×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7636

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

 การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดส่งมอบ AI PC และ GenAI Smartphone ทั่วโลกในปี 2567 รวมทั้งหมดประมาณ 295 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจาก 29 ล้านเครื่องในปี 2566

การ์ทเนอร์ให้นิยาม AI PC ว่าคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ติดตั้งหน่วยประมวลผลที่เป็นตัวเร่งความเร็วหรือแกนประมวลผล AI ไว้โดยเฉพาะ ได้แก่ หน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU), หน่วยประมวลผล Accelerated Processing Unit (APU) หรือหน่วยประมวลด้าน AI เฉพาะ อย่าง Tensor Processing Units (TPU) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเร่งการทำงานของปัญญาประดิษฐ์บนอุปกรณ์ เพื่อมอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้นในการจัดการปริมาณงานของ AI และ GenAI โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ภายนอกหรือบริการคลาวด์ต่าง ๆ

GenAI Smartphone ออกแบบมาพร้อมความสามารถด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถผสมผสานการทำงานได้อย่างราบรื่นและใช้งานฟีเจอร์รวมถึงแอปพลิเคชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย GenAI บนสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสมาร์ทโฟนในกลุ่มนี้สามารถใช้งานโมเดลพื้นฐานหรือโมเดล AI เวอร์ชั่นใหม่ ที่ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับท้องถิ่น สำหรับสร้างเนื้อหา กำหนดกลยุทธ์ แนวทางการออกแบบและวิธีการต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น Gemini Nano จาก Google, ERNIE จาก Baidu และ GPT-4 ของ OpenAI

นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การนำโปรเซสเซอร์ AI และความสามารถของ GenAI มาใช้อย่างรวดเร็วบนอุปกรณ์จะกลายเป็นข้อกำหนดมาตรฐานสำหรับผู้ขายเทคโนโลยีในท้ายที่สุด ก่อให้เกิดความท้าทายในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และทำให้การสร้างจุดขายให้เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการเพิ่มรายได้ยากขึ้น”

การ์ทเนอร์คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 ยอดจัดส่ง GenAI Smartphone จะอยู่ที่ประมาณ 240 ล้านเครื่อง ขณะที่ AI PC จะมียอดจัดส่งที่ 54.5 ล้านเครื่อง (ดูรูปที่ 1) คิดเป็นสัดส่วน 22% ของ Smartphone ในระดับพื้นฐานและพรีเมียม และ 22% ของ PC ทั้งหมดในปีนี้ ตามลำดับ

ภาพที่ 1. ส่วนแบ่งตลาด AI PC และ GenAI Smartphone ทั่วโลก ระหว่างปี 2566-2568

 

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กุมภาพันธ์ 2567)

การรวม AI เข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีจะยังไม่ใช่ปัจจัยหนุนปริมาณการใช้จ่ายของผู้ใช้ทั่วไปเกินกว่าการคาดการณ์ด้านราคาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ผู้ซื้อในกลุ่มธุรกิจต้องการเหตุผลที่น่าสนใจหรือดึงดูดกว่านี้เพื่อลงทุน อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จะต้องใช้เวลาควบคุมประสิทธิภาพของ On-Device AI และแสดงให้เห็นประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ตลาดพีซีกลับมาเติบโตอีกครั้งในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว หลังจากลดลงแปดไตรมาสติดต่อกัน การ์ทเนอร์คาดการณ์ยอดส่งมอบพีซีโดยรวมในปี 2567 อยู่ที่ 250.4 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2566 โดย On-Device AI จะทำให้กิจกรรมการตลาดของพีซีกลับมาคึกคักอีกครั้งตลอดทั้งปี 2567 และรักษาวงจรการเปลี่ยนเครื่องทดแทนตามที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน พร้อมกำจัดผลกระทบเชิงลบบางอย่างจากการดิสรัปของสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจสังคม

ตลาดสมาร์ทโฟนกลับมาเติบโตในปีนี้

เช่นเดียวกับ AI PC ที่ GenAI Smartphone จะไม่ช่วยกระตุ้นความต้องการสมาร์ทโฟนจนกว่าจะถึงปี 2570 “การเพิ่มประสิทธิภาพสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ จะเพิ่มประสบการณ์การใช้งานปัจจุบันด้วยการผสมผสานกล้องและเสียงไว้ด้วยกัน ซึ่งผู้ใช้มีความคาดหวังกับความสามารถเหล่านี้ มากกว่าฟังก์ชันการทำงานที่แปลกใหม่ โดยผู้ใช้มีความคาดหวังแบบเดียวกันต่อการทำงานของ GenAI บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา ซึ่งผู้บริโภคไม่

มีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับมือถือสมาร์ทโฟน GenAI เนื่องจากยังไม่มีแอปพลิเคชั่นแปลกใหม่ ที่ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น”

ปัจจัยเร่งการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของโมเดลดีปเลิร์นนิ่งภาษาขนาดใหญ่หรือ Large Language Model (LLM) ในเวอร์ชันที่เล็กกว่าและปรับแต่งมาเฉพาะสำหรับสมาร์ทโฟน โดยวิวัฒนาการนี้จะเปลี่ยนโฉมสมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเพื่อนคู่คิดที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อภาษาและภาพที่มนุษย์ใช้สื่อสาร ซึ่งยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ในภาพรวมไปอีกขั้น

ตลาดสมาร์ทโฟนบันทึกการเติบโตไตรมาสแรกไว้ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว หลังจากลดลงมาเก้าไตรมาสต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2567 ยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะเติบโตประมาณ 4.2% หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 1.2 พันล้านเครื่อง เมื่อเทียบเป็นรายปี “เราไม่ควรตีความการเติบโตของยอดขายสมาร์ทโฟนว่าเป็นการฟื้นตัวเต็มรูปแบบ มันจะชัดเจนกว่าหากมองว่ามันเป็นความคงที่ของตลาดในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งต่ำกว่าปี 2565 เกือบ 60 ล้านเครื่อง”

หลังจากสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาคไปเมื่อเร็วๆนี้ OnePlus เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ กับ “OnePlus 11 5G

ดีไซน์พรีเมียมสุดเรียบหรู ที่มากับสโลแกน “The Shape of Power” เร็ว แรง ทรงพลัง ชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมเทคโนโลยี ray-tracing แรมสูงสุด 16GB พิเศษด้วยนวัตกรรมใหม่ RAM-Vita เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ OxygenOS 13 มอบประสบการณ์สุดลื่นไหลกว่าเดิม ถ่ายภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องที่พัฒนากับ Hasselblad ยกระดับสีสมจริง ภาพสวยละมุนเหมือนถ่ายจากกล้องโปร ทรงพลังด้วยการชาร์จไวระดับไฮเอนด์ 100W SUPERVOOC เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ ราคา 29,990 บาท นอกจากนี้ยังเปิดตัว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Bus Pro 2 โดยผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมด เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้ววันนี้ และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้ เป็นต้นไป

 

ด้านความสุดยอด ประสบการณ์ความลื่นไหลไม่มีสะดุด รวดเร็ว และยาวนาน นายนที พิทักษ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส วันพลัส ประเทศไทย กล่าวถึงเรือธงล่าสุด “OnePlus 11 5G” ว่าสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ทำงานที่รวดเร็ว และราบรื่นผ่านประสิทธิภาพอันทรงพลังของแพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon® 8 Gen 2 ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในซีพียู 35% และจีพียู 25% ทั้งยังรองรับการเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์แบบเรียลไทม์ หรือ Ray Tracing รวมถึงมีการสร้างวอลเปเปอร์แบบไดนามิคสามมิติ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับเอฟเฟกต์เงา การสะท้อน การหักเหแสงที่สดใสและสมจริง ผ่านขั้นตอนการเลื่อน ปัด หรือคลิกบนโทรศัพท์ ได้อย่างครบครันบน OnePlus 11 5Gนอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาคู่กับแรม LPDDR5X 16GB และเทคโนโลยี RAM-Vita ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ถึง 44 แอปพลิเคชัน พร้อมมีระบบ 100W SUPERVOOC ให้การชาร์จอันรวดเร็ว ควบคู่กับแบตเตอรี่เซลล์คู่ขนาด 5000 mAh ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 1% ถึง 100% ในเวลาเพียง 25 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความอุ่นใจได้อย่างยาวนาน

 

OnePlus 11 5G สามารถให้ความเร็วที่ยาวนานและประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น จากการรับรองมาตรฐานโดย TÜV SÜD ในระดับ Fluency Rating A ใช้งานมือถือได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องแม้ผ่านไป 48 เดือน มีการรับรอง TÜV SÜD ด้านความแม่นยำและการสัมผัสในระดับ Precise Touching Rating S มีการรับรองจากหน่วยงานตรวจสอบอย่าง SGS ด้านการใช้งานที่ลื่นไหลระดับ Perceived Fluency A+ รวมถึงการรับรองจาก TÜV Rheinland ด้านการใช้และชาร์จอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ตัวแรกที่รองรับการอัปเดทระบบปฏิบัติการ OxygenOS ได้ถึง 4 เวอร์ชัน พร้อมการอัปเดทระบบความปลอดภัยครอบคลุมถึง 5 ปี

 

ทั้งนี้ OnePlus 11 5G ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชิพเซต Snapdragon® 8 Gen 2 เครื่องแรกที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องหมาย Snapdragon Spaces™ Ready โดยถือเป็นประตูให้นักพัฒนาสามารถนำไอเดีย XR มาสานฝันให้เป็นจริงและสร้างการค้นพบใหม่ ๆ ได้พร้อมกันผ่านแว่นตา headworn AR ซึ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่น ฟังก์ชันการถ่ายภาพที่แสนง่ายดาย และการออกแบบที่หรูหราทันสมัย ทำให้ OnePlus 11 5G กลายเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดที่ครบเครื่องรอบด้าน จอแสดงภาพและเสียงสุดล้ำ

OnePlus 11 5G ชวนให้ผู้ใช้มาเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาผ่านจอแสดงผล Super Fluid AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 2K 120Hz พร้อม LTPO 3.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้การประหยัดพลังงานและปรับอัตรารีเฟรชตามการใช้งานเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ถึงความสม่ำเสมอและความชัดเจนโดยไม่คำนึงปริมาณเนื้อหา อีกทั้งการแสดงผลของ OnePlus 11 5G ยังช่วยถนอมสายตาจากการรับรองโดย SGS Low Blue Light EX

 

OnePlus 11 5G เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรก ที่ได้รับการปรับแต่งจาก Dolby Vision เพื่อขยายทุกประสบการณ์การใช้งานมือถืออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยภาพที่น่าทึ่งสามารถมอบความบันเทิงและปลุกเร้าการเดินทางผู้ใช้ได้อย่างมีชีวิตชีวา รวมทั้งยังมีการติดตั้งลำโพงคู่ ‘Reality’ ที่รับรอง Dolby Atomos ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์เสียงที่เหนือคำบรรยายในลำโพงและหูฟังบลูทูธนอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจาก Dolby Head Tracking บน OnePlus 11 5G จะทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับความสมจริงในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และยังเพิ่มประสบการณ์ที่อิสระมากขึ้น เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังไร้สายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับฟังเสียงรอบทิศทางที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหันศีรษะไปในทิศทางไหน อีกทั้ง Dolby Atmos ยังมีการปรับเทียบเสียงในเลเวลใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ ให้ได้อยู่กับช่วงเวลาที่ดื่มด่ำอย่างไม่มีสะดุด

 

นายยงยุทธ คะสาวงศ์ อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, เจ้าของเพจและยูทูปชาแนล Hasselblad the Expert กล่าวถึงกล้อง Hasselblad เจเนอเรชั่นที่ 3 ใน OnePlus 11 5G ไว้ว่า ประสิทธิภาพกล้องอันเยี่ยมยอด ระบบกล้องสามตัวของ OnePlus 11 5G ช่วยบันทึกแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำและสร้างภาพถ่ายที่เป็นธรรมชาติ และยังทำงานร่วมไปกับเซ็นเซอร์หลัก IMX890 50MP, เลนส์ถ่ายภาพบุคคล IMX709 32MP และกล้องอัลตร้าไวด์ IMX581 48MP เพื่อการตอบสนองความต้องการของช่างภาพทุกคน สำหรับโทรศัพท์มือถือ บน OnePlus 11 5G คือเครื่องหมายของการปรับเทียบสีธรรมชาติแบบใหม่ ซึ่งการรองรับด้วยเซ็นเซอร์มัลติสเปกตรัม 13 ช่องสัญญาณสำหรับระบุสีของแสงและโหมดถ่ายภาพบุคคล ได้ช่วยให้เกิดคุณสมบัติที่ครอบคลุมแบบเดียวกับกล้อง DSLR ทั้งการติดตามเชิงลึก, จุดแสงที่สมจริงและเป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์แสงแฟลร์ นอกจากนี้ OnePlus 11 5G ยังมาพร้อมอัลกอริทึมใหม่ล่าสุด อย่าง TurboRAW HDR ที่ทำให้ช่วงไดนามิคที่กว้าง สามารถจับภาพฉากต่าง ๆ ได้ด้วยความคมชัดระดับ HDR ที่ไร้ที่ติ

การออกแบบที่สง่างามทันสมัย

OnePlus 11 5G ได้ผสานความโฉบเฉี่ยว สง่างาม และทันสมัยไว้ด้วยกัน ทั้งยังลงตัวอย่างการสร้างความสมดุลระหว่างงานออกแบบที่เป้าหมายแน่ชัดกับการดึงเสน่ห์เอกลักษณ์แบบเฉพาะตัว

ผู้ใช้สามารถเลือกระหว่างสีดำ Titan Black ที่ใช้กระจกฝ้าแบบด้านเพื่อสร้างความรู้สึกนุ่มนวลแต่ทนทานจนยากจะต้านทาน หรือสีเขียว Eternal Green ที่ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของป่าฝนยามเย็น นำความมีชีวิตชีวามาให้รูปลักษณ์ภาพนอกที่เรียบลื่นน่าหลงใหล ขณะที่การเคลือบชั้นภายในยังทำงานสอดประสานเพื่อลดคราบรอยนิ้วมือได้ดีเมื่อโดนสัมผัสเพื่อการปรับปรุงสรียศาสตร์ของโทรศัพท์ วิศวกรของ OnePlus จึงมุ่งเน้นไปที่ความโค้งมนโดยรวมเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวทั้งหมดอยู่ในระนาบที่ใกล้เคียงกัน พร้อมมีการปรับปรุงความรู้สึกขณะถือ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทก ใด ๆ หรือร่องรอยการสัมผัสที่ไม่จำเป็น

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เรือธง หูฟัง OnePlus Buds Pro 2 ออกแบบโดยความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม ทำให้ One Plus Buds Pro 2 ยกระดับคุณภาพเสียงให้สูงขึ้นไปอีกขั้นด้วยเสียงที่ราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย และการออกแบบระดับพรีเมียม

Spatial Audio สำหรับผู้ใช้ AndroidOnePlus Buds Pro 2 สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ เป็นหูฟังเอียร์บัดตัวแรกที่ให้ความเสถียรของเสียงรอบทิศทางและความเข้ากันได้สำหรับผู้ใช้ Android เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางจำลองประสบการณ์เสียงรอบทิศทางของโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้ใช้ดื่มด่ำกับความบันเทิงอย่างเต็มที่

OnePlus Buds Pro 2 ถือเป็นหนึ่งในหูฟัง True Wireless Stereo ตัวแรกที่ใช้ฟังก์ชั่น Spatial Audio อันเป็นเอกลักษณ์ของ Google ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ Android 13 ปลดล็อกประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสำหรับหลากหลายแพลตพอร์มรวมถึงบน YouTube และ Disney+

 

ความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ

OnePlus Buds Pro 2 ยังมีอีควอไลเซอร์ EQ ที่ปรับแต่งโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของส่วนประกอบความถี่ให้เหมาะกับรสนิยมและสไตล์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hans ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Soundscape” นี้เชิญชวนให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับเสียงออเคสตร้าเต็มรูปแบบของซิมโฟนีคลาสสิกหรือเสียงกระหึ่มหลายมิติของภาพยนตร์แอ็คชั่น

OnePlus ยังได้ร่วมมือกับ Dynaudio ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเดนมาร์กเพื่อร่วมสร้าง MelodyBoost™ Dual Drivers เทคโนโลยีไดรเวอร์คู่ 11 มม. + 6 มม. ให้ความถี่ต่ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเสียงเบสไดนามิกที่ลึกขึ้น เต็มอิ่มขึ้น และมีเนื้อสัมผัสมากขึ้น รวมถึงเสียงร้องที่ไพเราะ เอียร์บัดยังมี EQ เริ่มต้นของ Dynaudio หนึ่งตัวและ EQ แบบกำหนดเองสามตัว ได้แก่ Bold, Serenade และ Bass ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงทุกเพลงด้วยเสียงอันน่าทึ่ง

OnePlus Buds Pro 2 มีฟังก์ชัน Smart Adaptive Noise Cancellation (ANC) ชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองจาก TUV ซึ่งช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้างได้สูงสุดถึง 48dB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น OnePlus Buds Pro 2 มีโหมด transparency ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมในการสนทนาที่ชัดเจนกับผู้คนรอบข้าง แม้จะใส่เอียร์บัดอยู่ก็ตามออกแบบมาเพื่อการฟังที่ไร้กังวล OnePlus Buds Pro 2 สามารถเล่นเพลงได้นานถึง 39 ชั่วโมง โดยสามารถชาร์จแบตเพิ่มเติมหลายครั้งด้วยเคส เพื่อรักษาประสบการณ์การสตรีมที่รวดเร็วและราบรื่นตลอดการใช้งาน

นอกจากนี้ OnePlus ยังได้ดึง “แจ็คสัน หวัง” ศิลปินระดับโลกเป็น OnePlus APAC Smartphone Ambassador คนแรกของภูมิภาค สำหรับ แจ๊คสัน หวัง ศิลปินระดับโลกเจ้าของรางวัลมากมาย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “MAGIC MAN” ด้วยพลังในการทำงานและความสำเร็จในหลากหลายบทบาทจนไม่อาจละสายตาได้ ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ “OnePlus - Never Settle” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราพัฒนาตัวเอง “ไม่เคยหยุดนิ่ง” มุ่งแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้ของเราอยู่เสมอ

สำหรับ ผลิตภัณฑ์เรือธงทั้งหมดทั้ง OnePlus 11 5G และ OnePlus Bus Pro 2 เปิดจำหน่ายพร้อมกันทุกช่องทางแล้วตั้งแต่วันนี้

ราคาและการวางจำหน่าย

OnePlus 11 5G

วางจำหน่าย ราคา 29,990.-

8GB + 128GB สีดำ Titan Black

วางจำหน่าย ราคา 32,990.-

16GB + 256GB สีเขียว Eternal Green

OnePlus Buds Pro 2

วางจำหน่าย ราคา 6,490.-

สีเขียว Arbor Green | สีดำ Obsidian Black

ช่องทางการจัดจำหน่าย OnePlus Experience Zone, AIS, Shopee, Lazada และ OPPO Brand shop รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ : https://www.oneplus.com/th

โปรโมชันสุดพิเศษ

● เมื่อซื้อ OnePlus 11 5G ผ่านช่องทางใดก็ได้ รับทันที OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่า 790.- พร้อมบัตรประกันจอแตก E-VIP card

● และรับเพิ่ม OnePlus Buds Pro 2 มูลค่า 6,490.- เมื่อไปร่วมงาน Thailand mobile expo 2023 จำนวน 200 ท่านแรก

และเตรียมพบกับโปรโมชั่นพิเศษมากมายในงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์5 บูธ L20,L21 วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้

OnePlus 11 5G เริ่มต้นเพียง 26,990 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนด พร้อมรับของสมนาคุณ ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 10,000 บาท และ OnePlus sandstone bumper case black มูลค่า 790 บาท และของแถมพิเศษเพิ่ม OnePlus gaming tricker 1 คู่ มูลค่า 599 บาท สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อรุ่น OnePlus 11 5G พร้อมแพ็กเกจรายเดือนที่เปิดเบอร์ใหม่และย้ายค่ายเบอร์เดิมผ่านช่องทาง AIS Online Store รวมของแถมมูลค่า 11,389 บาท

ผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 36 เดือน

เก่าแลกใหม่ พิเศษ 2 ต่อ สำหรับลูกค้า AIS นำเครื่องเก่าแลกซื้อ OnePlus 11 5G รับส่วนลดเพิ่ม

• ต่อที่ 1 : มูลค่าเครื่องเก่าใช้เป็นส่วนลด

• ต่อที่ 2 : รับส่วนลดเพิ่มอีก

AIS เริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ รายแรกรายเดียวในไทย ด้วยคลื่นมากสุด
พร้อมเปิดให้บริการ โทรผ่าน 5G ไปต่างแดน และ 5G โรมมิ่งในต่างแดน รายแรกแล้ว
24 กุมภาพันธ์ 2563 : ภายหลังเข้ารับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 2600 MHz อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ในวันเดียวกันนั้น เอไอเอสก็สร้างปรากฏการณ์ เปิดเครือข่าย 5G ทั่วประเทศ เป็นรายแรกทันที ล่าสุด วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2563) เอไอเอสประกาศเริ่มเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ อย่างเป็นทางการ รายแรกและรายเดียวในไทย
โดยขณะนี้ AIS มีแผนขยายเครือข่าย AIS 5G อย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมมอบสิทธิ์ให้ลูกค้าที่ซื้อ 5G Smart Phone จากเอไอเอส  อาทิ Samsung Galaxy S20 Ultra 5G, Huawei  Mate 30 Pro 5G  ซึ่งเตรียมจำหน่ายในช่วงต้นเดือนมีนาคม สามารถใช้ 5G ได้ทันที โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม จนถึง 30 มิถุนายน 2563 ในพื้นที่ซึ่งมีเครือข่าย AIS 5G
นอกจากนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การติดต่อต่างประเทศ  เอไอเอสยังเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ที่ร่วมกับพันธมิตรผู้ให้บริการในต่างประเทศ เปิดให้บริการโทรผ่าน 5G ไปต่างประเทศ เริ่มต้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ ร่วมกับ Globe  Telecom และบริการ 5G โรมมิ่ง

บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยี ภูมิใจนำเสนอสุดยอดสมาร์ทโฟนแฟล็กชิปแห่งปีที่มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดสู่เมืองไทย กับ “Xperia XZ2 Premium” ด้วยคุณสมบัติเซ็นเซอร์กล้องความไวแสงสูงสุดของโลกที่ ISO 12800 สำหรับการบันทึกวีดีโอ และ ISO 51200 สำหรับภาพนิ่ง ช่วยให้คุณเก็บภาพและถ่ายวีดีโอในที่แสงน้อยได้ยอดเยี่ยมเหมือนการใช้กล้องโปร พร้อมหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัดในขณะบันทึกภาพ ซึ่งประสิทธิภาพขั้นสุดยอดนี้เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดกล้องคู่ Motion Eye™ Dual Camera การประมวลผลแบบรวมภาพเซ็นเซอร์ AUBE™ Fusion image signal processor ทำให้กล้อง สามารถจับภาพได้ละเอียด คมชัด และสว่างสดใสกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

Xperia XZ2 Premium ยังสามารถบันทึกและเล่นไฟล์วีดีโอระดับ 4K HDR ได้เหมือนกล้องโปร ให้คุณเก็บช่วงเวลาประทับใจได้คมชัดสดใสในทุกรายละเอียด พร้อมการแสดงสีสันที่โดดเด่นสวยงามสมจริงราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าคุณ ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนเพียงรุ่นเดียวที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานกล้องระดับมืออาชีพ และนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงระดับพรีเมียม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 845 การันตีความลื่นไหลในการทำงานทุกฟังก์ชั่น

 

มร. ซาโตชิ เมกาตะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายผลิตภัณฑ์โซนี่โมบายล์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพของ XZ2 Premium นี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการถ่ายภาพและวีดีโอในทุกสภาวะตามแนวคิด ‘Camera to the Extreme’ ของเรา ซึ่งเราสามารถกล่าวได้ว่า Xperia XZ2 Premium คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ที่ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลแบบรวมภาพ AUBE™ ซึ่งมอบประสิทธิภาพการบันทึกภาพระดับพรีเมียมที่คมชัดในทุกรายละเอียดอย่างไร้ที่ติ”

 

ขีดสุดแห่งเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพ

XZ2 Premium เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้กล้องระบบ Motion Eye™ Dual Camera ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์ภาพขาว-ดำ และเซ็นเซอร์ภาพสี โดยหน่วยประมวลผล AUBE™ Fusion image signal processor จะทำหน้าที่รวมภาพของทั้งสองเซ็นเซอร์เข้าพร้อมกัน ทำให้สามารถบันทึกวีดีโอได้ด้วยความไวแสงสูงสุดที่ ISO12800 และถ่ายภาพนิ่งได้ที่ ISO51200 มอบภาพที่สวยงามคมชัดและมีจุดรบกวน (Noise) น้อยมาก ซึ่งในอดีต คุณภาพระดับนี้จะพบได้ในกล้องโปรที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เท่านั้น

เทคโนโลยีกล้อง Motion Eye™ Dual Camera ยังทำให้คุณสามารถใส่เอฟเฟกต์เพิ่มความสวยงามได้ โดยเฉพาะ Bokeh เพื่อให้วัตถุในภาพคมชัดโดดเด่นละลายฉากหลัง หรือเลือกถ่ายภาพให้แลดูมีความคลาสสิกในรูปแบบโมโนโครมคุณภาพสูง ซึ่งมีการไล่ระดับความเข้มของเฉดสีขาว-ดำอย่างต่อเนื่อง ด้วยหน้าจอแสดงผลที่สว่างคมชัด ทำให้คุณสามารถเล็งถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำไม่พลาดในทุกองค์ประกอบ

ไม่เพียงเท่านี้ Motion Eye™ Dual Camera ยังนำเสนอฟีเจอร์ระดับมืออาชีพมากมาย ทั้งการถ่ายวีดีโอ 4K HDR เพื่อให้คุณเก็บทุกรายละเอียดของเหตุการณ์พร้อมสีสันที่สวยงามสมจริง ทั้งยังสามารถถ่ายวีดีโอแบบซูเปอร์สโลวโมชั่น 960 เฟรมต่อวินาทีในความละเอียดระดับ HD หรือ Full HD เพื่อสร้างสรรค์มุมมองเชิงศิลปะในเหตุการณ์ให้แตกต่างจากที่ตาเห็นด้วยเซ็นเซอร์รับภาพประสิทธิภาพสูงของโซนี่ อีกทั้ง XZ2 Premium ยังมีกล้องหน้าชั้นเลิศความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ไวแสงขนาด 1/3.06” และแฟลชให้คุณสนุกกับการเซลฟี่ในทุกสภาพแสงและสวยงามทุกช็อต

 

ดื่มด่ำอย่างเต็มอรรถรสกับจอแสดงผลระดับ 4K HDR

XZ2 Premium มอบจอแสดงผลที่ดีเยี่ยมที่สุดของตลาดสมาร์ทโฟนในเวลานี้ หน้าจอมีความละเอียด 4K HDR ขนาด 5.8 นิ้วรุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น 11% และสว่างขึ้น 30% เมื่อเปรียบเทียบกับจอ 4K HDR รุ่นก่อน เพื่อให้คุณสามารถดื่มด่ำและเพลิดเพลินกับความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งภาพยนตร์หรือคอนเทนท์ ระดับ 4K HDR มอบความคมชัดและสีสันที่สวยล้ำเหนือจินตนาการ และสำหรับคอนเทนท์ที่มีความละเอียดไม่ถึงระดับ 4K HDR โซนี่ได้นำเทคโนโลยี X-Reality™ for mobile ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในโทรทัศน์ BRAVIA® TV มาปรับปรุงคุณภาพไฟล์วีดีโอหรือYoutubeให้มีคุณภาพสวยงามใกล้เคียงกับไฟล์ High Dynamic Range (HDR) ทำให้คุณสามารถรับชมคอนเทนท์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากคุณภาพของภาพและเสียงที่สวยงามคุณภาพสูง คุณยังจะ รู้สึก สมจริงยิ่งกว่าเคยด้วยเทคโนโลยี Dynamic Vibration System รุ่นใหม่ ซึ่งจะทำการวิเคราะห์สัญญาณเสียงและสั่นที่ตัวเครื่อง ทำให้คุณสนุกไปกับภาพยนตร์ เกม หรือคลิปวีดีโอ ราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นจริงในมือคุณ พร้อมลำโพงสเตอริโอคู่หน้า S-Force Front Surround รองรับไฟล์ High-Resolution Audio มาพร้อมฟีเจอร์ DSEE HX มอบเสียงที่ทรงพลังให้คุณได้รับประสบการณ์ความกระหึ่มและมีมิติมากขึ้น รวมทั้งรองรับการเข้ารหัส LDAC

 

ดีไซน์ใหม่สวยล้ำอย่างมีเอกลักษณ์

ดีไซน์หรูใหม่ล่าสุด วัสดุใช้เป็นกระจกแบบ 3D Glass ที่มีความโค้งรับกระชับกับมือและมีความทนทานยอดเยี่ยมด้วยการใช้กระจก Corning® Gorilla® Glass 5 ทั้งด้านหน้าและหลังผสมผสานกับโลหะอย่างลงตัว มาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP65/IP68 นำเสนอสีดำเงางาม (Chrome Black) สะท้อนถึงความหรูหราร่วมสมัยในทุกมุมมอง

 

ประสิทธิภาพการทำงานขั้นสุดยอด

ด้วยขุมพลังซีพียูที่ดีที่สุดในปัจจุบันของ Qualcomm® Snapdragon™ 845  พร้อมชิปโมเดม X20 LTE มอบความเร็วขั้นสุดยอดในการเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วดุจสายฟ้า (สูงสุด 1.2 Gbps) และทำงานด้วยโมเด็ม Gigabit LTE รุ่น 2 ซึ่งพัฒนาใหม่ มาพร้อมหน่วยความจำ (RAM) สูงถึง 6GB เพื่อให้คุณใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

Xperia XZ2 Premium ให้คุณใช้งานเต็มวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 3540 mAh พร้อมโหมดควบคุมการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ Smart Stamina และ STAMINA รวมถึงเทคโนโลยีการถนอมแบตเตอรี่ในขณะชาร์จ Battery Care และ Qnovo Adaptive Charging ที่ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน QI (รุ่น WCH20) และเครื่องชาร์จรุ่นอื่น ๆ ที่รองรับมาตรฐาน Qi

 

กำหนดการวางจำหน่าย

Xperia XZ2 Premium จะเปิดจองตั้งแต่วันที่ 10 - 19 สิงหาคม 2561 และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 29 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป ในราคา 27,990 บาท นำเสนอในโทนสีดำ (Chrome Black) เท่านั้น  

  • ลูกค้าที่จองล่วงหน้าได้ที่ร้านโซนี่สโตร์ และ โซนี่สโตร์ออนไลน์ (https://store.sony.co.th)
  • 50 ท่านแรกที่โซนี่สโตร์ รับฟรี! ชุดหูฟังบลูธูท 2 สไตล์รุ่น 2-way Style USB Audio & Bluetooth® Headset (SBH90C) มูลค่า 5,990 บาท
  • หลังจาก 50 ท่านแรก รับฟรี ชุดหูฟังบลูธูทรุ่น SBH56 มูลค่า 2,990 บาท แก้ว Xperia Mug และกระเป๋า Xperia Bag

 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อศูนย์บริการลูกค้าโซนี่ โทรศัพท์ 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์  www.sony.co.th
หมายเหตุ: โซนี่สโตร์ มี 6 สาขาได้แก่ พารากอน เอ็มโพเรียม เดอะมอลล์บางกะปี เดอะมอลล์บางแค และเดอะมอลล์งามวงศ์วาน

ซัมซุงเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9” (Samsung Galaxy Note 9) สมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมในตระกูล “กาแลคซี่ โน้ต” ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของซัมซุง ซึ่งจะมาสานต่อตำนานแห่งความสำเร็จด้วยประสิทธิภาพในการใช้งานที่เป็นที่สุด และ S Pen ใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้เป็นครั้งแรก รวมถึงกล้องถ่ายรูปเหนืออัจฉริยะที่จะเก็บทุกภาพแห่งความประทับใจได้อย่างไร้ที่ติ

ดีเจ โกห์ ประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “กาแลคซี่ โน้ต คือตัวแทนของเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยมและนวัตกรรมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสมาร์ทโฟนเสมอมา โดยในครั้งนี้เราได้พัฒนาขีดจำกัดในด้านการใช้งาน ประสิทธิภาพอันทรงพลัง และความฉลาดของซอฟต์แวร์ เพื่อมอบสมาร์โฟนที่ผู้ใช้งานมองหาตลอดมา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้กาแลคซี่ โน้ต คือแฟนอันเหนียวแน่นของซัมซุง และคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดจากซัมซุงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปหรือการใช้งานเพื่อความบันเทิง เรามั่นใจว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 คือคำตอบเดียวที่จะตอบสนองทุกความต้องการได้อย่างแน่นอน”

 

ประสิทธิภาพทรงพลัง ตอบโจทย์ผู้ใช้สมาร์ทโฟน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหลักของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ เรื่องของแบตเตอรี่หมดเร็ว ความจุข้อมูลไม่พอต่อการใช้งาน  และเครื่องค้างในจังหวะที่เร่งรีบ ซึ่ง กาแลคซี่ โน้ต 9 จะสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทุกประการ

  • แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดวัน: กาแลคซี่ โน้ต 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดความจุที่สูงถึง 4,000 mAh นับเป็นสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุด จึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะคุยสาย เล่นเกม หรือดูหนัง ผู้ใช้งานก็สามารถเพลิดเพลินไปกับทุกกิจกรรมและการใช้งานได้ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลากลางคืนเลยทีเดียว
  • เพิ่มความจุ จบปัญหาลบไฟล์เก่า: กาแลคซี่ โน้ต 9 มีให้เลือกใช้งาน 2 ขนาดด้วยกัน โดยสามารถเลือกได้ระหว่างขนาดความจุของหน่วยความจำภายใน 128GB และ 512GB โดนสามารถเพิ่มความจุได้ด้วยการใส่ไมโครเอสดีการ์ด (microSD card) ซึ่งจะทำให้ กาแลคซี่ โน้ต 9 มีขนาดความจุที่สูงมากกว่า 1TB เลยทีเดียว จึงมั่นใจได้ว่าการเก็บรูปภาพ วีดีโอ หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ จะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
  • เร็วแรงทันใจ: กาแลคซี่ โน้ต 9 มีระบบประมวลผล 10nm อันมีประสิทธิภาพการทำงานที่ทรงพลังสูงสุดในปัจจุบัน จึงสามารถรองรับเครือข่ายที่เร็วที่สุดในขณะนี้ ที่ความเร็ว 2 กิกะบิตส์ต่อวินาที เพื่อดาวน์โหลดเนื้อหาต่างๆ ได้โดยไม่ทำให้เครื่องช้าลง ยิ่งไปกว่านั้น กาแลคซี่ โน้ต 9 ยังมีเทคโนโลยีสุดล้ำของวงการ นั่นคือ ระบบ Water Carbon Cooling และคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI-based) ภายในเครื่องเพื่อปรับการทำงานอัลกอริธึ่มให้เกิดความเสถียรในการใช้งาน โดยคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพสูงสุด

 

 

วิวัฒนาการขั้นสุดของ S Pen ปากกาอัจฉริยะ
S Pen ถือเป็นดีเอ็นเอของ “กาแลคซี่ โน้ต” เพราะนอกจาก S Pen จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองได้อย่างอิสระแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาเพื่อฉีกกฎเกณฑ์และลบภาพจำเดิมๆ ของสมาร์ทโฟนขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเพียงอุปกรณ์ในการขีดเขียนหรือวาดรูปทั่วไป โดย S Pen เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ จะมาพร้อมกับความสามารถที่มากขึ้นและการควบคุมอันยอดเยี่ยมเพียงแค่คลิก
ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับบลูทูธแบบ Bluetooth Low-Energy (BLE) ทำให้ S Pen สามารถสั่งการเสมือนรีโมทคอนโทรล โดยการกดปุ่ม S Pen เพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปหมู่ กดเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่น กดบันทึกเสียง กดหยุดหรือเล่นวีดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเพียงปลายนิ้วของผู้ใช้งาน นอกเหนือจากนี้ จะเปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาแอพพลิเคชั่นออกแบบการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบ BLE ภายในปีนี้อีกด้วย

 

เก็บภาพสวยระดับมืออาชีพด้วยกล้องอัจฉริยะ
กาแลคซี่ โน้ต 9 ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีของกล้องถ่ายภาพที่ทำให้ภาพถ่ายออกมาราวกับมืออาชีพได้อย่างง่ายดาย

  • เติมเต็มทุกความงามในภาพถ่าย (Scene Optimizer) กล้องอัจฉริยะ วิเคราะห์ฉาก วิวทิวทัศน์และวัตถุต่างๆอัตโนมัติ ได้ถึง 20 รูปแบบ โดยจะปรับสี คอนทราสให้ได้ภาพที่สวยสมบูรณ์แบบ มีชีวิตชีวา และคมชัดแบบเหนือระดับ
  • จับจุดบกพร่อง ช็อตไหนก็ไม่พลาด (Flaw Detection) แจ้งเตือนทันทีเมื่อพบจุดบกพร่องของภาพ อาทิ ภาพเบลอ การกระพริบตา มีคราบเปื้อนบนเลนส์ หรือเกิดการย้อนแสง โดยจะแจ้งเตือนให้ถ่ายภาพใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ทุกโมเม้นต์สำคัญถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
  • ที่สุดแห่งกล้องถ่ายภาพ จากการผสานความชาญฉลาดอย่างเป็นเอกลักษณ์ทั้งซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ระดับพรีเมี่ยม ทำให้กล้องของ กาแลคซี่ โน้ต 9 ถือเป็นกล้องที่ดีที่สุดในขณะนี้ ทั้งเทคโนโลยีการลบน๊อยซ์ของภาพและกล้องรูรับแสงคู่ (Dual Aperture) ที่สามารถปรับรูรับแสงอัตโนมัติ คล้ายกับรูม่านตาของมนุษย์ ทำให้สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยงามและคมชัดในทุกที่ทุกสภาพแสง

 

ครบทุกการใช้งาน เต็มทุกความบันเทิง

หน้าจอ Infinity Display ถือเป็นจุดสูงสุดของด้านการออกแบบของซัมซุง โดยเฉพาะหน้าจอของ กาแลคซี่ โน้ต 9 ที่ไร้กรอบ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในตระกูลกาแลคซี่ โน้ต ด้วยหน้าจอ Infinity Display แบบ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ที่จะมาเติมเต็มอรรถรสในการรับชมได้อย่างเต็มที่ รวมถึงลำโพงสเตอริโอที่พัฒนาโดย AKG ด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่จะช่วยเปิดประสบการณ์ขณะรับชมวิดีโอ ด้วยภาพและเสียงในระดับมัลติมีเดีย ได้อย่างสมจริง   นอกจากนี้ ยูทูบ ยังได้แนะนำว่า กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็นอุปกรณ์ที่รับชมเนื้อหาต่างๆ บนยูทูบได้สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย

 

โดยกาแลคซี่ โน้ต 9 ยังมอบประสบการณ์การใช้งานแบบพีซีให้กับผู้ใช้งานได้ด้วย Samsung DeX ซึ่งผู้ใช้งานสามารถนำเสนอ พรีเซนเทชั่น ปรับแต่งรูปภาพ หรือรับชมรายการโปรดผ่านสมาร์ทโฟน เพียงแค่ติดตั้ง HDMI adapter เข้ากับ Samsung DeX ผู้ใช้งานก็สามารถใช้งาน กาแลคซี่ โน้ต 9 บนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ทันที อีกทั้งยังใช้ปากกา S Pen เขียนโน้ตไปพร้อมๆ กับดูวีดีโอ หรือใช้ กาแลคซี่ โน้ต 9 เป็น trackpad กดคลิกขวา ลากและปล่อย รวมถึงใช้งานอื่นๆ บนหน้าจอได้อย่างสะดวกสบาย

 

ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากกาแลคซี่

กาแลคซี่ โน้ต 9 มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในตระกูลกาแลคซี่ อีกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟด่วนแบบไร้สาย คุณสมบัติป้องกันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68 รวมถึงบริการอื่นๆ จากซัมซุง เช่น Samsung Health และ Samsung Pay และ มาตรฐานการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยด้วยระบบ Knox รวมถึงการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมททริค เช่น ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner), ระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) และระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลสำคัญได้อย่างปลอดภัย

อีกทั้ง ยังได้ขยายขอบเขตแห่งความเป็นไปได้ให้กว้างมากยิ่งขึ้น ด้วยการเป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์และบริการต่างๆ ของซัมซุงทุกรูปแบบ อาทิ SmartThings ในการควบคุมอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อ หรือจะเป็นการจัดการต่างๆ ด้วย Bixby ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะส่วนตัว โดยการเปิดตัว กาแลคซี่ โน้ต 9 ในครั้งนี้ ซัมซุงยังทำให้การฟังเพลงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วยการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Spotify ในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง ซิงค์ และส่งเพลงไปมาระหว่าง กาแลคซี่ โน้ต 9 กาแลคซี่ วอทช์ และ สมาร์ท ทีวี ได้อย่างสะดวก

 
ซัมซุง กาแลคซี่ โน้ต 9 มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง  สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper)  และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) ในราคา 33,900 บาท     

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click