November 13, 2025

พร้อมมอบสิ่งของจำเป็นช่วยผู้ประสบอุทกภัย และสนับสนุนการสื่อสารทีมเจ้าหน้าที่ภาครัฐ กองทัพ ทีมแพทย์

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาส 2/2568 เป็นมูลค่ากว่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่ผลการดำเนินงานของบริษัทพลิกกลับมาทำกำไร โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit) อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ในส่วน EBITDA ยังคงมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการควบรวมกิจการ โดยเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ (Synergy)

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาสที่ 2 ยังคงทรงตัว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว โดยทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ตามความมุ่งมั่นของเราต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ การที่ทรูชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ทรูครอบครองคลื่นความถี่ครบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะใช้ประโยชน์จากการจัดสรรคลื่นความถี่นี้มาเพื่อเพิ่มความสามารถของเครือข่าย รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแห่งอนาคต รวมถึงการเร่งผลักดันบริการทางดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร และเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เราจึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตแบบพลิกโฉม ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดอย่างยั่งยืน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ จากความพยายามลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่จากการหมุนเวียนของฐานลูกค้าเดิมลง (rotational gross adds) รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 2/2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมาย หรือลดลง 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส2/2567 ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5มีจำนวน 14.7 ล้านเลขหมาย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้หลักชะลอตัวลงในระหว่างไตรมาสที่สอง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้จากบริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่

ไตรมาส 2/2568 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC ลดลง 0.6% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก ชดเชยบางส่วนจากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ รายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อน ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานรายได้รวมลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการ การลดลงของรายได้ค่าเช่าโครงข่ายอันเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่น 850 MHz ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนสิงหาคม 2568 และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลดลงจากปัจจัยตามฤดูกาล

สำหรับไตรมาส 2/2568 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A ลดลง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 7.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงและการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ จากการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืนและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง”

ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.5 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ สะท้อนถึงความสามารถทางการเงินที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องของ EBITDA สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 2/2568 ปรับตัวดีขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของรายได้ อันเป็นผลจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศที่ลดลง สำหรับ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน EBITDA ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการรักษาวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 60.8% สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของทรู คอร์ปอเรชั่น อยู่ที่ 4.0 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ลดลง 0.7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 0.1 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาส 2/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี 2.0 พันล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.5 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย และการยุติบริการคลื่น 850 MHz เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาส 2/2568 จำนวน 368 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.2 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย

จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศไทยในปี 2568 การปรับลดแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชี่วคราวต่อรายได้จากการให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คณะผู้บริหารบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 คณะผู้บริหารคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัว ถึงเติบโต 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC และการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT แนวโน้ม EBITDA เติบโต 7-8% สำหรับทั้งปี ขณะที่เงินลงทุน (CAPEX) คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทสำหรับปี 2568 (ไม่เปลี่ยนแปลง) และจะยังคงมีกำไรตลอดทั้งปี 2568 ตามรายงานงบการเงิน (ไม่เปลี่ยนแปลง)

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับไตรมาส 2/2568

  • รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC: 1พันล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • EBITDA: 25.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ: 60.8%
  • กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT): 2.0 พันล้านบาท, ปรับปรุงรายการจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท

เกี่ยวกับบริษัท

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพเพื่อทุกคนและธุรกิจด้วยโซลูชันการเชื่อมต่อที่ช่วยพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน บริการด้านเสียงและดาต้าชั้นนำระดับโลกของทรู เปิดประตูสู่ระบบนิเวศด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ความบันเทิงระดับโลก สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก ไปจนถึงการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ ด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทรูมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับสุขภาพ และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม

9 มิถุนายน 2568 - ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) โดยกองกำลังสุรนารี ในพื้นที่รับผิดชอบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นำรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW) เพิ่มสัญญาณ หรือ อัปเกรดเสา พร้อมติดตั้งเสาสัญญาณขนาดเล็ก หรือ Small Cell เฉพาะกิจ ให้มีความครอบคลุมในพื้นที่ตั้งของทหารไทยรองรับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อภารกิจความมั่นคงและการติดต่อสื่อสาร ดังนี้

1. ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

2. ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

3. ฐานปฏิบัติการอนุพงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี

4. ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์

5. ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราขอสนับสนุนทหารไทยอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทีมงานของเราได้รับการประสานขอสัญญาณเพิ่มจากกองทัพบก และทรู คอร์ปอเรชั่นได้ส่งทีมงานที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ และนำรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (COW) ไปติดตั้งในพื้นที่ของทหารตั้งแต่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา และเพิ่มโซลูชันเพื่อประสิทธิภาพการสื่อสารให้แก่ทหารไทยในการปฏิบัติภารกิจอีกหลายจุด โดยทั้งหมดครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ของทหารไทยที่ประจำการ และดำเนินการระงับสัญญาณมือถือตามที่เราได้ปฏิบัติตามความร่วมมือกับภาครัฐ-ดีอีเอส-กสทช. อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการใช้งานสัญญาณผิดวัตถุประสงค์ และลดความเสี่ยงจากการกระทำผิดกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของประชาชน”

โดยที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ดำเนินการเข้มงวดตามมาตรการของสำนักงาน กสทช. ด้วยการระงับสัญญาณ (Switch off) ตามแนวชายแดนไทย และดำเนินการรื้อถอนหรือปรับทิศทางเพื่อป้องกันการลักลอบใช้งานในพื้นที่เสี่ยงรวมทั้งพื้นที่ติดกับกัมพูชาเสร็จสิ้นเมื่อ มิถุนายน 2567 ปีที่แล้ว เพื่อป้องกันการใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือในการก่ออาชญากรรมข้ามแดน โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่ดำเนินการ เช่น

1. สระแก้ว: อำเภออรัญประเทศ

2. จันทบุรี: อำเภอโป่งน้ำร้อน

3. บุรีรัมย์: อำเภอบ้านกรวด

4. สุรินทร์: อำเภอกาบเชิง

ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุนภารกิจความมั่นคงโดยเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ทหารตามคำขอ และให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับภาครัฐและ กสทช. แก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบใช้สัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตไทย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ พลตำรวจเอก ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. (ด้านกฏหมาย) และภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน พร้อมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับ แนวทางการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวง ทางออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย และบริการโทรคมนาคม และการบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ในเวทีเสวนาแนวทางการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวง ทางออนไลน์ฯ จัดโดยคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ร่วมกับ คณะอนุกรรมาธิการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนมาตรการต่างๆของภาครัฐเพื่อป้องกันภัยมิจฉาชีพออนไลน์ ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม นอกจากการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามที่ พ.ร.ก.ฉบับใหม่ออกมามีผลบังคับใช้แล้ว ทรูยังมีหน้าที่ในการดูแลลูกค้าผู้ใช้บริการให้มีความปลอดภัย โดยที่ผ่านมาทรูได้มีมาตรการต่างๆ ทั้งการเข้าไปควบคุมเสาสัญญาณไม่ให้ล้ำแดนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้ช่องโหว่เรื่องของสัญญาณในการนำมาใช้โทรหลอกลวงคนไทย ส่วนการให้บริการอินเทอร์เน็ต ทรูได้มอนิเตอร์การใช้งาน หากพบว่าใช้งานมากผิดปกติ ก็จะเข้าไปดูข้อมูลย้อนหลัง รวมถึงการลงทะเบียนซิม ซึ่ง พ.ร.ก. ฉบับใหม่ให้อำนาจกับบริษัทผู้ประกอบการปรับระบบการลงทะเบียน ให้ครบถ้วน ไม่ใช่แค่การใช้บัตรประชาชนมายื่นเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ทรูยังพัฒนาระบบ True CyberSafe ป้องกันระดับเน็ตเวิร์ก สำหรับลูกค้าทรูและดีแทค โดยนำข้อมูลที่เป็น data จากศูนย์ AOC และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงจากลูกค้าของทรูและดีแทค ที่โทรแจ้งเข้ามา หากพบว่าเป็นเบอร์ของมิจฉาชีพ ก็จะมีการแจ้งเตือน และบล็อคลิงค์ข้อความทันที ซึ่งตั้งแต่เริ่มให้บริการ 3 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 สามารถปกป้องลูกค้าจากการคลิกลิงก์แปลกปลอมได้แล้วถึง 819 ล้านครั้ง (โดยเฉลี่ย 7 ล้านครั้งต่อวัน) คิดเป็น 98.7% ซึ่งขณะนี้มีลิงก์สุ่มเสี่ยงในระบบ True CyberSafe มากกว่า 165,000 ลิงก์ และจะเพิ่มต่อเนื่อง สำหรับส่วนที่ยังเหลืออีกเกือบ 2 % ยังต้องมีการสร้างความรู้และความเข้าใจร่วมกัน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ”

“อย่างไรก็ตาม สำหรับพ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้ ทรู มองว่า สิ่งที่ยังถือเป็นความท้าทายในวันนี้ คือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา กับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร เพื่อช่วยป้องกันประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ และไม่ให้กระทบกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม” นายจักรกฤษณ์ กล่าวสรุป

พร้อมทำงานบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์

Page 1 of 15
X

Right Click

No right click