บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ30 ปีตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจด้านถ่ายภาพแบบครบวงจรเปิดนิทรรศการภาพถ่าย “Power of Print ให้รูปนี้มีความหมาย” Global Photo Exhibition ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้บอกเล่าเรื่องราว สะท้อนภาพถ่ายที่สัมผัสได้ถึงพลัง มุมมองต่างๆ และกระตุ้นให้คนไทยรักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาเพราะรูปภาพคือการจดจำที่วิเศษสุดในทุกช่วงเวลาที่สวยงามและยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจถึงคุณค่าของภาพถ่ายซึ่งนิทรรศการ Power of Print ได้รวบรวมผลงานภาพถ่ายของศิลปิน ดารา เซเลบริตี้ ที่มีชื่อเสียง ช่างภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย และผู้ที่รักการถ่ายภาพมาถ่ายทอดผลงานผ่านภาพถ่าย มากกว่า5,000 ภาพสร้างปรากฏการณ์พลังแห่งภาพถ่ายในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของฟูจิฟิล์มประเทศไทยที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่หลงใหลการถ่ายภาพได้แสดงผลงานของตัวเองผ่านนิทรรศภาพถ่ายในครั้งนี้

มร.ซึโตมุ วาตะนาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์มได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับด้านการถ่ายภาพ เป็นเวลามากกว่า 80 ปี ซึ่งเริ่มผลิตฟิล์ม กระดาษอัดภาพ และอุปกรณ์เพื่อการถ่ายภาพในญี่ปุ่นมานานภายใต้สโลแกน ของบริษัท “Value from Innovation” นวัตกรรมอันทรงคุณค่า ซึ่งหมายความว่า ฟูจิฟิล์ม ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง พัฒนาสินค้าและบริการที่ดีที่สุดสู่ผู้บริโภคมาโดยตลอด  พร้อมการรองรับตลาดและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   ดังนั้นนวัตกรรมการพัฒนาทางด้านดิจิตอลปริ้นท์ติ้งของฟูจิฟิล์ม จึงดำเนินตามปรัญญา Culture of Photography” ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟูจิฟิล์ม  และถ่ายทอดถึง “รูปภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสามารถสะท้อนถึงวัฒนธรรมของมนุษย์ และรูปภาพคือการจดจำที่วิเศษสุดในทุกช่วงเวลาที่สวยงามและดีเยี่ยมในชีวิต” โดยที่บริษัทฟูจิฟิล์มประเทศญี่ปุ่นได้ส่งเสริมการปริ้นท์ติ้ง จัดนิทรรศการ Global Photo Exhibition ระดับโลก และจัดนิทรรศการภาพถ่ายขึ้นที่หลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เยอรมัน อเมริกา แคนาดา สเปน มาเลเซีย ในปีที่แล้ว และปีนี้ สำหรับประเทศไทย ได้จัดนิทรรศการภาพถ่าย “Power of Print ให้รูปนี้มีความหมาย” นี้เป็นครั้งแรก  ในช่วงวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รับเกียรติจากศิลปินดารา เซเลบริตี้ ที่มีชื่อเสียงช่างภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทยและผู้ที่สนใจเรื่องการถ่ายภาพส่งภาพมาแสดงนิทรรศการ มาร่วมใจกันถ่ายทอดเรื่องราวที่แตกต่างอย่างมีศิลปะ สะท้อนมุมมองที่หลากหลายผ่านภาพถ่ายจำนวนมากกว่า5,000 ภาพที่สัมผัสได้ถึงพลังและความรู้สึก กระตุ้นให้คนไทยรักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ แทนความประทับใจ และความทรงจำซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

นางสาวสภารัตน์ ประดิษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด แผนกโฟโต้อิมเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การจัดนิทรรศการภาพถ่ายในครั้งนี้ เราได้เปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจเพียงนำรูปถ่ายที่คุณชื่นชอบ ภายใต้ความหมาย Power of Print โดยสามารถใช้กล้องดิจิตอลยี่ห้อใดก็ได้นำภาพไปปริ้นท์ลงบนกระดาษสีฟูจิฟิล์ม ขนาด 8x10 นิ้วหรือ8x12 นิ้วที่ร้าน Wonder Photo Shop, ร้าน FUJIFILM Photo Station(FPS) และร้านอัดรูปที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ซึ่งได้รวบรวมผลงานจากผู้ที่สนใจ มานำเสนอผ่านงาน Photo Exhibition โดยเริ่มเปิดรับภาพตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561- 13 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

โดยมีเป้าหมายให้คนไทยกลับมารักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ แทนความประทับใจและความทรงจำกันมากขึ้น เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมShare ภาพผ่าน Social Mediaเท่านั้น แต่ถ้าเราได้ปริ้นท์ภาพเก็บไว้ยังสามารถนำภาพมาชื่นชม และรำลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ประทับใจ ซึ่งถือว่าเป็นการบันทึกความทรงจำที่ควรจะเก็บรักษาไว้

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ฟูจิฟิล์มในประเทศไทยได้จัดขึ้น โดยจัดบนเนื้อที่กว่า 1,800 ตารางเมตร ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อแสดงถึงพลัง การสร้างแรงบันดาลใจให้คนหันกลับมารักการปริ้นท์ภาพมากขึ้น และกระตุ้นให้ตลาดการปริ้นท์ภาพกลับมาคึกคักอีกครั้งนิทรรศการภาพถ่ายนี้ได้รวบรวมผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศมาจัดแสดงมากมาย อาทิอาจารย์วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ปี 2552 ดร.สงคราม โพธิ์วิไล ศิลปินนักถ่ายภาพไทย/ผู้ทรงคุณวุฒิทางการถ่ายภาพไทย คุณอิสระ เสมือนโพธิ์, คุณธาดา วารีช  รวมไปถึงนักแสดงชื่อดังอย่างคุณเจมส์ จิรายุ,คุณซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, คุณแป้งโกะ จินตนัดดา, คุณอนันดา  เอเวอริ่งแฮม, คุณปั๊ป โปเตโต้ และศิลปิน BNK48 อื่นๆ อีกมากมายได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงในครั้งนี้ด้วยรวมไปถึงภาพ Top 100 Celebrity Selection ที่ให้เหล่าเซเลบริตี้ คนดังช่วยกันคัดเลือกภาพ 100 ภาพ ที่ให้พลังและสร้างแรงบันดาลใจมาจัดนิทรรศการอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมายตลอด 4 วันอาทิเช่นGFX workshopจากช่างภาพแฟชั่นมืออาชีพ คุณจอร์จ ธาดา และ Couple Portrait จากคุณโอ๊ต ชัยสิทธิ์ ร่วมพูดคุย สนุกกับการถ่ายภาพ Instax กับ คุณเมทัล  และ คุณกุ๊บกิ๊บ(สุมณทิพย์)  และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังอย่างวง Scrubb, BNK48 และ POTATO พร้อมกันนี้ ยังมีกิจกรรมถ่ายภาพ Fujifilm Photo Charity ที่เชิญชวนให้ทุกท่านได้ถ่ายภาพ เป็นการกุศล โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปบริจาคสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และมูลนิธิเล็ทส์ บีฮีโร่ (Let’s be Heroes) ของคุณหมอเจี๊ยบ ลลนา  สามารถเข้าชมนิทรรศการแสดงผลงานภาพถ่าย ได้ตั้งแต่วันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้บริษัทฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02-270-6000 ต่อ463 หรือ www.fujifilm-th.com/PowerofPrint

บริษัท ซีพีแรม จำกัด ร่วมกับ สาขามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  ร่วมดำเนินโครงการ การประกวดคลิปวิดีโอภายใต้หัวข้อ “คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste” เพื่อสร้างความตระหนักในเรื่องลดความสูญเปล่าของอาหารในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงในการลดความสูญเปล่าของอาหาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม โดยการแชร์ไอเดีย สร้างพลังผ่านวีดีโอคลิปความยาว 3 นาที ซึ่งได้รับความสนใจจากนักเรียน นักศึกษา เป็นอย่างมาก ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการกว่า 259 ผลงาน อีกทั้งยังได้มีการดำเนินกิจกรรมสร้างความตระหนักในเรื่องลดความสูญเปล่าของอาหาร หรือ FOOD WASTE ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศกว่า 20 แห่ง รวมถึงได้จัดงานประกาศรางวัลการประกวดคลิปวิดีโอภายใต้หัวข้อ “คนรุ่นใหม่ไร้ Food Waste” ขึ้น ณ โรงละครอักษรา คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ โดยภายในงานดังกล่าวได้รับเกียรติจากคุณวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด และผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์ ประธานสาขาวิชามีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ประธานในการมอบรางวัล

สำหรับผลการประกาศรางวัลคลิปวิดีโอภายใต้หัวข้อ คนรุ่นใหม่ไร้Food Waste ระดับมัธยมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม ABSTRACT ชื่อเรื่อง   Eat Time Trash . (รับประทาน กาลเวลา อนาคต) จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม HOT MONEY  ชื่อเรื่อง PLEDGE จาก โรงเรียนสตรีวิทยา และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม  Inspiration ชื่อเรื่อง พ้นภัยต่อ Food Waste จากโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง พร้อมด้วยรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ ทีม Work เรื่อง FoodWar จากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย กับรางวัลชมเชย ทีม Hazel Digital เรื่อง Vision จาก โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

สำหรับผลการประกาศรางวัลคลิปวิดีโอภายใต้หัวข้อ คนรุ่นใหม่ไร้Food Waste ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม ทำไมไม่กินข้าวหลามในตู้เย็น ชื่อเรื่อง ทิ้งกันไป ใครเจ็บสุด จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม G-Noon Film  ชื่อเรื่อง อ้าวเดือน จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม  3511 ชื่อเรื่อง ME จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พร้อมด้วยรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ ทีม Satuboon Production (สาธุบุญ โปรดักชั่น) เรื่อง ขาหมู “ไม่ใช่เพลงแต่เป็นข้าว” จาก มหาวิทยาลัยรังสิต กับทีม ตาปรือ โปรดักชั่น เรื่อง The Value  จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

พร้อมกันนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์, คุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้กำกับภาพยนตร์, คุณคมกฤษ ตรีวิมล ผู้กำกับภาพยนตร์ และคุณสุปราณี ชนะชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซีพีแรม จำกัด  ร่วมเสวนาในหัวข้อ “สถานการณ์ Food Waste กับการเปลี่ยนแปลง” และคุณวีรยุทธ ล้อทองพานิชย์ Executive Producer ร่วมสร้างแรงบันดาลใจ “เทคนิคการทำหนังสั้นสร้างสรรค์สังคมในยุคดิจิตอล” อีกด้วย

ทั้งนี้ ซีพีแรม ดำเนินธุรกิจเคียงข้างสังคมอย่างเกื้อกูล ยังคงเดินหน้าสร้างความตระหนักในการลดความสูญเปล่าของอาหาร ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ลุยปลูกฝังสังคมลดการกินทิ้งขว้าง เพื่อยกระดับสู่ความยั่งยืนทางอาหาร ซีพีแรมยังคงใช้รายได้ 1% ของยอดขายหรือปีละ 150-200 ล้านบาท เดินหน้าวิจัยเพื่อให้เกิดนวัตกรรมอาหารรากฐานแห่งความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร และร่วมส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีให้ทุกคน

เอปสัน ประเทศไทย เปิดเกมรุกธุรกิจกระดานใหม่ ชู 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล มุ่งสร้าง รายได้เติบโตต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2561 ของบริษัทฯ ว่า “ถึงแม้ตลาดไอทีโดยรวมของประเทศในปีที่ผ่านมาจะมีอัตราการเติบโตถดถอยลงอยู่ที่ -3% แต่ เอปสันยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตทางธุรกิจไว้ได้อยู่ที่ 5% โดยที่กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ยังคงทำผลงานได้ดี สามารถสร้างการเติบโตได้ทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณของบริษัทฯ (31 มีนาคม 2562) ผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% ซึ่งมีโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงเป็นกลุ่มที่เติบโตมากที่สุด ขณะที่พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้น 6% โดยที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ และอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขยายตัวขึ้น 5% โดยมาจากพรินเตอร์แท็งค์แท้ หรือ EcoTank เป็นหลัก”

“ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเอปสันในตลาดประเทศไทยมาจากการที่บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเสนอความคุ้มค่าในการลงทุนที่ดียิ่งขึ้นต่อลูกค้า รวมถึงมีความต่อเนื่องในการออก ผลิตภัณฑ์ใหม่และทำตลาดเพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การเปิดตัวพรินเตอร์ความเร็วสูงเพื่อรองรับงาน พิมพ์สิ่งทอระดับโรงงานอุตสาหกรรม อย่าง SureColor F9330 หรือเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง ในระดับ 6,000-15,000 ลูเมน ที่เน้นเจาะกลุ่มธุรกิจบันเทิงและการจัดงานอีเวนท์เอาท์ดอร์ รวมทั้งกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ความเร็วสูงรุ่น WF-C869R สำหรับเอสเอ็มอีที่ใช้เทคโนโลยีหัวพิมพ์รุ่นล่าสุดของเอปสัน PrecisionCore และระบบ หมึก RIPs (Replaceable Ink Pack) ชุดหมึกที่ถอดเปลี่ยนได้สามารถรองรับการพิมพ์ปริมาณสูงถึง 86,000 แผ่น”

“ส่วนตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯ ดูแลอยู่ ได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และปากีสถาน มีอัตราการเติบโตโดยรวม  6% โดยมีปัจจัยจากการที่บริษัทฯ ได้ป้อนผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ EcoTank ทั้ง L-Series และ M-Series เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโซโหและเอสเอ็มอี รวมถึงทำการ ตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อแย่งมาร์เก็ตแชร์จากเลเซอร์พรินเตอร์ นอกจากนี้ ยังได้นำโปรเจคเตอร์ความสว่างสูง เข้าไปทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าในธุรกิจบันเทิงและสถาบันศึกษาที่กำลังขยายตัวอย่างมาก โดยชูจุดเด่นด้านความ ทนทานและคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งทำให้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”

นายยรรยง กล่าวต่อว่า “หลังจากที่สร้างความสำเร็จขึ้นมาจากดอทเมทริกซ์พรินเตอร์เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว จนกลาย เป็นแบรนด์เดียวที่มีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 90% ต่อมาบริษัทฯ ได้นำผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์ 3LCD เข้ามาทำตลาดจนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเมื่อ 9 ปีก่อน บริษัทฯ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ กับวงการพรินเตอร์ด้วยการเปิดตัวพรินเตอร์แท็งค์แท้รุ่นแรกของโลก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนสามารถ เข้าไปแทนที่อิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบใช้ตลับหมึกและเลเซอร์พรินเตอร์ได้ในหลายตลาด จนทำให้เอปสันได้กลาย เป็นเจ้าตลาดมาจนถึงทุกวันนี้  ในช่วงเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงหลายรุ่น โดยเน้น จุดขายที่คุณภาพของภาพฉาย ความทนทาน ความประหยัด และฟังก์ชั่นที่ครบครัน พร้อมตอกย้ำความมั่นใจของ ลูกค้าด้วยตำแหน่งโปรเจคเตอร์ที่มียอดขายสูงสุดในโลกติดต่อกันถึง 17 ปีซ้อน ในวันนี้ เอปสัน ประเทศไทยกำลัง ก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ของวงจรธุรกิจ หรือ S-Curve ใหม่​ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกไม่น้อยกว่า 5 ปี โดย จะเน้นที่การสร้างตลาดและขยายฐานลูกค้าให้กับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทฯ ได้แก่ อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง และหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งล้วน แต่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว และเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มลูกค้า องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม”

“ในช่วงแรกของการสร้าง S-Curve ใหม่ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5% สำหรับประเทศไทย และ 10% สำหรับ ตลาดต่างประเทศ ซึ่งในปี 2562 นี้ ยังมีปัจจัยอีกมากที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองหลังการ เลือกตั้งในประเทศ หรือปัจจัยภายนอก อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐจีนและเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินเกิดความผันผวน ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจอยู่ ไม่ว่า จะเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ของรัฐบาล กระแส การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีด้านการผลิตและการปฏิบัติงานสู่ระบบดิจิทัล รวมไปถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น นอกจากนี้ ในหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม ยังเกิดกระแสความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ  บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตใน S-Curve ใหม่นี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อผลักดัน S-Curve ใหม่นี้ไว้ 4 ด้าน ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ ช่องทางจัดจำหน่าย และการสื่อสารการตลาด”

สำหรับกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ เอปสัน ประเทศไทยมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาทำ ตลาดมากขึ้น โดยในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูง บริษัทฯ จะทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ครบทั้งไลน์อัพ เพื่อตอบ โจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่เอสเอ็มอี โซโห ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายที่จะ เข้าไปแทนที่การใช้งานเลเซอร์พรินเตอร์ ซึ่งอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงของเอปสันในปัจจุบันถูกพัฒนาให้ก้าว ข้ามเลเซอร์พรินเตอร์ไปแล้ว ทั้งด้านคุณภาพงานพิมพ์ที่ดีเยี่ยม การใช้พลังงานที่น้อยกว่า การดูแลรักษาที่ง่ายและ ประหยัดกว่า ทั้งยังเป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับกลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายรุ่น ทั้งในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ อุตสาหกรรมสิ่งทอ หรืองานพิมพ์ป้ายโฆษณาทั้ง ภายในและภายนอกอาคาร เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำและเติมเต็มความต้องการของตลาดที่ยังมีโอกาสอยู่อีกมาก เช่น เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมความเร็วสูง ที่สามารถพิมพ์ตรงลงบนผ้าม้วนได้ (Direct to Fabric หรือ DTF) ซึ่งเป็น เครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลที่รองรับการพิมพ์แบบออนดีมานด์ ทั้งยังใช้หมึกพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ผ้าได้หลายชนิด และยังช่วยลดการใช้สารเคมีและของเสียในการผลิตลายผ้าได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับการผลิตลายผ้าแบบเดิม

ในขณะที่กลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ เอปสันยังคงให้ความสำคัญ เพราะต้องการรักษาตลาด และตำแหน่งอันดับหนึ่ง ของตลาดนี้ โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง 20,000 ลูเมน และเลเซอร์โปรเจคเตอร์ ความละเอียดระดับ 4K สำหรับหุ่นยนต์แขนกล ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำเข้ามาจะมีราคาถูกลงถึง 35% เพื่อรองรับ ตลาดการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็กสามารถนำหุ่นยนต์แขนกลเข้าไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิต รวมทั้งจะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถยกวัตถุหรือชิ้นงานที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้

ด้านกลยุทธ์ในการบริการ นายยรรยง ให้ข้อมูลว่า “การบริการหลังการขายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แยกจากการ ขายสินค้าไม่ได้ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญอย่างมากในการพัฒนา Service Excellence หรือความเป็นเลิศในการ บริการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความพึงพอใจในระดับสูงและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า บริษัทฯ ได้จัดตั้งหน่วยงาน พิเศษขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและพัฒนาการให้บริการ พร้อมติดตามผลการทำงานอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเพิ่มความรวด เร็วในการให้บริการซ่อมสินค้า โดยตั้งเป้า 90% จะซ่อมเสร็จภายใน 1-3 วัน นอกจากนี้ ยังมีแผนจะลงทุนขยาย ศูนย์บริการเพิ่มขึ้นจาก 154 แห่ง เป็น 170 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในการให้บริการมากยิ่งขึ้น ทั้งยัง จะเพิ่มจำนวนจุดรับสินค้าหรือดรอปพอยท์ในบางจังหวัดโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงพัฒนาระบบการ บริหารจัดการและจัดส่งชิ้นส่วนอะไหล่ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น”

“นอกจากนี้ยังมีแผนสำหรับการให้บริการลูกค้าองค์กรที่ซื้อผลิตภัณฑ์ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง และหุ่นยนต์แขนกล ให้มีบริการดูแลเครื่องถึงสำนักงานของลูกค้าทุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงยังมีทีมงานพิเศษ เพื่อมอนิเตอร์ การทำงานของเครื่องหรือมีเครื่องสำรองให้ใช้งานแทนในกรณีที่เครื่องลูกค้าที่ใช้งานอยู่เกิดปัญหาขึ้น”

“เอปสันยังลงทุนเพิ่มเติมในส่วนระบบการวิเคราะห์ประมวลผล สำหรับงานด้าน CRM ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลและ ความรู้ด้านต่างๆ จากลูกค้ามาช่วยพัฒนาระบบการให้บริการ ตั้งแต่ Call Center การจัดการฐานข้อมูลสินค้าและ การใช้งาน การบริหารศูนย์บริการและทีมงานบริการนอกสถานที่ รวมถึงฐานข้อมูลการรับประกันสินค้า เพื่อสร้าง ประสบการณ์การใช้งานสินค้าและการบริการหลังการขายที่ดีให้กับลูกค้า” นายยรรยง กล่าว

ด้านกลยุทธ์สำหรับช่องทางจำหน่ายสินค้า ในปีนี้เอปสันจะทำการเพิ่มจำนวน Epson Authorized Partner (EAP) สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์เป็น 170 รายทั่วประเทศ กลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และ อุตสาหกรรมเป็น 13 ราย และกลุ่มหุ่นยนต์แขนกลเป็น 10 ราย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเจาะเข้าตลาดใหม่ๆ ได้

สำหรับกลยุทธ์ทางการสื่อสารการตลาด จะมุ่งเน้นด้านการผสมผสานเครื่องมือการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าทำ Technology Showcase เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีในกลุ่มต่างๆ ผ่านอีเวนท์ที่สามารถสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับ ลูกค้า โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในภาคธุรกิจและภาครัฐ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เอปสันได้ร่วมกับจังหวัดสุโขทัย ในการจัดแสดงแสงเสียงงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ โดยนำเลเซอร์โปรเจคเตอร์รุ่น EB-L25000U ที่มีความสว่างสูงถึง 25,000 ลูเมน ไปจัดแสดงเทคนิค Projection Mapping

“การสร้าง S-Curve ใหม่ทางธุรกิจในปีนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีของบริษัทฯ เพราะเอปสันมีผลิตภัณฑ์ครบทุกไลน์ และมี จำนวนรุ่นมากเพียงพอที่จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเอปสันยังเป็นบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีเอง จึงสามารถ พัฒนาเทคโนโลยีในแต่ละด้านให้ทันสมัย นำหน้าความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และมีสินค้าใหม่ๆ ป้อนเข้าสู่ ตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วง ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่มใน S-Curve ใหม่นี้ล้วนแต่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยและได้รับ ความมั่นใจจากลูกค้าในหลากหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยอยู่แล้ว เอปสัน ประเทศไทยจึง เชื่อมั่นว่า S-Curve ใหม่นี้จะไม่เพียงแต่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีได้ แต่ยังจะทำให้มิติทาง ธุรกิจของเอปสันในประเทศไทยกว้างออกไป และแบรนด์ของเอปสันจะเติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย” นายยรรยง ทิ้งท้าย

พฤกษาผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการปี 61 ทำผลงานนิวไฮเรคดอร์ดสร้างยอดขาย 51,101 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี มีรายได้ 44,901 ล้านบาท และกำไร 6,022 ล้านบาท เตรียมเดินหน้าชูแผนกลยุทธ รักษาความเป็นผู้นำอันดับ ด้วย Portfolio ที่แข็งแกร่ง ชูนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO-TECH ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมเปิดตัว The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบในแอปเดียว ตลอดจนใส่ใจในเรื่องของคุณภาพเป็นเลิศและบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยทำยอดขายได้สูงถึง 51,101 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี นับจากก่อตั้งพฤกษา เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% จากปี 2560 ที่มียอดขายรวม 47,535 ล้านบาท มีรายได้อยู่ที่ 44,901 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 43,935 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,022 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 10.4% จากปี 2560 ที่มีกำไรอยู่ที่ 5,456 ล้านบาท

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2562 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้นในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยที่ประมาณ 5% โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 54,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.7% เป้ารายได้ 47,000 ล้านบาท เติบโต 4.7% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 55 โครงการ มูลค่า 68,100 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมียอดขายที่รอรับรู้ราย ณ สิ้นปี 2561 ที่ 33,233 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงสุดเท่าที่ผ่านมา และเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 21,638 ล้านบาท

สำหรับแผนกลยุทธ์หลักในปี 62 บริษัทฯ มุ่งเน้นรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับ Portfolio ของกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น และขยายโครงการใหม่ไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ ขอนแก่น ระยอง สระบุรี และนครปฐม พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิมในตลาดแวลู โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการไฮไลท์หลายโครงการ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวสำหรับกลุ่มตลาดบนกับแบรนด์ The Palm รวมถึงมีการนำแบรนด์ IVY กลับมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น และรุกตลาดพรีเมียมเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดโดยเตรียมเปิดตัวแบรนด์ “Chapter” ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ของพฤกษา เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งนี้พฤกษาได้ต่อยอดความสำเร็จ ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation เดินหน้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี INNO -TECH เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การนำ Big Data ที่มีอยู่มาวิเคราะห์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเพื่อนำมาใช้พัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การนำข้อมูลมาพัฒนาด้าน Product and Innovation Design สำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตรงกับความต้องการมากขึ้น การทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุก Customer Journey ได้เฉพาะเจาะจง รวมไปถึงการพัฒนาด้านการบริการด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อมอบความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านในการอยู่อาศัยแบบครบวงจรอย่าง The Living Application ที่ทำให้ทุกเรื่องบ้าน ครบ จบ ในแอปเดียว ตั้งแต่เริ่มค้นหาบ้าน ข่าวสารและโปรโมชั่น ไปจนถึงการตรวจรับบ้านและเข้าอยู่อาศัย ได้แก่ การชำระค่าผ่อนดาวน์ รวมไปถึงระบบ Smart Home (สั่งการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านมือถือ), Smart Facilities (จองพื้นที่ส่วนกลาง), Mail & Parcel แจ้งเตือนรับจดหมายหรือพัสดุ และในแอปพลิเคชันยังมีข้อมูลสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Pruksa Member และบริการต่างๆ จากผู้ช่วยอัจฉริยะ อาทิ บริการทำความสะอาด ล้างแอร์ รับ-ส่งพัสดุ งานช่าง เป็นต้น สำหรับลูกค้าพฤกษาสามารถดาวน์โหลดผ่าน Play Store และ App Store ได้แล้ววันนี้

นอกเหนือจากแผนกลยุทธ์ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในเรื่องของคุณภาพเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่พฤกษายังคงมุ่งเน้นใส่ใจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนรุกธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น” นางสุพัตรา กล่าว

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงข่าว EXIM BANK ครบรอบ 25 ปี พร้อมทำหน้าที่เติมเต็มช่องว่างเครือข่ายธุรกิจ การเงิน และองค์ความรู้ ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดใหม่ และสร้างผู้ส่งออก SME ที่แข่งขันได้ในทุกตลาดทั่วโลก พร้อมเปิดบริการ “สินเชื่อส่งออกเพิ่มสุข” เป็นสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยส่งออก และต้องการเริ่มต้นส่งออก ขณะที่ EXIM BANK มีผลดำเนินงานปี 2561 เป็นที่น่าพอใจ มีเงินสินเชื่อคงค้างสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 108,589 ล้านบาท ทั้งยังมีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 92,448 ล้านบาท ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้

X

Right Click

No right click