×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ30 ปีตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจด้านถ่ายภาพแบบครบวงจรเปิดนิทรรศการภาพถ่าย “Power of Print ให้รูปนี้มีความหมาย” Global Photo Exhibition ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้บอกเล่าเรื่องราว สะท้อนภาพถ่ายที่สัมผัสได้ถึงพลัง มุมมองต่างๆ และกระตุ้นให้คนไทยรักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาเพราะรูปภาพคือการจดจำที่วิเศษสุดในทุกช่วงเวลาที่สวยงามและยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจถึงคุณค่าของภาพถ่ายซึ่งนิทรรศการ Power of Print ได้รวบรวมผลงานภาพถ่ายของศิลปิน ดารา เซเลบริตี้ ที่มีชื่อเสียง ช่างภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย และผู้ที่รักการถ่ายภาพมาถ่ายทอดผลงานผ่านภาพถ่าย มากกว่า5,000 ภาพสร้างปรากฏการณ์พลังแห่งภาพถ่ายในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของฟูจิฟิล์มประเทศไทยที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่หลงใหลการถ่ายภาพได้แสดงผลงานของตัวเองผ่านนิทรรศภาพถ่ายในครั้งนี้

มร.ซึโตมุ วาตะนาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์มได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับด้านการถ่ายภาพ เป็นเวลามากกว่า 80 ปี ซึ่งเริ่มผลิตฟิล์ม กระดาษอัดภาพ และอุปกรณ์เพื่อการถ่ายภาพในญี่ปุ่นมานานภายใต้สโลแกน ของบริษัท “Value from Innovation” นวัตกรรมอันทรงคุณค่า ซึ่งหมายความว่า ฟูจิฟิล์ม ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง พัฒนาสินค้าและบริการที่ดีที่สุดสู่ผู้บริโภคมาโดยตลอด  พร้อมการรองรับตลาดและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   ดังนั้นนวัตกรรมการพัฒนาทางด้านดิจิตอลปริ้นท์ติ้งของฟูจิฟิล์ม จึงดำเนินตามปรัญญา Culture of Photography” ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟูจิฟิล์ม  และถ่ายทอดถึง “รูปภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสามารถสะท้อนถึงวัฒนธรรมของมนุษย์ และรูปภาพคือการจดจำที่วิเศษสุดในทุกช่วงเวลาที่สวยงามและดีเยี่ยมในชีวิต” โดยที่บริษัทฟูจิฟิล์มประเทศญี่ปุ่นได้ส่งเสริมการปริ้นท์ติ้ง จัดนิทรรศการ Global Photo Exhibition ระดับโลก และจัดนิทรรศการภาพถ่ายขึ้นที่หลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เยอรมัน อเมริกา แคนาดา สเปน มาเลเซีย ในปีที่แล้ว และปีนี้ สำหรับประเทศไทย ได้จัดนิทรรศการภาพถ่าย “Power of Print ให้รูปนี้มีความหมาย” นี้เป็นครั้งแรก  ในช่วงวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ โดยได้รับเกียรติจากศิลปินดารา เซเลบริตี้ ที่มีชื่อเสียงช่างภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทยและผู้ที่สนใจเรื่องการถ่ายภาพส่งภาพมาแสดงนิทรรศการ มาร่วมใจกันถ่ายทอดเรื่องราวที่แตกต่างอย่างมีศิลปะ สะท้อนมุมมองที่หลากหลายผ่านภาพถ่ายจำนวนมากกว่า5,000 ภาพที่สัมผัสได้ถึงพลังและความรู้สึก กระตุ้นให้คนไทยรักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ แทนความประทับใจ และความทรงจำซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

นางสาวสภารัตน์ ประดิษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด แผนกโฟโต้อิมเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การจัดนิทรรศการภาพถ่ายในครั้งนี้ เราได้เปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจเพียงนำรูปถ่ายที่คุณชื่นชอบ ภายใต้ความหมาย Power of Print โดยสามารถใช้กล้องดิจิตอลยี่ห้อใดก็ได้นำภาพไปปริ้นท์ลงบนกระดาษสีฟูจิฟิล์ม ขนาด 8x10 นิ้วหรือ8x12 นิ้วที่ร้าน Wonder Photo Shop, ร้าน FUJIFILM Photo Station(FPS) และร้านอัดรูปที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ซึ่งได้รวบรวมผลงานจากผู้ที่สนใจ มานำเสนอผ่านงาน Photo Exhibition โดยเริ่มเปิดรับภาพตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561- 13 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

โดยมีเป้าหมายให้คนไทยกลับมารักการปริ้นท์ภาพเพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ แทนความประทับใจและความทรงจำกันมากขึ้น เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมShare ภาพผ่าน Social Mediaเท่านั้น แต่ถ้าเราได้ปริ้นท์ภาพเก็บไว้ยังสามารถนำภาพมาชื่นชม และรำลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ประทับใจ ซึ่งถือว่าเป็นการบันทึกความทรงจำที่ควรจะเก็บรักษาไว้

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ฟูจิฟิล์มในประเทศไทยได้จัดขึ้น โดยจัดบนเนื้อที่กว่า 1,800 ตารางเมตร ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อแสดงถึงพลัง การสร้างแรงบันดาลใจให้คนหันกลับมารักการปริ้นท์ภาพมากขึ้น และกระตุ้นให้ตลาดการปริ้นท์ภาพกลับมาคึกคักอีกครั้งนิทรรศการภาพถ่ายนี้ได้รวบรวมผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศมาจัดแสดงมากมาย อาทิอาจารย์วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) ปี 2552 ดร.สงคราม โพธิ์วิไล ศิลปินนักถ่ายภาพไทย/ผู้ทรงคุณวุฒิทางการถ่ายภาพไทย คุณอิสระ เสมือนโพธิ์, คุณธาดา วารีช  รวมไปถึงนักแสดงชื่อดังอย่างคุณเจมส์ จิรายุ,คุณซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, คุณแป้งโกะ จินตนัดดา, คุณอนันดา  เอเวอริ่งแฮม, คุณปั๊ป โปเตโต้ และศิลปิน BNK48 อื่นๆ อีกมากมายได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงในครั้งนี้ด้วยรวมไปถึงภาพ Top 100 Celebrity Selection ที่ให้เหล่าเซเลบริตี้ คนดังช่วยกันคัดเลือกภาพ 100 ภาพ ที่ให้พลังและสร้างแรงบันดาลใจมาจัดนิทรรศการอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมายตลอด 4 วันอาทิเช่นGFX workshopจากช่างภาพแฟชั่นมืออาชีพ คุณจอร์จ ธาดา และ Couple Portrait จากคุณโอ๊ต ชัยสิทธิ์ ร่วมพูดคุย สนุกกับการถ่ายภาพ Instax กับ คุณเมทัล  และ คุณกุ๊บกิ๊บ(สุมณทิพย์)  และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังอย่างวง Scrubb, BNK48 และ POTATO พร้อมกันนี้ ยังมีกิจกรรมถ่ายภาพ Fujifilm Photo Charity ที่เชิญชวนให้ทุกท่านได้ถ่ายภาพ เป็นการกุศล โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปบริจาคสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และมูลนิธิเล็ทส์ บีฮีโร่ (Let’s be Heroes) ของคุณหมอเจี๊ยบ ลลนา  สามารถเข้าชมนิทรรศการแสดงผลงานภาพถ่าย ได้ตั้งแต่วันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้บริษัทฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02-270-6000 ต่อ463 หรือ www.fujifilm-th.com/PowerofPrint

เอปสัน ประเทศไทย เปิดเกมรุกธุรกิจกระดานใหม่ ชู 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล มุ่งสร้าง รายได้เติบโตต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2561 ของบริษัทฯ ว่า “ถึงแม้ตลาดไอทีโดยรวมของประเทศในปีที่ผ่านมาจะมีอัตราการเติบโตถดถอยลงอยู่ที่ -3% แต่ เอปสันยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตทางธุรกิจไว้ได้อยู่ที่ 5% โดยที่กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ยังคงทำผลงานได้ดี สามารถสร้างการเติบโตได้ทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณของบริษัทฯ (31 มีนาคม 2562) ผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% ซึ่งมีโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงเป็นกลุ่มที่เติบโตมากที่สุด ขณะที่พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้น 6% โดยที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ และอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขยายตัวขึ้น 5% โดยมาจากพรินเตอร์แท็งค์แท้ หรือ EcoTank เป็นหลัก”

“ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเอปสันในตลาดประเทศไทยมาจากการที่บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและ ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำเสนอความคุ้มค่าในการลงทุนที่ดียิ่งขึ้นต่อลูกค้า รวมถึงมีความต่อเนื่องในการออก ผลิตภัณฑ์ใหม่และทำตลาดเพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การเปิดตัวพรินเตอร์ความเร็วสูงเพื่อรองรับงาน พิมพ์สิ่งทอระดับโรงงานอุตสาหกรรม อย่าง SureColor F9330 หรือเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง ในระดับ 6,000-15,000 ลูเมน ที่เน้นเจาะกลุ่มธุรกิจบันเทิงและการจัดงานอีเวนท์เอาท์ดอร์ รวมทั้งกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ความเร็วสูงรุ่น WF-C869R สำหรับเอสเอ็มอีที่ใช้เทคโนโลยีหัวพิมพ์รุ่นล่าสุดของเอปสัน PrecisionCore และระบบ หมึก RIPs (Replaceable Ink Pack) ชุดหมึกที่ถอดเปลี่ยนได้สามารถรองรับการพิมพ์ปริมาณสูงถึง 86,000 แผ่น”

“ส่วนตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯ ดูแลอยู่ ได้แก่ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และปากีสถาน มีอัตราการเติบโตโดยรวม  6% โดยมีปัจจัยจากการที่บริษัทฯ ได้ป้อนผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ EcoTank ทั้ง L-Series และ M-Series เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโซโหและเอสเอ็มอี รวมถึงทำการ ตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อแย่งมาร์เก็ตแชร์จากเลเซอร์พรินเตอร์ นอกจากนี้ ยังได้นำโปรเจคเตอร์ความสว่างสูง เข้าไปทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าในธุรกิจบันเทิงและสถาบันศึกษาที่กำลังขยายตัวอย่างมาก โดยชูจุดเด่นด้านความ ทนทานและคุณภาพที่ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งทำให้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”

นายยรรยง กล่าวต่อว่า “หลังจากที่สร้างความสำเร็จขึ้นมาจากดอทเมทริกซ์พรินเตอร์เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว จนกลาย เป็นแบรนด์เดียวที่มีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 90% ต่อมาบริษัทฯ ได้นำผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์ 3LCD เข้ามาทำตลาดจนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเมื่อ 9 ปีก่อน บริษัทฯ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ กับวงการพรินเตอร์ด้วยการเปิดตัวพรินเตอร์แท็งค์แท้รุ่นแรกของโลก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากจนสามารถ เข้าไปแทนที่อิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบใช้ตลับหมึกและเลเซอร์พรินเตอร์ได้ในหลายตลาด จนทำให้เอปสันได้กลาย เป็นเจ้าตลาดมาจนถึงทุกวันนี้  ในช่วงเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงหลายรุ่น โดยเน้น จุดขายที่คุณภาพของภาพฉาย ความทนทาน ความประหยัด และฟังก์ชั่นที่ครบครัน พร้อมตอกย้ำความมั่นใจของ ลูกค้าด้วยตำแหน่งโปรเจคเตอร์ที่มียอดขายสูงสุดในโลกติดต่อกันถึง 17 ปีซ้อน ในวันนี้ เอปสัน ประเทศไทยกำลัง ก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ของวงจรธุรกิจ หรือ S-Curve ใหม่​ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกไม่น้อยกว่า 5 ปี โดย จะเน้นที่การสร้างตลาดและขยายฐานลูกค้าให้กับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทฯ ได้แก่ อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง และหุ่นยนต์แขนกล ซึ่งล้วน แต่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว และเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มลูกค้า องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม”

“ในช่วงแรกของการสร้าง S-Curve ใหม่ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5% สำหรับประเทศไทย และ 10% สำหรับ ตลาดต่างประเทศ ซึ่งในปี 2562 นี้ ยังมีปัจจัยอีกมากที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองหลังการ เลือกตั้งในประเทศ หรือปัจจัยภายนอก อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐจีนและเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินเกิดความผันผวน ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจอยู่ ไม่ว่า จะเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ของรัฐบาล กระแส การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีด้านการผลิตและการปฏิบัติงานสู่ระบบดิจิทัล รวมไปถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น นอกจากนี้ ในหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม ยังเกิดกระแสความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ  บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตใน S-Curve ใหม่นี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อผลักดัน S-Curve ใหม่นี้ไว้ 4 ด้าน ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ ช่องทางจัดจำหน่าย และการสื่อสารการตลาด”

สำหรับกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ เอปสัน ประเทศไทยมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาทำ ตลาดมากขึ้น โดยในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูง บริษัทฯ จะทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ครบทั้งไลน์อัพ เพื่อตอบ โจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่เอสเอ็มอี โซโห ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายที่จะ เข้าไปแทนที่การใช้งานเลเซอร์พรินเตอร์ ซึ่งอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงของเอปสันในปัจจุบันถูกพัฒนาให้ก้าว ข้ามเลเซอร์พรินเตอร์ไปแล้ว ทั้งด้านคุณภาพงานพิมพ์ที่ดีเยี่ยม การใช้พลังงานที่น้อยกว่า การดูแลรักษาที่ง่ายและ ประหยัดกว่า ทั้งยังเป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับกลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายรุ่น ทั้งในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ อุตสาหกรรมสิ่งทอ หรืองานพิมพ์ป้ายโฆษณาทั้ง ภายในและภายนอกอาคาร เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำและเติมเต็มความต้องการของตลาดที่ยังมีโอกาสอยู่อีกมาก เช่น เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมความเร็วสูง ที่สามารถพิมพ์ตรงลงบนผ้าม้วนได้ (Direct to Fabric หรือ DTF) ซึ่งเป็น เครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลที่รองรับการพิมพ์แบบออนดีมานด์ ทั้งยังใช้หมึกพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ผ้าได้หลายชนิด และยังช่วยลดการใช้สารเคมีและของเสียในการผลิตลายผ้าได้อย่างมาก เมื่อเทียบกับการผลิตลายผ้าแบบเดิม

ในขณะที่กลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ เอปสันยังคงให้ความสำคัญ เพราะต้องการรักษาตลาด และตำแหน่งอันดับหนึ่ง ของตลาดนี้ โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง 20,000 ลูเมน และเลเซอร์โปรเจคเตอร์ ความละเอียดระดับ 4K สำหรับหุ่นยนต์แขนกล ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำเข้ามาจะมีราคาถูกลงถึง 35% เพื่อรองรับ ตลาดการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็กสามารถนำหุ่นยนต์แขนกลเข้าไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิต รวมทั้งจะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถยกวัตถุหรือชิ้นงานที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้

ด้านกลยุทธ์ในการบริการ นายยรรยง ให้ข้อมูลว่า “การบริการหลังการขายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แยกจากการ ขายสินค้าไม่ได้ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญอย่างมากในการพัฒนา Service Excellence หรือความเป็นเลิศในการ บริการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความพึงพอใจในระดับสูงและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า บริษัทฯ ได้จัดตั้งหน่วยงาน พิเศษขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและพัฒนาการให้บริการ พร้อมติดตามผลการทำงานอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเพิ่มความรวด เร็วในการให้บริการซ่อมสินค้า โดยตั้งเป้า 90% จะซ่อมเสร็จภายใน 1-3 วัน นอกจากนี้ ยังมีแผนจะลงทุนขยาย ศูนย์บริการเพิ่มขึ้นจาก 154 แห่ง เป็น 170 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในการให้บริการมากยิ่งขึ้น ทั้งยัง จะเพิ่มจำนวนจุดรับสินค้าหรือดรอปพอยท์ในบางจังหวัดโดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงพัฒนาระบบการ บริหารจัดการและจัดส่งชิ้นส่วนอะไหล่ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น”

“นอกจากนี้ยังมีแผนสำหรับการให้บริการลูกค้าองค์กรที่ซื้อผลิตภัณฑ์ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง และหุ่นยนต์แขนกล ให้มีบริการดูแลเครื่องถึงสำนักงานของลูกค้าทุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงยังมีทีมงานพิเศษ เพื่อมอนิเตอร์ การทำงานของเครื่องหรือมีเครื่องสำรองให้ใช้งานแทนในกรณีที่เครื่องลูกค้าที่ใช้งานอยู่เกิดปัญหาขึ้น”

“เอปสันยังลงทุนเพิ่มเติมในส่วนระบบการวิเคราะห์ประมวลผล สำหรับงานด้าน CRM ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลและ ความรู้ด้านต่างๆ จากลูกค้ามาช่วยพัฒนาระบบการให้บริการ ตั้งแต่ Call Center การจัดการฐานข้อมูลสินค้าและ การใช้งาน การบริหารศูนย์บริการและทีมงานบริการนอกสถานที่ รวมถึงฐานข้อมูลการรับประกันสินค้า เพื่อสร้าง ประสบการณ์การใช้งานสินค้าและการบริการหลังการขายที่ดีให้กับลูกค้า” นายยรรยง กล่าว

ด้านกลยุทธ์สำหรับช่องทางจำหน่ายสินค้า ในปีนี้เอปสันจะทำการเพิ่มจำนวน Epson Authorized Partner (EAP) สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์เป็น 170 รายทั่วประเทศ กลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และ อุตสาหกรรมเป็น 13 ราย และกลุ่มหุ่นยนต์แขนกลเป็น 10 ราย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเจาะเข้าตลาดใหม่ๆ ได้

สำหรับกลยุทธ์ทางการสื่อสารการตลาด จะมุ่งเน้นด้านการผสมผสานเครื่องมือการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าทำ Technology Showcase เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีในกลุ่มต่างๆ ผ่านอีเวนท์ที่สามารถสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับ ลูกค้า โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในภาคธุรกิจและภาครัฐ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เอปสันได้ร่วมกับจังหวัดสุโขทัย ในการจัดแสดงแสงเสียงงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ โดยนำเลเซอร์โปรเจคเตอร์รุ่น EB-L25000U ที่มีความสว่างสูงถึง 25,000 ลูเมน ไปจัดแสดงเทคนิค Projection Mapping

“การสร้าง S-Curve ใหม่ทางธุรกิจในปีนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีของบริษัทฯ เพราะเอปสันมีผลิตภัณฑ์ครบทุกไลน์ และมี จำนวนรุ่นมากเพียงพอที่จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเอปสันยังเป็นบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีเอง จึงสามารถ พัฒนาเทคโนโลยีในแต่ละด้านให้ทันสมัย นำหน้าความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และมีสินค้าใหม่ๆ ป้อนเข้าสู่ ตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วง ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่มใน S-Curve ใหม่นี้ล้วนแต่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยและได้รับ ความมั่นใจจากลูกค้าในหลากหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยอยู่แล้ว เอปสัน ประเทศไทยจึง เชื่อมั่นว่า S-Curve ใหม่นี้จะไม่เพียงแต่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีได้ แต่ยังจะทำให้มิติทาง ธุรกิจของเอปสันในประเทศไทยกว้างออกไป และแบรนด์ของเอปสันจะเติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย” นายยรรยง ทิ้งท้าย

กระเป๋าสาน ซึ่งเป็นแฟชั่นสุดคลาสสิดที่ยังคงความเป็นไอเทมฮิตที่ไม่ว่าวัยไหนๆก็ยังถือกันด้วยรูปทรงและดีไซน์หลากรูปแบบ ที่ทำให้สามารถเลือกใช้ได้ในหลายโอกาส นอกจากจะเป็นไอเทมที่มีประโยช์นมากแล้ว กระเป๋าสานยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตได้อย่างต่อเนื่องมานานหลายปี

นางอุบลวรรณา แป้นดวง ผู้ซึ่งเป็น ประธานกลุ่มสตรีสหกรณ์การเกษตรศุภนิมิตร .ชะอวด ใน .นครศรีธรรมราช ได้กล่าวว่าการทำกระเป๋าสานนั้นเป็นสินค้าหัตถกรรมที่คนในชุมชนสืบทอดวัฒนธรรมต่อกันมานับสิบปี และหลังการที่เริ่มมีการส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์ไทย ทำให้มีรายได้เติบโตขึ้นถึง 20% ภายใน 2 ปี หรือคิดเป็นรายได้ถึง 100,000 บาทต่อเดือน หลังจากที่ กลุ่มสตรีสหกรณ์การเกษตรศุภนิมิตร เข้าร่วมกับโครงการ ไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง  ของไปรษณีย์  ทางกลุ่มสตรีก็ได้รับการสนับสนุนในหลายๆทาง เช่น ช่องทางการส่งสินค้า การจำหน่ายที่กว้างขึ้น ทั้งออนไลน์และออฟไลฟ์ อาทิ ที่ทำการไปรษณีย์ ระบบอีคอมเมิร์ซชุมชน และเว็บไซต์ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาตลอดทั้งปี โดยทุกๆ สัปดาห์ต้องผลิตเป็นจำนวนกว่า 2,000 - 3,000 ชิ้น

ส่วนทางด้าน นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตคนไทยในทุกชุมชนและทางไปรษณีย์ไทยต้องการที่จะสนับสนุนองค์ความรู้ และช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ และรายได้กลับคืนสู่ชุมชน ด้วยการดำเนินงานโครงการ “ไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” โดยที่ทุกๆชุมชนจะได้การสนับสนุนในการส่งขายสินค้าผ่านไปรษณีย์ไทย 5,000 แห่ง และบุคลากรคุณภาพของไปรษณีย์ไทยกว่า 30,000 ชีวิต ที่คอยสนับสนุนและอยู่เคียงข้างทุกชุมชนอย่างแข็งขัน

สำหรับผู้สนใจ กระเป๋าสานกระจูดดีไซน์เก๋ จากกลุ่มสตรีสหกรณ์การเกษตรศุภนิมิตร อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานโครงการไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง สามารถสั่งซื้อได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่ หรือเว็บไซต์และแอปพลิเคชันไทยแลนด์ โพสต์มาร์ท (www.thailandpostmart.com) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทาง callcenter ของ ไปรษณีย์ไทย THP Contact Center 1545 และ เว็บไซต์ www.thailandpost.co.th

บริษัทฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี เปิดตัว Global Campaign “NEVER STOP” ตอกย้ำสร้าง Branding ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเติบโตทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดั่งสโลแกน “FUJIFLIM Value from Innovation” โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งไม่มีเพียงกลุ่มสินค้าทางด้านการถ่ายภาพเท่านั้น ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าทางด้านการดูแลสุขภาพและเครื่องมือทางการแพทย์ (Medical System) โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อมารองรับความต้องการของผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

 

 

โดยเฉพาะงาน Photo Fair 2018 งานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการถ่ายภาพ สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางด้านกล้องดิจิตอล โดยทำการเปิดตัว กล้องFUJIFILM GFX50R กล้อง Medium Format ภายใต้ Concept Passion Never Stop อีกกลุ่มหนึ่งผลิตภัณฑ์ไฮไลท์คือ Instax BNK48 Limited Edition โดยมีสมาชิก BNK48 ทั้ง11 คน ร่วมเป็นBrand Ambassador พร้อมด้วย กล้อง Hybrid Instax SQUARE SQ20 สามารถ่ายภาพเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกในกล้องอินแสตนท์ นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์มยังประกาศเป็นผู้นำทางด้านพริ้นท์ติ้ง ขยายธุรกิจการปรับเปลี่ยนร้านแล็บสีในรูปแบบใหม่ชื่อ “ฟูจิฟิล์ม โฟโต้สเตชั่น” หรือ FPS เป็นแฟลกชิพสโตร์ต้นแบบของร้านแล็บสีที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิตอล ปิดท้ายด้วยแคมเปญ ฟูจิฟิล์มฉลองครบรอบ 30 ปีในประเทศไทย ในปีหน้านี้จัดนิทรรศการภาพถ่ายครั้งยิ่งใหญ่สุดในเมืองไทย Photo Exhibition “Power of Print” ปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ภาพถ่ายของคุณจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการที่สร้างพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งหมดนี้จะนำมาจัดแสดงในงาน Photo Fair2018 ภายใต้ concept “Never Stop”

 

 

มร.ชิโตมุ วาตะนาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์มเปิดตัวGlobal Campaign “NEVER STOP” หัวใจหลักแคมเปญนี้คือการตอกย้ำสร้าง Branding ของฟูจิฟิล์มให้ดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจของฟูจิฟิล์ม โดยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เพียงกลุ่มสินค้าทางด้านการถ่ายภาพเท่านั้น ยังรวมไปถึงกลุ่มสินค้าทางด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care) และเครื่องมือทางการแพทย์ (Medical System) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอกย้ำแสดงให้เห็นว่าฟูจิฟิล์ม มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรม และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง ดั่งสโลแกน “FUJIFILM Value from Innovation”

 

 

และในโอกาสที่ ฟูจิฟิล์มฉลองครบรอบ 30 ปี ในปีหน้านี้เราได้จัดแคมเปญ นิทรรศการถ่ายภาพที่ใหญ่ที่สุดและเป็นครั้งแรกในประเทศไทย Photo Exhibition ภายใต้แนวคิด “Power of Print” ให้รูปมีความหมาย เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ภาพถ่ายของคุณจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการที่สร้างพลังครั้งยิ่งใหญ่สุด เพื่อสะท้อนภาพถ่ายที่สัมผัสได้ถึงพลัง และยังคงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจถึงคุณค่าของการบันทึกความทรงจำผ่านภาพถ่าย ในแคมเปญนี้ เราได้ Brand Ambassador คือ คุณแป้งโกะ จินตนัดดา ลัมมะกานนท์ นักร้อง นักแสดงมาร่วมส่งภาพที่มีพลังในนิทรรศการครั้งนี้ เพียงนำรูปถ่ายที่คุณชื่นชอบที่สื่อถึงพลัง Power of Printที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลยี่ห้ออะไรก็ได้ กล้อง Instaxหรือภาพจากมือถือ นำภาพไปพริ้นท์ลงบนกระดาษสีฟูจิฟิล์ม ขนาด 8x10 นิ้ว และ 8x12 นิ้วที่ร้าน Wonder Photo Shop, FUJIFLIM Photo Station หรือร้านอัดภาพที่ร่วมรายการภาพของคุณเป็น 1 ใน 5,000 ภาพกับนิทรรศการครั้งนี้ เปิดรับภาพตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 – 13 มกราคม 2562 จัดแสดงภาพถ่าย Photo Exhibition “Power of Print” จะจัดขึ้นในวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายวาตานะเบ้ กล่าว

 

 

ฟูจิฟิล์มไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน ภายใต้แนวคิดNever Stopยืนยันในความเป็นผู้นำที่ไม่เคยหยุดยั้งตลอดเวลา

บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด (CMG) ผู้นำเข้านาฬิกา CASIO G-SHOCK อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เผยโฉมนาฬิกาไฮไลท์ 4 รุ่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ GMW-B5000KL (Full Metal x kolor), MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA”, GRAVITYMASTER GR-B100 และ PRO TREK WSD-F20A พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ณ งาน ‘เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018’ เซ็นทรัล ชิดลม มหกรรมเรือนเวลาแห่งภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 20 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 

เริ่มต้นความพิเศษในงานด้วยนาฬิกา GMW-B5000KL (Full Metal x kolor) นาฬิกาจาก G-SHOCK 5000 Series รุ่น Full Metal ใหม่ล่าสุด ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ด้วยตัวเรือนที่ทำจากวัสดุแสตนเลสสตีล และหน้าปัดเหลี่ยมทรงคลาสสิคที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาต้นแบบรุ่น ORIGINS ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1983 พร้อมดีไซน์สไตล์สตรีท ลักซ์ชัวรี่ ที่เท่ห์แบบไร้กาลเวลา

นาฬิกา GMW-B5000KL (Full Metal x kolor) เป็นรุ่นพิเศษที่พัฒนาขึ้นร่วมกับ kolor แบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากแดนญี่ปุ่น โดยผลิตเพียง 700 เรือนทั่วโลกเท่านั้น โดดเด่นด้วยด้วยตัวเรือนและองค์ประกอบสีทอง ที่ตัดกันอย่างลงตัวกับสายเรซิ่นสีดำ ให้อารมณ์ความหรูหราและสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ kolor ที่เป็นที่รู้จักในด้านการใช้วัสดุที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ นาฬิกา GMW-B5000KL ยังมาพร้อมกับความพิเศษด้วยอักษรสลัก G-SHOCK 35th anniversary บนฝาหลังตัวเรือนและสลักโลโก้ kolor บนที่เก็บสายนาฬิกาอีกด้วย 

ในแง่ของคุณสมบัติ GMW-B5000KL เสริมฟังก์ชั่น Connected Engine ที่เชื่อมต่อเวลาเซิร์ฟเวอร์กลางผ่านทางสมาร์ทโฟนและสัญญาณวิทยุเวลา โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อนาฬิการุ่นนี้ผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected บนสมาร์ทโฟน ให้สามารถใช้งานได้สะดวกและง่ายต่อการตั้งค่ายิ่งขึ้น เช่น การตั้งเวลามาตรฐานโลกและฟังก์ชั่นตั้งปลุก เป็นต้น ทั้งยังให้ความเที่ยงตรงเหมาะสำหรับทุกการใช้งานทั่วทุกมุมโลก

GMW-B5000KL (Full Metal x kolor)

 

รุ่นไฮไลท์อีกรุ่นที่พลาดไม่ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิของ G-SHOCK ได้แก่ MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA” ที่ส่งตรงจากงานนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก “บาเซิลเวิลด์ 2018” (Baselworld 2018) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ MRG-G2000HA เป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาตระกูลกันกระแทกอันโด่งดัง MR-G (Majesty Reality G-SHOCK) ด้วยแรงบันดาลใจและชื่อรุ่นจาก tetsu-tsuba ("การ์ดมือเหล็กซามูไร") ที่สร้างขึ้นจากฝีมือและความปราณีตของช่างดาบญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยนาฬิกา G-SHOCK MRG-G2000HA Limited Edition ได้ถูกผลิตมาเพียง 350 เรือนทั่วโลก และประเทศไทยได้นำเข้ามาให้สาวก G-SHOCK ได้ครอบครองเพียง 5 เรือนเท่านั้น

MRG-G2000HA ใช้เทคนิคการลงสีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ผสมผสานกับเทคนิคการเคลือบ AIP® (Arc Ion Plating) แบบใหม่ ที่ช่วยดึงความสวยงามของโลหะสีม่วงเข้ม ‘มูราซากิ-กาเนะ (Murasaki-gane) และวัสดุทองแดง ‘ซูอากะ' (Suaka) ที่ใช้ในงานหัตถกรรมญี่ปุ่น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างและสง่างาม ตัวนาฬิกาเสริมด้วยโมดูล Connected Engine 3-Way ซึ่งเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่ออัพเดตข้อมูลของนาฬิกาโดยอัตโนมัติ รวมถึงเวลา เวลาออมแสง (DST) และการเปลี่ยนแปลงโซนเวลา ซึ่ง MRG-G2000HA เป็นนาฬิกา MR-G ที่สามารถผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ากับสุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่นได้อย่างสวยงามและลงตัวอย่างไร้ที่ติ 

นอกจาก MRG-G2000HA แล้ว ภายในงาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018  G-SHOCK ยังได้นำอีกหนึ่งรุ่นจากซีรี่ยส์ MR-G มาจัดแสดง ได้แก่รุ่น MRG-G2000CB ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘คูโรโซเนะ’ (Kurozonae) หรือกองกำลังทหารพิเศษของญี่ปุ่นในสมัยโบราณ ซึ่งสวมใส่ ‘Black Guard’ หรือชุดเกราะสีดำ ถ่ายทอดออกมาเป็นนาฬิกา MRG-G2000HA ที่ทำด้วยโลหะสีดำล้วนทั้งเรือน สื่อถึงความแข็งแกร่งและอำนาจ พร้อมด้วยวัสดุ COBARION® อัลลอยโคบอลต์ที่พัฒนาในญี่ปุ่น แข็งแกร่งเป็นสองเท่าของสแตนเลสสตีล แต่ให้ประกายแวววาวเทียบเท่ากับแพลตทินัม และยังมีระบบ Bluetooth® และ GPS ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ควบคุมโดยคลื่นวิทยุ โดยทาง เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (CMG) ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเพียง 10 เรือนเท่านั้น

อีกหนึ่งรุ่นไฮไลท์ที่ออกแบบมาเพื่อนักบินและผู้ที่หลงใหลในการเดินทางโดยเฉพาะได้แก่ GRAVITYMASTER GR-B100 จากซีรี่ยส์ GRAVITYMASTER ที่ยึดถือหลักการสำคัญสำหรับอาชีพนักบินเป็นหลัก นั่นก็คือความเชื่อมั่นและการตรงต่อเวลา ด้วยระบบ Bluetooth® เพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สายสำหรับเวลาที่เที่ยงตรง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเวลาออมแสง หรือการเปลี่ยนแปลงเวลาในเขตต่างๆ ของโลก ทั้งนี้ นาฬิกา GR-B100 รุ่นใหม่ล่าสุดยังได้เสริมฟังก์ชั่นการนับถอยหลังเวลา ซึ่งให้คุณสามารถนับถอยหลังไปถึงวันและเวลาที่ระบุได้แม่นยำถึงวินาทีที่แน่นอน พร้อมกำหนดป้ายกำกับเหตุการณ์นั้นๆด้วย นอกจากนี้ นาฬิกา GR-B100 ยังมีฟังก์ชั่นบันทึกเที่ยวบินสำหรับการบันทึกข้อมูล เวลา และสถานที่ ด้วยความสามารถในการแสดงจุดที่ตั้งและเส้นทางการบินจากบนแผนที่ภายในแอพพลิเคชั่นได้

ในส่วนของการดีไซน์ นาฬิกา GR-B100 ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบหน้าปัดจากหน้าปัดของเกจ์ (Gauge) ต่างๆ ในค็อกพิทเครื่องบิน โดยเข็มชั่วโมง นาที และดัชนีได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมปุ่มด้านข้างหกปุ่มสำหรับการเรียกใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ อย่างสะดวกสบาย เหมาะแก่การใช้งานในชั่วโมงเร่งด่วนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หน้าปัดนาฬิกายังมีหน้าจอ LCD ความละเอียดสูงขนาดใหญ่ ซึ่งเอื้อต่อการอ่านข้อความและข้อมูลตัวเลข เช่น เวลาและป้ายกำกับเหตุการณ์ที่ป้อนจากภายในแอพพลิเคชัน

ทั้งนี้ GRAVITYMASTER GR-B100 มีให้เลือกถึง 3 รุ่น ได้แก่ GR-B100-1A2 สีฟ้า, GR-B100-1A3 สีเขียว และ GR-B100-1A4 สีส้ม  

GRAVITYMASTER GR-B100 ด้วย 3 สีอันโดดเด่น

 

นาฬิกาไฮไลท์รุ่นสุดท้ายจากเครือผลิตนาฬิกาชั้นนำ CASIO ที่ CMG ได้นำมาเปิดตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่แรกที่เดียว ณ งาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ได้แก่ PRO TREK Smart WSD-F20A นาฬิกาอัจฉริยะสำหรับกิจกรรมเอ้าท์ดอร์อย่างแท้จริง ด้วยความทนทานที่รับรองโดยมาตรฐานทหาร (US Military Standard) และหน้าจอ Dual-Layer ที่ให้คุณเลือกตั้งค่าระหว่างจอสีและจอขาว-ดำได้ เพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่ขณะผจญภัย นอกจากนี้ นาฬิกา PRO TREK Smart WSD-F20A รุ่นใหม่ยังใช้เทคโนโลยี GPS และแผนที่สีที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งสามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้ และถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่ที่ไม่มีบริการโทรศัพท์มือถือ โดดเด่นด้วยสีคราม Indigo Blue

PRO TREK Smart WSD-F20A

 

พิเศษสุด สำหรับงาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ลูกค้าที่ซื้อนาฬิกา MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA” จะได้รับบัตรกำนัลอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเซะ ฉบับต้นตำรับญี่ปุ่นแท้จำนวน 2 ท่าน จากร้าน GINZA SUSHI ICHI มูลค่า 11,770 บาท นอกจากนี้ ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ณ บูธ G-SHOCK จะมีกิจกรรมประเพณีชงชาญี่ปุ่นอันเก่าแก่ ‘ซะโด’ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านได้ลิ้มลองและร่วมสัมผัสอีกแง่มุมของ G-SHOCK ที่ผสมผสานความแม่นยำ เที่ยงตรง หล่อหลอมไปกับขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศญี่ปุ่นที่สวยงามและพิถีพิถันได้อย่างไม่มีที่ติ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ G-SHOCK รุ่น GMW-B5000KL (Full Metal x kolor), MRG-G2000HA “TETSU-TSUBA”, GRAVITYMASTER GR-B100 และ PRO TREK WSD-F20A รวมถึงนาฬิกา G-SHOCK รุ่นอื่นๆ สามารถเข้าชมได้ที่งาน เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2018 ณ เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 3 บูธ CASIO G-SHOCK ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2561 หรือผ่านทางเว็บไต์ www.casio-cmg.com และ Facebook: Casio Watches Thailand

 

Page 2 of 3
X

Right Click

No right click