Razer™ แบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำสำหรับเหล่าเกมเมอร์  ได้ร่วมยกทัพนวัตกรรมและสินค้ารุ่นใหม่มาอวดโฉมสู่สายตาแฟน ๆ เป็นครั้งแรก ในงาน CES2023  โดยจัดขึ้นภายใต้แนวคิดการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อเปิดโอกาสให้คอเกมและผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีได้สัมผัส ทดลองใช้งานนวัตกรรมใหม่ก่อนวางจำหน่ายจริง ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์ของงานคือผลิตภัณฑ์ Razer Edge สุดยอดเครื่องเล่นเกมพกพาระบบแอนดรอยด์ที่มีกำหนดวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้

Razer Edge โดดเด่นด้วยหน้าจอ AMOLED 6.8 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 FHD+ พร้อม Refresh Rate 144Hz เพื่อมอบประสบการณ์เกมมิ่งที่เชื่อมต่อออนไลน์ได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยเป็นเครื่องเล่นเกมพกพารุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานกับ Snapdragon G3x Gen 1 Gaming Platform รุ่นใหม่ล่าสุดโดยเฉพาะ พร้อมระบบระบาย

ความร้อนแบบแอ็กทีฟเพื่อให้สามารถเล่นเกมระดับ AAA รวมถึงเกมอื่น ๆ ได้อย่างยาวนานโดยไม่ต้องกังวลว่าประสิทธิภาพจะลดลงเนื่องจากปัญหาความร้อน Razer Edge จะวางจำหน่าย 2 รุ่น ในสหรัฐฯ เริ่มจำหน่ายในวันที่ 26 มกราคม โดยรุ่น Razer Edge (Wi-Fi) จำหน่ายเฉพาะช่องทาง Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore ทั่วสหรัฐฯ ในราคา 399.99 ดอลลาร์ และรุ่น Razer Edge 5G จำหน่ายเฉพาะช่องทาง Verizon.com และศูนย์จำหน่าย Verizon Store 

แนวคิดการออกแบบ Project Carol เบาะรองศีรษะรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบเสียง Near-field Surround Sound และระบบการสั่นตอบสนองแบบ Haptics

เรเซอร์นำเสนอ Project Carol เบาะรองศีรษะรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบเสียง Near-field Surround Sound และระบบการสั่น Haptics เพื่อนำเกมเมอร์สู่โลกใบใหม่แห่งประสบการณ์เสียงที่เต็มอิ่มในทุกอารมณ์พร้อมการสั่นสะเทือนที่สมจริง โดย Project Carol เป็นผลงานการออกแบบนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของแผนกวิจัยและพัฒนาของเรเซอร์ ซึ่งประกอบด้วยทีมงานที่ทุ่มเทเพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายกลุ่มสินค้าของเรเซเอร์ในอนาคต และสามารถคว้ารางวัลงาน CES Innovation and Best of Show Awards มาแล้วมากมาย

Project Carol ยกระดับอารมณ์ร่วมและความสมจริงของเกมขึ้นไปอีกระดับด้วยความชาญฉลาดในการใช้ระบบเสียง Near-field Surround Sound ที่มอบเสียงที่ชัดใส ทำงานควบคู่กับระบบ 7.1 Surround Sound เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์เกมมิ่ง โดยระบบ Near-field Surround Sound ของ Project Carol แตกต่างจากหูฟังทั่วไปเนื่องจากจะให้เสียงที่ชัดเจนกว่าเพราะส่งตรงมาจากด้านหลัง มอบทัศนียภาพของเสียง (Soundscape) ที่โอบล้อมตัวผู้ใช้งานมากกว่า Project Carol ยังใช้เทคโนโลยีของเรเซอร์เจ้าของรางวัลระดับโลกอย่าง Razer™ HyperSense จึงสามารถเปลี่ยนเสียงในเกมให้เป็นการสั่นตอบสนองแบบเรียลไทม์ ทำให้เกมเมอร์สามารถรู้สึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังได้ ช่วยวางตำแหน่งผู้ใช้เสมือนอยู่กลางสมรภูมิในเกมได้อย่างสมจริง

Project Carol รองรับการทำงานบนพีซีและถูกออกแบบให้เหมาะสมกับเก้าอี้เกมมิ่งทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงเก้าอี้รุ่นยอดนิยมของเรเซอร์อย่างซีรีส์ Iskur และ Enki โดยมีสายรัดที่ยืดปรับระดับได้ตามต้องการ เมื่อเชื่อมต่อด้วยสัญญาณไร้สาย 2.4GHz จะทำให้ Project Carol สามารถใช้เล่นเกมได้นานต่อเนื่องถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่จะต้องทำการชาร์จใหม่อีกรอบ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Project Carol ของเรเซอร์ที่นี่

โน้ตบุ๊ก Razer Blade รุ่นใหม่

การพัฒนาโน้ตบุ๊ก Razer Blade ในปี 2023 คือการเปลี่ยมาตรฐานใหม่ของเกมมิ่งแล็ปท็อป โดยผสานฟีเจอร์จอแสดงผลรุ่นใหม่อัตราส่วน 16:10 เข้ากับเทคโนโลยีการประมวลผลกราฟิกรุ่นใหม่ที่ทรงพลังสูงสุด และทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในตัวเครื่องที่บางเบาตามแบบฉบับของเรเซอร์

โน้ตบุ๊ก Razer Blade 16 และ Razer Blade 18 เผยโฉมครั้งแรกในงาน CES 2023 โดยทั้งสองรุ่นติดตั้งขุมพลังชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด 13th Generation Intel®️ Core™ i9 HX หน่วยประมวลผลกราฟิก NVIDIA®’s next-Generation RTX™ 40 Series ทำงานได้สูงสุดที่ 175W TGP และเมโมรีรุ่นอัปเกรดอย่าง DDR5 5600MHz ซึ่งการผสานเทคโนโลยีทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันต้องอาศัยนวัตกรรมการออกแบบขั้นสูงเพื่อให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดด้านอุณหภูมิ ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีระบบระบายความร้อนซึ่งเป็นสิทธิบัตรของเรเซอร์

Razer Leviathan V2 Pro ซาวด์บาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Beamforming รุ่นแรกของโลกพร้อมฟีเจอร์ Head-Tracking AI

Razer Leviathan V2 Pro นำเสนอนวัตกรรมล่าสุดของระบบเสียง 3 มิติ เป็นซาวด์บาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Beamforming สำหรับใช้งานกับเดสก์ท็อปรุ่นแรกของโลกพร้อมฟีเจอร์ Head-Tracking AI ด้วยความร่วมมือกับผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเสียงอย่าง THX® และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านระบบเสียง Beamforming 3 มิติอย่าง Audioscenic ซึ่งทำให้ซาวด์บาร์รุ่นใหม่จากเรเซอร์นี้มอบเสียงที่ดีที่สุดทั้งสองรูปแบบ โดยมอบเวทีเสียงที่ครอบคลุมรอบทิศทางและสามารถกำหนดให้ผู้ใช้งานอยู่ในตำแหน่งรับเสียงที่ถูกต้องแม่นยำเสมอเพื่อมอบประสบการณ์ด้านเสียงที่ดีเยี่ยมที่สุด โดยเทคโนโลยีทั้งหมดถูกติดตั้งอยู่ในตัวเครื่องที่กะทัดรัด รูปทรงสวยงามสุดพรีเมียม พร้อมการตั้งค่าที่ง่ายดาย ช่วยให้โต๊ะทำงานของคุณดูทันสมัย เรียบง่าย และสบายตา

เมื่อผสานระบบเสียง Beamforming Surround Sound เข้ากับเทคโนโลยี Head-Tracking AI ทำให้ Leviathan V2 Pro มอบเสียงแบบ 3 มิติที่ให้คุณดื่มด่ำในทุกอารมณ์ผ่านการทำงานร่วมกับกล้อง IR ที่ช่วยตรวจจับตำแหน่งของผู้ใช้งาน ซาวด์บาร์จึงสามารถปรับทิศทางเสียงให้พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในตำแหน่งรับเสียงที่ถูกต้องอยู่เสมอและได้รับประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เมื่อผสานการทำงานร่วมกับ THX® Spatial Audio เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เต็มอิ่ม ร่วมกับการปรับทิศทางเสียงตามตำแหน่งผู้ใช้งาน Audioscenic User Adaptive Beamforming ทำให้ซาวด์บาร์รุ่นนี้มอบประสบการณ์เสียงแบบ 3 มิติที่แท้จริงและตอบโจทย์ทุกคอนเทนต์ความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถเลือกรับประสบการณ์เสียง 3 มิติได้ 2 โหมด ได้แก่ โหมด THX® Spatial Audio Virtual Headset สำหรับคอนเทนต์เสียงแบบสเตอริโอทุกรูปแบบ โดยให้สัญญาณเสียงที่แม่นยำตามตำแหน่งของชุดหูฟังที่สวมใส่อยู่ ในขณะที่โหมด THX® Spatial Audio Virtual Speakers ใช้กับคอนเทนต์ที่มีเสียงหลายชาแนล มอบเวทีเสียงที่กว้างครอบคลุมทั้งห้อง มอบประสบการณ์เสียงที่ดีเยี่ยมเหมือนกับการใช้ระบบเสียงโฮมเธียร์เตอร์ภายในบ้าน

Leviathan V2 Pro ติดตั้งซับวูเฟอร์ ถือเป็นซาวด์บาร์สำหรับพีซีที่มีไดรเวอร์หลายตัวเพื่อมอบเสียงแหลมที่ชัดใสและลึกและเสียงเบสที่หนักแน่น รองรับการทำงานกับระบบไฟ Razer Chroma™ RGB ให้คุณดื่มด่ำกับรูปแบบการจัดไฟมากถึง 30 โซนด้วยสีแสงไฟมากถึง 16.8 ล้านสี ซึ่งมีเกมที่รองรับระบบไฟที่ครอบคลุมที่สุดในโลกนี้มากกว่า 200 เกม

ดูรายละเอียดของ Leviathan V2 Pro ได้ที่นี่ กำหนดวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไปในราคาเริ่มต้น 399.99 ดอลลาร์ / 489.99 ยูโรที่ Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore

Razer Kiyo Pro Ultra เว็บแคมเซ็นเซอร์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพื่อคุณภาพสูงระดับกล้อง DSLR

ยิ่งเซ็นเซอร์ใหญ่ ยิ่งให้คุณภาพของภาพสูง ซึ่ง Razer Kiyo Pro Ultra ได้สร้างนิยามใหม่ของมาตรฐานด้านภาพเพื่อนักสร้างคอนเทนต์และนักสตรีมมิ่งรุ่นใหม่ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตลาดเว็บแคม เพื่อมอบประสบการณ์ภาพขั้นสูงที่ให้รายละเอียดความคมชัดระดับเดียวกับกล้อง DSLR พร้อมการใช้งานที่ง่ายดายแบบเว็บแคมทั่วไปที่เสียบสายแล้วใช้งานได้ทันที

หัวใจสำคัญของเว็บแคมระดับมืออาชีพของเรเซอร์คือการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่สุดของอุตสาหกรรมอย่าง Sony 1/1.2″ STARVIS™ 2 ด้วยขนาดพิกเซล 2.9 μm สามารถเก็บแสงและข้อมูลภาพได้ทุกพิกเซล ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดและสีสันที่ครบถ้วน และเพื่อให้เซ็นเซอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ Kiyo Pro Ultra จึงใช้เลนส์ที่สั่งทำโดยเฉพาะที่มีรูรับแสงกว้างพิเศษขนาด F/1.7 ซึ่งเก็บแสงได้มากกว่าเว็บแคมทั่วไปถึง 4 เท่า เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดใสแม้ถ่ายในสภาพแสงน้อย

คุณภาพขั้นสูงของภาพเกิดจากการทำงานของหน่วยประมวลผลที่ทันสมัยที่สามารถแปลงคลิป Raw 4K 30 FPS (หรือ 1080P 60 FPS) เป็น 4K 24 FPS, 1440p 30 FPS, หรือ 1080p 60 FPS (แบบ uncompressed) ได้โดยตรงเมื่อคุณทำการสตรีม และเพื่อรับประกันว่านักสตรีมจะอยู่ในตำแหน่งจุดสนใจในกรอบภาพเสมอ ระบบ AI-powered Face Tracking Auto-focus) ของ Kiyo Pro Ultra จะคอยตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้งานตลอดเวลาเพื่อให้เห็นภาพใบหน้าที่ชัดเจน ไม่หลุดโฟกัส พร้อมกับการช่วยเบลอพื้นหลังได้อย่างสวยงามด้วย Bokeh Effect ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำจบในตัวโดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วงหรือติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังมีระบบ High Dynamic Range (HDR) ที่รองรับการถ่ายที่ระดับ 30FPS ทำให้นักสร้างคอนเทนต์ได้ภาพที่สวยงามสมจริงผ่านความสามารถของ Kiyo Pro Ultra ในการระบุค่าแสงและคอนทราสต์ได้แบบอัตโนมัติไปพร้อมกับการปรับค่าในโซนสว่างและโซนมืดให้ได้ระดับสมดุล ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นรายละเอียดและพื้นผิวที่มีสีสันเข้มขึ้นได้อย่างชัดเจน นักสร้างคอนเทนต์ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Razer Synapse เพื่อการปรับค่าที่ละเอียดขึ้น

เพื่อยกระดับคุณภาพคอนเทนต์ผ่านการตั้งค่าสำเร็จรูปที่ปรับแต่งเองได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นค่า ISO ความเร็วชัตเตอร์ การแพน-ทิลท์ และอีกมากมาย

นอกจากนี้ Kiyo Pro Ultra ยังสามารถเสียบสายใช้งานและต่ออนไลน์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ผ่านการเชื่อต่อด้วยสาย USB 3.0 ที่เรียบง่าย ผู้ใช้จึงสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงการสร้างไฟล์คุณภาพระดับมืออาชีพได้อย่างรวดเร็ว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Razer Kiyo Pro Ultra ได้ที่นี่ โดยกำหนดวางจำหน่ายในงันที่ 5 มกราคม 256 ในราคาเริ่มต้น 299.99 ดอลลาร์ / 299.99 ยูโร ผ่านทาง Razer.com และศูนย์จำหน่าย RazerStore

อุปกรณ์ต่อพ่วง VR สำหรับ Meta Quest 2 เพื่อประสบการณ์ Virtual Reality ที่สมจริง

เรเซอร์ยังเผยโฉมอุปกรณ์ต่อพ่วง VR อีก 2 รุ่นสำหรับ Meta Quest 2 ได้แก่ Razer Adjustable Head Strap System และ Razer Facial Interface เพื่อยกระดับการเล่นเกม VR และเพิ่มความสะดวกสบาย ซึ่งทั้ง Razer Adjustable Head Strap System และ Razer Facial Interface ออกแบบสำหรับใช้งานกับ Meta Quest 2 โดยความร่วมมือระหว่างเรเซอร์และ ResMed ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าด้านมนุษยปัจจัย (Human Factors)

\

Razer Adjustable Head Strap System ถูกออกแบบมาให้สวมใส่สบาย ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานด้วยการสร้างสมดุลของน้ำหนักที่สอดรับกับศีรษะทุกรูปทรง ด้วยวัสดุไนลอนคุณภาพสูงที่มอบความทนทาน สวมใส่สบายและเชื่อถือได้ ทั้งยังช่วยประจายน้ำหนักให้รู้สึกสวมใส่ได้อย่างสมดุลในระหว่างการเล่นเกม แถบปรับขนาดที่นุ่มสบายจะช่วยให้เกมเมอร์สามารถสวมใส่ได้อย่างลงตัวและง่ายดายเพื่อลดการหยุดชะงักขณะเล่นเกมโปรด

ส่วน Razer Facial Interface ถูกพัฒนาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการรองรับที่สมบูรณ์แบบ ผลิตด้วยวัสดุเมมเบรนขึ้นรูปที่มีผิวสัมผัสบางละเอียด จึงช่วยลดแรงกดบนใบหน้า ทั้งยังเป็นวัสดุเกรดทางการแพทย์ อ่อนโยนไม่ทำให้เกิดอาการแพ้เพื่อลดอาการระคายเคืองผิว เมื่อสวมใส่จะสามารถปิดกั้นแสงได้ทั้งหมด แต่ยังสามารถระบายอากาศได้ดี ช่วยให้เกมเมอร์ดื่มด่ำกับประสบการณ์เกมมิ่งที่เหนือกว่า และยังใช้วัสดุพื้นผิวที่ไม่มีรอยต่อเพื่อให้ถูกสุขลักษณะและง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด ในขณะที่รูปทรงโค้ง 3 มิติช่วยสร้างสมดุลและรองรับได้อย่างสบายตลอดเวลาที่สวมใส่

อุปกรณ์ต่อพ่วง VR สำหรับ Meta Quest 2 ของเรเซอร์กำหนดวางจำหน่ายในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 และจะจัดจำหน่ายที่ภูมิภาคอื่น ๆ ในอนาคต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

นำเสนอนวัตกรรมใหม่ทั้งซาวด์บาร์รุ่นแรกของโลกรวมถึงโน้ตบุ๊ก Razer Blade รุ่นใหม่ที่ทรงพลังสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards

ซัมซุงกับความสำเร็จในการพัฒนาสตาร์ทอัพและโครงการมากกว่า 500 รายการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ซัมซุงประกาศเปิดนิทรรศการแสดงสุดยอดนวัตกรรมที่พัฒนาผ่านโครงการ C-Lab ในงาน CES 2023 ที่จัดขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป โดยซัมซุงวางแผนเปิดตัว 4 โครงการล่าสุดที่พัฒนาโดย C-Lab Inside ซึ่งเป็นโครงการเพื่อขับเคลื่อนองค์กร รวมไปถึงโครงการจากสตาร์ทอัพ 8 แห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab Outside ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมในการสนับสนุนสตาร์ทอัพในการคิดค้นนวัตกรรมไปสู่จุดหมาย โดยผู้เข้าชมสามารถเยี่ยชมโครงการนวัตกรรมได้ที่ Eureka Park ในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงหลักสำหรับสตาร์ทอัพมากมายจากทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 5-8 มกราคม 2566 ทั้งนี้สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในตลาดโลกด้วยการแสดงผลงานผ่านนิทรรศการ CES เพื่อเสริมสร้างความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และพบปะกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ

C-Lab Inside: โครงการ Metaverse และโครงการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์โดยพนักงานของซัมซุง พร้อมสู่เวทีโลก

ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ซัมซุงได้จัดงาน C-Lab Inside เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ CES โดยโครงการที่นำมาเสนอในปี 2566 เป็น 4 โครงการที่ได้รับการประเมินในระดับสูงทางด้านนวัตกรรมและความสามารถในการสร้างการเติบโตทางการตลาดได้ ดังนี้

• Meta-Running แพลตฟอร์ม metaverse เพื่อการเรียนรู้รูปแบบในการวิ่งที่เหมาะสม

• Porkamix แพลตฟอร์ม metaverse ที่จัดเตรียมงานคอนเสิร์ตในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ

• Soom ประสบการณ์การทำสมาธิพร้อมคำแนะนำแบบเรียลไทม์

• Falette การจำลองรูปแบบ 3D สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านที่ทำจากผ้าผ่านระบบดิจิทัล

C-Lab Outside: สตาร์ทอัพพร้อมโชว์ เทคโนโลยี AI และอีกมากมาย ฉายแสงสู้ในงาน CES

C-Lab Outside จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพในการพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวในวงการสตาร์ทอัพในประเทศเกาหลีใต้ สตาร์ทอัพที่ลงทะเบียนในโปรแกรม C-Lab Outside จะได้รับการจัดสรรพื้นที่สำนักงาน พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากพนักงานของ ซัมซุง รวมไปถึงการให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลและการเงิน การสนับสนุนเพิ่มเติมรวมไปถึงความร่วมมืออย่างมีศักยภาพกับ ซัมซุง และโอกาสในการเข้าร่วมนิทรรศการด้านไอทีที่ทรงอิทธิพล อย่าง CES และ KES (Korea Electronics Show)

ในปีที่ผ่านมา ซัมซุง Daegu Center และ Gyeong-buk Center for Creative Economy & Innovation ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของโครงการ C-Lab Outside ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพเหล่านี้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของตนและพร้อมที่จะแสดงผลงานในเวทีโลก ณ งาน CES 2023 โดย 8 สตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่

• NdotLight โซลูชันสำหรับงานออกแบบ 3 มิติผ่านเว็บไซต์

• NEUBILITY บริการจัดส่งในพื้นที่เมืองผ่านหุ่นยนต์ไร้คนขับ

• 40FY แอปพลิเคชันการให้การบริการดูแลสุขภาพจิต ตั้งแต่การประเมินไปสู่การรักษาผ่านระบบ

ดิจิทัล CELLICO การฝังดวงตาเทียมแบบอิเลคโทรนิคส์ สำหรับผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อม

• Plask ระบบ AI และเครื่องมือจับการเคลื่อนไหวและแก้ไขภาพเคลื่อนไหวผ่านเบราว์เซอร์

• Wrn Technologies บริการฝึกการเขียนและสร้างคอนเทนต์ผ่านเทคโนโลยี Generative AI

• Catius หุ่นยนต์ AI เพื่อนสนทนาโต้ตอบสำหรับเด็ก

• Erangtek เครื่องขยายสัญญาณในการควบคุมระบบ IoT ภายในบ้านเพื่อปรับปรุงคุณภาพ

สัญญาณโทรศัพท์

สตาร์ทอัพ C-Lab ทำลายสถิติคว้า 29 รางวัลจากงาน CES 2023 Innovation Awards

ในเดือนพฤศจิกายน 2022 สมาคม Consumer Technology Association (CTA) ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล CES 2023 Innovation Awards สำหรับผลิตภัณฑ์ใน 28 หมวดหมู่ รวมไปถึง Best of Innovation โดยโครงการจากสตาร์ทอัพของโครงการ C-Lab คว้ารางวัล Best of Innovation Awards ไปถึง 2 รางวัล และได้รับรางวัล Innovation Awards อีก 27 รางวัล ส่งผลให้ C-Lab ได้สร้างเกียรติประวัติให้ประเทศด้วยการคว้ารางวั ลInnovation Awards มากถึง 22 รางวัลในปี 2565 และอีก 7 รางวัลในปี 2566 สำหรับเทคโนโลยีที่โดดเด่น

ซัมซุงเผยถึงกุญแจแห่งความสำเร็จในการคว้ารางวัลอันมากมายจากเวที CES Innovation Award และการก้าวเข้าสู่ตลาดโลกโดย Hark Kyu Park ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า "เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก C-Lab ได้พิสูจน์ความสามารถทางเทคโนโลยีของตนในเวทีระดับโลก พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรมที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในงาน CES เราหวังว่าสตาร์ทอัพ C-Lab จะมุ่งมั่นในการบุกตลาดโลกอย่างแข็งขันมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของสตาร์ทอัพในเกาหลีใต้"

หนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นอย่าง Dot Inc. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำหรับผู้พิการทางสายตา ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2022 Best of Innovation Award ในหมวดความช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงระบบการทำงาน และยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัล CES Innovation Awards อีก 2 รางวัล

และบริษัท Verses ผู้พัฒนาระบบ Meta Music สำหรับการสตรีมได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ชนะรางวัล CES 2023 Best of Innovation Award ในหมวดการสตรีมอีกด้วย

ทั้งนี้ สตาร์อัพ 7 ใน 8 บริษัทที่ได้เข้าร่วมเปิดบูธในงานนิทรรศการ C-Lab ได้แก่ NEUBILITY, 40FY, NdotLight, CELLICO, Plask, Catius, และ Wrtn Technologies สามารถคว้ารางวัล Innovation Awards ในปีนี้ไปครอง

นอกจากนี้ สตาร์ทอัพที่แจ้งเกิดจาก C-Lab Inside ที่ปัจจุบันมีการดำเนินธุรกิจเป็นของตนเอง ได้คว้ารางวัลไปถึง 7 รายการ และสตาร์ทอัพศิษย์เก่าจาก C-Lab Outside 11 บริษัท ได้รับรางวัล Best of Innovation Awards จำนวน 2 รางวัล และรางวัล Innovation Awards จำนวน 20 รางวัล

ซัมซุงบรรลุเป้าหมายในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโปรเจ็กต์ 500 รายการในระยะเวลาเพียง 5 ปี

ในปี 2561 ซัมซุง ประกาศเป้าหมายในการพัฒนาสตาร์ทอัพเกาหลีใต้ 300 โครงการ ผ่าน โปรแกรม C-Lab Outside และ อีก 200 โครงการผ่าน C-Lab Inside โดยภายในระยะเวลา 5 ปี บริษัทมุ่งมั่นที่จะบ่มเพาะสตาร์ทอัพและโครงการทั้งหมด 506 รายการ (304 จาก C-Lab Outside และ 202 จาก C-Lab Inside)

นอกจากนี้ ซัมซุงได้จัดตั้งโครงการ C-Lab Family ซึ่งเป็นเครือข่ายมืออาชีพอันโดดเด่น จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรวมตัวของศิษย์เก่าสตาร์ทอัพที่ยินดีทำงานร่วมกับซัมซุงแม้ว่าจะจบการศึกษาจากโครงการ C-Lab Outside ไปแล้ว หรือปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจของตัวเอง นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง C-Lab Scale-Up Committee และวางแผนที่จะค่อยๆ ขยายความร่วมมือและการลงทุนสำหรับ C-Lab Family ในอนาคต

ซัมซุงนำเสนอวิสัยทัศน์ของโลกซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อยกระดับวิถีชีวิตของผู้บริโภค โดยมอบประสบการณ์ที่ฉลาดและเข้าใจง่ายกว่าที่เคย ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์โลกที่เชื่อมโยงกันและเอื้อต่อการควบคุมของผู้บริโภคบนโลกมากขึ้น

โดยซัมซุงและพันธมิตรทางธุรกิจรายสำคัญได้ขึ้นกล่าวร่วมกันในงานแถลงข่าวของซัมซุง ในงาน CES 2023 เพื่อนำเสนอการบริการและทิศทางต่างๆ ของซัมซุงและพันธมิตร ในการร่วมกันสร้างโลกที่เชื่อมโยงกันได้ดีกว่าเดิมและมีส่วนร่วมต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าที่เคย

 

นายจอง ฮี ฮาน, Vice Chairman, CEO and Head of the DX (Device eXperience) Division ของซัมซุงขึ้นกล่าวเปิดงานแถลงข่าวในงานนี้ โดยเน้นถึงกลยุทธ์ของซัมซุงที่ตั้งใจจะส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตบนโลกที่ทุกๆ อุปกรณ์ในพื้นที่หรือจุดสำคัญที่มีความจำเป็นกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น บ้าน รถ และสถานที่ทำงาน ซึ่งจะดำเนินไปพร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของซัมซุงที่จะมอบพลังการควบคุมให้กับผู้บริโภคบนโลกสามารถใช้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงกัน สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีกว่า เข้าถึงผู้บริโภคแต่ละคนได้มากกว่าและใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม โดยซัมซุงจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้อุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้การใช้งานเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมีความยั่งยืนมากขึ้น

นายจองกล่าวเพิ่มเติมว่า “ซัมซุงทราบดีว่าวิสัยทัศน์ของเราเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ และการเข้าใจความต้องการหรือความปรารถนาของผู้บริโภคในอนาคต ซัมซุงต้องใช้เวลารวมไปถึงความร่วมมือกับพันธมิตรของเราทั่วโลกเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์”

 

ซัมซุงผสานความยั่งยืนในทุกระดับ

ซัมซุงให้ความสำคัญสูงสุดกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดรับกับความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ โดยผสานเป้าหมายต่างๆ ด้านความยั่งยืน การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำหน้า และความร่วมมือเชิงกลยุทธเข้าด้วยกัน ตามแนวทางนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของซัมซุงจะใช้พลังงานไฟฟ้าในอัตราเท่ากับไฟฟ้าที่กำเนิดจากแหล่งพลังงานทดแทน รวมทั้งมีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยในอนาคตอันใกล้ แผนก DX จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่กำเนิดจากแหล่งพลังงานทดแทนทั้งหมดภายในปี 2027 รวมถึงการให้การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030

เพื่อขยายขอบเขตของเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน ซัมซุงยังนำเสนอคุณสมบัติต่างๆ ด้านความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้รับความนิยมของบริษัทฯ ภายในโครงการ “ความยั่งยืนในทุกวัน -Everyday Sustainability” อันจะช่วยให้ซัมซุงมีส่วนร่วมต่อการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสรรสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนมากขึ้นโดยใช้วัสดุที่ใช้พลังงานน้อยลงรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน

ความยั่งยืนที่ซัมซุงนำเสนอผ่านประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของซัมซุงนั้นส่งผลให้เราและผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของเราทั่วโลกมีส่วนร่วมต่อการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม” นาวสาวอิน ฮี ชุง รองประธาน Corporate Sustainability Center ของซัมซุงกล่าว “ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของซัมซุงจำนวนหนึ่ง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนสูงที่สุดของเรา

ซัมซุงยังประกาศว่าทีวีและสมาร์ทโฟนหลายรุ่น มีการใช้วัสดุรีไซเคิลในหลายจุด เช่น การใช้พลาสติกรีไซเคิลจากตาข่ายดักปลาที่เสื่อมสภาพแล้ว ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน หน่วยความจำ และชิปเซตสำหรับการรับสัญญาณ 5G ยังช่วยประหยัดพลังงานให้กับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น และบริการเครือข่ายต่างๆ เช่น SmartThings Energy และ AI Energy Mode ยังช่วยให้ผู้บริโภคลดต้นทุนด้านพลังงานไปพร้อมกับการลดผลกระทบต่อสภาวะอากาศ

ซัมซุงและพาทาโกเนีย ผู้นำของโลกด้านเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ยังขึ้นกล่าวบนเวทีพร้อมกันเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกันเพื่อลดปัญหาไมโครพลาสติก หรือพลาสติกขนาดเล็กที่มักพบในเสื้อผ้า และจะไหลลงสู่แหล่งน้ำผ่านกระบวนการซักรีด นายวินเซนต์ สแตนลีย์ ผู้อำนวยการด้านปรัชญาองค์กร (Director of Philosophy) ของพาทาโกเนีย กล่าวเกี่ยวกับแนวทางที่ทั้งสองบริษัทร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการซักผ้าชื่อ “เลส ไมโครไฟเบอร์ ไซเคิล (Less Microfiber Cycle1) ซึ่งมีให้ใช้งานแล้วในเครื่องซักผ้าของซัมซุง มีคุณสมบัติช่วยลดการปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำในกระบวนการซักรีดได้มากถึงร้อยละ 542 ซัมซุงและพาทาโกเนียยยังร่วมกันพัฒนาตัวกรอง เลส ไมโครไฟเบอร์ ฟิลเตอร์ (Less Microfiber Filter3) ซึ่งสามารถช่วยกรองไมโครพลาสติก ลดการปล่อยไมโครพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำเมื่อสิ้นสุดการซักผ้าได้

นายเจมส์ ควอน หัวหน้าผ่ายผลิตภัณฑ์, ENERGY STAR for Consumer Electronics at the U.S. Environmental Protection Agency (EPA) สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ยังประกาศว่า แพลตฟอร์ม SmartThings ที่ใช้เชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเข้าด้วยกันนั้นเป็นแพลตฟอร์ม Smart Home สำหรับผู้บริโภคแพลตฟอร์มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านพลังงาน ENERGY STAR SHEMS นอกจากนี้ ซัมซุงยังสานความร่วมมือด้านความยั่งยืนกับหลายภาคส่วน ทั้งการเข้าร่วมพันธมิตรคาร์บอนทรัสต์ และร่วมกับผู้นำทางเทคโนโลยีอีกหลายรายเพื่อพัฒนามาตรฐานกลางให้เป็นมาตรฐานแรกเริ่มของอุตสาหกรรมเพื่อวัด คำนวณค่า และอัตราการลดการปล่อยคาร์บอนจากอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ที่ผู้บริโภคในครัวเรือนใช้

บ้านที่เชื่อมโยง ชีวิตที่เชื่อมต่อ เพิ่มความสะดวกให้ชีวืตมากขึ้น

ซัมซุงยังกล่าวถึงรายละเอียดของแผนการที่จะมอบประสบการณ์การเชื่อมโยงทุกอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์แบบทั้งในวันนี้และในอนาคต โดย นางสาว แจ ยอน จุง Executive Vice President and Head of SmartThings นำเสนอความสะดวกสบายที่ผู้บริโภคจะได้รับผ่านประสบการณ์การเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงคุณสมบัติอย่าง SmartThings Home Monitorและ SmartThings Pet Care อันเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและแบ่งปันการแจ้งเตือนต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งผิดปกติทั้งต่อผู้อาศัยในบ้านและสัตว์เลี้ยง คุณสมบัติต่างๆ ที่สามารถสั่งการได้จากสมาร์ททีวีของซัมซุง ซัมซุงและ SmartThings จะช่วยมอบประสบการณ์บ้านที่อัจฉริยะมากขึ้นให้กับผู้บริโภค

หัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบ้านที่อัจฉริยะมากขึ้นนั้น ก็คือความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ซัมซุงหรืออุปกรณ์ที่ผลิตโดยพันธมิตรในอุตสาหกรรม ในขณะนี้ ผู้ผลิตต่างๆ ต่างมุ่งมั่นจะใช้มาตรฐานแมตเทอร์เป็นมาตรฐานกลางเพื่อความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ Smart Home ซึ่ง ซัมซุงได้ยึดมั่นแนวทางดังกล่าว โดย SmartThings ถือเป็นแพลตฟอร์มแรกๆ ที่รองรับมาตรฐานแมตเทอร์ และซัมซุงยังเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง กลุ่มพันธมิตรมาตรฐานการเชื่อมโยงอุปกรณ์ในบ้าน (HCA)

นอกจากนี้ ซัมซุงยังภูมิใจเสนอ SmartThings Station นวัตกรรม Smart Home ล่าสุดและเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของบริษัทที่รองรับมาตรฐานแมตเทอร์มาตั้งแต่ต้น SmartThings Station เป็นอุปกรณ์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เริ่มต้นการใช้งาน SmartThings ที่บ้าน และช่วยให้มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันได้ โดย SmartThings Station จะช่วยเปลี่ยนที่ประจุไฟแบบไร้สายของซัมซุงให้เป็น Smart Home Hub เรียกใช้คุณสมบัติต่างๆ เพื่อความสะดวกในบ้านได้เพียงแค่กดปุ่ม4

ความร่วมมือใหม่ๆ ยังเป็นหัวใจที่สำคัญของการสร้างประสบการณ์ Smart Home ที่ดียิ่งขึ้น ซัมซุงได้ขยายความร่วมมือกับ Philips Hue โดย นายแจสเปอร์ เวอร์วูต รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป Philips Hue กล่าวถึงวิธีการใหม่จะเชื่อมเนื้อหาต่างๆ จากสมาร์ททีวีของซัมซุงให้เข้ากับระบบไฟของ Philips Hue โดยใช้แอปที่ชื่อ Philips Hue Sync TV โดยสามารถดาวน์โหลดแอปนี้ได้จากสโตร์ในทีวีของซัมซุง และนี่เป็นโซลูชั่นแรกสำหรับการเชื่อมแสงไฟและเนื้อหาในทีวีของซัมซุงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์อื่น

เมื่อมีอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคย ซัมซุงจึงนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว อันจะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างอีโคซิสเต็มของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน ซัมซุงใช้โอกาสนี้ยกระดับประสบการณ์ด้านความปลอดภัยไปอีกขั้นด้วยโซลูชั่น Samsung Knox Matrix ที่พร้อมจะให้บริการในอนาคตอันใกล้ โซลูชั่นนี้จะช่วยเชื่อมต่อความปลอดภัยระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ปกป้องข้อมูลที่สำคัญด้วยระบบตรวจสอบร่วมกันหลายชั้น ที่จะทำงานอยู่บนรากฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชนส่วนตัว

 

ผู้บริโภคยังสามารถสัมผัสประสบการณ์การเชื่อมโยงนี้แม้ขณะเดินทาง โดย นายมาร์คุส ฟัตเทอร์ลีบ จาก Harman ได้ใช้โอกาสนี้นำเสนอแผนความร่วมมือระหว่างระหว่างซัมซุงกับ Harman เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ระบบต่างๆ ในห้องโดยสารรถยนต์ที่อัจฉริยะและสะดวกแบบเฉพาะบุคคล แกนหลักของแนวคิดนี้คือเทคโนโลยี Harman Ready Care ซึ่งใช้อัลกอรึธึมของการเรียนรู้เพื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ ของรถเพื่อวัดระดับความง่วงและการสูญเสียสมาธิ ก่อนจะดำเนินการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างสุขภาวะที่ดีขณะขับรถ

วิสัยทัศน์เพื่ออนาคต

ซัมซุงยังนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยียุคใหม่ที่อาศัยการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ล่าสุด อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรอบทิศ (Spatial AI) เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่นJet Bot AI+ นั้นถือเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประสบการณ์อัจฉริยะในบ้านที่ละเอียดถึงระดับมิติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

ซัมซุงยังเปิดตัวโหมดใหม่ของทีวีที่เรียกว่า “รีลูมิโน่โหมด (Relumino Mode) ซึ่งซัมซุงจะนำมาใช้ในทีวีกลุ่ม NEO QLED 8K และ 4K บางรุ่นที่จะออกจำหน่ายในปี 2023 นี้ เพื่อประสบการณ์ในการรับชมเนื้อหาต่างๆ ให้กับผู้ที่มีความบกพร่องด้านการมองเห็น

รีลูมิโน่โหมดจะช่วยเน้นเค้าโครง ยกระดับความต่างของแสงและสีสัน ให้เนื้อหาที่รับชมดูคมชัดและรับชมได้โดยง่ายขึ้น5 นอกจากนี้ ซัมซุงยังนำเสนอแว่นรีลูมิโน่ ซึ่งเคยเปิดตัวในงาน CES 2018 ในฐานะโครงการริเริ่มของ C-Lab รวมไปถึงแอปพลิเคชันของแว่นสำหรับอุปกรณ์มือถือที่เมื่อทำงานร่วมกันแล้วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมบนหน้าจอทุกแบบให้สนุกและเป็นแบบเฉพาะตัวมากขึ้น

 

นอกจากนี้ ในงาน CES 2023 ซัมซุงยังได้จัด Samsung VD First Look เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Odyssey, ViewFinity และ Smart Monitor เพื่อจุดประกายเทคโนโลยีจอภาพแห่งอนาคต รวมไปถึงก้าวสู่ยุคใหม่ของหน้าจอที่มีประสิทธิภาพอันทรงพลัง และการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ Neo QLED, MICRO LED และ Samsung OLED อีกทั้งยังมีงาน Samsung DA Bespoke Home Private Showcase เปิดตัว Bespoke Infinite Line ตู้เย็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผสมผสานดีไซน์เหนือกาลเวลาเข้ากับประสิทธิภาพขั้นสูงสุด อีกทั้งยังเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Bespoke ใหม่เพิ่มประสบการณ์ในห้องครัวที่เชื่อมต่อและปรับแต่งได้ตามสไตล์เฉพาะบุคคล รวมถึง SmartThings แอปพลิเคชั่นอัจฉริยะอีกด้วย

 

ลอรีอัล กรุ๊ป เปิดตัวเทคโนโลยีต้นแบบใหม่ 2 เทคโนโลยีซึ่งช่วยขยายช่องทางในการเข้าถึงการแสดงออกซึ่งความงาม

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click