ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ส่ง ttb spark academy ร่วมขับเคลื่อน Tech & Data Ecosystem ปูโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับประเทศ มุ่งพัฒนาคนรุ่นใหม่ตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล เปิดกว้างให้นิสิต นักศึกษาที่สนใจด้าน Tech & Data และสาขาอื่น ๆ เข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพให้แข็งแกร่ง ผ่านจุดแข็งที่แตกต่างจากองค์กรอื่น ด้วยการลงมือทำจริงและนำผลงานสู่ลูกค้าได้จริงจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ / บริการ และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคนตลอดทุกช่วงชีวิต พร้อมเสริมมายเซ็ท (Mindset) เด็กรุ่นใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงของธุรกิจและอุตสาหกรรม

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งนำองค์ความรู้และประสบการณ์ส่งต่อให้สังคมเพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่มาตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล ผ่านการสร้างพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ โดย ttb spark academy ได้จัดทำโครงการ Tech & Data Internship Program พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ รวมถึงน้อง ๆ จากมหาวิทยาลัยที่มีความสนใจด้านเทคโนโลยีและฐานข้อมูล (Tech & Data) ได้มาสัมผัสและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงจากพี่ ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยพัฒนาและต่อยอดความรู้ ความสามารถของเด็กรุ่นใหม่ (Tech & Data Talent) ให้แข็งแกร่ง พร้อมโอกาสเติบโตในสายงานในอนาคต โดยในช่วงที่ผ่านมาได้คัดเลือกนิสิต นักศึกษามาฝึกงานในสายงาน Tech & Data นำเสนอความคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ จำนวน 69 คน จากผู้สมัครเกือบ 1,700 คน ผ่านการลงมือทำจริงและนำผลงานสู่ลูกค้าทีทีบีได้จริง

“การสร้าง Tech & Data Ecosystem ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับประเทศ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้าง คนเข้ามาขับเคลื่อน ซึ่งบุคลากรด้าน Tech & Data มีความสำคัญกับประเทศอย่างมาก ไม่ใช่แค่ภาคการเงิน โดยสะท้อนได้จากความต้องการที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง และเกิดการแย่งชิงบุคลากรในสาขานี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ Tech & Data Talent เหล่านี้ จะเป็นผู้ขับเคลื่อนยุคต่อไปของประเทศ แต่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) จะทำให้องค์ความรู้เปลี่ยนไปเร็วมาก บางครั้งสิ่งที่เรียนมาอาจจะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ ttb spark academy ทำ คือ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้พัฒนาศักยภาพทางด้าน Tech & Data ซึ่งเป็นศาสตร์สำคัญที่จำเป็นต่อโลกในยุคปัจจุบันและอนาคต”

โดย ttb spark academy ประกอบกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ภายใต้ 3 เรื่อง คือ 1. Build ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ด้าน Tech & Data เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พร้อมสนับสนุนและพัฒนานิสิต นักศึกษาที่สนใจด้านเทคโนโลยีและ Data Scientist รวมไปถึงด้านการเงิน การธนาคาร การตลาด เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของ Tech & Data และสามารถนำความรู้มาใช้ประโยชน์ ผ่าน knowledge sharing session รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับโลกการทำงานจริงและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนมาในภาคอุตสาหกรรมได้ โดยมีผู้สนใจสมัครร่วมโครงการจำนวนกว่า 2,000 คน 2. Groom ให้นิสิต นักศึกษามีโอกาสได้ค้นพบและทดลองสิ่งที่ตัวเองชอบผ่านการฝึกงานและการทำเวิร์คชอปในสาย Tech & Data จำนวน 69 คน จากผู้สมัครเกือบ 1,700 คน และ 3. Growth ต่อยอดให้นิสิต นักศึกษาที่ฝึกงานได้ทำงานจริงและนำมาต่อยอดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นผ่านการสร้างดิจิทัลโซลูชันด้วยแนวคิด Humanized Digital Banking หรือ ดิจิทัลแบงก์กิ้งที่เป็นมิตร รู้จัก และรู้ใจ พร้อมให้ความสำคัญกับการมี Mindset ที่สอดคล้องไปกับโลกความจริงของธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ ttb spark academy มีจุดแข็งที่ทำให้ทีทีบีแตกต่างจากองค์กรอื่น ๆ

และล่าสุดทีทีบีร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านพัฒนาการศึกษายุคใหม่สู่การปฏิบัติจริงในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านดิจิทัลและดาต้า รวมถึงด้านอื่น ๆ ที่สามารถประยุกต์เข้ากันได้ เพื่อตอบสนองต่อการใช้ประโยชน์ทั้งในภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานที่มีความจำเป็นต่อภาคธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล มุ่งเน้นสนับสนุนและพัฒนากำลังคนด้าน Data Science ที่สนใจในธุรกิจการเงิน การธนาคาร และการตลาด โดยทีทีบีเปิดพื้นที่สร้างประสบการณ์การทำงานจริงในช่วงการฝึกงานให้นิสิต นักศึกษา ภายใต้โครงการ "Stat Chula Project-Based Summer Internship Program" ที่เป็นความร่วมมือต่อเนื่องมาแล้วถึง 3 ปี

“ประเทศของเราต้องการพัฒนา Digital Transformation ที่มากกว่านี้ บุคลากรต้องสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ttb spark academy จึงไม่เพียงเปิดประตูวิสัยทัศน์ของการธนาคารดิจิทัลที่มุ่งเน้นความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมและปั้น Young Tech และ Data Talent เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงิน โดยในการฝึกงาน เรามองนักศึกษาเป็นเหมือนพนักงานคนหนึ่งและมีพี่เลี้ยง (Mentor) ประกบแบบ 1 ต่อ 1 พร้อมวางเป้าหมายของการฝึกงาน นอกจากนี้ยังเปิดกว้างให้นิสิต นักศึกษาที่เรียนด้านเศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ บัญชี และอื่น ๆ เข้าร่วมโครงการ เพราะคนทำงาน Tech & Data ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ไปพร้อมกัน คือ นอกจากเข้าใจในหลักการแล้ว ต้องเข้าใจลูกค้าได้อย่างแท้จริง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคนตลอดทุกช่วงชีวิต ตอกย้ำการเป็นธนาคารผู้นำด้านการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย นายนริศ กล่าวสรุป


ข้อมูลเพิ่มเติม Data Science หรือ วิทยาการข้อมูล คือ กระบวนการนำข้อมูลมาสร้างมูลค่า ผ่านการวิเคราะห์ วิจัย เพื่อทำความเข้าใจว่าข้อมูลเหล่านี้จะสามารถช่วยธุรกิจในแง่มุมไหนได้บ้าง จากนั้นจะเป็นการนำข้อมูลมาต่อยอดเพื่อสร้างผลประโยชน์ ซึ่งมีความสำคัญกับธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานแบบ Data Driven เพราะจะช่วยให้กระบวนการการทำงานของธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ช่วยลดงาน ลดความเสี่ยง ความผิดพลาด รวมถึงช่วยวัดผลได้อย่างถูกต้องและตัดสินใจได้ดีมากยิ่งขึ้น

ตอกย้ำความเป็นพันธมิตร สนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมฉลองการเปิดตัวของ The EM District อย่างเต็มรูปแบบ ด้วย 2 แคมเปญที่มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อจับจ่ายที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 21 มกราคม 2567 ดังนี้ 

แคมเปญ 7 Days Countdown : เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมครบ 19,000 บาทขึ้นไปในหมวดช้อปปิ้ง และรวม ยอดใช้จ่ายสะสมครบ 1,000 บาทขึ้นไปในหมวดร้านอาหาร ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2566  – 31 ธันวาคม 2566 รับบัตรกำนัลศูนย์การค้า มูลค่า 4,800 บาท รับสิทธิ์ด้วยการนำบัตรประชาชนและบัตรเครดิตที่มีชื่อสกุลตรงกัน ณ EM Privilege Counter ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์  จำกัด 1 สิทธิ์ / หมายเลขบัตรตลอดรายการ และจำกัดรวม 50 สิทธิ์ตลอดรายการ

แคมเปญ Mission Possible : เมื่อใช้จ่ายที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ระหว่างวันที่ 11 มกราคม 2567 - 21 มกราคม 2567 ช้อปครบตามเงื่อนไข

  • มียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป รับบัตรกำนัลศูนย์การค้า มูลค่า 1,000 บาท
  • มียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป รับบัตรกำนัลศูนย์การค้า มูลค่า 5,000 บาท

จำกัด 1 สิทธิ์ / หมายเลขบัตร / วัน และจำกัดรับบัตรกำนัล สูงสุด 6,000 บาท จำกัดรวม 50 สิทธิ์ตลอดรายการรับบัตรกำนัลโดยนำเซลล์สลิปพร้อมบัตรเครดิต ลงทะเบียน ณ EM Privilege Counter ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์

การวางแผน “ภาษี” เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนวัยทำงานต้องไม่ลืม เมื่อใกล้สิ้นปีแล้ว! ควรรีบคำนวณรายได้ปี 2566 ว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และควรใช้ตัวช่วยอะไรมาลดหย่อนภาษีให้ได้คุ้มค่า สำหรับใครที่นิยมซื้อกองทุน อย่าลืมว่านอกจาก SSF และ RMF ตัวช่วยที่คุ้ม 2 ต่อ ทั้งลดหย่อนค่าภาษีเซฟเงินในกระเป๋า และต่อยอดเงินลงทุนแล้ว ในปีนี้ยังมีตัวช่วยใหม่เพื่อการลดหย่อนภาษีอย่างยั่งยืนกองทุน “ThaiESG” เพิ่มมาอีกด้วย

วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จะชวนมาทำความรู้จักกองทุนใหม่ ThaiESG พร้อมวิธีช่วยคำนวณในการซื้อกองทุนต่าง ๆ เพื่อลดหย่อนภาษีปลายปีกัน

รู้จักกองทุน ThaiESG

กองทุน ThaiESG หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ไทยที่เป็น ESG ประกอบด้วย ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) ​และบรรษัทภิบาล (Governance) เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกับ SSF และ RMF แต่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน โดยการลงทุนในกองทุน ThaiESG จะต้องลงทุนระยะยาว 8 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ หรือ 10 ปีปฏิทิน ซื้อปีไหน ลดหย่อนได้ปีนั้น และไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 100,000 บาท ซึ่งจะเป็นการแยกวงเงินออกจากกองทุน SSF และ RMF

ในขณะที่กองทุน SSF ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ประกันชีวิตบำนาญแล้ว ต้องรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท

พูดง่าย ๆ ก็คือ จะสามารถใช้ กองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ จะสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 600,000 บาท

คำนวณดี ๆ รายได้เท่านี้ ควรซื้อกองทุนเท่าไหร่?

STEP 1 : คำนวณหาเงินได้สุทธิ

อันดับแรกต้องคำนวณหาเงินได้สุทธิเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณภาษีก่อน โดยคำนวณจากการนำเงินได้ทั้งปี 2566 มารวมกัน แล้วหักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน

รายได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

หากมีเงินเดือน 100,000 บาท รวมรายได้ทั้งปี 1,200,000 บาท จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าลดหย่อนประกันสังคม 9,000 บาท เมื่อคิดเงินได้สุทธิแล้วจะอยู่ที่ 1,031,000 บาท

STEP 2 : คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย

หลังจากคำนวณเงินได้สุทธิแล้วให้นำมาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได โดยนำเงินได้สุทธิคูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าต้องจ่ายภาษีท่าไหร่

[(เงินได้สุทธิ - เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี ]

+ ภาษีสะสมสูงสุดของขั้นก่อนหน้า = ภาษีที่ต้องจ่าย

จากจำนวนเงินได้สุทธิ 1,031,000 บาท จะอยู่ระหว่างฐาน 1,000,001 -  2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% ทำให้จะต้องเสียภาษี (1,031,000 - 1,000,000) x 25% + 115,000 เท่ากับภาษีที่ต้องจ่าย 122,750 บาท

STEP 3 : คำนวณเงินที่ควรซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี

หากต้องการเปลี่ยนเงินที่ต้องจ่ายภาษีมาเป็นเงินออมไว้ใช้ในอนาคต สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีอย่าง SSF RMF และ ThaiESG ได้ ซึ่งจะคำนวณจาก

เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิที่ได้รับการยกเว้น = เงินที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้สูงสุด

ดังนั้น จำนวนเงินที่สามารถนำไปซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีให้พอดี จะคิดจากเงินได้สุทธิ 1,031,000 บาท หักเงินได้สุทธิที่ได้รับการยกเว้น 150,000 บาท จะได้เท่ากับ 881,000 บาท แต่เนื่องจากเงื่อนไขของกองทุน SSF และ RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ และรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้น เมื่อรวมกับกองทุน ThaiESG อีก 100,000 บาท จะเท่ากับว่าสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด 600,000 บาทเท่านั้น

แล้วควรซื้อกองทุนไหนดี จำนวนเท่าไหร่บ้างนั้น ก็ให้ดูตามความเหมาะสม ได้แก่ เป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่รับได้ เช่น หากต้องการลงทุนระยะยาว 10 ปี ก็สามารถลงน้ำหนักไปที่กองทุน SSF จำนวน 200,000 บาท และกองทุน RMF อีก 300,000 บาท หรือหากต้องการลงทุนเพื่อเกษียณอายุก็สามารถลงน้ำหนักไปที่กองทุน RMF จำนวน 360,000 บาท แล้วที่เหลืออีก 140,000 บาท จึงนำไปซื้อ SSF ก็ได้เช่นกัน

สรุป หากซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี 600,000 บาท จะทำให้เหลือเงินได้สุทธิ (1,031,000 – 600,000) เท่ากับ 431,000 บาท ซึ่งจากเดิมจะเสียภาษีฐาน 25% มาเหลือเพียงฐาน 10% เท่านั้น และเมื่อคำนวณภาษีใหม่ จะเสียภาษี (431,000 - 300,000) x 10% + 7,500 เท่ากับ 20,600 บาท ซึ่งประหยัดได้ถึง 102,150 บาท เลยทีเดียว

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าหากไม่มีตัวช่วยลดหย่อนภาษี จะทำให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีหลักพันไปจนถึงหลักแสน แต่ถ้าย้ายเงินไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี นอกจากจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าแล้ว ยังช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย

หากยังเลือกไม่ได้ ไม่รู้จะซื้อกองทุนไหนดี ทีทีบีคัดกองทุนลดหย่อนภาษีเด่น สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาให้แล้ว โดยมีให้เลือกหลากหลายทั้ง SSF และ RMF กับกองเด่นลดหย่อนภาษี ปี 2566 และยังมีกองทุน ThaiESG ตัวใหม่เพื่อการลดหย่อนภาษีอย่างยั่งยืน ที่คัดมาให้แล้ว คลิกดูรายละเอียดได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/personal-invest

มาวางแผนลดหย่อนภาษีกันแต่เนิ่น ๆ ไปกับ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อการเงินที่ดีขึ้นกัน!

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มั่นใจมาถูกทางกับการสร้างโซลูชันทางการเงินเพื่อคนรักบ้าน หลังยอดสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เติบโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้เกือบเท่าตัว ตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจที่มุ่งสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านให้กับคนไทย มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็น Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี

จากที่ ทีทีบี มุ่งมั่นขับเคลื่อนพันธกิจให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์หลัก Ecosystem Play ต่อยอดจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าสู่โซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้า หลังจากเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทีทีบีได้จับมือกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดร่วม ttb Global House เพื่อส่งมอบสิ่งดี ๆ และสิทธิประโยชน์ให้กับทั้งลูกค้าของทั้งสองฝ่าย พร้อมเพิ่มกำลังซื้อให้กับลูกค้าโกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ด้วยข้อเสนอที่คุ้มค่าและตรงใจ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งได้ช่วยสร้าง Brand Loyalty ให้กับทั้งโกลบอลเฮ้าส์ และทีทีบี จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีจำนวนผู้สมัครบัตรเครดิต ttb Global House มากกว่า 50,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 40,000 บัตร

การตอบรับที่ดีจากตลาดต่อบัตรเครดิตร่วม ttb Global House สะท้อนว่า ทีทีบี สร้างสรรค์โซลูชันการเงินได้ตอบโจทย์และตรงใจกลุ่มคนรักบ้านอย่างแท้จริง ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดบ้านเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับหมวดอื่น ๆ ผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ เพื่อบ้านที่รักควรสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เพื่อรับสิทธิประโยชน์เหนือระดับที่ให้ความคุ้มค่ายิ่งกว่า ซึ่งบัตรเครดิต ttb Global House นี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโซลูชันการเงินหลักที่จะช่วยให้ ทีทีบี ขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี

บัตรเครดิต ttb Global House เป็นบัตรเครดิตที่ผนวกจุดแข็งระหว่าง ทีทีบี และโกลบอลเฮ้าส์ เพื่อสร้าง Home Owner Ecosystem ส่งมอบโซลูชันการเงินที่ตอบโจทย์และตรงใจ ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปเพื่อบ้านที่คุ้มค่าที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงสิทธิประโยชน์อีกมากมายที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากโกลบอลเฮ้าส์ ทั้งส่วนลดพิเศษ สิทธิประโยชน์จากรายการส่งเสริมการขาย หรือจากรายการแบ่งชำระค่าซื้อสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่มีบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นรอบด้าน

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่น บัตรเครดิต ttb Global House มอบส่วนลดเพิ่ม 3% เมื่อช้อปผลิตภัณฑ์ใด ๆ ยกเว้นวัสดุก่อสร้าง ส่วนลด 5% เมื่อใช้บริการใดๆ ที่โกลบอลเฮ้าส์ สิทธิประโยชน์จากการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน ที่โกลบอลเฮ้าส์ และยังทำรายการแบ่งจ่าย 0% นาน 3 เดือน ได้ด้วยตัวเองผ่านแอป ttb touch ได้ทุกรายการใช้จ่ายที่มียอดตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป / เซลล์สลิป กับบริการ ttb so goood สิทธิประโยชน์จากการสะสมคะแนน ทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน รวมถึงวัสดุก่อสร้าง และรับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายที่ร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมาย

ผู้สนใจสามารถสมัครบัตรได้ 3 ช่องทาง คือสมัครที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ หรือทีทีบี ทุกสาขา สมัครทางแอป ttb touch และสมัครทางเว็บไซต์ ttbbank.com ผู้สมัครบัตรใหม่ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ รับฟรี กระเป๋าเดินทางมูลค่า 3,990 บาท และคูปองส่วนลด สยามโกลบอลเฮ้าส์ มูลค่า 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร  5,000 บาทขึ้นไป ภายใน 30 วันหลังบัตรอนุมัติ นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันต้อนรับลูกค้าใหม่ ให้ใช้จ่ายที่โกลบอลเฮ้าส์ได้คุ้มที่สุด คุ้ม 1 ทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ttb Global House ที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ จนถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้ รับคะแนนสะสมเพิ่ม 3 เท่า และคุ้ม 2 รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 5,000 บาท / เดือน เพียงมียอดใช้จ่ายสะสมที่โกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด ttb Global House ครบ 200,000 บาทขึ้นไป / เดือน จำกัดเครดิตเงินคืนสำหรับบัตรเครดิต 5,000 บาท / บัญชีบัตรหลัก / เดือน  สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ และสำหรับบัตรกดเงินสด 5,000 บาท / เดือน สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ

X

Right Click

No right click