเสร็จ ได้ที่โลตัสทุกสาขา

สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมฝากเงินสด สามารถใช้บริการได้ที่ เคาน์เตอร์บริการแคชเชียร์ของโลตัส ทุกสาขา โดยระบบฝากเงินให้บริการได้ตั้งแต่ 00:01 ถึง 22:30 น. ทั้งนี้เวลาการให้บริการฝากเงินขึ้นอยู่กับเวลาเปิด-ปิดของสาขาแต่ละรูปแบบ สอบถามเพิ่มเติม Lotus’s Call center 1430 หรือ https://corporate.lotuss.com/location/ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ttb contact center 1428 หรือ www.ttbbank.com  

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำเป้าหมายส่งเสริมให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ควบคู่เดินหน้าช่วยมนุษย์เงินเดือนหลุดพ้นจากกับดักภาระหนี้ต่อเนื่อง ประเดิมปี 2567 เปิดเวทีสัมมนาให้ความรู้ทางการเงินเพื่อช่วยเสริมศักยภาพองค์กรและบุคลากร โดยมี “โค้ชหนุ่ม” The Money Coach มาแชร์เคล็ดลับการเงิน การบริหารจัดการหนี้ พร้อมแนะนำโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษจากทีทีบี ให้แก่บุคลากร และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ ตั้งเป้า 3 ปี จะช่วยคนไทยปลดหนี้ผ่านโซลูชันสินเชื่อรวบหนี้ต่าง ๆ เพิ่มอีก 2 หมื่นราย หรือ ลดภาระดอกเบี้ยได้กว่า 2 พันล้านบาท

นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ที่สะสมอยู่คู่กับคนไทยมานาน และลุกลามไปยังประชาชนทุกระดับชั้น โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ซึ่งจากสถิติหนี้ครัวเรือนล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2566 จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ตัวเลขหนี้พุ่งแตะ 16.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 90.9% ต่อจีดีพี ด้วยเหตุนี้ ทีทีบีได้เล็งเห็นถึงปัญหาหนี้ล้นระบบและมีพันธกิจที่มุ่งช่วยให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) จึงเร่งขับเคลื่อนเดินหน้าช่วยมนุษย์เงินเดือนปลดหนี้ผ่านโซลูชันรวบหนี้และสินเชื่อสวัสดิการ เพื่อสามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทีทีบีได้ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนปลดหนี้ได้จริง ผ่านโครงการรวบหนี้หนึ่งในโซลูชัน ซึ่งรวมถึงโครงการสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อเป็นตัวช่วยคนเป็นหนี้ให้มีสภาพคล่องและลดภาระดอกเบี้ย และธนาคารยังให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending)  โดยธนาคารสามารถช่วยลูกค้ารวบหนี้ไปแล้วกว่า 1.7 หมื่นราย ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ราว 1.2 พันล้านบาท

สินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพยค้ำประกัน (ttb welfare loan) ที่ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 7.99% ต่อปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ให้สิทธิประโยชน์สำหรับพนักงานเงินเดือนที่สังกัดหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่มีการลงนามในสัญญาให้บริการสินเชื่อกับทีทีบี และในปีนี้ธนาคารได้เพิ่มโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าพนักงานเงินเดือน เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลดภาระหนี้ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับการรวบหนี้แบบใช้บ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ทีทีบี สินเชื่อบ้านแลกเงิน ทีทีบี เคลียร์หนี้ หรือรวบหนี้แบบใช้รถยนต์ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น สินเชื่อรถแลกเงิน ทีทีบีไดรฟ์

สำหรับพันธกิจส่งเสริมการมี Financial Well-being ที่ดีให้กับคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มพนักงานเงินเดือน เปิดศักราชปี 2567 นี้ ทีทีบีได้นำร่องกับกลุ่มสถาบันการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต ด้วยการจัดงานสัมมนาพิเศษเสริมความรู้ทางการเงินเพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีกว่าเดิม โดยมีนายจักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือโค้ชหนุ่ม โค้ชการเงินชื่อดังที่สร้างแรงบันดาลใจนำคนไทยไปสู่สุขภาพทางการเงินที่ดี เจ้าของเพจ Money Coach ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน รวมถึงมีผลงานพัฒนาหลักสูตรการเงินมากมาย ได้แชร์แนวทางการวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน การจัดการรายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย การลดภาระหนี้ รวมถึงการวางแผนการออมเพื่อให้มีชีวิตทางการเงินที่ดี และนางสาวสมสวาท ลิขิตปรีดา หัวหน้าบริหารกลุ่มลูกค้าเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ ทีเอ็มบีธนชาต นำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยบริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แก่บุคลากรและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงให้บริการสินเชื่อสวัสดิการอเนกประสงค์ทีทีบี แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ผ่านมา

“ทีทีบีตอกย้ำพันธกิจตั้งเป้าหมายช่วยคนไทยปลดหนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกตลาดสินเชื่อสวัสดิการในการลงนามข้อตกลงการให้บริการสินเชื่อกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน โดยมุ่งเดินหน้าให้ความรู้ทางการเงินกับหน่วยงานที่มีเป้าหมายเดียวกันในการมุ่งส่งเสริมให้พนักงานเงินเดือนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นมากกว่าบัญชีเงินเดือนทั่วไป” นายฐากร กล่าวสรุป

หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ที่สนใจโซลูชันผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษสำหรับพนักงานเงินเดือน เพื่อเป็นสวัสดิการที่เสริมสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับพนักงานของตนเอง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ทีทีบีทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ttbbank.com/drw-mahidol-pr 

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศความสำเร็จต่อเนื่อง ประเดิมศักราชใหม่ปี 2567 เดินหน้ารับ 2 รางวัลอันทรงเกียรติ ได้แก่ รางวัล Best Investor Relations Bank และ รางวัล Best Environmental Sustainability Bank จากเวที International Finance Awards 2023 จัดโดย International Finance Magazine (IFM) นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ซึ่งสะท้อนความโดดเด่นของทีทีบีในฐานะธนาคารไทยที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับบนเวทีระดับนานาชาติ โดยเป็นธนาคารที่ให้ความสำคัญและมีมาตรฐานการดำเนินงานด้านนักลงทุนสัมพันธ์ในระดับสูงและเป็นที่ยอมรับมาโดยตลอด พร้อมทั้งมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามแนวทางความสำเร็จสู่ “การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ตามกรอบ B+ESG โดยมีนางสาวดารารัตน์ อุระพันธมาศ หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ ทีเอ็มบีธนชาต และนายกมลพันธ์ ลักษณา หัวหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ 

ทั้งนี้ รางวัล Best Investor Relations Bank เป็นรางวัลที่สะท้อนความโดดเด่นของผลงานและกิจกรรมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับจากนักวิเคราะห์ ตลอดจนนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สำหรับรางวัล Best Environmental Sustainability Bank จากการที่ธนาคารให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโซลูชันทางการเงินที่ยั่งยืน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การออกตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ ตราสารหนี้สีเขียว ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนทางทะเล หรือ ตราสารหนี้สีฟ้า สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมถึงการปล่อยสินเชื่อสีเขียวเพื่อสนับสนุนธุรกิจในการอนุรักษ์และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงสังคมสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และยังขับเคลื่อนองค์กร มุ่งเดินตามกรอบ B+ESG นำแนวทางการธนาคารเพื่อความยั่งยืนเป็นรากฐานในการวางกลยุทธ์ทั่วทั้งองค์กรอีกด้วย

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 91.4% หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังคงน่าเป็นห่วงทั้งในมิติของปริมาณการก่อหนี้ที่ไม่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเร็วและคุณภาพหนี้มีแนวโน้มด้อยลง ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเชื่องช้า ส่งผลให้ระดับรายได้ของครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพของหนี้ อีกทั้งอุปสรรคจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบของลูกหนี้บางส่วน ทำให้ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบและเผชิญกับปัญหาวังวนหนี้ไม่รู้จบ

หากกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย แน่นอนว่าประเด็นหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรังมักถูกพูดถึงมาโดยตลอด โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยใกล้เคียงกัน ทั้งยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่มีรายได้และความมั่งคั่งสูงกว่า ล่าสุด ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็น 90.9% ต่อจีดีพี ซึ่งมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากผู้ให้กู้หลักอย่างธนาคารพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ สวนทางกับตัวเลขหนี้ที่มาจากกลุ่มบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เติบโตในอัตราเร่งสูงสุดในรอบทศวรรษ

นอกจากนี้ คุณภาพหนี้ครัวเรือนก็มีแนวโน้มด้อยลง จากสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ในระบบธนาคารพาณิชย์ที่สูงถึง 2.79% หรือเกือบ 1.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 3.6% ขณะที่สัดส่วนหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ Stage 2 อยู่ที่ 6.66% หรือ 3.62 แสนล้านบาท ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 1.7 แสนล้านบาทมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ และยังไม่นับรวมหนี้จากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) อีกกว่า 35% ของทั้งระบบ\

ttb analytics ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 91.4% ต่อจีดีพี หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท ซึ่งแม้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยจะขยายตัวชะลอลงในระยะหลัง แต่เป็นการลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว อีกทั้งอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนในระดับ 3-4 สูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงทุกปี ทำให้ประเด็นหนี้ครัวเรือนไทยในระยะต่อไปยังมีความเปราะบางสูงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

ปัจจัยแรก : เศรษฐกิจและระดับรายได้ฟื้นช้า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะมีทิศทางดีขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัว แต่ด้วยรายได้จากการส่งออกกว่า 90% กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งยังมีการกระจุกตัวในมิติของจำนวนแรงงานที่ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนจากธุรกิจขนาดเล็กกลับมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้ฐานะทางการเงินของผู้ประกอบการขนาดเล็กส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง ซึ่งอาจกระทบต่อแรงงานที่มีมากถึง 71% ของแรงงานทั่วประเทศ ส่งผลให้ครัวเรือนบางส่วนอาจต้องกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสภาพคล่องที่หายไป

ปัจจัยที่สอง : ต้นทุนทางการเงินสูงกว่าในอดีต โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นจังหวะที่นโยบายทางการเงินผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้การประเมินฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อต้นทุนการกู้ยืมปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2566 โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้ในอัตราเร่งชัดเจนขึ้น นอกจากนั้น ภาระหนี้ที่ถูกพักหรือเลื่อนออกไปก่อนหน้าจากผลของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในช่วงที่เกิดวิกฤตจะถูกนำมาคิดทบต้น และมีส่วนทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในภาพรวมมีแนวโน้มปรับลดลงช้ากว่าปกติ

 

ปัจจัยที่สาม : พฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี แม้การเพิ่มขึ้นของระดับหนี้ครัวเรือนจะสามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น แต่หนี้ที่สูงเกินระดับ 80% ต่อจีดีพี ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการบริโภคแล้ว แต่จะส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยเกิน 80% ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และเกือบ 1 ใน 3 เป็นการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต หรือเรียกได้ว่าเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ (Non-Productive Loan) ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซียและจีนที่ 14% และ 13% ตามลำดับ โดยเฉพาะในระยะหลัง การขยายตัวของสินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้ รวมถึงความต้องการหนี้นอกระบบเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนการสร้างหนี้อย่างผิดวัตถุประสงค์ และพฤติกรรมการก่อหนี้โดยขาดวินัยทางการเงินที่ดี ซึ่งหนี้ประเภทดังกล่าวจะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยกู้ที่สูงกว่ามาก และเสี่ยงก่อให้เกิดเป็นกับดักหนี้ไม่สิ้นสุด ทำให้การลดลงของหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

โดยสรุป ตราบใดที่เศรษฐกิจฐานรากยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึงและแข็งแกร่ง ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก็อาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ และคาดว่าภาระหนี้ที่สูงจะยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจต่อไป ฉะนั้นแล้ว การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้ ควบคู่ไปกับมาตรการสนับสนุนให้มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) เพื่อกระตุ้นการปรับวินัยทางการเงินของ

ครัวเรือนให้ดีขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้สินของครัวเรือนไทยได้ในระยะยาว

X

Right Click

No right click