ยกระดับนวัตกรรมรักษ์โลก และการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างปลอดภัย

สนับสนุนการเติบโตพร้อมบุกเบิกโอกาสใหม่ในภาคอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว พร้อมวางกลยุทธ์สร้างพันธกิจ เพื่อผลักดันให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นในระยะยาว สู่การเป็นองค์กรที่มุ่งสู่ความยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายระยะกลาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2573 โดยวางแผนรองรับที่สามารถทำได้จริง ซึ่งการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดสำหรับที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในแผนดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุพันธกิจและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นผลในระดับมหภาค พร้อมหนุนให้ลูกบ้านศุภาลัยได้อยู่อาศัยในบ้านประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง พร้อมติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” ตั้งเป้าเพื่อพิชิตยอด 15,000 หลัง ภายในปี 2571 โดยปัจจุบันได้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการที่จะดำเนินการติดตั้งไปแล้วกว่า 30 % ครอบคลุมกว่า 29 จังหวัด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสามารถคำนวณยอดผลิตกระแสไฟฟ้ารวมได้ 82,300 เมกะวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 49,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เสมือนการปลูกต้นไม้ทดแทน 3.2 ล้านต้น และลูกบ้านศุภาลัยสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 20,000-30,000 บาทต่อปี และในอนาคต บริษัทฯ มีแผนพัฒนาเพิ่มช่องทางการ Tracking ติดตามพร้อมควบคุมการผลิตกระแสไฟฟ้าผ่าน Application : SABAI สามารถใช้งานได้อย่างครบวงจรมากขึ้น

นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความเข้าใจเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ตระหนักและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ จึงพร้อมคิดค้นนวัตกรรมด้านการก่อสร้าง การออกแบบ รวมถึงการพัฒนาวัสดุก่อสร้างร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าที่อยู่อาศัยของศุภาลัยในทุกประเภทเป็น “บ้านรักษ์โลก” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผ่าน 5 แกนหลักของลูกค้า ดังนี้

  1. นวัตกรรมเพื่อการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ออกแคมเปญ “Supalai Self-Provedเชิญชวนพิสูจน์ผลลัพธ์ของนวัตกรรมการก่อสร้างอย่างรักษ์โลก ผ่าน Supalai Waste Meter มาตรวัดปริมาณขยะจากการก่อสร้างโดยให้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และนวัตกรรมด้านต่าง ๆ อาทิ การออกแบบบ้าน/อาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การออกแบบเพื่อลดเศษวัสดุเหลือใช้ การออกแบบเพื่อลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งในนวัตกรรมบางอย่างที่ต้องอาศัยการผลิตขึ้นมาใหม่ ศุภาลัยจึงได้ร่วมหารือ คิดค้นและพัฒนาร่วมกับคู่ค้าทางธุรกิจ เช่น SCG TOA DOS CPAC เป็นต้น เพื่อผลิตวัสดุที่ตอบโจทย์ลูกค้าของบริษัทฯ และยังสามารถนำไปจัดจำหน่ายให้กับคนทั่วไปได้อีกด้วย
  2. การเป็นบ้านประหยัดพลังงาน มีการออกแบบวางผังตัวบ้าน/ตัวอาคารให้อยู่ในแนวเหนือใต้เพื่อหลบแดดและรับลม เน้นการออกแบบช่องเปิดประตูหน้าต่างหลายทิศทางเพื่อการระบายอากาศที่ดี และมีการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยระบายความร้อน จนได้รางวัลการันตีด้านการออกแบบประหยัดพลังงานอีกทั้งเลือกใช้เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 
  3. การออกแบบเพื่อคนทุกวัย(Universal Design)  โดยบริษัทฯ คำนึงถึงการออกแบบฟังก์ชันภายในบ้าน และการใช้งานต่างๆ เพื่อรองรับทุกเพศ ทุกวัยให้ได้รับความสะดวกสบาย ความปลอดภัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะฟังก์ชันเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ออกแบบห้องนอนในชั้นล่าง พร้อมใช้วัสดุปูพื้นที่ช่วยลดการลื่นและการกระแทก ออกแบบบานประตูเลื่อน ไม่มีธรณีประตู ลดความต่างระดับ สำหรับกรณีการใช้รถเข็นได้สะดวกยิ่งขึ้น
  4. การปฏิวัติใช้พลังงานสะอาด นอกจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ และจุดติดตั้งEV Charger ให้กับลูกบ้านศุภาลัยกว่า 15,000 หลังทั่วประเทศแล้ว ศุภาลัยมีความมุ่งมั่น และจริงจังเพื่อพิชิตเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2030  และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดย อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ ติดตั้งโซลาร์ เซลล์ 450 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 330,397 กิโลวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 198 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประหยัดค่าไฟฟ้าได้กว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี และยังมีการติดตั้ง ณ สำนักงานขายทั่วประเทศ และสโมสรส่วนกลาง สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าส่วนกลางให้กับลูกบ้านได้อีกด้วย
  5. กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนนโยบายระดับประเทศด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการให้ความสำคัญและส่งเสริมงานด้านความยั่งยืนในมิติการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วนขององค์กร อาทิ การปลูกต้นไม้บนที่ดินของบริษัทฯเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์,เปลี่ยนการใช้ปุ๋ยเคมี สู่ปุ๋ยอินทรีไบโอฯ,กิจกรรมร่วมแบ่งปันเสื้อผ้า และสิ่งของส่งต่อให้คนงานก่อสร้าง, สนับสนุนสินเชื่อ Green Loan

เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เชิญชวนพันธมิตรธุรกิจด้านเทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด และบริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมผนึกความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นสู่การเป็น No.1 “บ้านติดโซลาร์” โดยเฟสแรกได้ดำเนินแผนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ลูกบ้านศุภาลัย ประเดิม 1,500 หลังทั่วประเทศ พร้อมดูแลระบบติดตั้ง บำรุงรักษา รวมถึงความรู้ความเข้าใจด้านการใช้งาน และร่วมกันผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับลูกค้า ยังเป็นวิธีที่ช่วยไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดภาระให้แก่โลกโดยทุกคนสามารถทำได้และเข้าถึงได้ง่าย ๆ

นายโลแกน ยู ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ผู้ออกแบบโซลูชันอุปกรณ์แปลงผันกำลังไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน ตลอดจนระบบการจัดการและแสดงผลอัจฉริยะด้านดิจิทัลพาวเวอร์สำหรับทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน  หัวเว่ยจะดำเนินตามเป้าหมายเรื่องการส่งเสริมให้ทั้งภาคองค์กรและครัวเรือนในประเทศไทย ร่วมติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รายสำคัญของเราในประเทศไทย โดยหัวเว่ยจะสนับสนุนองค์ความรู้ทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี รวมทั้งช่วยพัฒนาโมเดลธุรกิจและการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโปรแกรม Smart Design 2.0 สำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัยและภาคธุรกิจของ บมจ.ศุภาลัย โดยร่วมกับไอออน เอเนอร์ยี่ ในการสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศไทย” 

หัวเว่ย ศุภาลัย และไอออน เอนเนอร์ยี่ ต่างมีวิสัยทัศน์ตรงกันในการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานที่ยั่งยืนเพื่อรองรับเทรนด์โลกในอนาคต จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมมือกันศึกษาและพัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาด ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง โดยทดแทนด้วยพลังงานสะอาดในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ของศุภาลัย เพื่อใช้เป็นต้นแบบเรื่องการบริหารจัดการพลังงานที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การต่อยอดและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต ในขณะที่ไอออน เอเนอร์ยี่ จะเป็นผู้ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการต่าง ๆ

โดยหัวเว่ย ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลในระดับโลก และมีบริการรวมถึงโซลูชันต่าง ๆ ที่ได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในตลาดมากกว่า 170 ประเทศ ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บพลังงาน การนำไปใช้งาน และความปลอดภัยในการใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ หัวเว่ยส่งเสริมให้ทั้งภาคองค์กรและครัวเรือนร่วมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ตามเป้าหมายเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ และตามพันธกิจของหัวเว่ยที่ต้องการ 'เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย' และ ‘การปลดปล่อยขุมพลังแห่งดิจิทัลเพื่ออนาคตที่ดีกว่า’

นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ION ผู้นำธุรกิจจัดหาโซลูชั่นพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ จัดหา และติดตั้ง รวมถึงการดูแลบริการหลังการขายสำหรับภาคครัวเรือน อสังหาริมทรัพย์ และองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีแนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพื่อลุยภารกิจพิชิต Net Zero สู่อนาคตที่ยั่งยืน เทรนด์ติดตั้ง Solar Roof มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย (Residential) ด้วยเหตุผลภาระค่าไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากความผันแปรของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและการซื้อไฟฟ้า ส่งผลให้ค่า FT มีการปรับตัวสูงขึ้น หากมีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะทำให้ภาพรวมภาระค่าไฟฟ้าต่อเดือนยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีกด้วย การเลือกใช้งานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรร่วมมือกันผลักดันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในทุกภาคส่วนของสังคมและสิ่งแวดล้อม

ไอออน ได้เล็งเห็นความสำคัญและร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ และภายใต้ความร่วมมือนี้ยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทระดับโลกอย่างบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานดิจิทัลมาร่วมออกแบบและติดตั้ง Solar Roof ให้กับบ้านในโครงการของศุภาลัย และเซ็ตมาตรฐานการติดตั้งด้วยอุปกรณ์แผงโซลาร์เซลล์ระดับ Tier 1 คู่กับ Huawei Inverter และ สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล (BCC) ที่ได้รับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยผู้ผลิตบริษัท Bangkok Cable เพื่อยกระดับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้ถูกต้องตรงตามมาตรฐานบ้านศุภาลัยทั้งในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ

สำหรับลูกค้าที่กำลังมองหา “บ้านประหยัดพลังงาน” หรือ “บ้านพร้อมโซลาร์”  เตรียมพบกับโครงการศุภาลัย ที่พร้อมเปิดขายในปีนี้ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยว บ้านสามชั้น บ้านแฝด โฮมออฟฟิศ รวมถึงคอนโดมิเนียม* ทั่วประเทศ (โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด) ซึ่งจะมาพร้อมโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษมากมาย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1720 หรือติดตามข้อมูลโครงการเปิดใหม่ในช่องทาง www.supalai.com และ Facebook: Supalai

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก หลายๆ ประเทศลงทุนเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมทั้งวางแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติในการยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ ประเทศเหล่านั้นเข้าใจดีว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งและระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคง คือตัวแปรสำคัญที่จะช่วยนำพาประเทศก้าวผ่านความซับซ้อนของกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันให้กับประเทศชาติ ปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนยังคงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลภายในภูมิภาคนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ด้วยจุดเด่นด้านยุทธศาสตร์เพื่อเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทย จึงเป็นแกนนำหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับภูมิภาค ทั้งยังเป็นมีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของภูมิภาคนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2559 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะเวลา 20 ปี หรือ ‘ประเทศไทย 4.0’ โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจมูลค่าสูง ผลักดันให้ประเทศได้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันโดยรวม โดยรัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง  เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรมและยกระดับประเทศไทยไปสู่การเป็นหนึ่งในประเทศรายได้สูง

เป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย

ในการเดินหน้ายกระดับความเป็นอัจฉริยะให้กับทุกอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเป้าหมายไปสู่รัฐบาลดิจิทัล ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และผลักดันประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน รัฐบาลไทยได้จัดสรรงบประมาณลงทุนปีละหนึ่งหมื่นล้านบาท เพื่อจัดตั้งคลังข้อมูลภาครัฐ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ Big Data และ AI มาใช้ อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลยังคงมีอุปสรรคที่ทำให้เป็นไปได้ยาก  

เปลี่ยนจากระบบแยกส่วนการทำงาน ไปสู่การใช้งานแบบรวมศูนย์ เพื่อต้นทุนรวมที่ต่ำลง

ประเทศไทยมีคลังข้อมูลภาครัฐกว่า 300 แห่ง ซึ่งมีสถาปัตยกรรมโครงสร้างระบบการจำลองเสมือน (virtualization) ที่แยกส่วนแบบเก่า การใช้งานในแบบกระจัดกระจายกันนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาที่มีข้อมูลบางส่วน สามารถเข้าถึงได้เฉพาะกลุ่ม หลายฝ่ายไม่สามารถเข้าถึงชุดข้อมูลเดียวกันได้ (data silos) ส่งผลให้การใช้งานทรัพยากรได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันการใช้งานและการบำรุงรักษาคลังข้อมูลจำนวนมากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายสูงตามมา รัฐบาลจึงมองหาแนวทางในการจัดตั้งระบบคลาวด์กลางของภาครัฐเพื่อรวบศูนย์การใช้งานคลังข้อมูลเหล่านี้ และเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บอกลาระบบ Virtualization แบบเก่า พร้อมอ้าแขนรับระบบคลาวด์

รัฐบาลไทยจึงมองหาเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ระบบการขนส่งอัจฉริยะ และอุตสาหกรรม 4.0  ระบบการจำลองเสมือน (virtualization) ของคลังข้อมูลแบบดั้งเดิม ไม่สามารถรองรับความต้องการเหล่านี้ได้ทัน รัฐบาลไม่ได้ต้องการแค่เพียงย้ายทรัพยากรไปสู่ระบบคลาวด์ แต่กำลังมองหาบริการระบบคลาวด์ที่ล้ำสมัยและครบวงจร ที่จะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของทรัพยากร มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของข้อมูล และช่วยผลักดันการเติบโตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

การสร้างมาตรฐานให้กับอธิปไตยทางดิจิทัล และการมองหาการสนับสนุนด้านการจัดการและบำรุงรักษา

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายที่จะสร้างอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereignty) ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้นั้น มาตรฐานที่เคร่งครัด ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ที่สามารถรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพสูง และการลงทุนมหาศาลด้านการจัดการและซ่อมบำรุง (O&M) ในระยะยาวล้วนเป็นสิ่งจำเป็น แต่ภาครัฐยังคงขาดผู้เชี่ยวชาญและทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนามาตรฐานและสอดคล้องกับข้อบังคับทางกฎหมายเพื่อให้คลาวด์มีความมั่นคงและเสถียรภาพสูง หรือมีความเป็นอธิปไตยทางดิจิทัล รัฐบาลจึงต้องการผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน สามารถกำหนดและนำมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนามาอย่างสมบูรณ์มาใช้ได้งานได้ทันที และที่สำคัญ สามารถให้ความสนับสนุนด้านการจัดการและซ่อมบำรุงได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดตั้งอธิปไตยทางดิจิทัลได้ตามเป้าหมาย

การใช้งานคลาวด์เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของอาเซียน      

ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (national government cloud) มีข้อกำหนดที่เคร่งครัดทั้งในด้านความมั่นคง การปฏิบัติตามมาตรการข้อบังคับทางกฎหมาย และคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการ ผลิตภัณฑ์ Huawei Cloud Stack ได้รับเลือกให้เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยสำหรับการวางระบบคลาวด์กลางภาครัฐ โซลูชัน Huawei Cloud Stack ซึ่งถูกนำไปใช้งานในหลายๆ หน่วยงาน ช่วยให้ลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กร สามารถติดตั้งระบบคลาวด์แบบไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูง มั่นคง และปลอดภัย โดยระบบมีการพัฒนาทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรการที่สอดคล้องกับกฎข้อบังคับทางกฎหมายของประเทศไทย และนวัตกรรมการบริการอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานคลาวด์ในเชิงลึกได้อย่างมั่นใจ และขับเคลื่อนการพัฒนาไปสู่ความเป็นอัจฉริยะได้เร็วยิ่งขึ้น  

  • อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์เพียงรายเดียวที่มีพื้นที่การให้บริการ (region) ในประเทศไทย และ Huawei Cloud Stack คือโซลูชันคลาวด์แบบไฮบริดแห่งแรกของอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับสมรรถนะโมเดลขนาดใหญ่ได้ Huawei Cloud Stack ยังใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้างเดียวกับคลาวด์สาธารณะ (public cloud) ของหัวเว่ย และมีการอัปเกรดฟีเจอร์บริการไปพร้อมๆ กันทั้งสองระบบอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบัน โซลูชัน Huawei Cloud Stack ให้บริการฟีเจอร์คลาวด์ที่สามารถใช้งานได้ทันทีมากกว่า 90 ฟีเจอร์ พร้อมด้วยโซลูชันที่หลากหลายรองรับความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้าแต่ละราย ไม่เพียงเท่านั้น Huawei Cloud Stack ยังรองรับสมรรถนะรอบด้านแบบ full-stack ครอบคลุมตั้งแต่ Big Data, AI, โมเดลผานกู่ และบล็อกเชน จึงสามารถรองรับการพัฒนานวัตกรรมการบริการด้านคลาวด์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอนาคต     

  • ระบบคลาวด์แบบรวมศูนย์ที่ประกอบด้วยหลายพูล (Pool)

Huawei Cloud Stack ได้รับเลือกนำมาใช้เป็นระบบคลาวด์กลางภาครัฐเพื่อรองรับแอปพลิเคชันการทำงานของทุกกระทรวงในประเทศไทย โดยมีโซลูชัน ManageOne ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการระบบคลาวด์ของ Huawei Cloud Stack ทำหน้าที่บริหารจัดการ VMware resource pool เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐยังคงสามารถสร้างคุณค่าจากทรัพยากรเหล่านี้ได้ โดยแต่ละหน่วยงานยังคงมี Virtual Data Center (VDC) ของตนเองและสามารถเรียกใช้ทรัพยากรได้ตามต้องการ จึงเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดหาทรัพยากรไอทีให้ดียิ่งขึ้น

  • ลดค่าใช้จ่ายด้านการปฏิบัติการและการซ่อมบำรุง

ทีมงานระดับมืออาชีพของ Huawei Cloud Stack พร้อมให้บริการด้านการปฏิบัติการและการซ่อมบำรุง (O&M) รวมไปถึงความช่วยเหลือทางออนไลน์ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลด้านการปฏิบัติการและการซ่อมบำรุงต่าง ๆ จากศูนย์ข้อมูลในท้องถิ่นจะถูกเก็บไว้ภายในประเทศไทย กรณีเกิดปัญหา สามารถเข้าไปจัดการแก้ไขได้ในแบบเรียลไทม์ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในระบบ สามารถระบุตำแหน่งและดำเนินการแก้ไขได้ภายในไม่กี่นาที กระบวนการด้านการปฏิบัติการและ
การซ่อมบำรุงยังได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการปฏิบัติการลงได้มาก

ด้วยโซลูชัน Huawei Cloud Stack หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐได้ภายใน 60 วัน ปัจจุบัน หลายหน่วยงานสามารถเข้าถึงบริการเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) ได้ภายในไม่กี่นาที รองรับการใช้งานบริการภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น แพลทฟอร์มระบบคลาวด์กลางภาครัฐรองรับการให้บริการแก่ 20 กระทรวง ครอบคลุมสำนักงานมากกว่า 219 แห่ง และระบบไอทีกว่า 3,065 ระบบ การใช้งานระบบคลังข้อมูลส่วนกลางนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีลงได้ปีละกว่า 850 ล้านบาท ในขณะเดียวกันยังสามารถปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการบริการภาคสาธารณะให้กับหน่วยงานภาครัฐของไทย ช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางด้านดิจิทัลแก่คนในประเทศ

การบริการสาธารณะด้านดิจิทัลที่เอื้อประโยชน์ต่อคนไทยมากขึ้น     

กรมการขนส่งทางบกพัฒนาโครงการสถานีขนส่งผู้โดยสารอัจฉริยะ ‘Smart Bus Terminal’ แพลทฟอร์มรถโดยสารอัจฉริยะที่เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วประเทศสามารถเข้าถึงตารางรถโดยสารออนไลน์ในแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การเดินทางในแต่ละวันง่ายขึ้น ในทำนองเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พัฒนาระบบแผนที่อาชญากรรมแบบหลายมิติ โดยเปลี่ยนจาก การออกตรวจพื้นที่มาใช้ระบบสแกน QR Code แทน จึงสามารถรายงานเหตุอาชญากรรมได้ในแบบเรียลไทม์ ระบบใหม่นี้ช่วยให้การสื่อสารระหว่างตำรวจและสาธารณะมีความง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแพลทฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล (Digital Healthcare Platform) ที่สามารถวิเคราะห์และแสดงผลแนวทางการบริหารจัดการในสถานการณ์โรคระบาด โดยใช้ข้อมูลจากระบบภายในหน่วยงานและจากเครือข่ายสาธารณะ ความร่วมมือกันระหว่างศูนย์การแพทย์เพื่อปรับปรุงทรัพยากรทางการแพทย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเช่นนี้ ช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถปรับปรุงมาตรการป้องกันและควบคุมโรคระบาดได้ดียิ่งขึ้น  

ในฐานะศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียตะวันออกและตะวันตก สำหรับทิศทางก้าวต่อไปของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 รัฐบาลไทยจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ควบคู่ไปกับการผลักดันนวัตกรรม ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม สร้างเมืองอัจฉริยะ และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลให้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกป้องสิ่งแวดล้อม พร้อมกับ
การขับเคลื่อนการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

หัวเว่ย จะยังคงอยู่เคียงข้างสนับสนุนประเทศไทยในการเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้ความเชี่ยวชาญอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งในด้าน Big Data, AI, โมเดลผ่านกู่ และเทคโนโลยีคลาวด์แบบไฮบริด พร้อมทั้งเดินหน้าให้การสนับสนุนประเทศไทยในการยกระดับระบบนิเวศด้านคลาวด์ พัฒนาโซลูชัน Huawei Cloud Stack เพื่อเป็นแพลทฟอร์มทางด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย และช่วยเหลือรัฐบาลไทยและบริษัทต่างๆ ในการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI และแอปพลิเคชันการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของแต่ละอุตสาหกรรม              

Page 1 of 28
X

Right Click

No right click