×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 810

บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (Shout Together Company Limited) หรือ “SHOUT!” แพลตฟอร์ม การตลาดและสร้างยอดขายผ่านอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Influencer Platform Designed for Brands & Agencies” ช่วยแบรนด์และเอเจนซี่ วางแผนแคมเปญ เลือกอินฟลูฯ ที่ตรงกลุ่ม เป้าหมาย คุมงบฯ ได้ ผ่านการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของอินฟลู ฯ (Insight Data) กว่า 10,000 ราย ได้อย่างรวดเร็วใน 7 ขั้นตอน ที่ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อีกกว่า 60% และประหยัดเวลากว่า 95% โดยระบบนี้เตรียมเปิดให้ทดลอง ใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม โดยตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาทในปี 2024

 

นายจิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน Co-founder และ CEO ผู้บริหาร บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (Shout Together Company Limited) เปิดเผยว่า “Influencer Marketing หรือ KOL หนึ่งในกลยุทธ์การทำการตลาดที่ ทุกแบรนด์เลือกใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตลาดพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน Influencer และ KOL ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายก็สามารถรองรับ การโปรโมท สื่อสาร รีวิวให้กับแบรนด์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี งบประมาณที่ควบคุมได้ยาก จากการทำงานด้วยระบบ Manual จึงทำให้การทำ Affiliate Marketing หรือ Live Commerce ให้กับลูกค้าธุรกิจไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ได้อินฟลูฯ ที่ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ใช้เวลาในการประสาน/จัดหาอินฟลูฯ ค่อนข้างนาน และงบประมาณที่สูงกว่า การจ้างอินฟลูฯ โดยตรง”

“แต่ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data หรือ Automated Platform สามารถทำให้การทำ Influencer Campaign ต่างๆ สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำขึ้น ทั้งจากการใช้ Data ต่างๆ มาคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงโจทย์ในราคาที่เหมาะสม สามารถจัดการแคมเปญ ตรวจสอบสถานะการทำงาน อินฟลูฯ อัตโนมัติ และวัดผลยอดขายได้อย่างเป็นระบบ มีรีพอร์ทที่สวยงามพร้อมใช้งานในการประเมินผลลัพธ์”

SHOUT! ในฐานะแพลตฟอร์มการตลาดและสร้างยอดขายผ่านอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ สูงสุด ผ่านการเชื่อมต่อ “นักการตลาดกับอินฟลูเอนเซอร์” ให้มาเจอกัน จึงมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่! “Influencer Platform Designed for Brands & Agencies” แพลตฟอร์มที่ช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่ (Brand & Agency)

สามารถสร้างหรือวางแผนแคมเปญ เลือกอินฟลูฯ ที่ตอบโจทย์แคมเปญและตรงกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนตรวจงาน แคมเปญและวัดผลยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของอินฟลูฯ (Insight Data) กว่า 10,000 ราย ได้อย่างรวดเร็วใน 7 ขั้นตอน ที่ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อีกกว่า 60% โดยระบบนี้เตรียมเปิดให้ทดลอง ใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2567

 

โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวยังมาพร้อมประสิทธิภาพที่ช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่ ลดระยะเวลาการทำงานได้ถึง 95% ด้วย 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในแพลตฟอร์มเดียว ดังนี้

1. สร้างบัญชีผู้ใช้งานนักการตลาด และเข้าสู่ระบบ

2. สร้างแคมเปญ และเลือก Social Media และ Scope งานที่ต้องการทำแคมเปญ เช่น Instagram Reels, Facebook Photo Album, YouTube Tie-in, X (Twitter) Album Post / TikTok Video เป็นต้น

3. ระบุสินค้า/บริการที่ต้องการโปรโมท พร้อมช่องทางการขาย และ ค่าตอบแทนที่ต้องการให้อินฟลูฯ

4. เลือกอินฟลูฯ ที่ต้องการด้วย Insight Data พร้อม Estimate Campaign Result โดยสามารถเลือกใช้ ฟิลเตอร์ Metrics ต่างๆ ได้ รวมถึงราคา สามารถเจรจาต่อรองราคา (Negotiate) ราคาอินฟลูฯได้ ฯลฯ

5. ระบุ Brief รายละเอียดการทำงาน และ Timeline ระยะเวลาทำแคมเปญ

6. เริ่มต้นแคมเปญ จัดการ ตรวจงานอินฟลูฯ ผ่านแพลตฟอร์ม

7. ตรวจสอบผลลัพธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและยอดขาย

 

ทางด้าน นายพาพฤทธิ์ กาญจน์เกียรติกุล Co-founder บริษัท PinPung จำกัด ได้กล่าวถึงการร่วมทุน กับ SHOUT! ว่า “ปัจจุบันทาง PinPung เริ่มเห็นความต้องการของการใช้ Affiliate Marketing และ Live Commerce มากขึ้น ซึ่งการทำ Affiliate และ Live Commerce ไม่สามารถใช้การทำ Influencer Marketing แบบเดิมได้ และด้วย ประสบการณ์กว่า 9 ปี ในการเป็น Influencer Agency อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ดูแลแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Unilever, Dyson, Grab, Hersheys, Pepsi, Diageo, Osotspa เป็นต้น ที่ให้บริการด้าน Influencer Marketing Campaign ครบวงจร ทั้งยังมีเครือข่าย Influencer และ KOL ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ทาง PinPung มองว่า SHOUT! เข้ามาช่วยตอบโจทย์สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสนับสนุนโดย

1. การหาอินฟลูฯ จำนวนมากเพื่อเข้าร่วมใน Campaign Affiliate และช่วยต่อรองเรื่องการแบ่งรายได้

2. การวัดผล Content Performance และการดูยอดขายแบบ Real-time ทั้งแคมเปญ

3. การจ่ายเงินค่าคอมมิชชันให้กับทางอินฟลูฯ ที่ทำคอนเท้นต์ใน Social Media Platform ต่างๆ ไปยัง E-commerce Platform ที่แตกต่างกัน โดยสามารถทำผ่าน Platform SHOUT! ได้ทันที

และการที่ทาง PinPung ลงทุนร่วมกับ SHOUT! สามารถเพิ่มและขยายขอบเขตการให้บริการ Affiliate Marketing & Live Commerce ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงการขาดทุนจากการให้บริการกับลูกค้า และยังสามารถรองรับ ความต้องการในการทำ Affiliate Marketing ที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่องให้กับกลุ่ม Corporate Brand ต่างๆ (Incoming Disruption) รวมถึงการเป็น Synergy Partner ระหว่าง CVC กับ Startup ที่จะสามารถช่วยผลักดันตลาด อินฟลูเอนเซอด้วยการแชร์ข้อมูลของอินฟลูฯ จัดการแคมเปญ ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มขอบเขตการให้บริการและ สร้างนวัตกรรมได้”

โดยในปี 2024 นี้ SHOUT! เตรียมบุกตลาด Influencer แบบไม่เน้นกำไร เพื่อให้เข้าถึงทุกแบรนด์/ เอเจนซี่ในไทย รองรับการทำ Affiliate Marketing & Live Commerce ที่กำลังเป็นที่นิยม รวมถึงต้อนรับการเข้ามา ลงทะเบียนเป็น Influencer กับ SHOUT! ครอบคลุมทุกสาย พร้อมกระจายงานทุกแบรนด์ทุกอินฟลูฯ อย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้ารายได้ที่ 100 ล้านบาท

นายจิรพัฒน์ ยังกล่าวเสริมว่า “ในอนาคตเตรียมเปิดโครงการ SHOUT!’s Partnership Program เพื่อ ร่วมมือกันระหว่าง Digital Agency และ Influencer Agency ต่างๆ เพื่อการประสานงาน เพิ่ม Synergy Value ซึ่งกันและกัน เพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากขึ้น โดยลดต้นทุนด้วยกันได้อย่างมาก ตลอดจนขยายความร่วมมือ กับพาร์ทเนอร์ E-Commerce, Marketplace Platform, Social Commerce เพื่อเข้าถึงข้อมูลยอดขายได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเรียลไทม์มากขึ้น รวมไปถึงในด้าน Influencer และ Content Creator ที่เตรียมขยายพาร์ทเนอร์ กับเครือข่ายต่างๆ เพื่อผลักดันการรับงานการร่วมมือกัน ระหว่างแบรนด์ เอเจนซี่ อินฟลูฯ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ครบวงจรผ่าน แพลตฟอร์ม SHOUT!”

“SHOUT! ตอบโจทย์ในการคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ใช่ จัดการแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแบรนด์และ เอเจนซี่แล้วนั้น ในภาพใหญ่ SHOUT! เองเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขับเคลื่อนให้การใช้งบการตลาดนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการสร้างกำไร เพิ่มยอดขาย เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ด้วยทรัพยากรที่น้อยลง และอาศัยเทคโนโลยี AI และ Data เข้ามา ช่วยเพิ่มมากขึ้น ใช้งบการตลาดถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา ลดต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนทางเวลาด้วยเทคโนโลยี และแพลตฟอร์ม ครบจบในที่เดียว ”

นีลเส็น ประเทศไทย เผยข้อมูลจากงานซีรีย์สัมมนาออนไลน์ Nielsen media talk ในหัวข้อ Winning in the influencer era ซึ่งเปิดเผยอินไซต์สำคัญของเทรนด์ตลาด Influencer ในประเทศไทย

จากเน็ตไอดอลสู่ ยุค Influencer

วงการ Influencer ในไทย เริ่มเห็นเด่นชัดมาตั้งแต่ปี 2000 โดย Influencer ในยุคนั้นอยู่ในรูปแบบของเน็ตไอดอล โดยยุคบุกเบิกที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นได้แก่ เบเบ้ ธันย์ชนก หรือ บอลลูน พินทุ์สุดา ต่อมาในยุคที่โซเชียลมีเดียแพร่หลาย ได้มีการใช้ Influencer ในการโฆษณาและเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มความงาม เป็นอุตสาหกรรมแรกที่มีการใช้ Influencer ในการทำการตลาด ซึ่งในปี 2014 มีบิวตี้บล็อกเกอร์ที่เป็นที่รู้จักและโด่งดังเป็นจำนวนมาก เช่น เมอา และ โมเมพาเพลิน  

ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอดีตเน็ตไอดอลหรือ Influencer จะมาจากกลุ่มที่หน้าตาดีซะส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบัน ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนไทยยอมรับความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ตั้งแต่ช่วงปี 2019 เราได้เห็น Influencer รูปแบบใหม่ ๆ จากหลากหลายอาชีพ และวัย ใครก็สามารถเป็น Influencer ได้ เพียงแค่มีความสามารถและเป็นตัวของตัวเอง และมากไปกว่านั้นจากกระแสของ Metaverse ตอนนี้ในไทย เรามี Virtual Influencer เรียบร้อยแล้ว

คนไทยเชื่อถือ Influencer มากแค่ไหน?

จากการศึกษาของ Nielsen Trust in Advertising พบว่าคนไทย 75% ให้ความไว้วางใจโฆษณา ความคิดเห็น และการรีวิวผลิตภัณฑ์จาก Influencer ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มองว่า Influencer เป็นช่องทางที่เอาไว้ติดตาม อัพเดตเทรนด์และข่าวใหม่ๆ (22%) และยังมองว่าเป็นช่องทางที่ให้ความบันเทิงสูงอีกด้วย (20%)

 

กลุ่ม Beauty ใช้เม็ดเงินกับ Influencer สูงสุด

กลุ่มความงามเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้เม็ดเงินสูงสุดในการตลาด Influencer ทั้งในไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน ด้วยสัดส่วนที่มากถึง 42% รองลงมาได้แก่ สินค้าแฟชั่น, อาหารและเครื่องดื่ม, เทคโนโลยี, ฟิตเนส, สินค้าลักชัวรี

โดยเมื่อเจาะในกลุ่มความงาม พบว่า สกินแคร์ เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้เม็ดเงินไปกับ Influencer ในสัดส่วนถึง 70% โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผิวและครีมกันแดด โดยรองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมนิยมในการใช้ Influencer ในการโปรโมตเช่นกัน

เลือก Influencer ถูกคน ผลลัพธ์เกินคุ้ม

จากข้อมูลของ Nielsen InfluenceScope พบว่า ประเทศไทยมี Active Influencer มากกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับสองในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการเติบโตและเพิ่มขึ้นของตลาดทำให้มีวิธีการเลือก Influencer ที่เหมาะสมกับแบรนด์และแคมเปญมีความซับซ้อนขึ้น โดยแนวทางและวิธีการเลือก สามารถพิจารณาได้จาก 4R model 

  1. Reach หรือการเข้าถึง จำนวนคนที่เข้าถึง Influencer นั้น ๆ ดูได้จากยอดการติดตาม ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก โอกาสในการเพิ่มการเข้าถึงก็มีมากขึ้น
  2. Relevance ความเกี่ยวข้องของ Influencer และแบรนด์ ผ่านข้อมูลโปรไฟล์ของ Influencer ว่ามีความสนใจ ไลฟ์สไตล์ และทัศนคติ เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือแคมเปญหรือไม่
  3. Resonance การมีส่วนร่วม สามารถวัดจาก Engagement ของ Influencer ว่าผู้ติดตามมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน จากจำนวนยอดการดู ไลค์ แชร์ คอมเม้นท์ และรวมถึง Sentiment ด้วย ถ้าเราจ้าง Influencer ที่ได้รับ Negative sentiment สูง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์หรือแคมเปญได้เช่นกัน
  4. Return ผลตอบกลับจากการใช้ Influencer เป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้คุณวัดความคุ้มทุนหรือขาดทุนจากการโฆษณาผ่านช่องทางนั้นๆ ว่าเมื่อใช้ Influencer คนนี้แล้วเราได้ยอดซื้อกลับมาเท่าไหร่ หรือคนคลิกร่วมแคมเปญมากน้อยแค่ไหน

InfluenceScope เป็นโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลล่าสุดจาก Nielsen เพื่อสนับสนุนนักการตลาดในการเลือกใช้ Influencer ที่เหมาะสมที่สุด เราประเมินผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1,000 รายที่มีอิทธิพลบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในประเทศไทย โดยสามารถช่วยเลือก Influencer ตามความเหมาะสมของแบรนด์และแคมเปญภายในกรอบเวลาที่ต้องการ ทำการประเมินผ่าน content แพลตฟอร์ม บุคลิกภาพ และวัดมูลค่าสื่อและ ROI 

         เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “น้ำดื่มสิงห์”  เปิดตัวแคมเปญ “A Part Of You” โดยใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing ดึง 5 ตัวแทนกลุ่มผู้นำความคิดและไลฟ์สไตล์ จากวงการภาพยนตร์ ดนตรี เน็ตไอดอล ได้แก่ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์, เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา, วิโอเล็ต วอเทียร์ และวง South side มาเป็น “แบรนด์อินฟลูเอนเซอร์” ครั้งแรก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เพิ่มความผูกพันแบรนด์ (Engagement) ควบคู่การเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างมาก

          ล่าสุดน้ำดื่มสิงห์ได้สร้างกระแสในโลกออนไลน์ โดยการดึง “เจ้านาย” จิณเจษฎ์ วรรธนะสิน มาเป็นพรีเซ็นตอร์ พร้อมใช้วิธีการทำตลาดด้วยการลงพื้นที่ประชิดกลุ่มเป้าหมาย สร้างสิ่งที่ “เหนือความคาดหมาย” ความประทับใจให้กับผู้บริโภคและตลาดอย่างยอดเยี่ยม

          ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดของด้วยการดึงผู้ทรงอิทธิพล (Influencer) มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จะต้องเป็นคนที่มีเสน่ห์ (engaging personality) คาแร็คเตอร์ ธรรมชาติ เข้าถึงง่าย แต่การเปิดตัวจะต้องคิดนอกกรอบ เพื่อสร้างความแตกต่าง ความแปลกใหม่ให้กับตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเกิดการจดจำแบรนด์มากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดน้ำดื่มที่มีทั้งแบรนด์เก่า แบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

           “เจ้านาย” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของน้ำดื่มสิงห์ เปิดตัวด้วยการสร้างเซอร์ไพรส์ ณ จุดขายจริง รับกับกระแสฟีเวอร์ในตัวของเจ้านาย โดยการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ของน้ำดื่มสิงห์ มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ ต้องการเพิ่ม Engagement กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ หรือเป็น Young Generation มากขึ้น จากเดิมน้ำดื่มสิงห์เจาะกลุ่มเป้าหมายครอบครัว ทุกเพศทุกวัย และต้องการสร้างความแตกต่างของแบรนด์ให้ฉีกออกจากคู่แข่ง ให้เป็นแบรนด์อันดับแรกในใจของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อน้ำดื่ม และการใช้เจ้านายเป็นพรีเซ็นเตอร์ ถือว่าสร้างสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เป็น Beyond expectation ให้ผู้บริโภคและตลาดได้จริงๆ

          ธิติพรขยายความต่อว่า “เราเชื่อมั่นว่าในยุคนี้ ความแปลกใหม่ ทันสมัย หรือความล้ำ (innovation) เป็นสิ่งสำคัญ  ตั้งแต่ต้นปี 2561 น้ำดื่มสิงห์จะให้เน้นนำเสนอความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านของตัวผลิตภัณฑ์, การสื่อสารการตลาด อย่างที่ได้เริ่มเห็นกันไปแล้วจากกิจกรรม on ground to online ของพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดนี้ และยังมีกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งอยากให้ติดตามกัน รวมถึงการจัดรายการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่    บน Platform ใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องโดนใจวัยรุ่น รวมทั้งกลุ่มแมสด้วย

          “นอกจากนั้น ช่องทางการจัดจำหน่ายและระบบการจัดจำหน่ายซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง ในยุคการตลาดแบบ Digital  นี้ เราเชื่อว่าการเพิ่มความพึงพอใจในความสะดวกสบายในการจัดส่งเป็นสิ่งสำคัญ สินค้าต้องถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือต้องง่ายแค่ปลายนิ้ว  ดังนั้น ในปีหน้า(2561) เตรียมพบกับช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ของน้ำดื่มสิงห์ได้” 

           ภาพรวมตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเชิงปริมาณ 4,300 ล้านลิตร มีอัตราการเติบโตประมาณ 10% แบ่งตามบรรจุภัณฑ์เป็นน้ำดื่มขวด PET 90% มีอัตราการเติบโต 11.5% แบบขวดแก้ว 10% แนวโน้มตลาดหดตัวลงเล็กน้อย น้ำดื่มสิงห์มีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวม 21% เมื่อแบ่งตามบรรจุภัณฑ์ แบบขวด PET มีส่วนแบ่งทางการตลาด 20% และแบบขวดแก้วมีส่วนแบ่งตลาด  45.2%  ในปีหน้า น้ำดื่มสิงห์ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเพิ่มเป็น 23%  

          “ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องปีละ 10% จากกระแสผู้บริโภครักสุขภาพ น้ำดื่มสิงห์ มีสโลแกนติดหูว่า “น้ำดื่มสะอาด น้ำดื่มสิงห์” เราชูจุดขายในเรื่องของความสะอาดและ แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ อยู่คู่ครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งน้ำดื่มสิงห์ยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกจากสถาบัน NSF International สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยเสริมความแกร่งให้กับแบรนด์ด้านความน่าเชื่อถือ ตอกย้ำกลยุทธ์ Functional Marketing อีกด้านเรามุ่งสร้างความพึงพอในตราสินค้า (Brand Preference) และเพิ่ม Engagement กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลยุทธ์การทำตลาดเหล่านี้จะทำให้น้ำดื่มสิงห์เป็นผู้นำตลาดอย่างยั่งยืน ส่วนปีนี้คาดว่ายอดขายน้ำดื่มสิงห์จะเติบโต 10%”ธิติพร กล่าว

X

Right Click

No right click