คนไทยนอกจากจะต้องรับมือกับอากาศร้อนชื้น ยังต้องเจอกับกับแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามาในบ้านของเราโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ 'ยุงลาย' ซึ่งเติบโตในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยได้ดี และมักจะสร้างความรำคาญให้แก่เราด้วยการกัดตามร่างกาย ทำให้เกิดตุ่มแดงคัน อาการแพ้ หรือแผลเป็น แถมยังทำให้เรามีโอกาสเป็น 'โรคไข้เลือดออก' ซึ่งทำให้เรามีไข้สูง และอาจมีอาการรุนแรงจนอันตรายถึงชีวิต โดยกรมควบคุมโรคเผย ปี 2566 มีตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกสูงถึง 156,079 ราย และเสียชีวิต 175 ราย ! วันนี้ นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต จะมาเล่าถึงความอันตรายของโรคไข้เลือดออก พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและรักษา เพื่อจะได้รับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกวิธี

‘ไข้เลือดออก’ ขั้นรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิต!

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยโรคนี้ไม่ได้ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่ติดต่อผ่านทางยุงลายที่เป็นพาหะนำโรค ไปกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อนแล้วมากัดอีกคนหนึ่งในภายหลัง "ปกติหากเราติดโรคไข้เลือดออกครั้งแรกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก คนไข้มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง บางรายมีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ขาดน้ำ บางรายมีเลือดออกรุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้" นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล อธิบาย

โรคไข้เลือดออก สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือ ระยะไข้สูง (Febrile phase) ซึ่งผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน มากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ แต่จะมีอาการร่วมอื่นๆที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และไข้มักจะลดลงในระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ส่วนระยะที่สองคือ ระยะวิกฤต (Critical phase) หลังจากระยะไข้ ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่จะเข้าสู่ระยะวิกฤตในวันที่ 5-7 ของไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีการรั่วไหลของน้ำออกจากหลอดเลือด ในบางครั้งอาจมีความรุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเดงกีช็อก และมีโอกาสเสียชีวิตได้ ระยะสุดท้ายคือ ระยะฟื้นฟู (Recovery phase) หลังจากผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีอยู่ในระยะวิกฤตนานประมาณ 24-48 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยเป็นช่วงที่ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวจนอาการต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับ

แพทย์แนะ ฉีดวัคซีน 'ไข้เลือดออก' กันติดเชื้อได้ 80%

โรคไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นได้ทุกคนเมื่อโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยเฉพาะในเด็ก ๆ ช่วงอายุ 5-14 ปี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยมากที่สุด โดยทุกคนสามารถป้องกันตัวเองได้หลายวิธี เช่น ทายากันยุง ใส่เสื้อให้มิดชิด และดีที่สุดควรเลี่ยงการโดนยุงกัด แต่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ตลอด ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล เล่าถึงการฉีดวัคซีนว่า "ปัจจุบันวัคซีนไข้เลือดออกครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนคิวเดงกา (Qdenga) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 เดือน สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 80% อีกทั้งยังป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความรุนแรง ลดโอกาสช็อกได้ถึง 90% ซึ่งตัววัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 – 60 ปี ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แต่จะมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยHIV เป็นต้น รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร"

วิธีการรักษา 'โรคไข้เลือดออก'

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ การรักษาโรคจึงเน้นรักษาตามอาการ และระยะของโรค เช่น การรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือเริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤต ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะสารน้ำรั่วไหลออกจากหลอดเลือด เลือดออกอย่างรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะช็อก หรือเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

"ทุกวันนี้อุณหภูมิของโลกค่อย ๆ สูงขึ้น ส่งผลให้ยุงลายแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น โอกาสที่เราจะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทางที่ดีเราจึงต้องป้องกันตัวเอง โดยการเลี่ยงการโดนยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบ ๆ บ้าน พร้อมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไข้เลือดออกนั้นสามารถเป็นซ้ำได้ตลอดชีวิต เวลาติดเชื้อขึ้นมาจะได้ป้องกันอาการรุนแรง และสามารถฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ไวขึ้น" นพ.บารมี พงษ์ลิขิตมงคล กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจต้องการปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ ชั้น 3 ศูนย์อายุรกรรม หรือโทรศัพท์นัดหมาย 02-079-0030 เวลา 07.00-20.00 น. หรือสามารถเรียกรถฉุกเฉินได้ที่ เบอร์โทร 02-079-0191

โรงพยาบาลวิมุต คิกออฟแคมเปญ “ViMUT Healthy 50Plus” สุขภาพในฝันหลังอายุ 50+เชิญชวนคนไทยวัยเก๋าเตรียมความพร้อมในเรื่องสุขภาพ เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีความสุข พร้อมจัดงาน “Healthy 50Plus Health Fair” เพื่อสร้างสุขภาพในฝันหลังอายุ 50+ ทั้งตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รู้เท่าทันโรคภัย พร้อมรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ช่วยลดปัญหาเรื่องการสูญเสีย ลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้สูงวัยและสมาชิกในครอบครัว ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

กระทรวงสาธารณสุขไทยได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2566 เป็น “ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนทราบว่าประเทศของเราจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2572 จากรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (Kasikorn Research Centre) การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรนี้ จะนำมาซึ่งความจำเป็นเร่งด่วนในด้านบริการสาธารณสุขและการสนับสนุนด้านสุขภาพที่ครอบคลุม

 

รพ.วิมุต จัดงาน Healthy 50Plus Health Fair ขึ้นเพื่อนำเสนอกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทั้งการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงวัย การจัดบูธบริการให้คำปรึกษาและตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย อาทิ ตรวจวัดความดัน เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว, ตรวจวัดลานสายตา, ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก, ตรวจแสกนเท้า และตรวจวัดมวลไขมันในร่างกายด้วยเครื่อง Inbody (จำกัด 100 สิทธิ์/วัน) สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://register.vimut.com/healthy-50-plus นอกจากนี้ยังมีการบรรยายสุขภาพในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยโดยแพทย์เฉพาะทางจากหลากหลายสาขา มาพร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล และบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากมาย และเอาใจวัยรุ่นยุค 90 ในวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม เวลา 10.30 น. พบกับ มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ที่จะมาร่วมสร้างความสุขและพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพของคนวัยเก๋า บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!

 

สำหรับโปรโมชันงาน Healthy 50Plus Health Fair เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ 21 ก.ค. – 31 ส.ค. 2566 และสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่ 21 ก.ค. – 30 ก.ย. 2566 หรือติดตามข่าวสารจากโรงพยาบาลวิมุตได้ที่เว็บไซต์ www.vimut.com; เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/vimuthospital; อินสตาแกรม: vimut_hospital; ไลน์: @vimuthospital หรือโทร. 02-079-0000

“โอย ปวดท้องจัง!” เมื่อได้ยินคนข้าง ๆ ร้องขึ้นมาแบบนี้ เราอาจคิดถึงอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหลัก ๆ ไม่กี่แบบ เช่น โรคกระเพาะอาหาร อาหารเป็นพิษ หรือท้องอืดท้องเฟ้อ แต่แพทย์เตือนให้เราสังเกตลักษณะอาการปวดท้องให้ดี เพราะอาการเจ็บป่วยทั่วไปนี้อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนภาวะโรคร้ายแรงอื่น ๆ ไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว

อาการปวดท้อง ไม่เท่ากับ โรคกระเพาะเสมอไป

โรคกระเพาะอาหาร เป็นคำเรียกรวมกว้าง ๆ ของอาการปวดท้องที่คาดว่าน่าจะมีความผิดปกติที่กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ หรือมีแผล อาการปวดด้วยโรคกระเพาะมักจะปวดใต้ลิ้นปี่ เป็นอาการปวดจุก เสียด แน่น หรือแสบท้อง อึดอัดท้องหลังมื้ออาหาร หรืออิ่มเร็วกว่าปกติ โดยบางรายอาจมีอาการของกรดไหลย้อนร่วมด้วย เช่น แสบร้อนกลางหน้าอก เรอเปรี้ยว

พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่หมออยากแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารก็คือการกินข้าวไม่ตรงเวลาไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะ โดยทั่วไป อาการกระเพาะอาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหารมี 2 สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นที่ชื่อว่า Helicobacter pylori และการกินยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้กระเพาะอาหารหรือลำไส้เกิดเป็นแผลได้ สาเหตุที่เหลืออาจเป็นอย่างอื่น เช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ถ้าสงสัยว่าอาการปวดท้องเป็นจากโรคกระเพาะ สามารถทานยาลดกรดเพื่อรักษาเบื้องต้นก่อนได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแนะนำมาพบแพทย์เพื่อพิจารณาตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป”

ดังที่กล่าวไปว่าหากรักษาเบื้องต้นไม่หาย เราควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่แท้จริง เช่น หากปวดจุกลิ้นปี่สงสัยโรคกระเพาะก็พิจารณาส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น หากปวดท้องหนักมาก ปวดเกร็งทั้งท้อง นอนไม่ได้เลย อาจเป็นอาการจากกระเพาะอาหารทะลุ ซึ่งการเอกซเรย์ธรรมดาก็สามารถเห็นได้และสามารถผ่าตัดได้เลย นอกจากนี้ยังมีการอัลตราซาวด์ช่องท้องซึ่งใช้ตรวจความผิดปกติของตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดีหรือนิ่วในท่อน้ำดี นอกจากนี้ยังมีการสืบค้นด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือ การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ตามดุลยพินิจของแพทย์

เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องของเราเป็นแบบไหน?

ในทางการแพทย์ เราแบ่งลักษณะการปวดท้องออกเป็น 3 แบบ” พญ.สาวินี จิริยะสิน อธิบาย “แบบที่ 1 คือปวดจากอวัยวะภายใน ซึ่งจะเป็นการปวดแบบปวดลึก ปวดบิด ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ส่วนแบบที่ 2 คือการปวดท้องตามตำแหน่งของอวัยวะนั้น ๆ สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน และแบบที่ 3 คือการปวดร้าว ซึ่งเป็นการปวดที่ร้าวหรือแผ่ไปยังบริเวณอื่น ๆ ตามการลำเลียงของเส้นประสาท เช่น ปวดท้องใต้ลิ้นปี่แล้วปวดร้าวไปที่บริเวณหลัง คิดถึงโรคตับอ่อนอักเสบ หรือ ปวดท้องแล้วร้าวลงขาหนีบ คิดถึงนิ่วในท่อไต เป็นต้น”

 

ลักษณะอาการปวดท้องที่คนไข้สามารถสังเกตตัวเองได้คือแบบที่ 2 หรือการปวดท้องตามตำแหน่งของอวัยวะ ซึ่งในทางการแพทย์จะแบ่งช่องท้องของคนไข้เป็น 9 โซน ได้แก่

โซน 1: ช่องท้องด้านขวาบนจะเป็นอวัยวะเช่น ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคฝีหนองในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ฯลฯ

โซน 2: กลางลำตัวบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งเป็นบริเวณของกระเพาะอาหาร ตับอ่อน อาการปวดอาจเกิดจากกระเพาะอาหารอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือภาวะตับอ่อนอักเสบ

โซน 3: ช่องท้องด้านซ้ายบน เช่น ม้าม (อาจเกิดจากการขาดเลือดของม้าม ซึ่งเจอได้น้อยในเวชปฏิบัติ)

โซน 4, 6: บริเวณเอว หมายถึง ด้านข้างสะดือซ้ายและขวา อวัยวะได้แก่ ไต ท่อไต ลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากกรวยไตอักเสบ นิ่วในท่อไต ลำไส้ใหญ่อักเสบ ไปจนถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่

โซน 5: ตรงกลางท้องรอบสะดือ อวัยวะคือลำไส้เล็ก ที่อาจเกิดจากลำไส้เล็กอักเสบหรือไส้ติ่งอักเสบในระยะเริ่มต้น

โซน 7, 9: ท้องน้อยด้านซ้ายและขวา ซึ่งนอกจากไส้ติ่งที่ช่วงแรกจะมีอาการปวดรอบสะดือ หลังจากนั้น 6-8 ชั่วโมง จะมีการย้ายตำแหน่งมาปวดบริเวณขวาล่างเมื่อการอักเสบลุกลามมากขึ้น อวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ปีกมดลูก รังไข่ และลำไส้ใหญ่ทั้งสองด้าน โดยอาจเกิด ปีกมดลูกอักเสบ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ กระเปาะของลำไส้ใหญ่โป่งพองอักเสบ ซึ่งมักพบด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา

โซน 8: บริเวณท้องน้อยเหนือหัวหน่าว จะเป็นส่วนของกระเพาะปัสสาวะ มดลูก ซึ่งอาจเกิดจาก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งต้องซักประวัติตกขาว ประจำเดือนเพิ่มเติม และแนะนำปรึกษา สูตินรีแพทย์

โพรไบโอติกส์ ช่วยสร้างสมดุลระบบทางเดินอาหารได้จริงหรือ?

ลำไส้ใหญ่ของเราเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ราวห้าร้อยชนิดซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี การศึกษาทางการแพทย์พบว่าจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีความสำคัญต่อสุขภาพหลัก ๆ มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) กับ ไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) โดยพบว่าในลำไส้ของคนที่ป่วยมักมีจุลินทรีย์สองชนิดนี้น้อยกว่าคนปกติ ฉะนั้น หากเราเติมจุลินทรีย์ที่ดีในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติกส์เข้าสู่ร่างกายก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ และมีงานวิจัยสนับสนุนด้วยว่าโพรไบโอติกส์สามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียหรือลำไส้แปรปรวน ตลอดจนช่วยปรับสมดุลลำไส้ได้

อาการปวดท้องแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์

“หากเรามีอาการปวดท้องรุนแรงมากและต่อเนื่องเกิน 6 ชม. ร่วมกับมีไข้ อาเจียนอย่างมาก มีเลือดออกทางเดินอาหาร ปวดร้าวทะลุหลัง ปวดเกร็งทั้งท้อง ฯลฯ อาการเหล่านี้อาจเป็นโรคที่ต้องมีการผ่าตัดเร่งด่วน หรือได้รับการรักษาทันที เช่น กระเพาะทะลุ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น หรือ อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการแท้งบุตร หรือท้องนอกมดลูกก็ต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีเช่นกัน” พญ.สาวินี จิริยะสิน กล่าวสรุป

 ผู้สนใจรับการตรวจรักษาโรคหรือปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุต ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน 

Cr: โรงพยาบาลวิมุต

ตัวเลขประชากรทั่วโลกชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า หลายประเทศรวมถึงไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระยะแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พฤกษา โฮลดิ้ง โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 เพิ่มขึ้นทั้งยอดขาย รายได้และกำไร ทำยอดขาย 7,225 ล้านบาท เติบโต 106% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งปีแรก 2564 มียอดขายรวม 14,165 ล้านบาท เติบโต 48% ครึ่งปีหลังรุกการตลาดดิจิทัลเต็มสตีม ดักจับลูกค้าออนไลน์ครอบคลุมทุกช่องทาง ด้านรพ.วิมุต คาดทั้งปีรายได้มาตามนัด  ผุดบริการ “Safe Save Surgery” ผ่าตัดเร่งด่วนพักฟื้นวันเดียว รับมือคนไข้ผ่าตัดที่รอไม่ได้ช่วงโควิด-19 พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเข้าใช้บริการ

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส  2 ประจำปี 2564 ว่า "แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะมีการชะลอตัวจากวิกฤติโควิด-19 แต่ด้วยที่อยู่อาศัยยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เป็นพื้นฐานสำคัญและตลาดยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับที่ผ่านมาพฤกษามีการปรับตัวเน้นการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับจัดแคมเปญส่งเสริมตลาดให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ทำให้ยังคงรักษาการเติบโตได้ดี โดยในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนบริษัทฯ ทำยอดขาย 7,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% ทำรายได้ 6,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% และมีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และสามารถลดสินค้าคงค้าง (Inventory) ลงไปได้ถึง 58% พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 9 โครงการ ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มียอดขายรวม 14,165 ล้านบาท เติบโต 48%  มีรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ 13,222 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกที่ 1,034 ล้านบาท โดยเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีแรกไปแล้ว 14 โครงการ มูลค่า 8,792 ล้านบาท”   

“สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง มีแผนเปิดโครงการใหม่ 15  โครงการ มูลค่า 17,838 ล้านบาท  ซึ่งหลังจากมีการปลดล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้าง บริษัทฯ ได้กลับมาเร่งงานก่อสร้างต่อภายใต้มาตรการ Bubble and Seal ซึ่งในครึ่งปีหลังมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 7 โครงการและจะทยอยส่งมอบในปีนี้  ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ที่วางไว้ 32,000 ล้นบาท นอกจากนี้ยังเน้นเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านทางออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ควบคู่กับการออกแคมเปญให้ตรงกับความต้องการลูกค้า โดยในไตรมาส 3 ร่วมกับ ‘เอไอเอส’ ออกแคมเปญ “โปรแรงขั้นสุด ชีวิตสนุกกว่า” ที่ให้ลูกค้าอยู่ฟรีสูงสุด 36 เดือน ฟรีค่าส่วนกลางสูดสุด 36 เดือน ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และส่วนลดต่าง ๆ แล้ว ลูกค้ายังจะได้รับแพ็กเกจสัญญาณอินเทอร์เน็ตบ้านเอไอเอส ไฟเบอร์ พร้อมด้วยบริการ AIS PLAY  ฟรีอีก 1 ปี ซึ่งเป็นความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตในบ้านที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น” นายปิยะกล่าว 

นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าธุรกิจโรงพยาบาลวิมุต ว่า “ขณะนี้โรงพยาบาลวิมุตได้เปิดศูนย์บริการต่าง ๆ อาทิ เช่น ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์สมองและประสาท ศูนย์สุขภาพ ศูนย์ผิวหนังและความงาม โดยในช่วงโควิด-19 โรงพยาบาลวิมุต ได้เปิดตัวบริการ Safe Save Surgery” ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลานอนพักฟื้นระยะสั้น โดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ล่าสุด และควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยสามารถผ่าตัดได้หลากหลาย อาทิ นิ่วในถุงน้ำดี เนื้องอกมดลูก ผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร ต่อมลูกหมากโต ต้อกระจก เป็นต้น  ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากพักฟื้นเพียงวันเดียว หรือเท่าที่จำเป็น โดยสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาและฟักฟื้น และตกลงค่าใช้จ่ายในราคาพิเศษ เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้กับคนไข้ นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงปัจจุบัน รพ.วิมุตได้ร่วมมือกับภาครัฐ เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงต่างประเทศ ฯลฯ จัดฉีดวัคซีนตามนโยบายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 เข็ม แล้ว   ในด้านความคืบหน้าของการเปิดจองวัคซีนโมเดอร์น่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลปิดรับจองและดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนจากองค์การเภสัชกรรมเรียบร้อยแล้วครบตามจำนวนโดสสำหรับผู้ที่จองและชำระเงินตามกำหนดเวลา ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดสรรลำดับการฉีดวัคซีน จะทยอยเข้ารับวัคซีนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป (ตามกำหนดการส่งมอบวัคซีนจากบริษัทฯ)

ในปีนี้โรงพยาบาล ซึ่งเปิดตั้งแต่ พฤษภาคม 64 จะสามารถทำรายได้ทะลุเป้าเดิม 375 ล้านบาท ไปเป็น 500 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโตในปีถัดไป ประมาณ 15-20% ส่วนการลงทุน ViMUT Health Center ที่โครงการ Pruksa Avenue ในย่านบางนา-วงแหวน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใช้งบลงทุนรวม 150 ล้านบาท ขนาด 50 เตียง ซึ่งจะเป็นศูนย์สุขภาพ ที่ครอบคลุมบริการที่หลากหลาย อาทิ คลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปลายปี 2565

นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังมีมาตรฐานเพิ่มความอุ่นใจเมื่อมาใช้บริการ ได้แก่ ระบบคัดกรองก่อนเข้าอาคารหากพบว่ามีความเสี่ยงกับเรื่อง COVID-19 จะพาเข้าตรวจรักษาที่ห้องความดันลบบริเวณ ER  และด้านนอกมีระบบกรองอากาศโดย HEPA Filter และฆ่าเชื้อด้วย UVC เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไม่ให้เข้าสู่อาคาร, ที่นั่งพักรอของแผนกและศูนย์ต่างๆ ซึ่งมีพื้นที่โล่งกว้าง ลดความแออัด, ระบบปรับอากาศภายในอาคารป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ซึ่งจะปรับระดับความดันภายในอาคาร ความชื้นและอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม, เติมอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่อาคาร 100% ด้วยการกรองอากาศทุก 2 ครั้งต่อชั่วโมง เพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ลดการสะสมของเชื้อโรค, ยกระดับความสะอาดภายในห้องตรวจต่างๆ การไหลเวียนของอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล  พร้อมทีมแพทย์สหสาขาและเครื่องมือที่ทันสมัย ยืนหยัดให้บริการดูแลสุขภาพในทุกสถานการณ์”

X

Right Click

No right click