นับตั้งแต่เริ่มการเปิดตัวสู่ตลาดทั่วโลก VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของเวียดนามได้นำเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญ ของ Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และเป็นธุรกิจใหญ่ที่สุดในเวียดนามมาสร้างความแตกต่างที่สำคัญ และผลักดันการเติบโตของบริษัท  

การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในตลาดโลกของ VinFast โดยมีฐานที่มั่นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และตลาดยุโรปนำสู่การตั้งเป้าหมายในตลาดเอเชียอย่างจริงจังทั้งในอินเดีย อินโดนีเซีย และล่าสุดคือประเทศไทย  ทั้งนี้ Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของเวียดนามที่ยิ่งใหญ่ นอกจากให้การสนับสนุนทางการเงินแล้ว ยังเป็นเสาหลักสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้ VinFast ก้าวสู่เวทีโลกอีกด้วย

จากประเทศผู้นำเข้ารถยนต์สู่การเป็นผู้เล่นระดับโลก: วิสัยทัศน์อันกล้าหาญของ Vingroup เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนาม

Vingroup บริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุด และมีบทบาทสำคัญอย่างหลากหลายต่อเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม สร้างรายได้ประชาชาติ (GDP) เกือบ 1.6% ในปี 2023 โดยมีการดำเนินงานในสามหมวดธุรกิจหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีการค้าและบริการ และธุรกิจเพื่อสังคม

ธุรกิจทั้งหมดของ Vingroup มีส่วนสนับสนุนความสำเร็จของบริษัท แต่อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์ไฟฟ้าเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักในปี 2023 โดยมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 236,457 ล้านบาท (6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างน่าทึ่งสร้างรายได้มากกว่า 137,330 ล้านบาท (94.3 ล้านล้านดองเวียดนาม : VND) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2022 ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่นำโดยรถยนต์ไฟฟ้าของ VinFast เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้มากกว่า 41,359 ล้านบาท (28.4 ล้านล้านดอง)  เมื่อเทียบกับ 18,932 ล้านบาท (13 ล้านล้านดอง) ในปีก่อน

ก่อนหน้าที่จะมี VinFast อุตสาหกรรมยานยนต์จำกัดอยู่แค่การนำเข้า อุตสาหกรรมต่อเนื่องไม่ได้รับการพัฒนาและมีต้นทุนที่สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ตลาดยานยนต์ของเวียดนามมีศักยภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะมีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ต่ำมากเพียง 23 คันต่อประชากร 1,000 คน

จนถึงปัจจุบัน VinFast ได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง สร้างความเป็นอิสระ และความตื่นตัวในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเวียดนาม อิทธิพลของบริษัทไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเวียดนามเพราะเพียงเจ็ดปีหลังจากเปิดตัวรถรุ่นแรกที่งาน Paris Motor Show ประธานของ Vingroup ก็ติดอันดับผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก  

แผนการเติบโตทั่วโลกของ VinFast ได้รับการเน้นย้ำอีกครั้งจากการที่ Pham Nhat Vuong ประธาน Vingroup และ CEO ของ VinFast ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ MotorTrend Power List ปี 2024 เป็นนักธุรกิจเพียงคนเดียวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับเกียรตินี้ ซึ่งแสดงถึงความมีวิสัยทัศน์ ผลงานการบุกเบิก การเติบโตอย่างรวดเร็ว  และศักยภาพที่มั่นคงในการปฏิวัติภูมิทัศน์ยานยนต์ของ VinFast

ความมุ่งมั่นในตลาดโลกขับเคลื่อนโดยระบบนิเวศทางเทคโนโลยีของ Vingroup

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันภูมิทัศน์ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคือระบบนิเวศทางเทคโนโลยีของ Vingroup ครอบคลุม VinBigData, VinAI, VinES, VinCSS, VinBrain และ VinHMS ต่างมีส่วนส่งเสริมความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง VinBigData พัฒนาขึ้นจากความสำเร็จของสถาบัน Big Data ของ Vingroup ในด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ ที่เน้นการประมวลผลภาพ และภาษาช่วยให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไฮเทคจำนวนมาก เช่น ViVi (ผู้ช่วยเสียงอัจฉริยะ), กล้อง AI, และ VinDr โซลูชัน AI ที่สำหรับการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ เป็นต้น

สำหรับ VinCSS มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนา และโซลูชันการรับรองการตรวจสอบความถูกต้องแบบไม่ใช้รหัสผ่านตามมาตรฐาน FIDO2 บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับ IT, Internet of Things (IoT) และยานยนต์  VinHMS ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ มีความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กร

VinBrain ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีสุขภาพชั้นนำของเวียดนามปฏิวัติการดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของ AI พัฒนาด้านภาพและการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เพื่อออกแบบโซลูชันให้เหมาะกับความต้องการของวงการแพทย์

VinES ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมือไฟฟ้ากำลังขนาดกลางและสูง แอปพลิเคชั่นเพื่อยานพาหนะและโซลูชันการจัดเก็บพลังงาน โดยได้จัดตั้งหน่วนงานการวิจัยและพัฒนา การผลิตการทดสอบ และการตรวจสอบ โดยร่วมมือกับผู้นำระดับโลกเพื่อปฏิวัติวงการเทคโนโลยี

เมื่อปีที่แล้ว ประธานของ Vingroup ประกาศว่าจะมอบหุ้นของ VinES จำนวน 99.8 เปอร์เซ็นต์ให้กับ VinFast เพื่อเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และห่วงโซ่การผลิต สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้ภาพด้านเทคโนโลยีครบถ้วน VinAI ผู้นำด้านโซลูชันการเคลื่อนที่อัจฉริยะสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ และซัพพลายเออร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยานพาหนะได้ VinAI ได้ปรับปรุงความปลอดภัยและสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ขับขี่หลายล้านคนทั่วโลก เทคโนโลยี และคุณสมบัติที่บริษัทได้รวมเข้ากับรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นแล้ว รวมถึง VF e34, VF5 และ eBus รวมถึงรถยนต์ของผู้ผลิตในยุโรป

ที่งาน CES 2024 VinFast MirrorSense เทคโนโลยีการปรับกระจกอัตโนมัติที่ใช้ AI รายแรกของโลกพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง VinFast และ VinAI ได้รับรางวัล Innovation Award Honoree ในหมวดหมู่ Vehicle Tech and Advanced Mobility รางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  แต่ยังยืนยันถึงตำแหน่ง และศักยภาพของ VinFast และ VinAI ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกอีกด้วย เทคโนโลยีการปรับกระจกอัตโนมัติใน VinFast MirrorSense ตรวจจับตำแหน่งศีรษะและทิศทางการมองของคนขับรถได้อย่างแม่นยำถึง 10 มม. โดยจะปรับตำแหน่งของกระจกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยอัตโนมัติ

เมื่อเร็วๆ นี้ Vingroup ได้รับรางวัล ASEAN Tech for ESG Award 2023  ตอกย้ำถึงฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผลักดันอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการริเริ่มทางดิจิทัลตามหลักการ ESG และใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น AI, IoT, หุ่นยนต์, เทคโนโลยีเสมือนจริง และบล็อกเชน  ที่ช่วยแก้ไขปัญหาความยั่งยืนในหลากหลายอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การค้าและบริการและธุรกิจเพื่อสังคม

VinFast ที่ซึ่งเทคโนโลยีมาบรรจบกับการเดินทาง

VinFast ไม่ได้สร้างแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่พัฒนาพาหนะอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี AI ล้ำสมัย มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยสะดวกสบาย และสนุกยิ่งขึ้น ด้วยปรัชญาที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง VinFast ยกระดับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ไปอีกขั้นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced driver assistance system : ADAS) จึงติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยในรถยนต์ทุกรุ่น ช่วยให้ลูกค้าทุกคนสามารถเข้าถึงก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้โดยไม่คำนึงถึงงบประมาณรถยนต์ที่ติดตั้ง ADAS ระดับ 2 ทำงานกึ่งอัตโนมัติช่วยให้รถบังคับเลี้ยว เร่งความเร็ว และเบรกโดยอัตโนมัติในสถานการณ์ที่ซับซ้อนภายใต้การดูแลของผู้ขับขี่ หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นคือเทคโนโลยีการเปลี่ยนเลนอัตโนมัติสำหรับผู้กังวลเกี่ยวกับจุดบอดในการขับขี่ โดยใช้เครือข่ายกล้องและเซ็นเซอร์ช่วยสแกนหาช่องว่างบนถนนและเปลี่ยนเลนอย่างปลอดภัยแทนคุณลดความกังวลและความเครียดในการขับขี่

VinFast ติดตั้งระบบการลดการชนที่ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และกล้องทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์บนท้องถนนจะตรวจสอบวัตถุที่อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังรถของคุณอย่างต่อเนื่อง หากตรวจพบโอกาสเสี่ยงการชน และคุณไม่ตอบสนองได้ทันเวลาระบบจะปรับลดความเร็วโดยอัตโนมัติ หรือหยุดรถโดยสมบูรณ์ซึ่งช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้เคยขับรถออกนอกเลนเนื่องจากสมาธิหลุดหรือง่วงนอนหรือไม่ VinFast's Lane Keeping Assistance พร้อมช่วยเหลือระบบนี้ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยนักบิน เมื่อเปิดใช้งานเซ็นเซอร์จะตรวจจับว่ารถของคุณเริ่มออกนอกเลนหรือไม่ และจะแก้ไขการบังคับเลี้ยวอย่างนุ่มนวลเพื่อให้คุณอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นเลน

VinFast มีการใช้กล้องและ AI ตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่เพื่อหาสัญญาณของความเหนื่อยล้า การใช้โทรศัพท์ หรือการละมือออกจากพวงมาลัย หากระบบตรวจพบพฤติกรรมเสี่ยง ระบบจะส่งเสียงเตือนเพื่อให้ผู้ขับกลับมาสนใจถนนอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยของคุณและผู้คนรอบข้าง

VinFast ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่เปิดพรมแดนใหม่ของเทคโนโลยีรถยนต์อีกด้วย ด้วยความมุ่งมั่นในนวัตกรรม AI บริษัทจึงสร้างอนาคตที่การขับขี่ปลอดภัย ฉลาดขึ้น และสนุกยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

ชูไดรฟ์สไตล์ใหม่ในการ Subscribe EV ใช้เต็มที่เหมือนเป็นเจ้าของ - ไม่ต้องกังวลราคาขายต่อ – มีรถใช้ระหว่างซ่อม จ่ายราคาเดียวตลอดสัญญา

เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารยูโอบีได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท Guangzhou Auto Group (GAC) Aion เพื่อผนึกความร่วมมือแบบครอบคลุมทุกมิติในการเข้ามาทำธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยธนาคาร ยูโอบี ประเทศจีน และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจะร่วมสนับสนุนสินเชื่อทางการเงินสำหรับการขยายธุรกิจ การพัฒนาตลาดและ การลงทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ของบริษัท

ข้อตกลงในครั้งนี้เป็นการสานต่อความร่วมมืออันยาวนานระหว่าง ธนาคารยูโอบี ประเทศจีน กับ GAC Aion ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ลำดับที่ 3 ภายในประเทศจีนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ GAC Aion และ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลล์ (ประเทศไทย) จะได้รับประโยชน์จากบริการ Global Credit Services เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการและดำเนินธุรกิจ บริการธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ บริการบริหารความเสี่ยงที่หลากหลาย และการเข้าถึงสินเชื่อสีเขียวภายใต้กรอบแนวคิดการเข้าถึงเงินทุนที่ยั่งยืนของธนาคารในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน

ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยูโอบีขอร่วมแสดงความยินดีกับ GAC Aion กับก้าวแรกแห่งความสำเร็จในการเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเทศไทย จากความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นอย่างยาวนาน ยูโอบีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่บริษัทเลือกธนาคารเป็นสถาบันทางการเงินหลักเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจนอกประเทศ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคที่มีรากฐานที่มั่นคงในประเทศไทย ยูโอบีได้ช่วยเหลือให้ GAC Aion ได้เข้ามาทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเติบโตในประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จเพราะธนาคารมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นอย่างดี ยูโอบีพร้อมมอบความช่วยเหลือเพิมเติมให้แก่บริษัทเพื่อสนับสนุนความต้องการในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค และการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์สีเขียวต่อไปในอนาคต

บันทึกความเข้าใจนี้สืบเนื่องจากที่ GAC Aion ได้เปิดตัว Aion Y Plus รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายในต่างประเทศเป็นที่แรกในประเทศไทย โดยเมื่อปี 2565 บริษัทได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในต่างประเทศ และเลือกภูมิภาคอาเซียนที่ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีประเทศไทยเป็นจุดหมายแรกในการปักธงธุรกิจ ธนาคารยูโอบีนำโดยหน่วยงานที่ปรึกษาด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Advisory Unit) พร้อมด้วยผู้จัดการลูกค้าสัมพันธ์ และ หน่วยบริการธุรกิจจีนได้ร่วมให้คำแนะนำในการขยายธุรกิจแก่บริษัทในทุกมิติ ทำให้ Gac Aion สามารถจัดตั้งบริษัทย่อย จดทะเบียนลงทุนทางตรงในต่างประเทศ และส่งออกรถยนต์รุ่น Y Plus มาทำตลาดในไทย นอกจากนี้ธนาคารยังให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยสามารถชำระเงินเป็นสกุลเงินบาท และโอนเงินโดยตรงให้แก่บริษัทที่จีนเป็นสกุลเงินหยวนได้ทันที”

โอเชียน หม่า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วหลังจากที่บริษัทได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจต่างประเทศ เราได้เรียนรู้และสานสัมพันธ์กับธุรกิจในประเทศต่างๆ ผ่านเครือข่ายระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งของธนาคารยูโอบีทำให้เรามีข้อมูลและรับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเวลาขยายธุรกิจออกนอกประเทศ อีกทั้งธนาคารยังช่วยเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างบริษัทกับตัวแทนจากภาครัฐทั่วภูมิภาคอาเซียนที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางโจว และตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ยูโอบีจึงไม่เป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินแต่เป็นคู่คิดที่อยู่เคียงข้างเราในทุกๆ ก้าวของการเดินทาง”

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Y Series ทุกรุ่น Gac Aion มีแผนที่จะตั้งโรงงานและใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยและประเทศอื่นๆ

กู่ ฮุ่ยหนาน กรรมการผู้จัดการบริษัท GAC Aion New Energy Automotive Co., Ltd กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทมีแผนจะใช้ประเทศไทยเป็นที่แรกเพื่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายในการขยายธุรกิจส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศ ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากธนาคารยูโอบีในการเข้ามาทำตลาดในภูมิภาคนี้เป็นอย่างดี บริษัทพร้อมจะเติบโตไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและยินดีที่จะร่วมงานกับธนาคารเพื่อเสริมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่ทุกคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ซินเทีย ซิง, Head of Corporate Banking, ธนาคารยูโอบี ประเทศจีน กล่าวว่า “ยูโอบีรู้สึกยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจาก GAC Aion พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นว่าการลงนามในข้อตกลงร่วมครั้งนี้จะกระชับความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนของธนาคารในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินหลักของ Aion และ GAC Aion ที่พร้อมสนับสนุนการขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียนผ่านการให้สินเชื่อหมุนเวียนทางธุรกิจ โซลูชันทางการเงินเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน (global markets)และกิจกรรมในตลาดทุน (capital markets)”

· ในปี 2567 ยอดจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มเป็น 17.9 ล้านคัน

· ในปี 2570 รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จะมีราคาเทียบเท่ารถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ในขนาดและรูปร่างคล้ายกัน

· ในปี 2573 มากกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดการจัดส่งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก (แบบใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด) ในปี 2566 มีปริมาณเกือบ 15 ล้านคัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 19% ในปี 2567 คิดเป็นยอดรวม 17.9 ล้านคัน

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2567 ปริมาณการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด ตั้งแต่ รถยนต์ (Cars) รถโดยสาร (Buses) รถตู้ (Vans) และรถบรรทุกขนาดใหญ่ (Heavy Trucks) จะมียอดรวมที่ 18.5 ล้านคัน โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็น 97% ของยอดการจัดส่งยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในปีหน้า

การ์ทเนอร์คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วโลกจะเติบโตจาก 9 ล้านคันในปี 2565 เพิ่มเป็น 11 ล้านคัน ภายในสิ้นปี 2566 โดยคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จะเติบโตช้าลงเล็กน้อยจาก 3 ล้านคัน ในปี 2565 เพิ่มเป็น 4 ล้านคันในปี 2566

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “สัดส่วนของรถ PHEV คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศต่าง ๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น โดยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศเหล่านั้นชื่นชอบรถ PHEV มากกว่ารถ BEV โดยผู้บริโภคในสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาเลือกใช้รถ PHEV มากกว่า BEV เนื่องจาก PHEV มีความสามารถที่ผสมผสานระหว่างการขับขี่ในเมืองที่ไร้มลพิษด้วยพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์ และยังมอบความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเพื่อการเดินทางที่ยาวนานและไกลขึ้น ซึ่งในตลาดยุโรปตะวันตก จีน และอินเดียแตกต่างออกไป โดยรถ PHEV ได้รับความสนใจน้อยกว่า BEV เนื่องจากผู้บริโภคในตลาดเหล่านี้ให้ความสำคัญกับต้นทุนการใช้งานโดยรวมที่ต่ำกว่า รวมถึงประสบการณ์การขับที่เงียบกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

ในปี 2573 จำนวนรถยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตออกมาทั้งหมด จะเป็น EV มากกว่า 50%

การตัดสินใจของภาครัฐบาลที่มุ่งมั่นลดการปล่อยฝุ่นละอองจากยานพาหนะและการริเริ่มโครงการสนับสนุนในบางประเทศ อาทิ การออกกฎหมายเพื่ออนุญาตให้จำหน่ายเฉพาะยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และการออกข้อบังคับให้ต้องใช้รถ PHEV เป็นอย่างน้อย อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ โดยผู้ผลิตรถยนต์บางรายกำลังมองหาวิธีกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากท่อไอเสียของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ๆ ภายในปี 2578 และบางรายตั้งเป้าที่จะบรรลุยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯ ให้ได้ 40% ถึง 50% ต่อปี ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าได้นำไปสู่การเปิดตลาดใหม่ ๆ ของแพลตฟอร์มการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV Platform)

“กฎระเบียบด้านมลพิษที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตต้องเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ที่ทำการตลาดอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2573” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่มในปี 2570 รถ BEV จะมีราคาเท่ากับรถ ICE ที่มีขนาดและรูปแบบคล้ายกัน

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ยังคาดว่า ภายในปี 2570 ราคาเฉลี่ยของรถ BEV จะเท่ากับรถยนต์ ICE ที่มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเร่งให้เกิดการใช้ EV ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2573 การผลิตไฟฟ้าและประสิทธิภาพเครือข่ายจะเป็นปัจจัยกำหนดการใช้งาน EV ให้แพร่หลายเหนือกว่าปัจจัยด้านราคา

“เว้นแต่ในประเทศต่าง ๆ จะจูงใจผู้ขับขี่รถ EV ให้ชาร์จแบตเตอรี่นอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้การเปลี่ยนไปใช้รถ EV อาจสร้างความต้องการที่มากขึ้นเพิ่มเติมทั้งในด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในการจ่ายไฟ” ดาเวนพอร์ต กล่าวเพิ่ม

“การใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบกลางวันและกลางคืน (Dual Day and Night) หรือแม้แต่การใช้อัตราค่าไฟฟ้ารายครึ่งชั่วโมง (Half-Hourly Electricity Tariffs) สามารถจูงใจผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้หันมาชาร์จไฟนอกช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก (Peak Times) ซึ่งจะต้องมีการนำมาตรวัดพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะมาใช้เป็นวงกว้าง นอกจากนั้น ความสามารถของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในการควบคุมเครื่องชาร์จ EV โดยตรงผ่านการเชื่อมต่อจากระบบหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึ่ง หรือ Application Programming Interfaces (API) จะทำให้การชาร์จ EV ถูกลดทอนลงชั่วขณะระหว่างช่วงเวลาที่มีการบริโภคสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าความต้องการการใช้ไฟฟ้าจะไม่มากเกินไป” ดาเวนพอร์ต กล่าวสรุป

 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายธีระ ทองวิไล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มอบรางวัลใหญ่รถยนต์ไฟฟ้า NETA  มูลค่า 760,000 บาท  ให้กับ ร.ต หญิง ผกามาศ วัฒนภักดี และครอบครัว  ลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อทาวน์โฮมบ้านพฤกษาศรีนครินทร์-บางนา จากแคมเปญ ‘จึ้ง! ช้อปบ้าน ลุ้นรถยนต์ไฟฟ้า’ ที่ได้รวมโครงการทาวน์โฮม 4 แบรนด์ยอดนิยม ได้แก่  บ้านพฤกษา, พฤกษาวิลล์, เดอะคอนเนค, และพาทิโอ ทุกทำเล รวม 76 โครงการเข้าร่วมแคมเปญ

สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญาช่วงวันที่ 15 ตุลาคม ถึง 30 ธันวาคม 2565  ที่ผ่านมา  โดยมอบรางวัลเอาใจสายรักษ์โลกให้กับลูกค้าผู้โชคดีรวม จำนวน 36 รางวัล ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า NETA, จักรยานยนต์ไฟฟ้า จักรยานไฟฟ้า และโซลาร์รูฟ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคา มูลค่ารวมกว่า 2.5 ล้านบาท 

เพื่อแทนคำขอบคุณที่ลูกค้ามาร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวพฤกษา ซึ่งลูกค้าได้ให้การตอบรับอย่างล้นหลาม ด้วยยอดขายรวมจากแคมเปญกว่า 2,000 ล้านบาท  โดยพฤกษามุ่งมั่นส่งมอบบ้านและคุณภาพการอยู่อาศัยดีที่สุดให้กับคนไทย ภายใต้การพัฒนาบ้านและโครงการด้วยแนวคิดอย่างยั่งยืน อยู่ดีมีสุข Live well Stay well ควบคู่ไปด้วยกัน

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click