November 21, 2024

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนโครงการประกวดคลิปวีดีโอ “Thailand Tomorrow คนรุ่นใหม่ทำความดีเพื่อสังคม” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กเเละเยาวชน  มูลนิธิพุทธภูมิธรรม ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)  มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพและไอเดียสร้างสรรค์ ผ่านการสร้างสรรค์คลิปวีดีโอที่สะท้อนการทำความดีเพื่อสังคม

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมพิธีประกาศผลและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการประกวดครั้งนี้ ซึ่งมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 160,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธี

ภายในงานยังมีผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรต่าง ๆ ร่วมแสดงความยินดี ได้แก่ นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และอาจารย์วิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม โดยพิธีจัดขึ้น ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด และภาพลักษณ์องค์กร (คนที่ 7 จากซ้าย แถวที่ 2) และคุณเต๋า เศรษฐพงศ์ เพียงพอ CR Influencer (คนที่ 9 จากซ้าย แถวที่ 2) ร่วมส่งมอบเงินสมทบทุน จำนวน 30,000 บาท ให้แก่ศูนย์ปฎิบัติการไฟป่า จังหวัดเชียงราย เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ในการช่วยเหลือยับยั้ง และเป็นแนวตั้งรับการดับไฟป่า ภายใต้กิจกรรม Wild Life จากแคมเปญ Commit To Climate  ปีที่ 3  โดยได้รับเกียรติจาก คุณนิคม อิ่มเอิบ ผู้อำนวยการ ส่วนควบคุม และปฎิบัติการไฟป่า สำนักบริการพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 จังหวัดเชียงราย  (คนที่ 8 จากซ้าย แถวที่ 2) เป็นผู้รับมอบ

ทั้งนี้กิจกรรม Wild Life เป็นการเชิญชวนประชาชนทั่วไป ให้ได้ตระหนักถึงปัญหาของไฟป่า ซึ่งสร้างมลพิษทางอากาศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทำลายชีวิตและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่ง 75% ของเหตุการณ์ไฟป่าเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การเผาป่า การรุกป่าทำแปลงเกษตรและปศุสัตว์ ผ่านการเล่นเกมส์ที่ให้ความรู้เรื่องไฟป่า โดยทุกๆการเล่นเกมจะถูกแปลงเป็นเงิน 5 บาท เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทำแนวกันไฟ ให้แก่ศูนย์ปฎิบัติการไฟป่า จังหวัดเชียงราย โดยกิจกรรมดังกล่าวได้ยอด Reach สูงถึง 512,000 reach ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของบริษัทฯ ที่เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อม

มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย

นายโชน โสภณพนิช (ที่ 3 จาก ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และกลุ่มตัวแทนจาก BLA Top 100 Club ร่วมกิจกรรมโครงการ สานฝันจากพี่สู่น้อง ปี 2567 ณ โรงเรียนบ้านยางงาม โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้เยาวชนไทยเข้าถึงการศึกษา มีพัฒนาการ และสุขภาพที่ดี โดยได้มอบทุนการศึกษา ครุภัณฑ์ ชุดปฐมพยาบาล พร้อมสร้างพื้นที่การเรียนรู้สนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย ปรับปรุงทัศนียภาพ รวมทั้งติดตั้งระบบน้ำดื่มสะอาด โดยมี นางสาวอัจฉรี สรรพคุณ (ที่ 3 จาก ขวา) ผู้อำนวยการโรงเรียน พร้อมด้วยคณะครูให้การต้อนรับ ณ โรงเรียนบ้านยางงาม อำเภอแกลง จังหวัดระยองเมื่อเร็วๆนี้

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สานต่อโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” จับมือพันธมิตรและคู่ค้าอาหารสัตว์บกทั่วประเทศ ร่วมบริจาคแต้ม (Point) สมทบทุนซื้ออาหารช้าง ช่วยเหลือช้างกลุ่มเปราะบาง อาทิ ช้างป่วย ช้างชรา ช้างแม่ลูกอ่อน ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย ผนึกกำลังร้านเชียงใหม่ธนากุล ร่วมส่งมอบอาหารช้างเอราวัณ รวม 12 ตัน กระจายสู่ปางช้างแม่สา และปางช้างแม่แตง จ.เชียงใหม่ ตลอดจน สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ หรือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยลำปาง

 

นายฤทธิชัย ภูมิอมร ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟร่วมร้อยเรียงความดีเดินหน้าโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” มอบอาหารคุณภาพให้ช้างอิ่มท้อง สร้างสุขภาพดี นับตั้งแต่วิกฤติช้างไทยในสถานการณ์โควิด-19 ที่บริษัทได้ส่งต่ออาหารช้างให้กับหลายหน่วยงานที่ช่วยเหลือช้าง จนถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของช้างโดยตรง ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารช้าง ที่มุ่งสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันร่วมกัน จึงจับมือพันธมิตรและคู่ค้าอาหารสัตว์บกทั่วประเทศ ขยายผลสร้างเครือข่ายช่วยเหลือช้าง แบ่งเบาภาระผู้เลี้ยงช้างกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการส่งต่ออาหารที่เพียงพอ มีคุณค่าทางโกชนาการ ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการให้กับช้างไทย

“โครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” เป็นนวัตกรรมทางสังคมในการสร้างการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งเกษตรกรที่เป็นลูกค้าอาหารสัตว์บกซีพีเอฟ คู่ค้า และทุกภาคส่วนมาร่วมกันอนุรักษ์ช้าง ด้วยการนำแต้ม CPF Feed Point จากช่องทางออนไลน์ และแอปพลิเคชัน CP SmartMORE มาแลกเป็นอาหารช้าง ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันบริจาคแต้มเปลี่ยนให้เป็นอาหารช้าง ส่งต่อไปยังช้างกลุ่มเป้าหมาย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และขอบคุณเชียงใหม่ธนากุล ร้านตัวแทนจำหน่ายอันดับหนึ่งของอาหารสัตว์บก ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งอาหารในครั้งนี้ ” นายฤทธิชัย กล่าว

ทางด้าน นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้บริหารปางช้างแม่สา กล่าวว่า ปางช้างแม่สาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 เรารู้จักอาหารช้างเอราวัณ ของซีพีเอฟมานานกว่า 20 ปี และเป็นผู้ใช้จริง ปัจจุบันนำอาหารเสริมนี้ผสมหญ้าให้กับช้างชราซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่ต้องการวิตามิน เกลือแร่เพิ่มมากขึ้นกว่าช้างแข็งแรงและอายุยังน้อย ดีใจมากที่ทางซีพีเอฟ เชียงใหม่ธนากุล และพันธมิตร มามอบอาหารเม็ดให้กับช้างในปางช้างแม่สา โครงการต่อชีวิตช้างไทยนี้ถือเป็นความร่วมมือของเกษตรกรที่ซื้ออาหารไปให้สัตว์ของตนเองและมีการสะสมแต้มจนเป็นที่มาของการแบ่งปันเช่นนี้

ด้าน น.สพ.ดร.ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยลำปาง นอกจากมีช้างในความดูแลแล้ว ยังมีรถเคลื่อนที่ออกไปช่วยเหลือช้างภายนอกด้วย ดูแลช้าง 90% ของภาพรวมทั้งหมด ที่ผ่านมาช้างต้องประสบปัญหาทั้งโควิด-19 ภัยแล้ง จนถึงภัยน้ำท่วม เกิดความผันผวนทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และอาหารของช้าง การที่ซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนเช่นนี้จึงเป็นการช่วยพยุงชีวิตให้กับช้างไทย ขอบคุณซีพีเอฟและทีมงานจิตอาสาทุกคนที่นึกถึงช้าง และร่วมสนับสนุนศูนย์ฯของเราในทุกๆปี

ส่วน นายสุพงษ์ ลักษณ์ธนากุล ผู้บริหารเชียงใหม่ธนากุลกรุ๊ป กล่าวว่า เชียงใหม่ธนากุลทำกิจกรรมดีๆร่วมกับซีพีเอฟ ด้วยโครงการต่อชีวิตช้างไทย ร่วมกันบริจาคอาหารช้างให้กับปางช้างแม่สา ปางช้างแม่แตง และสถาบันคชบาลลำปาง ขอขอบคุณซีพีเอฟที่ริเริ่มโครงการเพื่อช้างและขอเชิญชวนทุกคนมาทำกิจกรรมดีๆเช่นนี้ต่อไป

ซีพีเอฟ นำศักยภาพของบริษัทด้านการเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์คุณภาพ มาต่อยอดสู่การช่วยเหลือช้าง ผ่านโครงการ “ต่อชีวิตช้างไทย” ปีที่ 3 ด้วยการมอบอาหารช้างเอราวัณ ผลิตจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์บกหนองแค จ.สระบุรี เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาของปางช้างพื้นที่ภาคเหนือ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย นอกจากการท่องเที่ยวที่หยุดชะงักแล้ว หลังภาวะน้ำหลากทำให้พื้นที่แหล่งอาหารธรรมชาติถูกทำลาย ส่งผลให้ช้างเลี้ยงในแต่ละปางช้างต้องขาดแคลนอาหาร สุขภาพร่างกายอ่อนแอลง อาหารช้างเอราวัณ E3 มีส่วนสำคัญที่ทำให้ช้างมีอาหารเสริมที่มีคุณภาพ มีคุณค่าโภชนาการอาหารสัตว์ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ใช้ส่วนผสมวัตถุดิบจากพืช มีเยื่อใยสูงเหมาะสำหรับช้างทุกระยะ 

 

ทั้งนี้ การซื้อขายอาหารสัตว์บกซีพีเอฟผ่านร้านตัวแทนจำหน่ายในระบบออนไลน์ จะได้รับแต้ม CPF Feed Point ในทุกการใช้จ่าย 100 บาท มีค่าเท่ากับ 1 แต้ม รวมถึงเกษตรกรโคนมที่ใช้แอปพลิเคชัน CP SmartMORE ในทุก 29 แต้ม ซีพีเอฟจะสบทบทุนเพิ่มเป็น 100 บาท เปลี่ยนเป็นอาหารช้างส่งต่อสู่กลุ่มช้างเปราะบางทั่วประเทศ สามารถร่วมบริจาคแต้มสมทบทุนเป็นอาหารช้างได้ เพื่อกระจายความช่วยเหลือสู่ช้างทั่วประเทศ สำหรับผู้สนใจสามารถบริจาคสมทบทุนซื้ออาหารช้างได้ที่ https://liff.line.me/1654713008-raEmYnyj หรือแอดไลน์ @cpffeedonline ในอนาคตโครงการฯ จะต่อยอด การนำแต้มมาบริจาคให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จาก “ต่อชีวิตช้างไทย” สู่การต่อชีวิตเด็กไทย และการต่อชีวิตสิ่งแวดล้อมไทย สิ่งแวดล้อมโลก

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดย นายพูนสิทธิ์ ว่องธวัชชัย (ซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มอบเงินจำนวน 500,000 บาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิถันยรักษ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการตรวจแมมโมแกรมคัดกรองมะเร็งเต้านมแก่สตรีด้อยโอกาส ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 โดยมี ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ (ขวา) ประธานศูนย์ถันยรักษ์ เป็นผู้รับมอบ ณ ศูนย์ถันยรักษ์ โรงพยาบาลศิริราช

สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย นำโดย นายเปโดร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน “Cardio Catalyst: Driving Change in Heart Health” ครั้งที่ 2 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างอนามัยและสุขภาวะที่ดีให้กับคนไทย โดยได้รับเกียรติจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายเควิน โจว Head, Asia Aspiring Cluster, Novartis International ร่วมเปิดงาน ณ สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย

ภายในงานมีการเสวนาระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับการสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาการรักษา และแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบโล่ AHA GWTG HF และแสดงความยินดีกับ 6 โรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองคุณภาพการรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวตามมาตรฐานระดับนานาชาติจาก American Heart Association ซึ่งแสดงถึงศักยภาพและคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในระดับสากล

 

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 กล่าวว่า “การประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสสำคัญในการหารือเกี่ยวกับปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทยและทั่วโลก จากข้อมูลสถิติของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มวัยทำงานที่อายุน้อยลง กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ และกำหนดให้เป็นหนึ่งใน

ยุทธศาสตร์หลักของกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการแพทย์ ในการสร้างโครงการและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การจัดตั้งคลินิกโรคหัวใจล้มเหลว และการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจคัดกรอง ติดตาม และให้คำแนะนำผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ในโอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับรางวัลจากสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”

 

พล.ต.ต.นพ.เกษม รัตนสุมาวงศ์ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อธิบายถึงสถานการณ์การดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในปัจจุบันว่าแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจแล้ว และการป้องกันการเกิดโรคหัวใจในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงแต่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ ประเทศไทยมีการพัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยการขับเคลื่อนจากกระทรวงสาธารณสุขรวมถึงอีกหลายๆหน่วยงานและสมาคมวิชาชีพต่างๆซึ่งรวมถึงสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาระบบ ‘Fast Track’ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วและได้รับผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง ‘คลินิกหัวใจล้มเหลว’ ในหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไปพร้อมกับการทำงานร่วมกันระหว่างทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามมาตรฐานสูงสุดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับการป้องกันการเกิดโรคหัวใจในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ คือการสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยง สัญญาณเตือนและอันตรายของโรคหัวใจ โดยเผยว่าปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องในสื่อโซเชียลมีเดียอยู่และทำให้ผู้ป่วยมีความสับสนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต พฤติกรรมบริโภค การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารอาหารเสริมรวมถึงความกังวลถึงผลข้างเคียงของยา ทางสมาคมฯ จึงได้จัดทำ เว็บไซต์ ThaiHealthyHeart.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลตนเองสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง และจัดทำแนวเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง และผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว

“สำหรับงาน Cardio Catalyst: Driving Change in Heart Health ในวันนี้ มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะขับเคลื่อนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วน ในการดูแลสุขภาพของประชาชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด”

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงหลักการ 4A ในการพัฒนาระบบการดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในประเทศไทย อันได้แก่ การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค (Awareness) การประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรค (Assessment) การเข้าถึงการรักษาตามมาตรฐานที่เหมาะสม (Accessibility) และการมีวินัยในการรับการรักษาและการรับประทานยา (Adherence)

 

ทางด้าน เภสัชกรหญิงสุมาลี คริสธานินทร์ ประธานบริหาร บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ เข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ และส่งเสริมให้เกิดผลการรักษาที่ดีขึ้น

“ที่โนวาร์ตีส เราเล็งเห็นว่า การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ เราจึงเชื่อว่าการทำงานร่วมกับผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก จะนำไปสู่การพัฒนาการดูแลโรคหัวใจที่ก้าวหน้าไปมากกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว โดยในปีนี้เราได้ต่อยอดจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งหวังที่จะช่วยผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทางด้านการดูแลรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากโรคเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงในผู้สูงอายุ แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีอายุน้อยทั่วโลก ผ่านเวทีที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคในทุกภาคส่วนให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ผ่านมาเราได้ทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนในการยกระดับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวให้ได้มาตรฐานสากล เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้านี้ และขอขอบคุณโรงพยาบาลและทีมบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลและทุ่มเทเพื่อผู้ป่วยอย่างตั้งใจเสมอมา ด้วยความร่วมมือกัน เราจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดียิ่งขึ้น และได้ใช้เวลาอันมีค่ากับคนที่รักมากขึ้น”

การเสวนาและกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่นจากทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพหัวใจและลดอัตราการเสียชีวิตทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้น กลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำน้อยลง และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วย ตอกย้ำถึงเส้นทางความสำเร็จในวันข้างหน้าที่มุ่งสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนแก่ประชาชนไทย ในขณะเดียวกันประชาชนยังสามารถมีส่วนร่วมในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ โดยการหมั่นตรวจสุขภาพหัวใจ คอยสังเกตและเอาใจใส่ครอบครัวและคนใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ป่วยให้มีวินัยในการรักษามากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

AION THAILAND ร่วมมือกับสมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับคนขับแท็กซี่ ณ ลานจอดรถแท็กซี่ สนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างวันที่ 24 - 26 กันยายนที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ AION ES รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในบริการขนส่งสาธารณะอย่างแท็กซี่ โดยเน้นถึงประสิทธิภาพสูงและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในโอกาสนี้ AION THAILAND ได้มอบของที่ระลึกเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายระหว่างการเดินทางให้แก่คนขับแท็กซี่ที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ยาดม ทิชชู่เปียก ผ้าเย็น และน้ำดื่ม นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้รับโค้ดชาร์จไฟฟรีสำหรับใช้งานที่ EV Station Pluz สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมขนส่งสาธารณะ โดยมี EVme ผู้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า และไทยสมาย ลีสซิ่ง ผู้นำด้านธุรกิจรถแท็กซี่แบบครบวงจร เข้าร่วมงานในครั้งนี้

AION ES ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของคนขับรถแท็กซี่โดยเฉพาะ ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน การขับขี่ที่เงียบ และการลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอย่างมีนัยสำคัญ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไม่ปล่อยไอเสียที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพและสามารถชาร์จไฟได้ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จไฟที่มีให้บริการทั่วประเทศ

ในแง่ของประสิทธิภาพ AION ES สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 442 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในแต่ละวันของคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ ตัวรถ AION ES ยังมีพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ห้องโดยสารถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการเดินทางระยะยาว ด้วยเบาะนั่งที่รองรับสรีระอย่างเหมาะสม ทำให้ขับขี่ได้อย่างสบายและลดความเหนื่อยล้า

เทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบของ AION ES ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขับขี่อย่างมาก โดยค่าใช้จ่ายในการชาร์จพลังงานต่อกิโลเมตรอยู่ที่เพียง 60-70 สตางค์ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการเติมพลังงานแล้ว AION ES ยังมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม เพราะไม่มีระบบเครื่องยนต์ซับซ้อนเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ส่งผลให้มีการสึกหรอน้อยกว่า จึงไม่ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงที่สูง

AION ES ถูกออกแบบมาให้เน้นที่ความนุ่มนวลในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นในสภาพถนนที่ขรุขระหรือต้องเผชิญกับการจราจรที่หนาแน่นของกรุงเทพฯ ระบบช่วงล่างและระบบควบคุมที่ล้ำสมัยช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเมื่อยล้าของคนขับ อีกทั้งยังมีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์น้อยลง ทำให้ทั้งคนขับและผู้โดยสารรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนขับแท็กซี่ AION ES ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้โดยสารที่ได้ใช้บริการ พวกเขาชื่นชมถึงความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ความเงียบสงบขณะเดินทาง และพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง สามารถรองรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

อลิอันซ์ อยุธยา ส่งความห่วงใยถึงลูกค้าคนสำคัญ ด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย ครอบคลุม 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก พิษณุโลก สุโขทัย หนองคาย อุดรธานี ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา บริษัทฯ ตระหนักถึงความยากลำบากที่ประชาชนต้องเผชิญ และพร้อมที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในครั้งนี้ด้วยมาตรการพิเศษ

นางพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารลูกค้าและความยั่งยืน บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า "บริษัทฯ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายจังหวัด โดยได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย เช่น การยกเว้นดอกเบี้ยในการต่ออายุกรมธรรม์ การยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้ชำระเบี้ยประกันภัยอัตโนมัติ รวมถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการออกกรมธรรม์ฉบับใหม่ทดแทนกรมธรรม์ที่สูญหายหรือชำรุด สำหรับผู้ที่มีที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ"

สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิต

  1. กรมธรรม์ที่ครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัยวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึง 1 ธันวาคม 2567 และสิ้นผลบังคับ หากผู้เอาประกันภัยขอต่ออายุ หรือกลับคืนสู่สถานะเดิมของกรมธรรม์ภายใน 6 เดือนนับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย บริษัทฯ จะยกเว้นการตรวจสุขภาพ และดอกเบี้ยในระหว่างนั้น
  2. กรมธรรม์ที่ครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึง 1 ธันวาคม 2567  และนำมูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ หากผู้เอาประกันภัยชำระคืนเงินกู้ชำระเบี้ยประกันภัยอัตโนมัติภายใน 6 เดือนนับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย บริษัทฯ จะยกเว้นดอกเบี้ยในระหว่างนั้น
  3. กรมธรรม์ที่สูญหายหรือชำรุด บริษัทฯ จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกกกรมธรรม์ฉบับใหม่ โดยผู้เอาประกันภัยนำส่งคำร้องขอออกกรมธรรม์ฉบับใหม่ มายังฝ่ายบริหารกรมธรรม์ ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อบริษัทฯ จะดำเนินการออกกรมธรรม์ฉบับใหม่ให้กับผู้เอาประกันภัยต่อไป

สำหรับผู้ถือกรมธรรม์สุขภาพและอุบัติเหตุ

  1. กรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุพิเศษที่ครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึง 1 ธันวาคม 2567 หากผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัย ภายใน 90 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย จะถือว่ากรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับดังเดิม
  2. กรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุพิเศษที่สิ้นผลบังคับในระหว่างวันที่ ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567  (วันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัยวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567)  หากผู้เอาประกันภัยขอต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยหรือขอกลับคืนสู่สถานะเดิมของกรมธรรม์ประกันภัย ภายใน 90 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย บริษัทจะพิจารณาผ่อนผันการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยให้มีผลต่อเนื่องและจะไม่มีการนำข้อกำหนดและเงื่อนไขทั่วไป เรื่องสภาพที่เป็นมาก่อนเอาประกันภัย (Pre-existing Condition) และเรื่องระยะเวลารอคอย (Waiting Period) มาเริ่มนับใหม่ โดยจะไม่มีผลต่อเกณฑ์การพิจารณาการคืนค่าเบี้ยประกันภัยพิเศษกรณีประวัติดี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ระดุมทุนจากประชาชนทั่วไป ลูกค้า ตัวแทนขาย และ พนักงาน 137,982.78 บาท และ อลิอันซ์ อยุธยา สมทบเพิ่ม 142,017.22 บาท รวมทั้งสิ้น 280,000 บาท บริจาคให้กับโครงการ “อาสาล้างบ้าน” ของมูลนิธิกระจกเงา จากการ อีกทั้งยังได้สนับสนุนโครงการ “ช่วยเติมอิ่ม” โดยมียอดบริจาคอาหารเข้าธนาคารอาหาร SOS (Scholars of Sustenance หรือ มูลนิธิกู้ภัยอาหาร) ทั้งหมด 480.3 กิโลกรัม โดยได้แพ็คอาหารพร้อมทานลงถุงยังชีพ ได้มากกว่า 200 ถุง เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่

สำหรับลูกค้าที่มีประกันภัยรถยนต์ สามารถใช้บริการ ยกรถหนีน้ำ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คลอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ติดต่อขอรับความช่วยเหลือ โทร 1292 กด 4 หรือลูกค้าอลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ติดต่อ ศูนย์ดูแลลูกค้า อลิอันซ์ อยุธยา  โทร 1373 ตลอด 24 ชั่วโมง

จากสถานการณ์วิกฤตอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ เอไอเอ ประเทศไทย โดยเพื่อนพนักงาน ผู้บริหารหน่วย และพลังตัวแทนเอไอเอในพื้นที่และใกล้เคียงได้ร่วมแรงร่วมใจบรรจุอาหาร น้ำดื่ม และของใช้ที่จำเป็นเพื่อจัดทำถุงยังชีพอย่างต่อเนื่องเป็นการเร่งด่วน โดยได้ประสานความร่วมมือผ่านศูนย์ช่วยเหลือประชาชนเทศบาลตำบลไชยสถาน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน อำเภอเกาะคา อำเภอเถิน และอำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง เพื่อส่งมอบอาหาร และสิ่งของจำเป็นผ่านถุงยังชีพเพิ่มอีกเป็นจำนวน 3,200 ถุง ไปยังผู้ประสบภัย

เอไอเอ ขอแสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจไปถึงผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติในเร็ววัน

Page 1 of 50
X

Right Click

No right click