แอล.พี.เอ็น. เดินหน้าสร้างสมดุลในการบริหารพอร์ต ทั้งการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ในปี 2567 ภายใต้การนำทัพของ “อภิชาติ เกษมกุลศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทภายหลังจากการเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า แอล.พี.เอ็น. เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างครบวงจร (Self-fulfillment) นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยทั้งประเภทอาคารชุดและบ้านพักอาศัยแล้ว แอล.พี.เอ็น. ยังมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ให้กับบริษัท ทั้งบริษัทบริหารจัดการโครงการอย่าง บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่าง บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) เป็นต้น แต่ละบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
“ผมในฐานะ CEO มีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้า (Looking Forward) ไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ที่เรามีความเชี่ยวชาญ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาวให้กับ ผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้กับธุรกิจ (Rebalance for Sustainable Growth) ในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วนของธุรกิจ (Harmonization)” นายอภิชาติ กล่าว
โดยภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ (Stronger Together) ได้แก่
โดยคาดว่าการนำ แอล พี พีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการ ที่ปัจจุบันรวมอยู่ในผลกำไรการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น.กว่าร้อยละ 40 และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 139 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่าร้อยละ 80 และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่าร้อยละ 23 ภายใน 3 ปี ทำให้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ แอล พี พีฯ มีแผนการการลงทุนในบริษัทพันธมิตร เพื่อขยายงานบริการวิศวกรรมและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจบริหารชุมชนและทรัพยากรอาคาร โดยพัฒนาระบบ Application รองรับการบริการผู้อยู่อาศัย และเชื่อมต่อพันธมิตรที่ให้บริการเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตได้ตลอด 24 ชม. และนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เสริมสร้างให้แอล.พี.เอ็น. สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลด้านรายได้ให้กับองค์กร เนื่องจากในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น. อยู่ในภาวะถดถอยจากเดิม ในการทำกำไรที่ 1,256 ล้านบาท ในปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาทในปี 2566 ในขณะเดียวกัน แอล.พี.เอ็น. มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าระดมทุนในหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
“ในฐานะที่ผมมีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ทำให้ผมให้ความสำคัญกับการบริหารโครงสร้างทางการเงินและขณะเดียวกันกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย แอล.พี.เอ็น. เป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน เราสามารถที่จะบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของเราให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร และเป็นการเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรทั้งหมด (Stakeholders) ทั้งผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และ Supply Chain” นายอภิชาติ กล่าวเสริม
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567 นายอภิชาติ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,520 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นหลัก
“80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) อยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนอีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด โดยการพัฒนาโครงการของแอล.พี.เอ็น. จะให้ความสำคัญกับพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงมากกว่าที่จะขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยเรามีการซื้อที่ดินในจังหวัดนครปฐมเพื่อพัฒนาโครงการ และเรามีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย ทั้งการลงทุนในลักษณะ ร่วมทุน และการลงทุนแบบ Turnkey” นายอภิชาติ กล่าว
ในขณะที่บริษัทมีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินในปี 2567 ที่ 1,000 - 2,000 ล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ / การกู้จากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินงานของ แอล.พี.เอ็น.
“ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 แอล.พี.เอ็น. มีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท บริษัทมีกําไรสะสมมาตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว ในขณะที่ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีรายได้จากการขายและบริการ 7,407 ล้านบาท ลดลงประมาณ 28 % จากรายได้จากการขายและบริการที่ 10,276 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท ลดลง 42 % จากกำไรสุทธิที่ 612 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ให้จ่ายเงินปันผล 0.13 บาทต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.08 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทำให้ต้องจ่ายอีก 0.05 บาท ต่อหุ้น ในวันที่ 17 เมษายน 2567” นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติม
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ บอร์ดมีมติแต่งตั้ง นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) แทนนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ เนื่องจากเกษียณอายุ ซึ่งมีผลวันที่ 31 มกราคม 2567 โดยนายอภิชาติ เข้ามารับตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ตามที่ได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ เป็นผู้บริหารที่เปี่ยมประสบการณ์และความรอบรู้ในหลากหลายธุรกิจ มีความเฉียบคม ทางความคิด และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านการบริหารการเงิน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำหลายแห่ง อาทิ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สาย Treasury and Banking Operations Group ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด และบริษัท ลีซซิ่งไอซีบีซี (ไทย) จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท สามารถ ไอ–โมบาย จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ นายอภิชาติ เข้าร่วมงานกับ LPN ตั้งแต่ปี 2561 โดยดำรงตำแหน่ง กรรมการบริษัท กรรมการบริหาร กรรมการบริหารความเสี่ยง และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในช่วงที่ผ่านมา โดยการเข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ LPN จึงเป็นโอกาสและความท้าทายที่จะได้ผลักดัน และขับเคลื่อนองค์กรให้มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น พันธมิตร และนักลงทุน พร้อมทั้งการดูแลลูกค้าด้วยการพัฒนาความ “น่าอยู่” ในทุกมิติเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นเจตนารมณ์และความภาคภูมิใจของ LPN ตลอดระยะการดำเนินธุรกิจมากว่า 3 ทศวรรษ
ภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้สะท้อนภาพความมุ่งมั่นว่า LPN ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ มาตลอด 35 ปี ยังคงยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในเมือง ที่บูรณาการอย่างครบถ้วนและครบวงจร ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และก้าวย่างสำคัญของ LPN กับผู้นำทัพคนใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “LPN”) เผยหุ้นกู้ LPN ที่เสนอขายระหว่างวันที่ 23 – 25 มกราคม 2567 ที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมมาใช้เต็มจำนวน รวมมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยมีกระแสตอบรับดี ด้วยปัจจัยสนับสนุนมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อบริษัทฯ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพที่มาพร้อมกับความน่าอยู่ในทุกมิติ เพื่อยกระดับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดมามากกว่า 35 ปี และมีประวัติที่ดี ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้
ทั้งนี้ LPN ได้เสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.10% ต่อปี มูลค่ารวม 682.40 ล้านบาท และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.40% ต่อปี มูลค่ารวม 817.60 ล้านบาท หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม “ลบ” ซึ่งอยู่ในระดับ Investment grade ซึ่งผู้ลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นกู้ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งช่องทางสาขา และทางออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ และขอขอบคุณสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 7 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ที่ช่วยให้การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ทั้งนี้ เงินที่ได้รับการเสนอขายจากหุ้นกู้ใน
แอลพีเอ็นเดินหน้าผลักดันเป้าหมายการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะมิติของสิ่งแวดล้อม