

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และ บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการเกมออนไลน์และแพลตฟอร์มการสื่อสารชั้นนำ ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ ร่วมกันเปิดตัวงานแข่งขัน “Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac” ณ ลานแฟชั่นฮอล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน อย่างเป็นทางการเพื่อตอกย้ำกระแสความแรงของเกม Garena Free Fire อีกทั้งยังเป็นการผลักดันนักกีฬา และวงการ E-Sportsของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก พิเศษสุดสำหรับลูกค้าดีแทคทั้งระบบรายเดือนและเติมเงิน ซื้อแพ็กเสริมเน็ตที่กำหนด รับไอเทมสุดพิเศษในเกม และรับไอเทมสุดพิเศษอีกมากมาย เมื่อซื้อไอเทมในเกมผ่านระบบชำระเงินของดีแทค (Pay via dtac) ตามระยะเวลาที่กำหนด
ปัจจุบันอัตราการเติบโตของผู้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ข้อมูลจากเว็บไซต์ Newzoo.com ระบุว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ตลาดอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกนั้นขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดอุตสาหกรรมเกมนั้นเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือกลุ่มเกมบนโทรศัพท์มือถือ เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวที่เกิดขึ้นในปี 2561 กับปี 2560 แล้ว เห็นได้ว่ามีการขยายตัวของเกมบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 50% ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการเล่นเกมผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือนั้นเข้าถึงได้ง่าย สามารถเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา อีกทั้งยังไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยเพศ หรือช่วงอายุอีกต่อไป
นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ ผู้อำนวยการ สายงานการตลาดระบบเติมเงิน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคเห็นแนวโน้มกระแสความแรงของตลาดเกมบนโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าดีแทค ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่สนใจเกมมากกว่า 30% ฐานเกมเมอร์ผู้หญิงค่อนข้างเติบโตขึ้นในปีที่ผ่านมา แต่ฐานลูกค้าผู้ชายยังคงเยอะกว่า โดยกลุ่มช่วงอายุจะอยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 24 ปี และ 25 - 39 ปี มากกว่า 50% อาศัยอยู่ในบริเวณ กรุงเทพมหานคร และข้อมูลที่น่าสนใจ คือค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินในลูกค้าเติมเงินเกมเมอร์จะสูงกว่าลูกค้าเติมเงินปกติถึง 1 เท่าตัว
เกมออนไลน์ถูกจัดให้เป็นกีฬา E-Sports กีฬาประเภทนี้สามารถส่งเสริมให้คนพัฒนาแนวคิด วิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเพิ่มทักษะและการแก้ไขปัญหา ดีแทคมุ่งนำเสนอบริการที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนความก้าวหน้าของวงการ E-Sports ไทย เพราะเราเชื่อว่าเกมเมอร์ทุกคน ต่างล้วนมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในตัว และพัฒนาความสามารถนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่สายอาชีพนักกีฬา E-Sports อย่างเต็มตัว ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับบริษัท การีนา ออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเกมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย ในการที่จะช่วยกันผลักดันให้นักกีฬา และวงการ E-Sports ของไทย สามารถก้าวไกลไปสู่ระดับโลก”
“ในความร่วมมือกับการีนาครั้งนี้ ดีแทคได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนกีฬา E-Sports อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยเป็นผู้สนับสนุนหลักตลอดรายการ “Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac” เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวเต็มรูปแบบอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 6 และ 7 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ รวมทั้งงานแข่งขัน “Free Fire Proleague 2019 Presented by dtac” เพราะเราอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างพลังของเกมเมอร์ชาวไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก” นางสาว สุกัณณี กล่าว
นายศรุต วานิชพันธุ์, Director of Sea (ประเทศไทย) บริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ การีนา (Garena) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเกม การีนามุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับเหล่าเกมเมอร์อยู่เสมอ เช่น การก้าวเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาเกม จากเกม Garena Free Fire ซึ่งเป็นเกมแรกที่การีนาพัฒนาและเปิดให้บริการเอง สำหรับความร่วมมือระหว่าง การีนา และ ดีแทค บนเกม Garena Free Fire นี้ ก็เป็นการตอบโจทย์และเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งมองหานวัตกรรมและประสบการณ์การเล่นเกมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ความร่วมมืออย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้รวมถึงความพิเศษบนตัวเกม Garena Free Fire เช่น ไอเท็มต่างๆ เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะลูกค้าดีแทค และ ความยิ่งใหญ่บนการแข่งขันอีสปอร์ต ซึ่งดีแทคได้เข้ามาสนับสนุนรายการแข่งขันทั้งระดับประเทศ อย่าง ‘Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac’’ นอกจากนี้ คอเกมชาวไทยยังสามารถติดตามอีกหนึ่งสุดยอดการแข่งขัน จาก การีนา และ ดีแทค ในรายการ ‘Free Fire Proleague 2019 Presented by dtac’ ภายในกลางปี 2562 นี้ ได้อีกด้วย”
‘Garena Free Fire’ เป็นเกมแนว ‘Battle Royale’ บนมือถือเกมแรกที่พัฒนาและเปิดให้บริการเองโดยการีนา โดดเด่นด้วยดีไซน์ ควบคุมง่าย จบไว รองรับกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนทุกรุ่น มาพร้อมความตื่นเต้นในการเอาตัวรอดของเกมแนว ‘Battle Royale’ โดยภายในเกม ผู้เล่นจะต้องรับบทเป็นหนึ่งใน 50 ตัวละคร ที่เดินทางมายังเกาะร้าง และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะ หลังจากได้เปิดให้บริการมาเป็น ระยะเวลา 1 ปี เกม ‘Garena Free Fire’ กลายเป็นเกม ‘Battle Royale’ มือถือ ที่ได้รับการตอบรับและความนิยมจากผู้เล่นทั่วโลกและชาวไทยอย่างดีเยี่ยม มียอดผู้ลงทะเบียนบนเกม ‘Free Fire’ สูงถึง 350 ล้านคนจากทั่วโลก มียอดผู้เล่นสูงสุดต่อวันถึง 40 ล้านคน ติดอันดับ ‘Top 5’ สำหรับแอพพลิเคชั่นยอดนิยม และได้รับการถูกเสนอชื่อเป็น ‘Game of the year’ 2018 บน ‘Google Play’ รวมถึง‘Top Free Games of the year 2018’ บน ‘App Store’ และกลายเป็นเกมที่ได้รับยอดดาวน์โหลดสูงสุด บน App Store อีกด้วย เกม ‘Garena Free Fire’ พร้อมเติบโตต่อเนื่องไปพร้อมกับเกมเมอร์ทั่วโลกและเกมเมอร์ชาวไทยอย่างไม่หยุดยั้ง
ความร่วมมือระหว่างดีแทค และ การีนา ในครั้งนี้ได้มอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าดีแทคทั้งระบบรายเดือนและเติมเงินทุกคนที่เล่นเกม Garena Free Fire โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ลูกค้าดีแทคสามารถใช้บริการ Pay via dtac ให้ลูกค้าซื้อแอป เติมเกม ซื้อสติกเกอร์ไลน์ และสมัครบริการต่างๆ ผ่านเบอร์ดีแทคได้ง่ายๆ สะดวก ปลอดภัยไร้กังวล ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ใช้ได้ทั้งลูกค้าเติมเงินและรายเดือน สำหรับลูกค้าเติมเงิน ระบบจะตัดเงินจากกระเป๋าเงินในเบอร์ดีแทค ส่วนลูกค้ารายเดือน ยอดการซื้อจะถูกรวมไปกับค่าบริการรอบบิลนั้นๆ
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับโปรโมชั่นสำหรับเกม Garena Free Fire ได้ที่ http://dtac.co.th/s/ff
มาร่วมสนุกไปกับสุดยอดเกมมือถือสไตล์ Battle Royale ที่ต้องทำทุกวิถีทาง ให้อยู่รอด...เป็นคนสุดท้าย Garena Free Fire สามารถดาวน์โหลดได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งบนระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือ iOS และ Android
ติดตามรายละเอียดและกิจกรรมต่างๆ จากเกม Garena Free Fire ได้ที่
Website:http://ff.garena.in.th/
Facebook: https://web.facebook.com/freefireth/
ดีแทคเผย 6 ทักษะสำคัญทางดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำทางเพศในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พร้อมชูนโยบายสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในองค์กร สร้างวัฒนธรรมเคารพซึ่งกันและกัน-ออฟฟิศปลอดภัย หนุนความเท่าเทียมทางเพศ เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม
ดีแทคชูต้นแบบการใช้งาน 5G ร่วมทดสอบที่ศูนย์ 5G IoT & AI Innovation Center ภายใต้ความร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมชวน CAT และทีโอที ร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อสร้างกรณีการใช้งานในภาคธุรกิจจริง ทั้งศึกษาแนวทางและคุณสมบัติ 5G เพื่อสร้างต้นแบบการใช้งาน ทดลองใช้จริง
นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นอย่างไม่หยุดเพื่อวางรากฐานสำหรับโครงข่ายสู่อนาคตในประเทศไทย อาทิ ดีแทคเป็นรายแรกที่การนำเทคโนโลยีโครงข่ายระบบชุมสายเสมือน (Visualized Core Network: VCN) มาดำเนินงาน และนำอุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบ Massive MIMO 64x64 ที่ทันสมัยที่สุดในโลกมาให้บริการเชิงพาณิชย์เป็นรายแรกในไทย การนำประเทศไทยเข้าสู่ยุค 5G จะต้องอาศัยความร่วมมือหลายภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนผ่านสู่ 3G หรือ การมาของ 4G ดังนั้น ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่จะต้องวางแผนขยายโครงข่ายตอบโจทย์ในการรองรับอุตสาหกรรมและรูปแบบการใช้งาน นี่คือความสำคัญสำหรับเราในการมุ่งสู่การทดสอบเทคโนโลยีเพื่อค้นหาการใช้งานด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนสู่กลยุทธ์ 5G ของไทย”
ดีแทคร่วมกับ CAT และ ทีโอที ในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ร่วมกัน พร้อมทั้งร่วมกับทาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงาน กสทช. ในการเปิดศูนย์ 5G IoT & AI Innovation Center เพื่อทำการทดสอบ 5G ด้วยรูปแบบการใช้งานจริงต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำบริการ 5G ขับเคลื่อนประเทศไทย โดยศูนย์แห่งนี้ยังเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา คณาจารย์ และผู้สนใจร่วมทดสอบและพัฒนาสู่ความพร้อมของการทำงานดิจิทัล
สำหรับในช่วงทดสอบ 5G ดีแทคได้วางแผนเบื้องต้น ที่จะมีแนวทางทดสอบกรณีการใช้งาน (Use Cases) กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคาดว่ามีรูปแบบการใช้งาน (Use cases) ในกลุ่มฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming) อาคารอัจฉริยะ (Smart Building Solutions) บรอดแบนด์ไร้สายประจำที่ (Fixed Wireless Access) การวัดคุณภาพอากาศ (Air Quality Measurement) บริการสื่อขั้นสูง (Advanced media services) โดรนเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture Drones) สมาร์ทเฮลธ์แคร์(Smart Healthcare) อุตสาหกรรมอัจฉริยะ(Smart Industry) สมาร์ทซิตี้แอปพลิเคชัน (Smart City Application)
ที่ผ่านมา ดีแทคได้จัดทำโซลูชัน “ฟาร์มแม่นยำ” ซึ่งถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Internet of Things เพื่อการทำเกษตรที่มีความแม่นยำที่ดีแทคได้พัฒนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสุ่ 5G สามารถปลดล็อกมูลค่ามหาศาลให้แก่เกษตรกรของประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการทำเกษตรกรรมยุคใหม่จะต้องใช้ประโยชน์ของดิจิทัลและความสามารถของ 5G มาต่อยอดเพื่อทำรายได้เพิ่มมากขึ้น
ดีแทคมีเทคโนโลยีการสื่อสาร ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ที่พร้อมจะนำคนไทยสู่ความยั่งยืนของยุค 5G ดีแทคมีจุดยืนและให้ความสำคัญที่จะทำให้ 5G เกิดขึ้นในไทย คือ
นอกจากความร่วมมือที่ดีแทคพร้อมสำหรับทุกภาคส่วนแล้ว ดีแทคยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ให้บริการอุตสาหกรรมโทรคมนาคม คือ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบมจ.ทีโอที เพื่อประสานความรู้ ประสบการณ์ และพัฒนารูปแบบบริการสู่ 5G ในอนาคตอีกด้วย
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดตัวซีอีโอคนใหม่ อเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเวลาที่สัมปทานซึ่งมีอยู่กำลังจะหมดลง เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นที่อาจจะส่งผลกระทบทั้งภายในและนอกองค์กรดีแทค
อเล็กซานดรา เป็นชาวออสเตรียที่เคยผ่านงานมาหลายด้านทั้ง ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจออนไลน์เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และเริ่มเข้ามาสู่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมเมื่อปี 2544 จนเข้ามาทำงานกับกลุ่มเทเลนอร์เมื่อปี 2559 เธอเล่าว่าเธอเป็นนักกีฬากอล์ฟ ความเป็นนักกีฬาทำให้เธอชอบการแข่งขันเพราะการแข่งขันจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นมา และเธอก็หวังว่าการบริหารงานดีแทคจะเป็นเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่สามารถเล่นกีฬาได้ดี
อเล็กซานดรามองดีแทคว่ามีองค์ประกอบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ 3 ประการคือ มีแบรนด์ที่น่าภาคภูมิใจ มีลูกค้ากว่า 20 ล้านราย และมีพนังงานที่มุ่งมั่นในการทำงานให้ดีแทคประสบความสำเร็จ
การเข้ามาทำงานในช่วงเวลานี้ซึ่งใกล้ถึงวันสิ้นสุดสัมปทานเดิมที่มีอยู่ในวันที่ 15 ก.ย. ทำให้ภารกิจแรกของซีอีโอหญิงคนแรกของดีแทคคือการดูแลลูกค้าของบริษัท โดยเธอบอกว่าจะทำทุกอย่างที่จะช่วยคุ้มครองลูกค้าให้สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้
“เราให้ความสำคัญกับลูกค้าต้องมาก่อน โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานเราจึงตั้งใจดูแลลูกค้าเราให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำ เราต้องได้รับอนุมัติแผนความคุ้มครองลูกค้าในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานจาก กสทช. เพื่อลูกค้าดีแทคได้ใช้คลื่น 1800 MHz และ 850 MHz ซึ่งเป็นช่วงคลื่นเดิมของดีแทคที่หมดสัมปทานและไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน โดยลูกค้าดีแทคควรได้สิทธิ์ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ตามที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้รับการคุ้มครองตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน”
ประเด็นสองคือลูกค้าอาจได้รับผลกระทบบ้างช่วงเปลี่ยนผ่าน เราพยายามทำให้ดีที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญเราจะตรงไปตรงมากับลูกค้าให้มากที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ท้าทายแต่ก็เป็นช่วงที่จะมองไปสู่การปรับเปลี่ยนองค์กรที่มุ่งสู่การให้ความสำคัญกับลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ดีแทคจะขยายโครงข่ายการบริการทั้งคลื่น 2100 MHz และบริการบนคลื่น 2300MHz ของทีโอที เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
อเล็กซานดรา กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานนั้นยังเป็นการทำรายได้ให้กับรัฐ ตามข้อกำหนดจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวได้ อีกทั้งตามประกาศ กสทช ยังกำหนดให้รายได้ระหว่างการให้บริการในระยะเวลาคุ้มครองจะต้องเป็นของรัฐ ผู้ให้บริการเป็นเพียงผู้รับรายได้แทนรัฐเท่านั้น เมื่อได้รับรายได้มาผู้ให้บริการทำได้เพียงหักต้นทุนค่าใช้จ่าย และนำส่วนที่เหลือส่งเข้ารัฐเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป จึงจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในช่วงดูแลลูกค้า”
อเล็กซานดราให้ข้อมูลว่าปัจจุบันยังมีลูกค้าที่ใช้โครงข่าย 850 MHz อยู่ประมาณ 400,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผู้สูงอายุ ยังใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า ซึ่งต้องใช้เวลาในการโอนย้ายเครือข่ายตามความต้องการของลูกค้า
แม้จะเข้ามารับตำแหน่งในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านขององค์กรแต่ซีอีโอคนใหม่ดีแทคก็มองว่าเป็นโอกาสดีในการปรับองค์กรโดยเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้ามากขึ้นแบบ outside in ปรับกระบวนการทำงานให้สนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เธอบอกว่าจะมาทำให้ดีแทคแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง นำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยมีการตั้งหน่วยงานพิเศษที่รวบรวมพนักงานจากหลายแผนกมาทำงานเป็นทีมลดความเป็นไซโลในการทำงานลง เพื่อคิดหาวิธีบริการใหม่ๆ
และเมื่อมีคำถามถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมเธอมองว่าเหมือนกับการวิ่งแข่งระยะสั้นที่หากมัวแต่หันไปมองคู่แข่งก็คงแพ้แน่นอน แต่หากมุ่งมั่นวิ่งไปข้างหน้าก็มีโอกาสที่จะชนะรออยู่ เป็นบทสรุปมุมมองที่น่าสนใจของซีอีโอหญิงคนใหม่ของดีแทคคนนี้
ทำความรู้จัก อีกหนึ่งสมาร์ตฟาร์มแห่งยุค 4.0 ในเส้นทางที่ไม่ธรรมดา กว่าจะเป็น “โคโค่ เมล่อนฟาร์ม” ต้นกำเนิดเมล่อนญี่ปุ่นปลอดสารพิษ ปลูกในโรงเรือน ด้วยเทคโนโลยี Iot (Internet of Things)
แรงบันดาลใจของ “ณัฐ มั่นคง” เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานบริษัทเอกชน จากนั้นออกมาทำงานค้าขาย ในแวดวงธุรกิจปุ๋ยหมักชีวภาพ ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงคุณภาพดิน ลดสารตกค้างในดิน กระทั่งปัจจุบันผันตัวมาเป็นเกษตรกรเจ้าของ โคโค่ เมล่อนฟาร์มอย่างภาคภูมิใจ
เขาเล่าถึงความคิดในอดีตกับนิตยสาร MBA ว่า “เมื่อเราจบใหม่ๆ เราอาจจะคิดแค่ว่าทำงานอะไรก็ได้ หรือแค่มีร้านกาแฟสักร้านก็คงจะเท่น่าดู แต่สังเกตว่าตั้งแต่ 3-5 ปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัน เทรนด์การเกษตรมาแรงมาก ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข คงมีคนอยากคุยด้วยมาก และดูเท่ดี” จึงจะเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยในการเลือกเป็นเกษตรกร ที่มาจากทั้งความหลงใหล บวกกับความต้องการทำการเกษตรปลอดสารพิษด้วย และอีกส่วนหนึ่ง คือ การศึกษาจากคณะธุรกิจเกษตร สาขาการตลาด จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทำให้สามารถนึกภาพการค้าขายได้
“คนมักจะมองเกษตรกรว่าเป็นฝ่ายผลิตเท่านั้น เราจึงต้องเริ่มจากความคิดในการสร้างโมเดลของธุรกิจเกษตร เพื่อให้เกิดการครบวงจร ไม่อย่างนั้นเกษตรกรจะไปต่อไม่ได้”
เริ่มจากการผลิต ที่เราต้องกล้าทดลอง แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างอย่างไร และต้องคิดว่าพื้นที่ในมือที่เรามีอยู่ในตอนนี้เท่าไร มี 100 ไร่หรือมี 10 ไร่ ถ้ามี 100 ไร่ รูปแบบการทำเกษตรของผมอาจจะเปลี่ยนไป อยากจะทำอะไรก็ได้
แต่เผอิญวันนี้ พื้นที่มีอยู่ 10 กว่าไร่ ก็ต้องคิดว่า 10 กว่าไร่ ถ้าทำนาแปลว่าปีหนึ่งจะไม่มีเงินหมุนเลย เพราะมันจะน้อยมากจนไม่เห็นตัวเลข ต้องมามองว่าจะทำพืชอะไรที่เป็นไปได้ และเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นจังหวะที่เมล่อน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่กำลังมาแรง จึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาทำ วันนั้นเมื่อตอนแรกเริ่มมีพื้นที่เพียง 3-4 ไร่ แต่สามารถมีเงินหมุนเป็นล้านบาทต่อปีได้
เสริมกับประสบการณ์ที่เราเคยอยู่ในแวดวงเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ ทำให้มีความรู้เรื่องปัญหาพืช โรคในดิน การให้ปุ๋ย มาช่วยในเรื่องผลผลิตอีกด้วย จากเริ่มต้นที่ 3.5 ไร่ ขยายออกไปอีก 7.5 ไร่ ต่อเนื่องพัฒนาไปถึงการรวมกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ วันนี้รายได้ต่อเดือนสำหรับณัฐ เขาตอบว่า ไม่ได้หวือหวานัก แต่สามารถหล่อเลี้ยงทุกชีวิตที่ช่วยงานในฟาร์มได้อย่างสบาย โดยมีเงินหมุนต่อเดือนประมาณ 2-3 แสน และในอนาคตมีแผนจะพัฒนาเป็นเกษตรเชิงท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามทุกอย่างต้องเริ่มที่เงินทุน ซึ่งอยู่ระหว่างการสะสม และมีพันธมิตรร่วมกันที่จะทำให้ชุมชนแข็งแรง
คิดแบบเกษตรกรยุคดิจิทัล
ณัฐ ย้ำว่าจุดเริ่มต้นของแนวคิดการจะมาเป็นเกษตรกรนั้น เราต้องมองอาวุธในมือเราก่อน เช่น มีพื้นที่เท่าไร บางคนทำแค่ไร่อ้อยแต่เขาทำ 500-1,000 ไร่ ก็รวยได้แน่นอน แต่อย่างเรามีพื้นที่ไม่มากนัก 3 ไร่ หรือ 10 ไร่ ทำอะไรแล้วจะคุ้ม จึงต้องมองไปถึงค่าจัดการ ทั้งของตัวเราและลูกน้องของเรา เพราะการทำเกษตรนั้นทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน จากนั้นก็ต้องมามองว่าจะปลูกอะไร
“ถ้าปลูกข้าวโพดหรือข้าวบนพื้นที่จำกัด คงจะมีรายได้เพียงหลักหมื่นต่อปี ต้องหันมามองพืชเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างที่ผมหันมามองเมล่อน”
จากนั้นต้องมีการสำรวจตลาดก่อนการทดลองปลูก ณัฐเล่าถึงวิธีสำรวจราคาในหลายช่องทางการขาย ทั้งตลาดไทย ห้างสรรพสินค้า การขายส่งเข้าห้าง และหลังการสำรวจ เขาก็เริ่มเพาะปลูกเมล่อนญี่ปุ่น ไม่ต่ำกว่า 20-30 สายพันธุ์ พร้อมกับเก็บข้อมูลจากการออกบูธวางหน้าร้านว่าสายพันธุ์ไหนอร่อย ถูกใจลูกค้า และซื้อง่ายที่สุด
“ในระยะเวลาทดลองประมาณ 1 ปี ที่ปลูกหมุนเวียนได้ประมาณ 3-4 ครั้งเราได้คัดเลือกมาที่ 3 สายพันธุ์”
นอกจากนั้นการพยากรณ์ผลการผลิตให้สัมพันธ์กับยอดขายในอนาคต ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ณัฐ มีการวางแผนเตรียมโรงเรือนในการเพาะเมล็ดหมุนเวียนเพื่อรอบการผลิตทุกสัปดาห์ เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนให้สอดคล้องกับทุกช่องทางการขาย และเนื่องจากผลผลิตที่ได้มามีหลายเกรด ดังนั้นช่องทางต้องทำแบบผสมผสาน โดยผลผลิตเกรด A ตัวท๊อป อาจไม่ได้มีจำนวนมากนัก แต่ได้ราคาที่สูง ในขณะที่ปานกลางนั้นสามารถขายส่งได้ เป็นต้น
“การพยากรณ์ผลผลิต ไม่ต่างจากการพยากรณ์หนี้เสียของธนาคารหรือบัตรเครดิต ในแต่ละ 10 รอบของการปลูก (Crop) เมล่อน เขาจะพยากรณ์ไว้เลยว่าจะได้ประมาณ 8 crops คำนวณต้นทุน 10 crops จะได้ประมาณ 8 crops เรียกได้ว่ามีหนี้เสียประมาณ 20% หากไม่เสียหายถึงระดับที่พยากรณ์ก็ถือว่าเป็นกำไร เขากล่าวว่าเป็นการมองต้นทุนที่แท้จริง ดีกว่าการมองแบบเดิมๆ ที่ว่า 1 ไร่จะได้ 40,000 เพราะฉะนั้น 10 ไร่ได้ 400,000 จะทำให้การคำนวณผิดเพี้ยน เพราะผลผลิตเกษตรสามารถเน่าจนเป็น 0 ได้”
ณัฐ บอกว่า หากในบางปีที่ผลผลิตเกิดความเสียหาย หรือตกเกรดไม่ได้ตามที่คาด ก็ต้องหาแผนสำรองไว้ด้วย เช่นการแปรรูป อาจจะเป็นแยม หรือน้ำเมล่อนสกัดเย็น ที่สำคัญคือทำอย่างไรจะทำให้ผลผลิตเหลือ 0 ให้ได้ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยราคาของพืชผลการเกษตรจะมีขึ้นมีลง แต่สังเกตได้ว่าราคาในห้าง นั้นไม่มีขึ้นลง ยกตัวอย่าง สับปะรดราคาตก แต่ก็ไม่เห็นราคาสับปะรดที่ในห้างราคาเท่ากับท้องตลาดทั่วไป
ในฐานะเกษตรกรที่เป็นต้น ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อตัดสินใจว่าจะปลูกเมล่อน ตอนเปิดตัวราคาค่อนข้างดีทีเดียว 1 กิโลกรัมอย่างน้อย 100 -200 บาท แต่วันนี้เมื่อเริ่มมีผู้ปลูกจำนวนมาก ราคาจึงตกลงตามเงื่อนไขดีมานด์ซัพพลายโดยปกติ วิธีที่จะหาทางรอดมาได้ต้องแข่งขันกันที่ต้นทุนการจัดการฟาร์ม ให้ได้ผลผลิตเกรด A ในปริมาณสูงต่อ 1 โรงเรือน ถ้าใครจัดการได้ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
เทคโนโลยีกับภาคเกษตร
ณัฐ บอกว่าเมล่อนญี่ปุ่นเป็นพืชที่มีฤดูกาล ดังนั้นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จ คือ เทคโนโลยีที่สามารถควบคุมระบบการเพาะปลูกได้ทุกขั้นตอน เกษตรกรมีหน้าที่เพียงติดตามดูข้อมูลว่า สิ่งไหนเกินกว่าความจำเป็น การลงทุนลงไป จะถึงจุดคุ้มทุน หรือลดต้นทุน ไม่ทำให้คุณภาพของผลผลิตด้อยลง เช่น เซนเซอร์วัดปริมาณแสงแดดในโรงเรือน ที่ในแต่ละฤดูกาลแสงไม่เท่ากันส่งผลต่อขนาดของผลผลิต เช่น แสงหน้าหนาวลูกจะเล็กและโตช้า เมื่อได้ข้อมูลจากเซนเซอร์เราก็ไปช่วยในส่วนนี้ เช่น ขยายระยะปลูก เพื่อให้ได้ขนาดเกรด A ตามที่ตลาดต้องการ
สำหรับเครื่องวัดความชื้นที่เป็นหัวเซนเซอร์ใส่ไปในดินเพื่อวัดค่า ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากโครงการเกษตรกรรุ่นใหม่ ในกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่ง ดีแทค (บริษัท เปอร์เซ็นต์เทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ) มีโครงการเข้ามาสนับสนุน โดยร่วมมือกับ NECTEC (ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ) ที่นำเทคโนโลยี IoT ช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพ และเลือกฟาร์มโคโค่ เมล่อนของณัฐ เป็นหนึ่งในฟาร์มนำร่องของโครงการฯ ที่นำอุปกรณ์มาวิจัยและเก็บข้อมูลในแปลงเกษตร โดยอุปกรณ์นี้ทำให้เกิดประสิทธิผลเพราะทำให้เกิดความแม่นยำ ค่าที่ได้เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน ไม่ใช้ความรู้สึกที่อาจผันแปรได้ตามบุคคล เป็นกระบวนการที่ทำให้มีคุณภาพสม่ำเสมอ
รวมถึงเทคโนโลยี ตรวจความชื้นดิน ที่การตรวจดูจากหน้ามอนิเตอร์จะทำให้รู้ว่าความชื้นในดินมีกี่เปอร์เซ็นต์ ควรจะปรับระดับน้ำเท่าไรให้พอดี ในขณะที่ในอดีต ถ้าเห็นว่าใบเหี่ยวจะคิดว่าเมล่อนขาดน้ำก็จะให้น้ำไปอีก แต่วันนี้มีมอนิเตอร์ทำให้พบสาเหตุได้ ถ้าความชื้นในดินยังมีค่าเท่าเดิม จะทำให้รู้เลยว่ารากเน่า อย่างนี้เป็นต้น เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสร้างผลผลิตในเชิงปริมาณที่ได้คุณภาพเกรด A สูงขึ้น
ณัฐ ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดถึงให้เกษตรกรรุ่นใหม่ว่า ต้องสำรวจดูสเกลตนเอง ว่าจะควบคุมการจัดการฟาร์ม ควบคุมแสง ความชื้นในดิน ความชื้นในอากาศ และอุณหภูมิ เพราะทุกส่วนมีผลต่อผลผลิตที่ดี และเท่ากันทุกโรงเรือน อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดการทำเกษตรไม่มีสูตรตายตัว เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ และอย่าทำการทำเกษตรเพราะกระแสมา ต้องรักและตั้งใจทำ จึงจะได้เงินจากตรงนี้จริง และเพียงพอต่อความต้องการ อย่าเพียงแค่เบื่องาน แล้วมาทำเกษตร