บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ประกาศเปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ด้วยกำลังการผลิตกว่า 50,000 ก้อนต่อปี พร้อมเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีแห่งภูมิภาคอาเซียน
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ได้เปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ HASCO-CP BATTERY SHOP ในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ หลังทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอนก่อนนำไปใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่ กว่า 60 ขั้นตอน อาทิ การตรวจสอบค่าการเก็บการคายประจุ (Charge & Discharge) การตรวจสอบน้ำรั่วซึมเข้าสู่แบตเตอรี่ (Air Leak test) ทดสอบความเป็นฉนวน (Insulation Test) ทดสอบการควบคุมพลังงาน (Static Test) เป็นต้น โดยในสายการผลิตแห่งนี้สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 ก้อนต่อปี ซึ่งแบตเตอรี่ที่ประกอบในประเทศไทยจะเป็นมาตรฐานเดียวกับสายการผลิตระดับโลก สำหรับแบตเตอรี่ที่ออกจากสายการผลิตนี้จะถูกนำไปติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG4 ELECTRIC เป็นรุ่นแรก รวมถึงรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมของสายการผลิตเพื่อเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2567”
นายจ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “โรงงานแบตเตอรี่อีวี เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพิ่มงบลงทุนอีกกว่า 500 ล้านบาท โดยจะใช้เป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวีในรูปแบบ Cell-To-Pack (CTP) ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง RUBIK's CUBE BATTERY ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการที่บริษัทแม่อย่าง SAIC MOTOR CORPORATION และ HASCO-CP เล็งเห็นถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
“โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ที่ เอ็มจี ได้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย สู่ปัจจุบันที่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็น ที่นิยม และมีการเติบโตในตลาดแบบก้าวกระโดด ตอกย้ำความเชื่อมั่น ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวมกว่า 18,000 คัน ด้วยผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือการให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ที่มีความแข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกมิติของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ MG SUPER CHARGE รองรับการเดินทางที่สะดวกสบาย ทั่วประเทศ ล่าสุด เอ็มจี เดินหน้าแผนงานอีวี มุ่งยกระดับอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวี และถือเป็นเครื่องสะท้อนความตั้งใจของ เอ็มจี หลังจากนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ในแผนงานระยะถัดไป เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ โดยมีกรอบระยะเวลาแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2567”
ไรเซน เอนเนอร์จี ส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้า “บีวายดี อีซิกส์” (BYD e6) จำนวน 101 คัน ให้แก่บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด ผู้บริหารกิจการแท็กซี่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งสาธารณะครั้งแรกของประเทศไทย ในโครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” (EV Taxi VIP) เพื่อยกระดับคุณภาพรถและบริการของแท็กซี่ไทย โดยจะเริ่มประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด กล่าวว่า “ด้วยมาตรฐานการผลิตที่มีความเสถียรและปลอดภัยระดับโลกของ บีวายดี ออโต้ ผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ลิเธียมของโลกมากว่า 20 ปี และยังเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลกด้วยยอดขายกว่า 200,000 คันต่อปี ในกว่า 40 ประเทศ ผสานกับการบริหารที่มีประสิทธิภาพของ อีวี โซไซตี้ ทั้งด้านการจัดการและการฝึกอบรมพนักงานขับรถ ด้านมาตรฐานบริการ ความเชี่ยวชาญในการขับขี่ และการดูแลรักษายานยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้น ประกอบกับความพร้อมของ ไรเซน เอนเนอร์จี ในการให้บริการหลังการขาย ด้วยทีมงาน
ที่เชี่ยวชาญและผ่านการอบรม\ด้านซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างดี รวมถึงให้บริการอะไหล่คุณภาพ โครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” จึงเป็นการยกระดับบริการรถสาธารณะและคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ”
“การผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าบีวายดี อีซิกส์ (BYD e6) ภายใต้โครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” โดยความร่วมมือของบริษัท อีวี โซไซตี้ และพันธมิตรในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือก ซึ่งมีราคาที่แข่งขันกับรถยนต์ทั่วไปได้ เนื่องจากต้นทุนแบตเตอรี่ลดลงประมาณ 12-15% ทุกปี นอกจากนี้ แรงผลักดันจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐ ทั้งในเรื่องการผ่อนปรนกฎระเบียบ การสนับสนุนเงินอุดหนุนทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งความต่อเนื่องและความชัดเจนของนโยบาย เป็นส่วนช่วยให้เราเดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเป็นรูปธรรมและแพร่หลายมากขึ้น” อภิชาติ กล่าวสรุป
ทางด้านผู้ให้บริการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” สรยุทธ เพ็ชรตระกูล กรรมการบริษัท บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ มุ่งพัฒนาบริการของแท็กซี่ไทยให้ สะดวก ปลอดภัย และเป็นมืออาชีพ ตามนโยบายของกรมการขนส่งทางบก รวมทั้งต้องการส่งเสริมการใช้รถพลังงานสะอาด เพื่อรักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าสากล โดย “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” จะพร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนเป็นต้นไป โดยผู้สนใจสามารถเรียกใช้บริการผ่าน 3 ช่องทาง ทั้งบริเวณเคาน์เตอร์ศูนย์บริการ ชั้น 1 สนามบินสุวรรณภูมิ แอปพลิเคชั่น Taxi Ok ของกรมการขนส่งทางบก และคอลล์เซ็นเตอร์
โทร. 0 2039 8888 สำหรับอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 150 บาท กิโลเมตรถัดไป คิดอัตรากิโลเมตรละ 16 บาท โดยมีโปรโมชั่นส่วนลด 5% เมื่อชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต อาลีเพย์ วีแชท แรบบิทไลน์เพย์”
“บริษัทได้ฝึกอบรมพนักงานขับรถโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการรถโดยสารสาธารณะจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งการทดสอบทั้งด้านมารยาทการให้บริการ ความเชี่ยวชาญในการขับขี่ และการดูแลรักษายานยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้น รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรคือ เจพี ประกันภัย ในการสนับสนุนเบี้ยประกันภัยอัตราพิเศษที่ครอบคลุมทั้งตัวรถ คนขับ และผู้โดยสาร ขณะที่ อีเอ พันธมิตรผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟและซัสโก้ สนับสนุนให้รถ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” ทั้ง 101 คันชาร์จไฟฟรี ณ สถานบริการน้ำมันและชาร์จไฟซัสโก้ 7 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขาบางปะกอก (ซัสโก้สำนักงานใหญ่ ถนนราษฎร์บูรณะ) กาญจนาภิเษก บางยอ เอกชัย เสนานิคม ศรีนครินทร์ 1 และศรีนครินทร์ 3 จนถึงสิ้นปี 2561” สรยุทธ กล่าว
ปัจจุบันทั่วโลกมียานยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 3,000,000 คัน โดยในปี 2560 การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ เยอรมนี ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น และจีน สำหรับประเทศไทย คาดว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายพลังงาน 4.0 ของภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ได้ 1,200,000 คัน ภายในปี 2579 เพื่อเพิ่มทางเลือกการใช้พลังงาน ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการใช้พลังงานลงร้อยละ 30 ตามแผนแม่บทการอนุรักษ์พลังงาน
สมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การเปิดตัว EV Taxi VIP ภายใต้การยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยโครงการ Taxi VIP ของกรมการขนส่งทางบก จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างระบบการคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพในทุกด้าน ทั้งการยกระดับการให้บริการระดับมืออาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนขับแท็กซี่ พร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากการคมนาคมขนส่งเพิ่มเติม
ทางด้านสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการขนส่งในการใช้รถโดยสารสาธารณะพลังงานทางเลือกที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการให้บริการ โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยให้มีคุณภาพความปลอดภัยและการให้บริการภายใต้โครงการ Taxi OK และ Taxi VIP โดยนำเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือบริหารสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนด้วยบริการด้วยรถสาธารณะที่ดีมีคุณภาพ
ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่าการนำร่องใช้แท็กซี่ไฟฟ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยตื่นตัว กระตุ้นการวิจัยและพัฒนา และแสดงความพร้อมในการเดินหน้าเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดมลภาวะในภาคคมนาคมขนส่ง