×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

บมจ.ทิพยประกันภัย ปลื้มผลงานไตรมาส 1 ปี 62 กำไรสุทธิรวมเฉียด 520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 10.67% ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม 4,882.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.76% ด้านเอ็มดี “ดร.สมพร สืบถวิลกุล” ประกาศกลยุทธ์เชิงรุกบูรณาการระบบดิจิทัลครบวงจร จับมือธุรกิจกับพันธมิตรบุกตลาดขยายฐานลูกค้าองค์กรและรายย่อย

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรก สิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2562 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 519.91 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.87 บาท หรือกำไรสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10.67% จากไตรมาสแรกปีก่อนกำไรสุทธิ 469.77 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.78 บาท

สำหรับไตรมาส 1/2562 ทิพยประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวนทั้งสิ้น 4,882.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 4,368.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 513.83 ล้านบาท หรือ 11.76%

ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยรับรวมที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย เบี้ยประกันอัคคีภัย 371.51 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 116.58 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรถยนต์ 870.57 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 3,523.50 ล้านบาท

ด้านฐานะการดำเนินงานของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 มีสินทรัพย์รวมที่ 42,490.75  ล้านบาท หนี้สินรวม 34,123.67 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 8,367.08 ล้านบาท

ดร.สมพร กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 62 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งในแง่ของความสามารถการทำกำไร และเบี้ยประกันภัยรับรวม ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวของเบี้ยประกันภัยรับรวมของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบที่คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 - 6% เนื่องจากบริษัทฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 นั้น ดร.สมพร กล่าวว่าบริษัทฯ จะยังคงสานต่อนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมการให้บริการอย่างทั่วถึงตลอด Insurance Value Chain ตั้งแต่กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการให้บริการสินไหมทดแทน และบริการหลังการขาย เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามากที่สุด

พร้อมกันนี้ บริษัทยังดำเนินกลยุทธ์ในเชิงรุกด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทั้งกลุ่มองค์กรและรายย่อยเพิ่มขึ้น โดยล่าสุด ทิพยประกันภัยได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท PVI Insurance Corporation ซึ่งเป็นบริษัทประกันวินาศภัยชั้นนำของประเทศเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอีกด้วย

 

 จักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ปเปิดเผยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2561 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 17,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 11,313 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 174 หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2561 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,364  ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 5,894 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 167 โดยมีสาเหตุหลักจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษ ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท รวมเป็นหุ้นละ 6 บาท ในวันที่ 14 กันยายน 2561

 สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561  จักษ์กริช กล่าวว่า ยังคงเดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญ และเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศที่มีฐานอยู่แล้วและสามารถขยายตลาดได้อีก รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยการซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว และการพัฒนาโครงการประเภท Greenfield สำหรับการลงทุนในประเทศ บริษัทฯ มีความพร้อมสำหรับการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ที่กำลังปรับปรุงใหม่

 

 ระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่อง จากการผลักดันภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ พร้อมทั้งแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศ สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีอัตราเติบโตสูงขึ้น จากลูกหนี้บัตรเครดิตรวมและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มขึ้น”

 ผลการดำเนินงานเคทีซีครึ่งปีแรกสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 2,515 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 66% ในขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 2 เท่ากับ 1,306 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่ทวีความเข้มข้นขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากความท้าทายของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และผลกระทบจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็ว บริษัทฯ จึงต้องปรับปรุงกระบวนการสื่อสารกับผู้บริโภคและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาให้ทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าและเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร เพื่อรองรับกับความท้าทายของมาตรการและกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้น”  

ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 เคทีซีมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 71,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินทรัพย์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ อยู่ในรูปของลูกหนี้การค้าสุทธิ คิดเป็น 92% ของสินทรัพย์รวม โดยพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 72,037 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 3.1 ล้านบัญชี เติบโต 2.8% แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,249,933 บัตร ขยายตัว 3.2% พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 46,251 ล้านบาท สัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ 12.6% อัตราเติบโตการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีรวมเท่ากับ 7.7% (อุตสาหกรรมเติบโต 11.9%) ส่วนแบ่งการตลาดของการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 11.1%            เอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL) รวมของบริษัทยังลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 1.3% จาก 1.6% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.1% ลดลงจาก 1.2% (อุตสาหกรรม 1.9%) สินเชื่อบุคคล 867,236 บัญชี ขยายตัว 2.0% ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 25,423 ล้านบาท สัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 7.0% และ NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.8% ลดลงจาก 0.9% (อุตสาหกรรม 2.5%) โดยสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อ NPL ยังคงมูลค่าสูงที่ 605% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 528%”

ระเฑียรให้ข้อมูลต่อว่า “ไตรมาสสองของปี 2561 เคทีซีมีอัตราเติบโตของรายได้รวมสูงขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายรวมให้มีอัตราลดลง โดยสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 9% เท่ากับ 5,259 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มจากลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่ยังเติบโตได้ดี (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) รายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วน 93% มาจากหนี้สูญได้รับคืน และมีการควบคุมค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 3,626 ล้านบาท ลดลง 5% จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง เพราะอนุมัติสมาชิกใหม่ในจำนวนน้อยลงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ และมีการใช้งบประมาณด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ใช้จ่ายเม็ดเงินน้อยลง ในขณะที่มูลค่าหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงเช่นกันเนื่องจากพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัวได้ช้า ทำให้การตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายการเงินที่เป็นต้นทุนเงินก็ลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ออกหุ้นกู้ใหม่ในระยะเวลาที่ยาวขึ้นด้วยต้นทุนเงินที่ต่ำลงกว่าหุ้นกู้เดิม โดยรักษาสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) เท่ากับ 26.8% ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 27.3% ซึ่งแสดงว่าบริษัทยังคงรักษาประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานได้ดี”

“บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) ทั้งสิ้น 24,890 ล้านบาท เป็นวงเงินของธนาคารกรุงไทย 18,030 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 6,860 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินไตรมาส 2/2561 เท่ากับ 2.99% ลดลง 3.23% หากเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2560 สำหรับครึ่งปีต้นทุนเงินอยู่ที่ 2.97% (สิ้นปี 2560 เท่ากับ 3.12%) เพราะบริษัทฯ จัดหาเงินจากการออกหุ้นกู้ใหม่ด้วยระยะเวลาที่ยาวขึ้น แต่มีต้นทุนเงินที่ต่ำกว่าหุ้นกู้เดิม โดยมีอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 4.24 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า”

“แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านอัตราเติบโตของพอร์ตและการใช้จ่ายผ่านบัตรตามที่ได้ตั้งไว้ จากปัจจัยของภาพรวมการเติบโตเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะเริ่มฟื้นตัว และกฎเกณฑ์การควบคุมที่เป็นความท้าทายสำคัญ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในหลายแนวทางเพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ โดยในปี 2561 บริษัทฯ ยังคงประมาณการเป้าหมายพอร์ตลูกหนี้รวมธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเติบโตไว้ที่ 10% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% รักษาสัดส่วน NPL ให้คงอยู่ในระดับเดียวกับ           ปีก่อนที่ 1.3% และคาดว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 2560 ที่มีมูลค่า 3,304 ล้านบาท”

 

วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ในครึ่งปีแรกเติบโตไปตามทิศทางเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลข GDP จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่เพิ่งเผยข้อมูลช่วงไตรมาสแรกไปนั้น เศรษฐกิจประเทศไทยมีการเติบโตที่ 4.8% ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนมีการเริ่มขยับปรับโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย หรือการซื้อเพื่อการลงทุน ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,852 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,107 ล้านบาท คิดเป็น 65% และจากโครงการแนวสูงมูลค่ารวม 1,745 ล้านบาท คิดเป็น 35%  ทั้งนี้ ยังพบว่า ตลาดกลุ่ม Luxury ทั้งบ้านและคอนโดที่มีราคาตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไปของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทำเลในย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ อาทิ โซนสุขุมวิท โซนบางนา และโซนเกษตร-นวมินทร์

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจโดยมีรายได้ 952.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.9 ล้านบาท สำหรับงวดครึ่งปี บริษัทฯมีรายได้ 2000.9 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 69.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.9 ล้านบาท

 

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 43.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 176.54 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 15.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 263.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.95 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 227.23 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 98.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.44 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 73.40 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 89.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 196.84 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 30.04 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 16.77 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 6.23  มีรายได้จากการขาย 531.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.27 จากงวดเดียวกันของปีก่อน 482.10 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มหลัก ในงวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 79.4 ของรายได้จากการขายทั้งหมด และมีปริมาณการขายสินค้ารวมเติบโตขึ้น 7,191 ตัน

ต้นทุนขายอยู่ที่ 337.18 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.61 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 339.26
ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบ และการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้า ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 194.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.13 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 142.84 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36.58 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 29.63 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลทรายและกระเทียม นอกจากนี้ ในงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตไปโรงงานใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างโรงงานที่แหลมฉบังและที่อมตะซิตี้ ประกอบกับโรงงานแห่งใหม่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้การผลิตยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงานแห่งใหม่ บริษัทสามารถใช้อัตรากำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 51  ขณะที่ โรงงานแห่งเก่า ยังใช้ผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มที่มีออเดอร์ขนาดเล็ก และผลิตกลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงแกง กลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป 

“จากความสำเร็จของโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้  สนับสนุนผลงานในปีนี้ให้โดดเด่นตั้งแต่ไตรมาสแรก ขณะที่ ในไตรมาส 2/2561 ยังเดินหน้าตามแผน สนับสนุนรายได้จากการขายในงวดครึ่งปีแรกให้เติบโตขึ้น และมียอดขายเป็นสกุลเงินบาท 60% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 30% สกุลเงินยูโร 10%  ขณะที่การเพิ่มขึ้นของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น รวมทั้งได้ผลบวกจากต้นทุนการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง สนับสนุนให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างน่าประทับใจ มาอยู่ที่ 89 ล้านบาท ทุบสถิติกำไรสุทธิในปีก่อนที่ 59 ล้านบาท และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2557 อยู่ที่ 86 ล้านบาท" จิตติพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในงวดครึ่งปีหลัง มั่นใจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรกได้ จากแผนการบริหารจัดการภายในที่ดี ได้รับผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลและกระเทียมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง การทยอยปรับราคาขายสินค้าขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ สำหรับยอดขายที่เป็นสกุลเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 90% ของยอดขายทั้งหมด โดยเฉลี่ยปรับราคาขายขึ้นในกรอบประมาณร้อยละ 1.5 – 6.5 ในแต่ละสินค้าไม่เท่ากัน สนับสนุนผลประกอบการซึ่งจะสามารถทำนิวไฮรายไตรมาสได้อีก จึงปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2561 ที่วางไว้จะเติบโตร้อยละ 5 -10  เป็นเติบโตร้อยละ 10 – 15 เทียบกับปี 2560 รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 947 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ทั้งรายได้และกำไร

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.12 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในงวดครึ่งแรกของปีนี้ กำหนดวันที่จ่ายปันผล 7 กันยายน 2561

Page 4 of 6
X

Right Click

No right click