บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา ให้กับพนักงานและบุตรอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 14 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554-2567 รวมทั้งสิ้นกว่า 6,000 ทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 24 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างความเท่าเทียมในเรื่องการศึกษาและพัฒนาทักษะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ซึ่งในปี 2567 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 14 โดยมี นางสาวดารณี ฉัตรพิริยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารบริษัทในเครือเป็นผู้มอบทุนการศึกษาแก่บุตรพนักงาน จำนวน694 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 3.05 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินทุนการศึกษาดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนและการใช้บริการ ‘แม่บ้าน LPC’ และ ‘แจ๋วลุมพินี-บริการทำความสะอาดห้องชุด’ ของลูกค้าโครงการหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมของ LPN และโครงการต่างๆ กว่า 300 แห่ง ทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต และครอบครัวของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการมอบทุนการศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงานภายใต้กิจกรรม ‘แม่ดี ลูกเก่ง’ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน รวมถึงตอบแทนความทุ่มเทของพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ทุ่มเทใส่ใจ ในบทบาทที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมชื่นชมยินดีกับโอกาสทางการศึกษาของบุตรพนักงานทุกคนให้มีความเท่าเทียมกันในเรื่องการศึกษาที่ถือว่าเป็นพื้นฐานของการมีสังคมที่ดีต่อไปในอนาคต และขอบคุณทุกภาคส่วน ที่มีส่วนร่วมผลักดันคุณภาพชีวิตของสตรีด้อยโอกาสอย่างยั่งยืน ร่วมกับ แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริการ ‘แม่บ้าน LPC’ และ “แจ๋วลุมพินี” สามารถติดต่อได้ที่ โทร.02-689-6868 และช่องทางออนไลน์ https://www.facebook.com/lpcsocialenterprise
ลองจินตนาการดูสิ ถ้าคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาดูแลธรรมชาติ โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นแค่ไหน
การปลูกฝังให้เด็กๆตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ ถือเป็นอีกวิธีที่จะชวนพวกเขาให้มาร่วมเป็นเครือข่ายคนรุ่นใหม่หัวใจรักษ์โลกได้เข้าใจปัญหาโลกร้อนและวิธีป้องกัน
ฐานโลกรวน : โลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติเยอะขึ้น... แต่ถ้าพวกเรารู้วิธีการป้องกันและลดผลกระทบ ก็ช่วยโลกได้นะ
ฐานขยะแปลงร่าง : ขยะที่เราทิ้งไปทุกวัน แต่บางอย่างสามารถนำกลับมาเพิ่มมูลค่าได้ เพียงแค่รู้จักแยกขยะ" 3Rs ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ เริ่มจากโรงเรียน แล้วขยายสู่ชุมชน
ฐานต้นกล้าสู่ป่าใหญ่ : จากต้นกล้าเล็กๆ วันนี้ จะกลายเป็นป่าใหญ่ในวันหน้า เพียงช่วยกันปลูกต้นไม้และเรียนรู้การอนุรักษ์ ฟื้นฟู ก็ช่วยสร้างความหลากหลายทางชีวภาพได้
ฐานความปลอดภัย : ดูแลตัวเองได้ ก็พร้อมดูแลโลกได้เหมือนกัน ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดนี้คือความมุ่งมั่นของโครงการ “ปันรู้ ปลูกรักษ์” โครงการดี ๆ จากซีพีเอฟ เพื่อสร้างเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ขยายผลจากในโรงเรียน
สู่ครอบครัว และชุมชน เพราะเราเชื่อว่า... พลังของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนโลกได้
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี นำโดย นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่งมอบ ถุงผ้า จำนวน ๒,๐๐๐ ใบ ภายใต้โครงการ “ถุงผ้าใส่ยาให้ผู้ป่วยกลับบ้าน” ซึ่งได้จากการร่วมเพ้นท์ถุงผ้าของผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนจิตอาสา โดยมี รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้รับมอบ โดยจะส่งต่อให้กับผู้ป่วยและผู้ใช้บริการในโรงพยาบาล ฯ เพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็น ๑ ใน ๗๒ โครงการของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่คนพิการเพื่อผลิตบัณฑิตกลุ่มวิชาชีพครู หวังเพิ่มจำนวนบุคลากรครูที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสอนคนพิการไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมศักยภาพให้คนพิการมีอาชีพที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการระดมทุนในโครงการทุนสถาบันราชสุดา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของคนพิการในสังคมไทย
คนพิการคือกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการศึกษา แม้ว่าในทางกฎหมาย ภาครัฐจะให้ความสำคัญต่อการศึกษาโดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับและสามารถเข้าถึงได้ แต่ในทางปฏิบัติ การจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มคนพิการนั้นยังคงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากและอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากปัญหาทั้งด้านหลักสูตร โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสำหรับคนพิการ และความสามารถในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
อาจารย์นายแพทย์สมเกียรติ ลีละศิธร ผู้อำนวยการสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “การขาดโอกาสทางการศึกษาส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี จนนำมาสู่ปัญหาการขาดโอกาสในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการ จากข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 พบว่า มีจำนวนคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายในประเทศไทยทั้งสิ้น 423,936 คน คิดเป็น 19.19% ของคนพิการทั้งหมด โดยในจำนวนคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายทั้ง 423,936 คนเหล่านี้ มีผู้ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาสูงที่สุด 282,410 คน รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษาที่ 35,899 คน ในขณะที่ผู้ที่ได้รับ
การศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามีเพียง 9,227 คนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมุ่งมั่นเป็นสถาบันที่เปิดพื้นที่ทางการศึกษาสำหรับนักศึกษาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ระดับชั้นปริญญาตรี โท และเอก เพื่อผลิตบุคลากรครูสำหรับคนพิการทางการได้ยินโดยเฉพาะ รวมทั้งเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนพิการที่ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพกายและจิตใจผ่านงานบริการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนในสังคมได้อย่างมีความสุข”
อาจารย์ ดร.ปรเมศวร์ บุญยืน ประธานหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การขาดแคลนล่ามภาษามือ จากสถิติกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2567 พบว่า ล่ามภาษามือที่จดแจ้งมีจำนวนทั้งหมด 178 คน โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมากที่สุด และ 36 จังหวัดในประเทศไทยไม่พบล่ามภาษามือที่จดแจ้ง สถาบันราชสุดา ในฐานะสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่ผลิตล่ามภาษามือในระดับปริญญาตรี จึงให้มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตเพื่อส่งต่อความรู้ให้แก่คนพิการทางการได้ยินให้มีทักษะในการประกอบอาชีพ ตลอดจนสามารถหาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนพิการในสังคมไทย”
คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวเสริมว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเท่าเทียมและไม่แบ่งแยก โดยเฉพาะความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาตนเอง โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมจัดสรรเงินทุนเพื่อพัฒนาด้านการเรียนการสอนในสถาบันราชสุดา รวมถึงส่งเสริมด้านงานวิจัยนวัตกรรมด้านคนพิการและการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการ เพื่อให้คนพิการในสังคมไทยมีอาชีพที่มั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มวิชาชีพครูที่สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในอนาคต นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนของคนพิการในประเทศไทย”
สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถเรียนรวมกับคนทั่วไปได้อย่างเท่าเทียม โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในห้องเรียนเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างคนพิการและบุคคลทั่วไป พร้อมจัดบริการสนับสนุนการศึกษาอย่างเหมาะสมเพื่อลดอุปสรรคการเรียนรู้ที่เกิดจากข้อจำกัดด้านความพิการ สถาบันราชสุดา เปิดสอนทั้งหมด 5 หลักสูตร ดังนี้ ระดับปริญญาตรี ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา วิชาเอกการออกแบบเชิงพาณิชย์ และวิชาเอกล่ามภาษามือไทย และ หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หลักสูตรศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ และ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของมูลนิธิรามาธิบดีฯ เพื่อสร้างพื้นที่แห่งโอกาสทางการศึกษาให้คนพิการ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนพิการและคนทั่วไป พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่ปราศจากการแบ่งแยก ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
แม้วันนี้สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในหลายจังหวัดจะเริ่มคลี่คลาย ปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงเริ่มลดลง พี่น้องประชาชนกลับเข้าบ้านเรือนได้ แต่เรื่องอาหารการกินยังคงไม่เพียงพอในหลายพื้นที่ เรื่องนี้ CP – CPF และบริษัทในเครือฯ ยังคงเดินหน้าช่วยสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม องค์กรอาสาต่างๆอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ 'CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม'
วันนี้ CPF มอบไก่สด ไข่ไก่ ไก่พร้อมปรุงและไก่จ๊อจากธุรกิจห้าดาว เพื่อสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในการผนึกกำลังร่วมกับจังหวัดพัทลุง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดพัทลุง โดยมี นายก้องสกุล จันทราช รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และนายสัจรินทร์ ศรีเสน ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา) พร้อมด้วย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง และเหล่ากาชาดจังหวัดพัทลุง ร่วมรับมอบ ณ โรงครัวเคลื่อนที่ วัดสะทัง อำเภอเขาชัยสน จ.พัทลุง
ด้านจังหวัดสงขลา นางสาวภัชรินทร์ ภู่เยี่ยม นำทีมงานจิตอาสา CPF ธุรกิจสัตว์น้ำภาคใต้ ร่วมกันส่งมอบไข่ไก่ แก่ นายนพดล สุระสังวาลย์ นายอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อสนับสนุนโรงครัวกลางชะแล้ ต. ชะแล้ อ.สิงหนคร
“จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก เราจึงเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สำหรับเรื่องอาหารได้รับการสนับสนุนจาก CPF โดยทีมจิตอาสาจากฟาร์มลูกกุ้งสิงหนคร ฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งศรีระโนด และฟาร์มเลี้ยงกุ้งระโนด ร่วมกันนำน้ำดื่ม ข้าวสาร สำหรับจัดทำถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายประชาชนในเบื้องต้น และล่าสุดมอบไข่ไก่แก่โรงครัวกลางฯ เพื่อประกอบเป็นอาหารปรุงสุกสดใหม่มอบถึงมือผู้ประสบอุทกภัย ขอขอบคุณ CP และ CPF ที่เป็นหน่วยงานแรกๆที่เข้ามาช่วยเหลือชาวสิงหนครและชาวใต้ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน” นายอำเภอสิงหนคร กล่าว
นอกจากนี้ บริษัท ยังส่งมอบเนื้อไก่สดและไข่ไก่สด แก่ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา เพื่อสนับสนุนการจัดทำโรงครัว ทำอาหาร และน้ำดื่ม สำหรับมอบให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ชาวสงขลา
ทางด้าน ทีมงานจิตอาสา โรงงานแปรรูปไก่สงขลา อ.จะนะ มอบไก่สดแก่ครัวกลางมัสยิดเกาะแต้ว ที่ได้ระดมทุนจัดทำข้าวกล่องประมาณ 650 กล่อง ส่งมอบถึงมือพี่น้องผู้ประสบภัยใน ต.สะกอม อ.จะนะ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเนื้อไก่ ให้แก่ ครัวรัตภูมิ และโรงครัวอาสา ช่วยพี่น้องชาวใต้ โดยมูลนิธิเนชั่น ร่วมกับเครือข่ายช่วยเหลือประชาชนภาคใต้และภาคเอกชน ขณะที่ทีมจิตอาสายังร่วมกับเทศบาลตำบลนาทับ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานฯ ในการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นและถุงยังชีพแก่ชุมชนรอบโรงงาน ส่วนจิตอาสาโดยทีมงานธุรการ CPF ภาคใต้ ยังทำหน้าในการรับไข่ไก่จากคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จะนะ เพื่อส่งต่อให้กับ มณฑลทหารบกที่ 46 (ค่ายอิงคยุทธบริหาร)
จุรี ยูทูบเบอร์ดังของภาคใต้ที่เป็นเครือข่ายความดีซึ่งได้ร่วมช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้มาตั้งแต่ต้น ขอเป็นตัวแทนพี่ของน้องชาวจะนะ เทพา สะบ้าย้อย รวมถึงพี่น้องในสามจังหวัดชายแดน ขอขอบคุณ CP - CPF ที่ได้ช่วยเหลือชาวชุมชนทุกคนอย่างรวดเร็ว การมอบผลิตภัณฑ์กุ้ง CP ซึ่งเป็นอาหารฮาลาลที่ชาวมุสลิมรับประทานได้ ผ่านครัวกลางอำเภอจะนะ ช่วยให้อาหารของเราเข้าถึงชุมชน และบริษัทยังเดินหน้าช่วยในหลายพื้นที่ช่วยคลายความเดือดร้อนแก่ชาวใต้ได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายมนตรี ฤทธิจอม ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอระโนด กล่าวว่า แม้ขณะนี้ปริมาณน้ำฝนจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม หากแต่พื้นที่ตำบลบ้านขาวเป็นพื้นที่รับนำจากทางเทือกเขาบรรทัดทั้งหมด ซึ่งปกติน้ำส่วนนี้ต้องระบายออกในฝั่งอ่าวไทย แต่ขณะนี้ไม่สามารถระบายออกได้สะดวก ทำให้พื้นที่จุดนี้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด จึงเกิดน้ำท่วมขัง ขอขอบคุณ CP-CPF ที่ได้มอบผลิตภัณฑ์อาหารสด ทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ไก่ และน้ำดื่ม สนับสนุนโรงครัวระโนด ในการทำอาหารพร้อมทานสำหรับชาวชุมชนทุกคน ทางด้าน นายสุนทร ช่วยแท่น กำนันต.บ้านขาว อ.ระโนด กล่าวเสริมว่า ภาวะน้ำท่วมขังส่งผลต่อการเดินทางเข้าออกของประชาชนยังยากลำบาก วันนี้ได้ร่วมกับส่วนจังหวัด หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น CP-CPF มาร่วมกันแจกของใช้จำเป็นและจัดทำโรงครัวช่วยเหลือเบื้องต้น ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความสำคัญกับความเดือนร้อนของน้องชาวใต้ ด้าน นางณิชกานต์ สันหนู สารวัตรกำนันตำบลบ้านขาว อ.ระโนด กล่าวว่า ตำบลบ้านขาว หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 6 ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมถึง 80% เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำและอยู่ติดกับทะเลสาบสงขลา ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนสูง ปัจจุบันได้ตั้งโรงครัวมาเป็นวันที่ 3 แล้ว โดยจัดทำข้าวกล่องแจกจ่าย วันละประมาณ 600 กล่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านอาหารสดจาก CP-CPF เป็นอย่างดี
โครงการ ‘CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม’ จากนโยบาย “ซีพีเอฟพร้อมให้การสนับสนุนโรงครัวภาคใต้ 100 โรงครัว” ของนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF จะยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้พี่น้องชาวใต้ผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
นางสาวรุจิกร แสงจันทร์ ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (CG & SD) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นำคณะผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK มอบพันธุ์ผักสวนครัวให้กับ นายสิทธิพล พรมมินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนภูคาวิทยาคม เพื่อนำไปปลูกเป็นแหล่งอาหารปลอดภัย ลดรายจ่าย และส่งเสริมโภชนาการสำหรับอาหารกลางวันเด็กนักเรียน พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเกษตร และแนวทางประกอบอาชีพในอนาคตให้แก่นักเรียน ภายใต้โครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) “EXIM เพื่อสุขภาพชุมชน” ซึ่ง EXIM BANK ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่และปลูกผักสวนครัวเพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โครงการน้ำดื่มสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดีของนักเรียน โครงการปรับปรุงสนามเด็กเล่นและห้องสมุด ตามนโยบาย CSR เพื่อพัฒนาชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความเข้มแข็ง ต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่นและประเทศชาติ ณ โรงเรียนภูคาวิทยาคม อำเภอปัว จังหวัดน่าน เมื่อเร็ว นี้
ช่วงเดือนธันวาคมที่กำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ในอีกไม่กี่วัน หลาย ๆ คนต่างเฝ้ารอช่วงเวลาแห่งความสุข และคาดหวังการได้พบกับสิ่งดีใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ในวัยสดใสที่ต่างจดจ่อกับเทศกาลเฉลิมฉลองที่จะมีขึ้นทั้งในชุมชนและครอบครัว ในวาระนี้ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความสุขให้น้อง ๆ โรงเรียนบ้านหนองลาน จังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” ที่ได้พี่ ๆ จิตอาสากรุงเทพประกันชีวิต ร่วมสร้างกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ เสริมสร้างพัฒนาการ และการมีสุขภาพที่ดี ถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้น้องๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สร้างฝันเพื่อน้อง” มีพี่ ๆ จิตอาสาจากส่วนงานต่าง ๆ ของกรุงเทพประกันชีวิตร่วมกิจกรรมกว่า 30 คน ภายใต้การนำโดย “นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์” ผู้บริหารสายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า โดยมีเป้าหมายในการร่วมทำความดีส่งท้ายปี ณ “โรงเรียนบ้านหนองลาน” ตั้งอยู่ที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 2 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รวมนักเรียนในปีการศึกษา 2567 จำนวน 146 คน และมีคุณครูและบุคลากรอีกจำนวน 14 คน โดยโรงเรียนได้จัดการแสดงจากน้อง ๆเพื่อต้อนรับพี่ ๆ อย่างอบอุ่น
“กรุงเทพประกันชีวิต มีเป้าหมายในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเยาวชนและสังคมไทย ผ่านการสนับสนุนด้านการศึกษาและสุขภาพ สอดคล้องกับคำขวัญของโรงเรียนบ้านหนองลานที่ว่า “เรียนดี กีฬาเด่น เน้นคุณธรรม นำสังคม” การที่น้องๆ จะเรียนดี หรือ กีฬาเด่นได้ เราต้องเริ่มต้นจากสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกาย กิจกรรมสำคัญของโครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” จึงมุ่งเน้นการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยได้มอบระบบน้ำดื่มสะอาด เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการศึกษา และ กระเป๋าปฐมพยาบาลเพื่อสุขอนามัยที่สมบูรณ์ รวมถึง พื้นที่การเรียนรู้ในรูปแบบสนามเด็กเล่น ซึ่งจะเป็นที่ที่เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มที่” นางสาวอรนาฎกล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า
หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญคือ การส่งมอบพื้นที่รักการอ่าน ด้วย “ห้องสมุดตู้คอนเทนเนอร์” ซึ่งจะส่งเสริมการเรียนรู้และปลูกฝังการอ่านให้กับน้อง ๆ ทุกคน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารและพนักงานกรุงเทพประกันชีวิต ที่ได้ร่วมบริจาคหนังสือดี ๆ และของเล่นส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อให้น้อง ๆ ทุกคนได้ใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านหนังสือและการเล่นอย่างสนุกสนาน
นายกิตติศักดิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองลาน กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่กรุงเทพประกันชีวิตได้มามอบสิ่งดี ๆ และโอกาสให้กับลูก ๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองลานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ให้เด็ก ๆ ได้อยู่ในโรงเรียนอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการมอบห้องสมุดเพื่อเป็นสื่อในการเรียนรู้ รวมถึงเครื่องเล่น สนามเด็กเล่นให้เด็กอนุบาลได้มีพัฒนาการสมวัย นอกจากนี้ยังได้มอบตู้ทำน้ำดื่มพร้อมระบบกรองน้ำให้เด็กได้มีน้ำดื่มที่สะอาด และทีวีเพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ทำให้คุณครูได้จัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ผมขอขอบคุณกรุงเทพประกันชีวิตที่ได้มอบโอกาสดี ๆ ให้โรงเรียนของเราในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข เป็นโรงเรียนคุณภาพของชุมชน”
“พวกเราพนักงานจิตอาสากรุงเทพประกันชีวิต รู้สึกมีความสุขที่ได้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ “ใส่ใจแบ่งปัน สานฝันเพื่อน้อง” จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ช่วยสร้างความสุขและแรงบันดาลใจในการเติมเต็มความฝันและต่อยอดทางการศึกษาให้กับน้อง ๆ ทุกคนที่โรงเรียน” นางสาวอรนาฎกล่าวในที่สุด
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) แสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี นายโกสนธ์ พิศภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินไหมทดแทน บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นำทีม TIP Smart Assist และหน่วยหนุมานทิพยจิตอาสา ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินในหลายจังหวัด
นอกจากนี้ ทิพยประกันภัย ยังได้จัดมอบถุงยังชีพ น้ำดื่ม และให้บริการยกรถฟรีแก่ลูกค้าและประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงเข้าสำรวจและจ่ายค่าสินไหมทันที กรณีลูกค้าทำประกันได้รับความเสียหายทั้งที่อยู่อาศัยและรถยนต์
ทิพยประกันภัยขอส่งความห่วงใยและกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับท่านใดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่สายด่วน 1736 กด 1
ดร.วุฒิพันธุ์ ตวันเที่ยง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารและพนักงาน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ “ BAM Save The Sea #2 (25th Anniversary) ” ร่วมปล่อยปลาฉลามกบกลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยมี นาวาตรีโชคชัย ชูตระกูล หัวหน้าวิทยากรประจำชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ และทีมจิตอาสาหาดตะวันรอน พร้อมให้ความรู้และร่วมกิจกรรม ณ หาดตะวันรอน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศทะเลไทยให้มีความสมดุล และลดการสูญพันธุ์ของปลาฉลามบก
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดหาและมอบอุปกรณ์ เครื่องมือและครุภัณฑ์การแพทย์ ให้แก่ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ และศูนย์สุขภาพชุมชนเก้าดาว จ.เพชรบูรณ์ รวมมูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยและครอบครัวในถิ่นห่างไกล สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง และส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้รับการส่งเสริมภายใต้มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
โดยมี คุณกกชัย ฉายรัศมีกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ คุณเสรสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ พญ. ดวงดาว ศรียากูล รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ และ นพ. สุรเมศวร์ ศิริจารุวงศ์ ประธานองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ พร้อมทั้งคณะบุคลากร ให้เกียรติเป็นตัวแทนรับมอบ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ คุณอรภรรณ บัวม่วง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงิน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นตัวแทนส่งมอบ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection) นำโดย นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรฯ มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จำนวน 10,000 เข็ม ให้แก่กรมปศุสัตว์ โดยมี น.สพ.ดร.วีรพงษ์ ธนพงศ์ธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน(โรคพิษสุนัขบ้า) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ เป็นผู้แทนกรมปศุสัตว์รับมอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 องค์กรฯ ได้บริจาควัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องรวมทั้งสิ้นประมาณ 80,000 เข็ม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการช่วยเหลือให้สัตว์ในชุมชนปลอดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องสู่ประชาชนโดยตรงในวงกว้าง นอกจากนี้เราให้การช่วยเหลือตลอดจนทำงานร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายและชุมชนเพื่อช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงจากภัยน้ำท่วมที่ได้เกิดขึ้นในปีนี้ โดยเจ้าหน้าที่องค์กรฯ ได้ร่วมลงพื้นที่พร้อมด้วยเครือข่ายเพื่อร่วมนำอาหารสุนัขและอาหารแมวมอบให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและชุมชน กว่า 1,400 ชีวิต เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ที่ประสบเหตุจากอุทกภัยในพื้นที่ จังหวัดน่าน และจังหวัดสุโขทัย ด้วยการร่วมมอบอาหารสัตว์กว่า 4 ตัน และยารักษาโรค ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่องค์กรฯ ยังได้ลงพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเร่งกระจายอาหารสำหรับสุนัขและแมวจำนวนรวม 2.1 ตัน แจกจ่ายไปยังบ้านเรือน ผู้ใหญ่บ้าน วัด ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติในเขตอำเภอสารภี รวมถึงได้ส่งมอบอาหารสำหรับสุนัขและแมวส่วนหนึ่งให้แก่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม่
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้ทำงานอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนสังคม นโยบาย เพื่อปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์เพื่อให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบทบาทที่สำคัญในการทำงานด้านสัตว์เลี้ยงในชุมชน เช่น สุนัขและแมว ภายใต้โครงการ Better Lives with Dogs ซึ่งได้เริ่มการทำงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 พร้อมทั้งได้มอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวร
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด เดินหน้าสานต่อโครงการ “คูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 นำคาราวานแห่งไออุ่น ลงพื้นที่มอบเสื้อกันหนาว 10,000 ตัว ร่วมกับกองทัพบกใน 4 จังหวัด ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมจับมือร้านค้าผู้แทนจำหน่ายมอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมอบเสื้อกันหนาว 3,000 ตัว ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อกระจายความอบอุ่นไปยังผู้ที่ขาดแคลน ตอกย้ำการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันในการมุ่งมั่นเคียงข้างสังคมและเกษตรกรไทย
นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างภัยหนาว เราเล็งเห็นว่าเสื้อกันหนาวถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถพกพาหรือสวมใส่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันความหนาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เราจึงตั้งใจดำเนินโครงการคูโบต้าพลังใจสู้ภัยหนาว อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ห่างไกล และถือเป็นการแสดงความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เด็กๆ เยาวชน รวมถึงพี่น้องเกษตรกรทุกคน โดยตลอดระยะเวลา 46 ปี เราตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสยามคูโบต้า ทั้งนี้ สยามคูโบต้าได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกที่ทำงานใกล้ชิดดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จึงมีความเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกัน โดยเราจะพิจารณาพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และมีประชาชนที่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว นอกจากนี้ยังคำนึงถึงความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ภัยหนาวด้วย
สำหรับในปีนี้ สยามคูโบต้าได้ร่วมจัดคาราวานแบ่งปันความอบอุ่นผ่านเสื้อกันหนาว 4 จังหวัด ในพื้นที่ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร และได้รับความร่วมมือจากร้านค้าผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้ามอบสิ่งของจำเป็นให้โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ส่งมอบเสื้อกันหนาวผ่านกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการป้องกันบรรเทา และช่วยเหลือฟื้นฟูในทุกภัยพิบัติ ตลอดจนเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 13,000 ตัว มูลค่ารวมกว่า 3,900,000 บาท ทั้งนี้ สยามคูโบต้าต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความร่วมมือในการเดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิต และแบ่งปันพลังแห่งความอบอุ่นเคียงข้างพี่น้องประชาชนและสังคมไทย”
พลเอก วสุ เจียมสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า “กองทัพบกเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ พร้อมเข้าให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนในทุกกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสยามคูโบต้าเป็นภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนกองทัพบกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 11 ปี ซึ่งในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นการรับมอบเสื้อกันหนาวในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ระหว่างกองทัพบกและสยามคูโบต้าในการเข้าถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวได้อย่างทันท่วงที
ด้าน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า “สำหรับปีนี้ เป็นการดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กับ สยามคูโบต้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในฐานะหน่วยงานกลางของภาครัฐในการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ เราได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวโดยเป็นศูนย์กลางการประสานการช่วยเหลือฯ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงภัยหนาว เน้นกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่ห่างไกลทุรกันดาร โดยได้วางแผนส่งมอบเสื้อกันหนาว ในพื้นที่เป้าหมาย 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงเชียงราย พะเยา และเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความต้องการเครื่องนุ่งห่มกันหนาวและเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดภัยหนาวตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา”
จากวันแรกของการริเริ่มโครงการจวบจนปีที่ 25 วันนี้สยามคูโบต้าได้บรรเทาความหนาวให้พี่น้องประชาชนไปแล้วกว่า 183,000 ราย ด้วยความมุ่งหวังสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ พร้อมมุ่งมั่นตอบแทนสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกร และร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น