องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) ขอแสดงความกังวลต่อผลการประชุม COP29 (หรือการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29) ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังตัวแทนจากทุกประเทศได้ร่วมตกลง “เป้าหมายทางการเงินใหม่” (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) โดยมุ่งจัดสรรงบประมาณในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ตัวเลขเงินสนับสนุนที่ตั้งไว้กลับต่ำเกินกว่าที่จะใช้รับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
แม้จะเป็นเรื่องดีที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มทุนข้ามชาติ ได้ให้คำสัญญาว่าจะสนับสนุนเงิน จำนวน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขนี้ดูห่างไกลจาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจำเป็นต่อการบรรเทาผลกระทบที่รุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อปกป้องชุมชนที่เปราะบาง สัตว์ป่า และหยุดยั้งความทุกข์ทรมานของสัตว์ที่อยู่ในระบบอุตสาหกรรมอาหาร
เคลลี่ เดนต์ ผู้อำนวยการฝ่ายเครือข่ายความร่วมมือ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ซึ่งเข้าร่วมการประชุม COP29 กล่าวว่า "COP29 จะถูกจดจำว่าเป็น ‘การเลี่ยงจากความรับผิดชอบทางการเงินครั้งใหญ่’ หลังการเจรจาอย่างดุเดือดตลอดสองสัปดาห์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความพยายามที่จะประวิงเวลา และลดทอนความตั้งใจจริงของการแก้ไขปัญหา ในที่สุดประเทศที่ร่ำรวยได้เลี่ยงความรับผิดชอบอีกครั้ง โดยเสนองบประมาณเพียงเล็กน้อย ในขณะที่โลกกำลังลุกเป็นไฟ พลเมืองโลกและสัตว์นับล้านกำลังทนทุกข์"
"นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาเป้าหมายเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา แต่ยังเป็นเรื่องของความยุติธรรมต่อผู้ผลิตอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงประชากรโลก แต่พวกเขากลับถูกทอดทิ้งให้แบกรับกับผลกระทบตามลำพัง นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของระบบนิเวศที่ใกล้ล่มสลาย และสัตว์นับพันล้านที่ต้องทนทุกข์ในระบบอุตสาหกรรมอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยกำไร และทำลายสภาพภูมิอากาศไปพร้อมๆ กัน"
"แทนที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แต่เรากลับได้เพียงการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่แสร้งทำว่าเป็นทางออก ในขณะที่วิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพทวีความรุนแรงขึ้น ที่อยู่อาศัยถูกทำลาย สัตว์จำนวนมากต้องทุกข์ทรมาน และชุมชนทั้งหมดถูกทิ้งไว้ให้เผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ"
ความล้มเหลวของการจัดการแก้ปัญหาที่ต้นตอ – การเกษตรเชิงอุตสาหกรรม
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบการผลิตอาหารโลกยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ COP29 กลับไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาในส่วนนี้ เกษตรเชิงอุตสาหกรรม—โดยเฉพาะฟาร์มสัตว์อุตสาหกรรม—เป็นต้นตอของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำลายที่อยู่อาศัย ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร และทำให้สัตว์ฟาร์มได้รับความทุกข์ทรมาน
เคลลี่ เดนต์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังว่า "เราไม่สามารถสนับสนุนระบบที่ทำลายสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และความทุกข์ยากของประชากรโลกได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นแนวทางด้านการเกษตรที่ยั่งยืน มีมนุษยธรรม และเท่าเทียมต้องเข้ามาแทนที่เกษตรเชิงอุตสาหกรรม ทางออกนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังช่วยยุติความทุกข์ทรมานของสัตว์นับพันล้านตัวที่อยู่ในฟาร์มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่"
‘บรรษัทเกษตร’ เข้าครอบงำการเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าแนวคิด Harmoniya Climate (โครงการที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกรและชุมชนชนบท โดยส่งเสริมระบบการเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ) ที่เปิดตัวใน COP29 จะดูเป็นแนวคิดที่ดี แต่ในทางปฏิบัติ อาจได้รับอิทธิพลจากกลุ่มธุรกิจการเกษตร
"เสียงจากผู้ผลิตรายย่อย—หรือกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญต่อระบบอาหารที่ยั่งยืน—เวลานี้ ถูกกลบด้วยบรรดาล็อบบี้ยิสต์ของระบบอุตสาหกรรมที่ปกป้องผลกำไรเหนือผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม UNFCCC ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อลดอิทธิพลของกลุ่มธุรกิจการเกษตร หากต้องการกู้ความน่าเชื่อถือก่อนการประชุมครั้งถัดไปของ COP30 ที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล" เคลลี่ เดนต์ กล่าวถึงบทบาทของล็อบบี้ยิสต์ในอุตสาหกรรมนี้
ผลกระทบต่อประเทศไทยและก้าวสำคัญต่อการปฏิรูประบบอาหาร
ประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศโลกสูงถึงอันดับ 9 จากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นเราจึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐของไทยให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรม
ผลกระทบจากการขยายตัวของฟาร์มสัตว์อุตสาหกรรมเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ปรากฏการณ์น้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ และปัญหาหมอกควัน PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในหน้าแล้ง และทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ล้วนมีสาเหตุสำคัญมาจากธุรกิจอาหารสัตว์ที่ขยายตัวในประเทศและภูมิภาคนี้ ส่งผลต่อการสูญเสียพื้นที่ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งผลให้ภัยพิบัติที่เกิดถี่และรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
โชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (ประเทศไทย) กล่าวว่า“ไทยจะไม่สามารถเป็นครัวของโลกได้ และอาจไม่สามารถเป็นครัวให้กับคนไทยเองได้ด้วยซ้ำ หากเราปล่อยให้ระบบอาหารที่พึ่งพิงความเป็นอุตสาหกรรมขยายตัวต่อไปเช่นนี้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเกษตรของเรา มีรายงานและหลักฐานต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ที่พิสูจน์ให้เราเห็นชัดแล้วว่า เราจำเป็นต้องเริ่มปรับเปลี่ยนระบบอาหารโดยด่วน”
องค์กรพิทักษ์สัตว์โลกจะยังคงผลักดันการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมไป สู่ระบบอาหารที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของคน ปกป้องสัตว์ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกชีวิตบนโลก
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี นำโดย นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่งมอบ ถุงผ้า จำนวน ๒,๐๐๐ ใบ ภายใต้โครงการ “ถุงผ้าใส่ยาให้ผู้ป่วยกลับบ้าน” ซึ่งได้จากการร่วมเพ้นท์ถุงผ้าของผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนจิตอาสา โดยมี รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้รับมอบ โดยจะส่งต่อให้กับผู้ป่วยและผู้ใช้บริการในโรงพยาบาล ฯ เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็น ๑ ใน ๗๒ โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
แม้วันนี้สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในหลายจังหวัดจะเริ่มคลี่คลาย ปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงเริ่มลดลง พี่น้องประชาชนกลับเข้าบ้านเรือนได้ แต่เรื่องอาหารการกินยังคงไม่เพียงพอในหลายพื้นที่ เรื่องนี้ CP – CPF และบริษัทในเครือฯ ยังคงเดินหน้าช่วยสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม องค์กรอาสาต่างๆอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ 'CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม'
วันนี้ CPF มอบไก่สด ไข่ไก่ ไก่พร้อมปรุงและไก่จ๊อจากธุรกิจห้าดาว เพื่อสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในการผนึกกำลังร่วมกับจังหวัดพัทลุง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดพัทลุง โดยมี นายก้องสกุล จันทราช รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และนายสัจรินทร์ ศรีเสน ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา) พร้อมด้วย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง และเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง ร่วมรับมอบ ณ โรงครัวเคลื่อนที่ วัดสะทัง อำเภอเขาชัยสน จ.พัทลุง
ด้านจังหวัดสงขลา นางสาวภัชรินทร์ ภู่เยี่ยม นำทีมงานจิตอาสา CPF ธุรกิจสัตว์น้ำภาคใต้ ร่วมกันส่งมอบไข่ไก่ แก่ นายนพดล สุระสังวาลย์ นายอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อสนับสนุนโรงครัวกลางชะแล้ ต. ชะแล้ อ.สิงหนคร
“จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก เราจึงเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สำหรับเรื่องอาหารได้รับการสนับสนุนจาก CPF โดยทีมจิตอาสาจากฟาร์มลูกกุ้งสิงหนคร ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งศรีระโนด และฟาร์มเลี้ยงกุ้งระโนด ร่วมกันนำน้ำดื่ม ข้าวสาร สำหรับจัดทำถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายประชาชนในเบื้องต้น และล่าสุดมอบไข่ไก่แก่โรงครัวกลางฯ เพื่อประกอบเป็นอาหารปรุงสุกสดใหม่มอบถึงมือผู้ประสบอุทกภัย ขอขอบคุณ CP และ CPF ที่เป็นหน่วยงานแรกๆที่เข้ามาช่วยเหลือชาวสิงหนครและชาวใต้ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน” นายอำเภอสิงหนคร กล่าว
นอกจากนี้ บริษัท ยังส่งมอบเนื้อไก่สดและไข่ไก่สด แก่ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา เพื่อสนับสนุนการจัดทำโรงครัว ทำอาหาร และน้ำดื่ม สำหรับมอบให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ชาวสงขลา
ทางด้าน ทีมงานจิตอาสา โรงงานแปรรูปไก่สงขลา อ.จะนะ มอบไก่สดแก่ครัวกลางมัสยิดเกาะแต้ว ที่ได้ระดมทุนจัดทำข้าวกล่องประมาณ 650 กล่อง ส่งมอบถึงมือพี่น้องผู้ประสบภัยใน ต.สะกอม อ.จะนะ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเนื้อไก่ ให้แก่ ครัวรัตภูมิ และโรงครัวอาสา ช่วยพี่น้องชาวใต้ โดยมูลนิธิเนชั่น ร่วมกับเครือข่ายช่วยเหลือประชาชนภาคใต้และภาคเอกชน ขณะที่ทีมจิตอาสายังร่วมกับเทศบาลตำบลนาทับ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานฯ ในการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นและถุงยังชีพแก่ชุมชนรอบโรงงาน ส่วนจิตอาสาโดยทีมงานธุรการ CPF ภาคใต้ ยังทำหน้าในการรับไข่ไก่จากคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จะนะ เพื่อส่งต่อให้กับ มณฑลทหารบกที่ 46 (ค่ายอิงคยุทธบริหาร)
จุรี ยูทูบเบอร์ดังของภาคใต้ที่เป็นเครือข่ายความดีซึ่งได้ร่วมช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้มาตั้งแต่ต้น ขอเป็นตัวแทนพี่ของน้องชาวจะนะ เทพา สะบ้าย้อย รวมถึงพี่น้องในสามจังหวัดชายแดน ขอขอบคุณ CP - CPF ที่ได้ช่วยเหลือชาวชุมชนทุกคนอย่างรวดเร็ว การมอบผลิตภัณฑ์กุ้ง CP ซึ่งเป็นอาหารฮาลาลที่ชาวมุสลิมรับประทานได้ ผ่านครัวกลางอำเภอจะนะ ช่วยให้อาหารของเราเข้าถึงชุมชน และบริษัทยังเดินหน้าช่วยในหลายพื้นที่ช่วยคลายความเดือดร้อนแก่ชาวใต้ได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายมนตรี ฤทธิจอม ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอระโนด กล่าวว่า แม้ขณะนี้ปริมาณน้ำฝนจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม หากแต่พื้นที่ตำบลบ้านขาวเป็นพื้นที่รับนำจากทางเทือกเขาบรรทัดทั้งหมด ซึ่งปกติน้ำส่วนนี้ต้องระบายออกในฝั่งอ่าวไทย แต่ขณะนี้ไม่สามารถระบายออกได้สะดวก ทำให้พื้นที่จุดนี้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด จึงเกิดน้ำท่วมขัง ขอขอบคุณ CP-CPF ที่ได้มอบผลิตภัณฑ์อาหารสด ทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ไก่ และน้ำดื่ม สนับสนุนโรงครัวระโนด ในการทำอาหารพร้อมทานสำหรับชาวชุมชนทุกคน ทางด้าน นายสุนทร ช่วยแท่น กำนันต.บ้านขาว อ.ระโนด กล่าวเสริมว่า ภาวะน้ำท่วมขังส่งผลต่อการเดินทางเข้าออกของประชาชนยังยากลำบาก วันนี้ได้ร่วมกับส่วนจังหวัด หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น CP-CPF มาร่วมกันแจกของใช้จำเป็นและจัดทำโรงครัวช่วยเหลือเบื้องต้น ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความสำคัญกับความเดือนร้อนของน้องชาวใต้ ด้าน นางณิชกานต์ สันหนู สารวัตรกำนันตำบลบ้านขาว อ.ระโนด กล่าวว่า ตำบลบ้านขาว หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 6 ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมถึง 80% เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำและอยู่ติดกับทะเลสาบสงขลา ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนสูง ปัจจุบันได้ตั้งโรงครัวมาเป็นวันที่ 3 แล้ว โดยจัดทำข้าวกล่องแจกจ่าย วันละประมาณ 600 กล่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านอาหารสดจาก CP-CPF เป็นอย่างดี
โครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ จากนโยบาย “ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัว” ของนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF จะยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้พี่น้องชาวใต้ผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
นางสาวรุจิกร แสงจันทร์ ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (CG & SD) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK มอบพันธุ์ผักสวนครัวให้กับ นายสิทธิพล พรมมินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนภูคาวิทยาคม เพื่อนำไปปลูกเป็นแหล่งอาหารปลอดภัย ลดรายจ่าย และส่งเสริมโภชนาการสำหรับอาหารกลางวันเด็กนักเรียน พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเกษตร และแนวทางประกอบอาชีพในอนาคตให้แก่นักเรียน ภายใต้โครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) “EXIM เพื่อสุขภาพชุมชน” ซึ่ง EXIM BANK ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่และปลูกผักสวนครัวเพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โครงการน้ำดื่มสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดีของนักเรียน โครงการปรับปรุงสนามเด็กเล่นและห้องสมุด ตามนโยบาย CSR เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความเข้มแข็ง ต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่นและประเทศชาติ ณ โรงเรียนภูคาวิทยาคม อำเภอปัว จังหวัดน่าน เมื่อเร็ว นี้
ช่วงเดือนธันวาคมที่กำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ในอีกไม่กี่วัน หลาย ๆ คนต่างเฝ้ารอช่วงเวลาแห่งความสุข และคาดหวังการได้พบกับสิ่งดีใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ในวัยสดใสที่ต่างจดจ่อกับเทศกาลเฉลิมฉลองที่จะมีขึ้นทั้งในชุมชนและครอบครัว ในวาระนี้ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความสุขให้น้อง ๆ โรงเรียนบ้านหนองลาน จังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” ที่ได้พี่ ๆ จิตอาสากรุงเทพประกันชีวิต ร่วมสร้างกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ เสริมสร้างพัฒนาการ และการมีสุขภาพที่ดี ถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้น้องๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สร้างฝันเพื่อน้อง” มีพี่ ๆ จิตอาสาจากส่วนงานต่าง ๆ ของกรุงเทพประกันชีวิตร่วมกิจกรรมกว่า 30 คน ภายใต้การนำโดย “นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์” ผู้บริหารสายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า โดยมีเป้าหมายในการร่วมทำความดีส่งท้ายปี ณ “โรงเรียนบ้านหนองลาน” ตั้งอยู่ที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 2 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รวมนักเรียนในปีการศึกษา 2567 จำนวน 146 คน และมีคุณครูและบุคลากรอีกจำนวน 14 คน โดยโรงเรียนได้จัดการแสดงจากน้อง ๆเพื่อต้อนรับพี่ ๆ อย่างอบอุ่น
“กรุงเทพประกันชีวิต มีเป้าหมายในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเยาวชนและสังคมไทย ผ่านการสนับสนุนด้านการศึกษาและสุขภาพ สอดคล้องกับคำขวัญของโรงเรียนบ้านหนองลานที่ว่า “เรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรม นำสังคม” การที่น้องๆ จะเรียนดี หรือ กีฬาเด่นได้ เราต้องเริ่มต้นจากสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกาย กิจกรรมสำคัญของโครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” จึงมุ่งเน้นการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้มอบระบบน้ำดื่มสะอาด เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการศึกษา และ กระเป๋าปฐมพยาบาลเพื่อสุขอนามัยที่สมบูรณ์ รวมถึง พื้นที่การเรียนรู้ในรูปแบบสนามเด็กเล่น ซึ่งจะเป็นที่ที่เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มที่” นางสาวอรนาฎกล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า
หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือ การส่งมอบพื้นที่รักการอ่าน ด้วย “ห้องสมุดตู้คอนเทนเนอร์” ซึ่งจะส่งเสริมการเรียนรู้และปลูกฝังการอ่านให้กับน้อง ๆ ทุกคน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารและพนักงานกรุงเทพประกันชีวิต ที่ได้ร่วมบริจาคหนังสือดี ๆ และของเล่นส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อให้น้อง ๆ ทุกคนได้ใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านหนังสือและการเล่นอย่างสนุกสนาน
นายกิตติศักดิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองลาน กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่กรุงเทพประกันชีวิตได้มามอบสิ่งดี ๆ และโอกาสให้กับลูก ๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองลานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ให้เด็ก ๆ ได้อยู่ในโรงเรียนอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการมอบห้องสมุดเพื่อเป็นสื่อในการเรียนรู้ รวมถึงเครื่องเล่น สนามเด็กเล่นให้เด็กอนุบาลได้มีพัฒนาการสมวัย นอกจากนี้ยังได้มอบตู้ทำน้ำดื่มพร้อมระบบกรองน้ำให้เด็กได้มีน้ำดื่มที่สะอาด และทีวีเพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ทำให้คุณครูได้จัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ผมขอขอบคุณกรุงเทพประกันชีวิตที่ได้มอบโอกาสดี ๆ ให้โรงเรียนของเราในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข เป็นโรงเรียนคุณภาพของชุมชน”
“พวกเราพนักงานจิตอาสากรุงเทพประกันชีวิต รู้สึกมีความสุขที่ได้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ช่วยสร้างความสุขและแรงบันดาลใจในการเติมเต็มความฝันและต่อยอดทางการศึกษาให้กับน้อง ๆ ทุกคนที่โรงเรียน” นางสาวอรนาฎกล่าวในที่สุด
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) แสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี นายโกสนธ์ พิศภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินไหมทดแทน บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นำทีม TIP Smart Assist และหน่วยหนุมานทิพยจิตอาสา ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินในหลายจังหวัด
นอกจากนี้ ทิพยประกันภัย ยังได้จัดมอบถุงยังชีพ น้ำดื่ม และให้บริการยกรถฟรีแก่ลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงเข้าสำรวจและจ่ายค่าสินไหมทันที กรณีลูกค้าทำประกันได้รับความเสียหายทั้งที่อยู่อาศัยและรถยนต์
ทิพยประกันภัยขอส่งความห่วงใยและกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับท่านใดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่สายด่วน 1736 กด 1
ดร.วุฒิพันธุ์ ตวันเที่ยง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารและพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ “ BAM Save The Sea #2 (25th Anniversary) ” ร่วมปล่อยปลาฉลามกบกลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยมี นาวาตรีโชคชัย ชูตระกูล หัวหน้าวิทยากรประจำชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ และทีมจิตอาสาหาดตะวันรอน พร้อมให้ความรู้และร่วมกิจกรรม ณ หาดตะวันรอน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศทะเลไทยให้มีความสมดุล และลดการสูญพันธุ์ของปลาฉลามบก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดหาและมอบอุปกรณ์ เครื่องมือและครุภัณฑ์การแพทย์ ให้แก่ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ และศูนย์สุขภาพชุมชนเก้าดาว จ.เพชรบูรณ์ รวมมูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยและครอบครัวในถิ่นห่างไกล สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง และส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้รับการส่งเสริมภายใต้มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
โดยมี คุณกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ คุณเสรสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ พญ. ดวงดาว ศรียากูล รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ และ นพ. สุรเมศวร์ ศิริจารุวงศ์ ประธานองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ พร้อมทั้งคณะบุคลากร ให้เกียรติเป็นตัวแทนรับมอบ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ คุณอรภรรณ บัวม่วง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงิน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัวแทนส่งมอบ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection) นำโดย นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรฯ มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จำนวน 10,000 เข็ม ให้แก่กรมปศุสัตว์ โดยมี น.สพ.ดร.วีรพงษ์ ธนพงศ์ธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน(โรคพิษสุนัขบ้า) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ เป็นผู้แทนกรมปศุสัตว์รับมอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 องค์กรฯ ได้บริจาควัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องรวมทั้งสิ้นประมาณ 80,000 เข็ม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการช่วยเหลือให้สัตว์ในชุมชนปลอดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องสู่ประชาชนโดยตรงในวงกว้าง นอกจากนี้เราให้การช่วยเหลือตลอดจนทำงานร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายและชุมชนเพื่อช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงจากภัยน้ำท่วมที่ได้เกิดขึ้นในปีนี้ โดยเจ้าหน้าที่องค์กรฯ ได้ร่วมลงพื้นที่พร้อมด้วยเครือข่ายเพื่อร่วมนำอาหารสุนัขและอาหารแมวมอบให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและชุมชน กว่า 1,400 ชีวิต เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ที่ประสบเหตุจากอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดน่าน และจังหวัดสุโขทัย ด้วยการร่วมมอบอาหารสัตว์กว่า 4 ตัน และยารักษาโรค ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่องค์กรฯ ยังได้ลงพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเร่งกระจายอาหารสำหรับสุนัขและแมวจำนวนรวม 2.1 ตัน แจกจ่ายไปยังบ้านเรือน ผู้ใหญ่บ้าน วัด ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติในเขตอำเภอสารภี รวมถึงได้ส่งมอบอาหารสำหรับสุนัขและแมวส่วนหนึ่งให้แก่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนสังคม นโยบาย เพื่อปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์เพื่อให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบทบาทที่สำคัญในการทำงานด้านสัตว์เลี้ยงในชุมชน เช่น สุนัขและแมว ภายใต้โครงการ Better Lives with Dogs ซึ่งได้เริ่มการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 พร้อมทั้งได้มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวร
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เดินหน้าสานต่อโครงการ “คูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 นำคาราวานแห่งไออุ่น ลงพื้นที่มอบเสื้อกันหนาว 10,000 ตัว ร่วมกับกองทัพบกใน 4 จังหวัด ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมจับมือร้านค้าผู้แทนจำหน่ายมอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมอบเสื้อกันหนาว 3,000 ตัว ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังผู้ที่ขาดแคลน ตอกย้ำการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันในการมุ่งมั่นเคียงข้างสังคมและเกษตรกรไทย
นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างภัยหนาว เราเล็งเห็นว่าเสื้อกันหนาวถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถพกพาหรือสวมใส่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันความหนาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เราจึงตั้งใจดำเนินโครงการคูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล และถือเป็นการแสดงความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เด็กๆ เยาวชน รวมถึงพี่น้องเกษตรกรทุกคน โดยตลอดระยะเวลา 46 ปี เราตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสยามคูโบต้า ทั้งนี้ สยามคูโบต้าได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกที่ทำงานใกล้ชิดดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จึงมีความเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกัน โดยเราจะพิจารณาพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และมีประชาชนที่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ภัยหนาวด้วย
สำหรับในปีนี้ สยามคูโบต้าได้ร่วมจัดคาราวานแบ่งปันความอบอุ่นผ่านเสื้อกันหนาว 4 จังหวัด ในพื้นที่ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร และได้รับความร่วมมือจากร้านค้าผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้ามอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ส่งมอบเสื้อกันหนาวผ่านกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการป้องกันบรรเทา และช่วยเหลือฟื้นฟูในทุกภัยพิบัติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 13,000 ตัว มูลค่ารวมกว่า 3,900,000 บาท ทั้งนี้ สยามคูโบต้าต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความร่วมมือในการเดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิต และแบ่งปันพลังแห่งความอบอุ่นเคียงข้างพี่น้องประชาชนและสังคมไทย”
พลเอก วสุ เจียมสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า “กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ พร้อมเข้าให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนในทุกกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสยามคูโบต้าเป็นภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนกองทัพบกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี ซึ่งในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นการรับมอบเสื้อกันหนาวในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ระหว่างกองทัพบกและสยามคูโบต้าในการเข้าถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวได้อย่างทันท่วงที
ด้าน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า “สำหรับปีนี้ เป็นการดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กับ สยามคูโบต้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในฐานะหน่วยงานกลางของภาครัฐในการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ เราได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวโดยเป็นศูนย์กลางการประสานการช่วยเหลือฯ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงภัยหนาว เน้นกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่ห่างไกลทุรกันดาร โดยได้วางแผนส่งมอบเสื้อกันหนาว ในพื้นที่เป้าหมาย 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงเชียงราย พะเยา และเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความต้องการเครื่องนุ่งห่มกันหนาวและเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดภัยหนาวตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา”
จากวันแรกของการริเริ่มโครงการจวบจนปีที่ 25 วันนี้สยามคูโบต้าได้บรรเทาความหนาวให้พี่น้องประชาชนไปแล้วกว่า 183,000 ราย ด้วยความมุ่งหวังสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมมุ่งมั่นตอบแทนสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกร และร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น
THAIBIZ สื่อภาษาญี่ปุ่นระดับชั้นนำที่นำเสนอข้อมูลแวดวงเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย เปิดตัวโครงการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้รับการสนับสนุนจาก 3 บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท เดนท์สุ โซเคน (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท เซนโช (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมบริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 350,000 บาท ผ่านสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อจัดหาปัจจัยยังชีพและสิ่งของที่จำเป็นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรค
ยูกิโกะ ซากุราอิ (Yukiko Sakurai) PPH Officer จาก UNHCR ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งการสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราและองค์กรญี่ปุ่น รวมถึงอาจนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันที่แนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต”
นอกจากนี้จากผลสำรวจของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เผยให้เห็นว่ามี 77 บริษัทจาก 93 บริษัทสมาชิก ร่วมดำเนินการบริจาค หรือมีแผนที่จะบริจาคเงินและสิ่งของต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือฯ รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ผ่านหลายองค์กร JCC ยังร่วมสมทบทุนบริจาคเงินเพิ่มอีก 200,000 บาท ซึ่งช่วยสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทญี่ปุ่นและประเทศไทยที่พร้อมจะยืนเคียงข้างแม้ในยามวิกฤตได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ทาง THAIBIZ รับหน้าที่ประสานเพื่อส่งมอบเตาแก๊สพกพา 480 ชุดจากบริษัท อิวาตานิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ให้แก่ผู้ประสบภัยที่เขตพื้นที่อำเภอแม่สาย ภายใต้โครงการ "หมดตัวไม่หมดใจเพราะยังมี...ตันXจัน" ของ ตัน ภาสกรนที และสำนักข่าวอีจัน ณ ที่ทำการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายอีกด้วย
กันตธร วรรณวสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดิเอเตอร์ จำกัด และผู้ก่อตั้งสื่อ THAIBIZ กล่าวว่า “การร่วมส่งต่อน้ำใจจากบริษัทญี่ปุ่นในครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่กำลังเดือดร้อนให้มีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UNHCR ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยที่จะก้าวไปมีบทบาทสำคัญในเวทีนานาชาติในอนาคต
ขณะเดียวกันในฐานะที่ THAIBIZ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยให้ข้อมูลและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทไทยและญี่ปุ่นมาโดยตลอด ดังนั้นโครงการระดมทุนในครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำบทบาทของ THAIBIZ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้ยั่งยืนและเข้มแข็งขึ้นต่อไปในอนาคต”
สำหรับองค์กรไทยที่ต้องการสร้างการรับรู้ในหมู่นักลงทุนญี่ปุ่น สามารถติดต่อเพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ THAIBIZ ได้ที่โทร. 02-392-3288 หรือ e-mail This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือเว็บไซต์ https://th-biz.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)
ไม่ใช่แค่สร้างบ้านคุณภาพเพียงอย่างเดียวแต่ต้องสร้างเสริมชุมชนที่ปลอดภัยน่าอยู่ด้วย นี่คือความเชื่อของ วรยุทธ กิตติอุดม ซีอีโอ บมจ.ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ มาโดยตลอด ซึ่งได้จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อลูกบ้านและชาวบ้านโดยรอบได้มาแจมกันอยู่เสมอ เช่น กิจกรรมมินิคอนเสิร์ต Zenex Limitless Party ที่สร้างความบันเทิงให้กับลูกบ้าน พนักงาน และชุมชน ทั้งยังมีไอเดียจะเพิ่มกิจกรรมเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นโยคะ เวิร์คช็อป หรือการแสดง เพื่อช่วยลดความเหงาและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีในกลุ่มญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงจุดยืนของบริษัทฯ ที่สนับสนุนในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และใส่ใจต่อสังคมผู้สูงวัยอีกด้วย
มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการ “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” ศูนย์ดูแลเด็กอายุ 1-3 ปี สนับสนุนดูแลลูกของพนักงานที่ทำงานในบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน นำเสนอกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลาย โภชนาการที่ดี มีความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมนโยบายเป็นมิตรสำหรับครอบครัว ดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ สร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี เปิดเผยว่า “บีเจซี บิ๊กซี เปิดให้บริการศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” เพื่อช่วยดูแลเด็กเล็กที่เป็นบุตรของพนักงานในกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี สำนักงานใหญ่ในระหว่างวันทำงาน เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้เวลากับบุตรหลานมากที่สุด โดยสภาพการเดินทางและการทำงานในยุคปัจจุบันอาจทำให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกน้อยลง มีความลำบากในการหาสถานที่ดูแลเด็กที่มีคุณภาพดี ไว้ใจได้ สามารถดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นการตั้งศูนย์ฯ นี้จะช่วยตอบโจทย์ผู้ปกครองได้มาก สำหรับศูนย์ฯ ดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับอาคารสำนักงานใหญ่บีเจซี บิ๊กซี เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567
“บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” คือ ศูนย์เด็กที่ออกแบบตามมาตรฐาน ยึดหลักความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กปฐมวัยมากกว่า 10 ปี รวมถึงมีพี่เลี้ยงเด็กที่จบการศึกษาด้านปฐมวัยโดยตรง จึงสามารถส่งเสริมการเรียนรู้และออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกหลานพนักงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งยังมีหลักการดูแลเด็กๆ ให้ได้รับโภชนาการที่ดี นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์การเรียนรู้ หนังสือ ของเล่นเด็กต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็กมากขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ดังกล่าวเปิดให้บริการสำหรับกลุ่มพนักงานที่ลูกมีอายุระหว่าง 1-3 ปี เปิดดำเนินการวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 07.30 – 18.00 น.
นางฐาปณี กล่าวว่า “บีเจซี บิ๊กซี เชื่อว่าการเนรมิตศูนย์เด็ก “บีเจซี บิ๊กซี คิดส์ แคร์” นี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับพนักงานที่จะช่วยแบ่งเบาหน้าที่ในการดูแลลูก และตัวเด็กที่จะได้รับการดูแลที่เหมาะสม เรามุ่งเน้นสร้างสรรค์การเป็นองค์กรที่เป็นมิตรกับครอบครัว เราอยากให้พนักงานที่มีบุตรหลานได้ทำงานอย่างสบายใจ และเด็ก ๆ ก็สามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย เราเข้าใจและใส่ใจพนักงานทุกคนและมุ่งมั่นที่จะทำให้สถานที่ทำงานเปรียบเสมือนบ้านของครอบครัว”
มูลนิธิบีเจซี บิ๊กซี ได้ให้การสนับสนุนยูนิเซฟ ประเทศไทยในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ การเปิดศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการ "ลงมือทำจริง" ด้วยนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัว โดย นางคยอนซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้ครอบครัวต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาศูนย์ดูแลเด็กที่เหมาะสมและราคาไม่แพง โดยเฉพาะหลังจากสิ้นสุดช่วงลาคลอดที่แม่ต้องกลับไปทำงาน ซึ่งศูนย์ดูแลเด็กที่เปิดในวันนี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ให้กับพนักงาน และเปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อแม่และลูก ๆ ไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย คือการสนับสนุนให้นายจ้างนำนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวมาใช้ เช่น นโยบายลาคลอดที่ได้รับค่าจ้าง เวลาพักให้นมแม่ บริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ ตลอดจนสวัสดิการสำหรับเด็ก ศูนย์ดูแลเด็กแห่งนี้จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสถานประกอบการและบริษัทอื่น ๆ ต่อไป”