ซีพี-เมจิ ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต ชูกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 ด้าน สุขภาพ-สังคม-สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต (Enriching Life)” พร้อมขยายตลาดสินค้าคุณภาพไปทั่วภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เติบโตไปด้วยกัน

นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักเสมอถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวคิดการเพิ่มคุณค่าชีวิต 3 ด้าน เริ่มด้วย ด้านสุขภาพ ที่บริษัทฯ จะผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์นมคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการดูแลร่างกายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยจะขยายพอร์ตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value) และส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มโยเกิร์ตให้เพิ่มขึ้น รวมถึงความตั้งใจขยายตลาดนมซีพี-เมจิ ออกไปให้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขายน้ำนมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยให้มากขึ้น

ถัดมา ด้านสังคม ที่ ซีพี-เมจิมุ่งเน้นการดูแลและสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงโคและการจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรต้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าให้เติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทฯ ยังให้การดูแลชุมชนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สุดท้าย ด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด อาทิ การผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงานจากหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการกำจัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง

“โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างมากมายดังที่ทุกคนทราบกันดี ในฐานะที่ซีพี-เมจิ เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ เราจึงเดินหน้าคู่ขนานไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการดูแลรักษาโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” นางสาวสลิลรัตน์ กล่าว

กลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 ด้านจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เมื่อผนวกกับสองปัจจัยบวก ทั้งการท่องเที่ยวและตลาดในประเทศฟื้นตัว ซีพี-เมจิ เชื่อมั่นว่า ในปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมาย หรือเติบโตราว 10% และยังคงครองการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มนมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ของประเทศไทยได้เช่นเดิม

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ส่งมอบ โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) แก่วิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจของชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการบริหารงานโดยชุมชนด้วยธุรกิจไก่ไข่เป็นแห่งแรก

นายจอมกิตติ ศิริกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เปิดเผยว่า โครงการเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคมดังกล่าว ถือเป็นธุรกิจชุมชนเพื่อสังคมแห่งแรก ที่มูลนิธิฯ ร่วมกันขับเคลื่อนกับซีพีเอฟ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไก่ไข่ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ แนวคิดการจัดการวิสาหกิจชุมชน และการตลาด ตลอดจนมองเห็นโอกาสในการต่อยอดเชิงธุรกิจ เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชุมชนบ้านบุโพธิ์ทุกคน ไปพร้อมๆ กับการสร้างอาชีพและรายได้ สู่เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง รวมถึงการได้รับประโยชน์และเข้าถึงแหล่งโปรตีนคุณภาพที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ไปพร้อมๆ กับการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในชุมชน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน ผ่านการสร้างแบรนด์และการแปรรูป ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กและเยาวชนลูกหลานบ้านบุโพธิ์ต่อไป

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี กล่าวว่า โครงการฯนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการผนึกกำลังของ ซีพีเอฟ และมูลนิธิฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนโครงการการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มาอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 35 ปี สู่การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์ให้เป็นโมเดลเลี้ยงไก่ไข่ธุรกิจเพื่อสังคม ที่จะทำให้คนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงและบริโภคไข่ไก่สดที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง จากปริมาณไข่ไก่ที่วิสาหกิจชุมชนฯ ผลิตได้เฉลี่ยวันละ 270 ฟอง หรือประมาณ 90,000 ฟองต่อปี จากสถิติคนไทยบริโภคไข่ไก่เฉลี่ยปีละ 220 ฟองต่อคน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่ของซีพีเอฟ ให้คำแนะนำการเลี้ยงไก่ไข่ การจัดการการเลี้ยง และการดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

“มูลนิธิฯ ซีพีเอฟ และองค์การบริหารส่วนตำบลบุโพธิ์ ให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ให้กับกลุ่มวิสาหกิจฯ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปลูกมะพร้าวน้ำหอม การปลูกฝรั่งกิมจู การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 และที่สำคัญคือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ” ที่สามารถสร้างประโยชน์และเป็นแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพให้กับชาวบ้านบุโพธิ์ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากการเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “โอกาส อนาคต ย่างก้าวแห่งความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนบ้านบุโพธิ์โมเดล” ยังทำให้ได้แนวทางส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืนและเข้มแข็งต่อไป” นายวิชาญ สิวิเส็ง กำนันบ้านบุโพธิ์และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กล่าว

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ได้เข้ามาสนับสนุนและดำเนินการในพื้นที่ตำบลบุโพธิ์ในทุกมิติตั้งแต่ปี 2540 ส่งเสริม 7 อาชีพ 7 รายได้ และต่อยอดความสำเร็จจากอดีตสู่การขับเคลื่อนในปัจจุบัน ผ่าน 5 แผนงาน เพื่อยกระดับฐานอาชีพ ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกรบ้านบุโพธิ์ อาทิ เกษตรประณีตมูลค่าสูง เกษตรผสมผสานมูลค่าสูง ธนาคารน้ำใต้ดิน การพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และโครงการเลี้ยงไก่ไข่ชุมชนธุรกิจเพื่อสังคม.

'ห้าดาว' (FIVE STAR) ผู้นำธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ คว้ารางวัล Best of Thailand Bronze จากเวที YouTube Works Award ประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งสุดยอดแคมเปญโฆษณา เรื่อง FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN นี้ได้สร้างความตรึงใจให้แก่ผู้ชม โดยร่วมมือกับ RABBIT’S TALE ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ในการวางแผนสื่อ การเล่าเรื่อง ตลอดจนการใช้เครื่องมือต่างๆ บน YouTube สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดและธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน ผลงานโฆษณาชิ้นนี้ยังเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในเวทีระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงาน The YouTube Works Awards SEA 2023 ที่จัดขึ้น ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยแคมเปญโฆษณา FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศจาก 2 สาขา ได้แก่ สาขา "The Fire Starter " สุดยอดรางวัลแคมเปญโฆษณาที่สร้างความรู้สึกรัก สร้างแรงบันดาลใจ และความภักดี หรือการสนับสนุนแบรนด์ในกลุ่มเป้าหมาย ผ่าน YouTube อย่างสร้างสรรค์ และ สาขา "The Big Bang" รางวัลแคมเปญโฆษณาเปิดตัวหรือเปิดตัวใหม่ รวมถึงแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ตำแหน่งใหม่ สโลแกนใหม่ ฯลฯ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการธุรกิจห้าดาว บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด กล่าวว่า ห้าดาว ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานโฆษณาคุณภาพ จนคว้ารางวัลจาก The YouTube Works Awards ปี 2023 ทั้งในประเทศ และเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยไปสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพในการทำตลาดออนไลน์ และสร้างแบรนด์ให้ได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยสิ่งสำคัญ คือการตอบรับ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ที่ให้ห้าดาวเป็นแบรนด์ในใจ และเป็นมื้ออร่อยที่มีคุณภาพ ถูกปากทุกคนในครอบครัวส่งต่อรุ่นสู่รุ่นมาตลอดกว่า 39 ปี โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ทำให้คะแนน Brand for me เพิ่มขึ้น 18.5% เป็นแรงสนับสนุนให้ห้าดาวได้รับรางวัลนี้ อีกทั้งยังผลักดันให้แบรนด์พัฒนาและสร้างสรรค์แคมเปญดีๆ เพื่อทุกคนต่อไป 

สำหรับ ภาพยนตร์โฆษณา เรื่อง FIVE STAR : QUALITY TIME, AGAIN (รับชม https://youtu.be/ICMaMKLPjEc) บอกเล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงของความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ผู้จากไป กับรสชาติเมนูวัยเด็กที่คุ้นเคย ความสุขระหว่างมื้ออาหารที่มีค่าสำหรับการใช้เวลาทานข้าวร่วมกันของครอบครัว ตอกย้ำ “ความเป็นครอบครัว” ของแบรนด์ห้าดาว สะท้อนความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างแท้จริง รวมทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ชมได้สูงอีกด้วย

 

ร้าน 'ซีพี อูโอริกิ' โดยความร่วมมือระหว่าง CPFGS จับมือ อูโอริกิ เปิดจำหน่ายอาหารทะเล 2 สาขาแรกในไทย ‘โลตัส สุขุมวิท 50-แม็คโคร ศรีนครินทร์’ เสิร์ฟความสดใหม่ คุณภาพพรีเมียม ระดับโอมากาเสะ ให้คนไทยได้ลิ้มลองใกล้บ้าน ไม่ต้องบินไกลถึงญี่ปุ่น

บริษัท ซีพี-อูโอริกิ จำกัด (CP UORIKI) เปิดตัวร้าน 'ซีพี อูโอริกิ' 2 สาขาแรกในไทย ปักหมุด ห้างโลตัส สุขุมวิท 50 และห้างแม็คโคร ศรีนครินทร์ คัดสรรวัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพระดับร้านโอมากาเสะตามฤดูกาล จากตลาดปลาทั่วประเทศญี่ปุ่น อาทิ บลูฟินทูน่า ราชาปลาดิบ แซลมอนจากอาโอโมริ ปลาบุรีจากคาโกชิมา โฮตาเตะจากฮอกไกโด และอูนิจากอิวะเตะ ให้คนไทยได้ลิ้มลองความอร่อย สดใหม่ แบบพรีเมียม พร้อมถ่ายทอดวัฒนธรรมการบริโภคอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS กล่าวว่า ซีพี อูโอริกิ เป็นการร่วมทุนผสานความแข็งแกร่งระหว่างความเชี่ยวชาญด้านการจำหน่ายอาหารของ CPFGS กับความเป็นผู้นำระดับโลกด้านปลาสดและอาหารทะเลมากกว่าร้อยปีของ อูโอริกิ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้ ตามวิถีญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ เหมือนไปรับประทานถึงแดนปลาดิบ โดยบริษัทฯ มีการส่งเชฟไปฝึกอบรมและเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 เดือน พร้อมรับใบประกาศนียบัตรจากอูโอริกิ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่า จะได้รับสินค้าที่มีมาตรฐานและการบริการชั้นเลิศเทียบเท่าระดับโอมากาเสะ

"การเปิดร้านถาวรในไทยครั้งแรก CPFGS ได้ผนึกกำลังกับบริษัทในเครือซีพี เปิดร้านในแหล่งช้อปปิ้งย่านที่พักอาศัย ได้แก่ ห้างโลตัส สุขุมวิท 50 ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจ รองรับผู้บริโภคชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ส่วนสาขาแม็คโคร ศรีนครินทร์ เป็นห้างค้าส่งย่านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ที่มีลูกค้ามาจับจ่ายสินค้าเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายอีก 10 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นห้าง Lotus’s, Makro, Gourmet Market และ Tops เพื่อครอบคลุมความต้องการและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค และตั้งเป้าสู่ 100 สาขา ภายใน 5 ปี" นายสุจริต กล่าว

ภายในงาน นายมาซายูกิ ยามาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อูโอริกิ จำกัด ผู้สืบทอดกิจกรรมรุ่นที่ 3 ได้โชว์แล่ปลาทูน่า ตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นมากกว่า 100 ปี

ด้าน นายมาซายูกิ ยามาดะ เปิดเผยว่า หลังจากการลงนามความร่วมมือระหว่าง CPFGS และ อูโอริกิ ทั้ง 2 บริษัทฯ มีการหารือและแลกเปลี่ยนการทำงานมาโดยตลอด จนกระทั่งกลายเป็นร้าน ‘ซีพี อูโอริกิ’ ที่พร้อมจำหน่ายปลาสดและอาหารทะเลคุณภาพพรีเมียม สำหรับการเปิดร้าน 2 สาขาแรกในประเทศไทย รู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจที่ อูโอริกิ มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบประสบการณ์การรับประทานปลา ตามวิถีชาวญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทยได้สัมผัสถึงรสชาติความอร่อย ความสด และยังส่งเสริมสุขภาพ หวังว่า ทุกๆ สินค้าที่เราคัดสรรมาเป็นพิเศษจากน่านน้ำทั่วประเทศญี่ปุ่น จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

ร้าน 'ซีพี อูโอริกิ' พร้อมเปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารญี่ปุ่น สัมผัสกับประสบการณ์ความอร่อย สดใหม่ ทุกวันที่ ห้างโลตัส สุขุมวิท 50 ตั้งแต่เวลา 06.00 - 23.00 น. และ ห้างแม็คโคร ศรีนครินทร์ ตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.00 น.

บริษัท ซีพี-อูโอริกิ จำกัด เป็นการร่วมทุนจัดตั้งระหว่าง CPFGS ผู้จัดจำหน่ายอาหารสดและอาหารแปรรูป ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และ อูโอริกิ (UORIKI) ผู้จำหน่ายปลารายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ให้บริการจัดจำหน่ายสินค้าอาหารทะเลสดแช่เย็น-แช่แข็ง ซูชิ ซาชิมิ มากิ และเครื่องปรุงรสต่างๆ รวมถึง สินค้าแปรรูปจากอาหารทะเล มุ่งเน้นการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนการรับซื้อปลาจากชาวประมงโดยตรง เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาปลา ตลอดจนส่งเสริมการรับประทานปลาตามฤดูกาล เพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติ

ความมั่นคงในอาชีพอาจจะวัดจากรายได้ต่อปี ยอดขาย หรือกำไรสุทธิ แต่สำหรับ “ภชภณ  วนพงศ์ทิพากร” มองต่างไปถึงความต่อเนื่องของอาชีพแบบไร้ความเสี่ยง แต่เป็นความมั่นคงที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเขาและคุณภาพชีวิตที่ดีของครอบครัว

ภชภณ เล่าว่า เดิมทำธุรกิจครอบครัวตัดเย็บเสื้อผ้าส่งประตูน้ำ แต่ตนเองมีมุมมองกับธุรกิจเสื้อผ้า คือการรอรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า ที่เสี่ยงกับความไม่แน่นอน และมองว่าวัตถุดิบหลายอย่างที่ใช้ในการผลิต ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นในขั้นตอนผลิตมีเศษผ้าเหลือใช้กลายเป็นต้นทุนแฝง ขณะที่คู่แข่งของไทยอย่างฮ่องกงและจีน มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เขาจึงมองหาช่องทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ ทั้งการมีการสั่งซื้อที่แน่นอนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

หนึ่งในธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์นั้นได้มากที่สุด คือ การเลี้ยงไก่เนื้อในระบบเกษตรพันธสัญญา หรือ “คอนแทรคฟาร์ม” โดยภชภณเริ่มต้นเป็นเกษตรกร ภายใต้ชื่อ บริษัท มั่งคั่งแอนนิมอล จำกัด ทำประกันราคากับบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2546 หลังเห็นตัวอย่างความสำเร็จของญาติที่จังหวัดบุรีรัมย์  ก่อนเริ่มต้นธุรกิจเขาศึกษาสัญญาอย่างดี พบว่าไม่มีความเสี่ยงด้านการตลาด ปัญหาโรคน้อย ต้นทุนต่ำสุด และต้องทำให้ตนเองเป็นผู้รับจ้างเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด

เมื่อเริ่มแรกเขาเรียนรู้การเลี้ยงไก่ด้วยตัวเอง จากการฝึกงานในฟาร์ม เรียกว่ากิน-นอนอยู่ในฟาร์ม ควบคู่กับการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้มาช่วยงานในฟาร์มด้วยตัวเอง และเดินทางไปศึกษาความก้าวหน้าของระบบฟาร์ม ในงานแสดงเทคโนโลยีทางปศุสัตว์ระดับนานาชาติ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาประยุกต์ใช้

ปัจจุบัน ภชภณยกเลิกสัญญากับบริษัทแรกไปหลายปีแล้ว และทำสัญญาคอนแทรคฟาร์มกับบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเนื้อสัตว์รายใหญ่ 3 บริษัท เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2562 เลี้ยงไก่เนื้อ 270,000 ตัว จำนวน 10 โรงเรือน ในจังหวัดนครราชสีมาและปราจีนบุรี

สำหรับการเป็นคู่สัญญากับซีพีเอฟ เขาบอกว่าต้องทำงานแข่งกับตัวเอง เลี้ยงให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด เช่นอัตราการตายไม่เกิน 2% และกำหนดน้ำหนักมาตรฐานในวันจับสัตว์ ที่สะท้อนความสามารถในการเลี้ยง เพื่อทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนสูงสุด และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างอาหารปลอดภัยให้ผู้บริโภค

ที่สำคัญ ซีพีเอฟถือเป็นคู่ค้าที่ดี ผู้บริหารและพนักงานช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะช่วงการระบาดของ  โควิด-19 ได้รับเงินช่วยเหลือจากผลกระทบด้านการจับไก่เข้าโรงงานชำเเหละไม่ได้ตามเเผนที่กำหนดไว้ ทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพต้นทุน ค่าใช้จ่ายฟาร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็ได้ให้ความช่วยเหลือ เพื่อลดภาระต้นทุน ทำให้ฟาร์มมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่าย

ภชภณ กล่าวย้ำว่า การเลี้ยงไก่ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นความท้าทาย และยังกระตุ้นตัวเองให้พัฒนาตลอดเวลา ที่สำคัญคือต้องรักษามาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการผลักดันให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farm) เพื่อยกระดับการบริหารจัดการฟาร์มให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับเกษตรพันธสัญญา ผมไม่คิดเรื่อง “เอาเปรียบ” กับ “เสียเปรียบ” แต่ต้องมีความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย เราต้องแข่งกับตัวเอง แข่งกับต้นทุน รู้จังหวะในการทำธุรกิจ มีความสามารถในการบริหารจัดการ ถ้าสองฝ่ายพึงพอใจก็เป็นคู่สัญญาที่ win-win ทั้งคู่” ภชภณ กล่าว

จากความสำเร็จของระบบคอนแทรคฟาร์ม ทำให้ฟาร์มมั่งคั่งแอนนิมอล มีแผนขยายฟาร์มเพิ่มเติมในปี 2568 เพราะเห็นว่าธุรกิจนี้ยังเติบโตได้ ตราบใดที่คนยังต้องรับประทานอาหาร ส่วนหัวใจของความสำเร็จคือ การบริหารธุรกิจให้เร็ว และยังต้องสนุกกับการทำงาน ต้องเป็นแบบอย่างให้พนักงานและลูกชายได้เห็นอาชีพที่มีความก้าวหน้าและเติบโตตามเป้าหมาย

ทุกวันนี้ กิจวัตรประจำวันของ ภชภณ จึงไม่ใช่การตรากตรำทำงาน แต่คือการมีความสุขกับครอบครัว มีเวลาแวะเวียนไปตรวจเยี่ยมฟาร์มและพูดคุยกับพนักงาน และมีเวลามองหาธุรกิจอื่นๆที่อยากทำ ทั้งหมดนี้คือคำตอบของโจทย์ที่เขาตั้งไว้แต่แรกกับคอนแทรคฟาร์ม ที่สามารถสร้างอาชีพมั่นคงและความมั่งคั่งให้เขาได้อย่างแท้จริง

X

Right Click

No right click