โซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ลูกค้าสายกรีน ตามเมกะเทรนด์โลก

เอสซีจี ผู้นำด้านความยั่งยืน สะท้อนผ่าน 3 ดัชนีความยั่งยืนชั้นนำระดับโลก คะแนนสูงสุดจาก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง Sustainalytics ได้ ESG Industry Top Rated ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม และ MSCI ระดับ AA ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เป็นผลจากการดำเนินงานตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus นักลงทุนเชื่อมั่นองค์กรเติบโตยั่งยืน บริหารงานมาตรฐานสากล เสริมแกร่งธุรกิจด้วยนวัตกรรมโซลูชัน เทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ลูกค้าสายกรีน มุ่งแก้วิกฤตโลกเดือด ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2593 ควบคู่ลดเหลื่อมล้ำในสังคม แก้จน สร้างอาชีพให้ชุมชน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “จากการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ยึดหลักเชื่อมั่นและโปร่งใส เน้นสร้างธุรกิจเติบโตควบคู่กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ส่งผลให้เอสซีจีได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนชั้นนำของโลกรวม 3 ดัชนี คือ ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) Sustainalytics ได้ ESG Risk Ratings ระดับ ESG Industry Top Rated ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม (Industrial Conglomerates) และ Morgan Stanley Capital International (MSCI) ได้ระดับ AA (Leader) ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกใช้ทั้ง 3 ดัชนีความยั่งยืนนี้เป็นข้อมูลประกอบการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน บริหารงานตามมาตรฐานสากล ควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากความทุ่มเทของชาวเอสซีจีที่ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมโซลูชัน เพื่อตอบความต้องการลูกค้าให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย คุ้มค่า และรักษ์โลก” 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เพื่อลดผลกระทบวิกฤตโลกเดือด เอสซีจีตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ด้วยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานฟอสซิล อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ เชื้อเพลิงชีวมวล พร้อมเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ เช่น การปลูกหญ้าเนเปียร์ พืชให้พลังงานสูง 1,000 ไร่ ที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งเป้าปลูก 30,000 ไร่ในปี 2571 ขณะเดียวกันยังพัฒนานวัตกรรมกรีน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการสูง ตอบเมกะเทรนด์โลก อาทิ SCG Cleanergy ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร สินค้าและโซลูชันรักษ์โลกภายใต้ฉลาก SCG Green Choice กว่า 250 รายการ อย่างปูนคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) นวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล SCG Air Scrubber โซลูชันเพื่ออาคารอากาศดี ประหยัดพลังงาน  นอกจากนั้นยังร่วมกับภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมทั้งไทย อาเซียน และโลก ให้ดำเนินงานตามแนวทาง ESG เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไป เช่น จัดงาน ESG Symposium 2023 เพื่อเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ”  

นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจียังมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการ สร้างรายได้ให้ชุมชนและ SMEs เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและสาธารณสุข รวม 50,000 คน ภายในปี 2573 เช่น อาชีพพนักงานขับรถบรรทุก โดยโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ อาชีพช่างปรับปรุงบ้าน โดย Q-Chang (คิวช่าง) อาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ และขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ผ่านโครงการพลังชุมชน อาชีพผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลผู้สูงอายุ ผ่านทุนการศึกษาจากโครงการ Learn to Earn โดยมูลนิธิเอสซีจี”

ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) เป็นดัชนีวัดความยั่งยืน จัดโดย S&P Global ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชิญบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 3,500 แห่งใน 60 อุตสาหกรรมเข้าร่วมการประเมิน ส่วน Morningstar Sustainalytics เป็นผู้นำการวิจัยด้านความยั่งยืนระดับโลกที่จัดอันดับ ESG Risk Ratings ในกองทุนหุ้นรายตัว ช่วยให้นักลงทุนทั่วโลกทราบว่า กองทุนที่ลงทุนมีความเสี่ยงด้าน ESG ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล มากน้อยเพียงใด ในขณะที่ MSCI ESG Ratings จัดทำโดยบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) เป็นดัชนีอ้างอิง (Benchmark) มาตรฐานวัดผลตอบแทนจากการลงทุน โดย Sustainalytics และ MSCI ประเมินจากความสามารถในการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ที่องค์กรเผชิญ (Risk Exposure) และความพร้อมในการบริหารจัดการความเสี่ยงนั้น ๆ (Risk Management)

นายนพพร กีรติบรรหาร (กลาง) Deputy Chief Marketing Officer - Marketing and Branding Cement and Green Solutions Business – เอสซีจี ผู้นำนวัตกรรมปูนซีเมนต์ตราเสือจากรุ่นสู่รุ่นกว่า 108 ปี พร้อมด้วย นายธีระยุทธ พันธ์มีเชาว์ (ขวาสุด) Technical Service Strategy Director บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จํากัด ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว “สถาบันเทคโนโลยีผนังและพื้น ตราเสือ” จ.สระบุรี  (Tiger Wall and Floor Technology Center) อย่างเป็นทางการ  แหล่งรวมองค์ความรู้เทคนิคการก่อสร้าง งานปูนซีเมนต์ งานผนังและพื้นอย่างครบวงจรแห่งแรกของอาเซียน เติมองค์ความรู้ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญช่วยอัพสกิลมาตรฐานฝีมือแรงงาน กับหลักสูตรฝึกอบรมกว่า 15 หลักสูตร ผ่านช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ และ Virtual Reality โปรแกรมจำลองเสมือนจริง หวังแก้ปัญหาการขาดแคลนช่างฝีมือแรงงานและสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการฝึกอบรมทักษะวิชาชีพงานปูนซีเมนต์ชั้นสูง มุ่งยกระดับมาตรฐานฝืมือทักษะวิชาชีพของช่างก่อสร้างไทย เพิ่มมูลค่าในงานผนังและพื้นปูนซีเมนต์ ให้แข่งขันและทัดเทียมได้ในเวทีโลก ทั้งนี้ในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “Technology for Modern Construction” โดยแขกรับเชิญพิเศษจาก บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC ASSET) บริษัท ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด (TTS) บริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (HAAD THIP) และบริษัท รอยัล สยาม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (The Prego) อีกด้วย

ผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าอบรมได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่าน https://tech.tigerbrandth.com/  รวมถึงยังมีหน่วยรถโมบายเคลื่อนที่ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญ (Smart Tiger Team)  พร้อมบริการถึงหน้าไซต์งานครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ  สนใจรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบันฯ และหลักสูตรอบรม ได้ที่ SCG Contact Center 02 586 2222

เปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วเป็นถุงพลาสติกรักษ์โลก ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

X

Right Click

No right click