February 17, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 10974

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) แถลงปรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 62 เหลือ 3.0% จากเดิมมอง 3.5% เหตุตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอมากกว่าคาด ทำให้แรงส่งต่อไปยังในช่วงที่เหลือมีข้อจำกัดแม้ความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นหลังจากฟอร์มรัฐบาลใหม่ ขณะที่ยังมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกสงครามการค้าถึงทางตัน จึงยากที่จะเห็นเครื่องยนต์ส่งออกกลับมาในปีนี้ พร้อมมองเป็นปีที่ระบบธนาคารเผชิญความท้าท้ายจากเศรษฐกิจชะลอ  คาดสินเชื่อทั้งปีโตชะลอลงที่ 4.5%  แนะระวังคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย ที่เริ่มเห็น NPL ขยับขึ้นในกลุ่มสินเชื่อรถและบ้าน

เศรษฐกิจโลกเข้าสู่วงจรขาลงแรงและเร็วกว่าคาด  ไตรมาสแรกปีนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการค้าของโลกชะลอลงชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจหลักอย่างยูโรโซน ภาคการส่งออกของเศรษฐกิจหลักรวมถึงแถบอาเซียนเข้าสู่โหมดชะลอตัวจนถึงหดตัว สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกเติบโตเหลือ 3.3% และ 3.4%

มองสถานการณ์ส่งออกไทยยังคงอ่อนแอ ทั้งปีโตได้เพียง 0.5% ตามประมาณการเดิม  ในไตรมาสแรก มูลค่าส่งออกของไทยติดลบเป็นไตรมาสแรกที่ 2% และคาดว่าในระยะต่อไป ปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศจะส่งผลกระทบมากขึ้นทั้งเศรษฐกิจหลักที่เป็นคู่ค้าชะลอตัวมากขึ้นกระทบซัพพลายเชนโลกชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และแรงกดดันสงครามการค้าที่ตอบโต้กันไปมาด้วยการขึ้นภาษีทำให้ปริมาณการค้าโลกอยู่ภาวะตกต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าส่งออกไทย แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังเติบโตได้ในเกณฑ์ดี แต่แรงส่งก็ไม่เพียงพอให้ภาพการค้าโลกดีขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องและตลาดยุโรปที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงของ Brexit ที่ค้างคา เราประเมินยอดส่งออกของไทยไปตลาดยุโรปจะไม่ขยายตัวและหดตัวในตลาดจีนราว 5 % ขณะที่ตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่นยังขยายตัวได้ในอัตราชะลอลง ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งออกไปตลาดสหรัฐได้ต่ำกว่าคาด หากโดนตัดสิทธิ GSP จากสหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าราว 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 16% ของยอดส่งออกไปสหรัฐ ทำให้ภาคส่งออกทรุดตัวต่ำกว่าคาดได้อีก

 

คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 40.4 ล้านคนในปี 62 หรือเพิ่มขึ้น  5.5% ชะลอลงจากปี 61 ที่ขยายตัว7.5% และแนวโน้มในปีหน้าจะไม่เห็นอัตราการเติบโตที่สูงๆของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างที่เราคุ้นชิน เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศนักท่องเที่ยวที่เป็นตลาดหลักชะลอตัวทั้งจีนและยุโรปซึ่งมีสัดส่วนรวมกันเกือบ 50%ของนักท่องเที่ยวรวมและส่งผลกระทบต่อรายได้การท่องเที่ยวรวมหดหายไปเนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนกว่า 67%ของรายได้การท่องเที่ยวรวม เรามองว่าเมื่อพึ่งต่างชาติได้น้อยลง คงต้องหันพึ่งตนเองมากขึ้นโดยปลุกกระแสไทยเที่ยวไทยให้เพิ่มมากขึ้นจากที่มีรายได้เติบโตเฉลี่ยราว 8-10%ต่อปีเพื่อชดเชยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง

ความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ หนุนการลงทุนเอกชนครึ่งปีหลัง คาดทั้งปีขยายตัว 4%  เราประเมินสถานะความพร้อมของการลงทุนโดยใช้ตัวเลขทางการเงินที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับการลงทุนทั้งสภาพคล่อง(Free cashflow) ที่เหลือของภาคธุรกิจ และผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ที่ปรับดีขึ้น ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันบริษัทไทยอยู่ในสถานะพร้อมลงทุน บวกกับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่อยู่ในเกณฑ์ดี อัตราการใช้กำลังผลิตที่ปรับสูงในหลายอุตสาหกรรม และต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ หากมีบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังความชัดเจนในทิศทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลใหม่ การเร่งสานต่อของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ EEC เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 สนามบินอู่ตะเภา จะทำให้เริ่มเห็นเม็ดเงินการลงทุนใหม่ของเอกชนเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการลงทุนของอุตสาหกรรม S-Curve ที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI ในปี 59-60 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่หากเริ่มลงทุนในปี 62 จะมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านบาท

การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง แต่ไม่เป็นอัตราเร่ง จากรายได้เกษตรกรที่ทรงตัวในระดับต่ำและหนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้น ในช่วงปี 60-61 การบริโภคเอกชนฟื้นตัวเติบโตเร็ว ซึ่งเป็นการขยายตัวดีในทุกหมวดสินค้าแต่หลักๆมาจากแรงซื้อสินค้าคงทนกลุ่มรถยนต์จากการปลดล็อกมาตรการรถคันแรก ซึ่งสามารถสะท้อนจากสินเชื่อเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นทุกหมวดหมู่ทั้งสินเชื่อบ้าน รถ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่โดดเด่นคือสินเชื่อรถที่เติบโตในอัตราเร่ง 10-14% ทำให้ยอดคงค้างสินเชื่อปัจจุบันสูงแตะ 1.1 ล้านล้านบาท บวกกับเริ่มมีประเด็นคุณภาพสินเชื่อรถจาก NPL ที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น แนวโน้มการขยายตัวการบริโภคเอกชนในช่วงต่อไปจะชะลอลงเพราะแรงซื้อรถน่าจะอ่อนแรงลง และยอดหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง 78.6% ต่อ GDP เป็นข้อจำกัดการเติบโตของการบริโภค

มองว่าธปท.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ตลอดปี 62 สาเหตุจากความเสี่ยงต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทำให้แรงหนุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังไม่มากพอให้ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีไม่มาก  ขณะเดียวกัน  การจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะชะลอลง พบว่ามีข้อจำกัดจากหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีประเด็นคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมถอยลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินได้

ค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มไปในทิศทางแข็งค่าขึ้น จากปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ 31.6-32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหนุนด้วยปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นอย่างชัดเจนของธนาคารกลางหลักๆของโลก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่อยู่ในเกณฑ์ดีและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด  ทำให้คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในช่วง 31.2-32.0 หรือเฉลี่ย 31.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าราว 2.7 % จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ความเสี่ยงจากสงครามการค้าและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่  ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากกว่าช่วงต้นปี

แนวโน้มธนาคารพาณิชย์

การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในปี 62 แม้ยังอยู่ในเกณฑ์ดีแต่มีแนวโน้มชะลอลง ตามสภาพเศรษฐกิจ โดยสินเชื่อรวมมีแนวโน้มขยายตัว 4.5% ลดลงจาก 6% ในปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากสินเชื่อรายย่อยที่คาดว่าจะขยายตัวลดลงจาก 9.4% ในปีก่อน เหลือเพียง 5.1% ตามการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอลงจากภาระหนี้ที่เร่งตัวขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และ SME ขยายตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 4.6% และ 4.0% ตามลำดับ โดยคาดว่าแรงหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และ EEC จะเกิดขึ้นได้หลังมีการฟอร์มรัฐบาลในช่วงครึ่งปีหลัง

คุณภาพสินเชื่อค่อนข้างน่ากังวลโดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจปรับดีขึ้นเล็กน้อย โดยยอด NPL รวมทั้งระบบคาดว่าจะอยู่ที่ 4.9 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 4.5 หมื่นล้านจากช่วงต้นปี ซึ่ง NPL ของกลุ่มสินเชื่อรายย่อยมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.3 แสนล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง NPL ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์ จากผลของการเร่งปล่อยสินเชื่อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยสูงถึง 9.4% ขณะที่รายได้ภาคครัวเรือนเพิ่มเฉลี่ยเพียง 1.7%

ประเด็นเรื่องการทำสงครามเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไม่น่ากังวล เนื่องจากสินเชื่อมีแนวโน้มชะลอลง โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอาจมีการปรับขึ้นเล็กน้อย ทำให้เงินฝากมีแนวโน้มขยายตัวที่ 4.8% ให้สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ตึงตัวขึ้นเล็กน้อย สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับมาอยู่ที่ 98%

 

 

นายรูว์ ไฮซแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ทีเอ็มบี  รับรางวัล Digital Bank of the Year Award 2018 ในงาน The Asset Triple A Digital Awards 2018  ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมโฟร์ซีซัน ฮ่องกง เมื่อเร็วๆนี้ รางวัลที่ได้รับนี้เป็นผลสืบเนื่องจากผลงานด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งที่โดดเด่นของทีเอ็มบีที่ได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ดังนี้ ผลงานจากการผสานใช้เทคโนโลยีด้านการเงิน ผ่านการใช้ข้อความเตือนในแอปพลิเคชัน  TMB TOUCH  ผลงานจากการออกแบบประสบการณ์ในรูปแบบ Gamification ของ TMB WOW เพิ่มประสบการณ์ความสนุกในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน  และผลงานการสร้างประสบการณ์ การบริจาค ครบทั้งกระบวนการผ่านช่องทางดิจิทัล เว็บไซต์ ปันบุญ www.punboon.org  ศูนย์รวมมูลนิธิและองค์กรการกุศลทั่วประเทศ ตอกย้ำบทบาทของธนาคารที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Make THE Difference  ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ย้ำเจตนารมณ์การเป็นธนาคารที่ให้ลูกค้าได้มากกว่าในยุคดิจิทัล

ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) นำทีมโดย นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเปิดงานส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีคุณภาพเพื่อลูกค้าตามปรัชญา Make THE Difference ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนา ทีเอ็มบี ซัพพลายเชน โซลูชัน (TMB Supply Chain Solution) ที่มีมานานมากว่า 10 ปี เริ่มต้นจากการให้แหล่งเงินทุนแก่เครือข่ายคู่ค้าของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และมุ่งเน้นสร้างความสะดวกสบายจากการทำธุรกรรมการเงินรูปแบบใหม่ ให้แก่ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่  SMEs ขนาดกลางและเล็ก ที่มีมากถึง 3 ล้านราย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง การเกษตรและอื่นๆ มีอัตราการจ้างงานสูงถึง 82% แต่ทำรายได้เพียง 42% ของ GDP ในประเทศไทย ปัญหาหลักเป็นเพราะ SMEs ยังประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งเงินทุน บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และการบริหารจัดการที่ดี ทีเอ็มบีจึงผลักดันนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริม เชื่อมต่อดิจิทัลโซลูชันกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ให้สามารถเชื่อมการชำระเงินและการส่งต่อข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร ตอบสนองแนวทางการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของลูกค้าและผลักดันความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ

ด้านนายเสนธิป ศรีไพพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยถึงหัวใจสำคัญของการให้บริการลูกค้าธุรกิจของทีเอ็มบี ก็คือการพัฒนาบริการ TMB Supply Chain Financing พร้อม Total Solution ครบวงจร ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพัฒนา Solution สร้าง ECO-System ให้คู่ค้ามีส่วนร่วม เพื่อให้ธุรกิจทุกขนาดมีการเจริญเติบโตไปพร้อมๆ กัน ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอุปโภค บริโภค วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยต่างให้ความสนใจนำ TMB Supply Chain Solution เข้าไปใช้เพื่อสร้างประสิทธิภาพทั้งซัพพลายเชนให้คู่ค้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อาทิ บุญรอดบริวเวอรี่ ปตท. เอสซีจี

นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมและพาร์เนอร์ที่มีศักยภาพสูงที่เปิดใจต้อนรับระบบ TMB Supply Chain Solution อย่าง บริษัท น้ำตาลมิตรผล ที่นำโซลูชันไปใช้เชื่อมต่อกับเกษตรกรให้เกิด Circular Economy ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน กิจการค้าปลีก ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต นำเอาโซลูชันนี้มาแก้ปัญหาการเกิด Lap ระบบสั่งซื้อ สั่งผลิตให้ไม่สะดุด และ Tech Startup ในแวดวงธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัท บิลค์ เอเชีย จำกัด พัฒนาเเพลตฟอร์มช่วยบริหารต้นทุนมาวางแผนการเงิน เปิดใบสั่งซื้อให้ผู้ใช้งาน 25,000 บริษัททั่ว Southeast Asia ร่วมทั้งการ Match กับ Developer รายใหญ่ สร้างเว็บไซต์วัสดุออนไลน์ เชื่อม Data Supply Chain เข้าด้วยกันทั้งหมด

คุณรัชกร ชยาภิรัต หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารนวัตกรรมทางดิจิทัล (ลูกค้าธุรกิจ) ทีเอ็มบี เผยส่วนผสมสำคัญ 3 อย่างที่จะนำมาทำ E-Money ระบบเช็ค จัดการธุรกรรมทางการเงิน Cost Control เข้ามา Disrupt ระบบ Eco-System ได้แก่ Data, Device และ Distribute สู่ลูกค้า จนสามารถต่อยอดและร่วมกันพัฒนาดิจิทัลโซลูชันเพื่อเสริมเรื่องการให้แหล่งเงินทุนสำหรับแก้ปัญหาและเดินหน้าให้บรรลุเป้าหมายได้ รวมไปถึงการสามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐอย่างครบวงจร ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว ขานรับนโยบายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น นายณศมณ คุ้มธรรมพินิจ เจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจ ทีเอ็มบี ยังได้นำเสนอดิจิทัลซัพพลายเชน แพลตฟอร์มใหม่ เปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย รวมผู้ซื้อและผู้ขายไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้ลูกค้าธุรกิจและคู่ค้าทำงานได้สะดวก ง่าย และลดกระบวนการในการทำงานให้รวดเร็วขึ้น โดยมาในรูปแบบของทั้งเว็บไซต์และมือถือ ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถสร้างใบสั่งซื้อ ผู้ขายสามารถสร้างใบแจ้งหนี้ และส่งหากันผ่านทางแพลตฟอร์มได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ซื้อยังสามารถใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี หรือ OD มาขายลดใบแจ้งหนี้ได้ ตรวจสอบและดูรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ผ่านทางแพลตฟอร์มนี้ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้การใช้วงเงินสินเชื่อ Supply Chain เป็นเรื่องง่าย ทำได้เพียงไม่กี่ขั้นตอน

“กว่า 10 ปี ที่ทีเอ็มบีให้ความสำคัญกับเรื่อง Supply Chain Financing และพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Supply Chain จนเป็นโซลูชันแบบดิจิทัลที่สร้างความแตกต่างและการเจริญเติบโตให้กับลูกค้าธุรกิจ ปัจจุบันมีลูกค้าที่เลือกใช้บริการ TMB Supply Chain Solution ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือซัพพลายเออร์ ร่วม 100 ราย ดีลเลอร์ของคู่ค้า ซึ่งก็คือ SMEs ขนาดกลางและเล็ก ในเครือข่าวกว่า 1,500 ราย และจะยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อยอดไปอีก เพราะความสำเร็จของลูกค้าคือความภาคภูมิใจของทีเอ็มบี ปัจจุบันลูกค้าที่เลือกใช้บริการ TMB Supply Chain Solution ได้แก่ ธุรกิจรายใหญ่ร่วม 100 ราย และธุรกิจ SMEs ที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 1,500 ราย” นายเสนธิปกล่าว

ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2562 เน้นตอบโจทย์ รู้จริงแก้ปัญหาหลักของเอสเอ็มอีไทย ทั้งปัญหาเรื่องการจัดการธุรกรรมการเงิน การบริหารจัดการพนักงาน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจได้ทันเวลาที่ต้องการ โดยมีแนวทางการพัฒนา 3 ดิจิทัลโชลูชันเพื่อเอสเอ็มอี ได้แก่ รายงานสุขภาพการเงินของเอสเอ็มอีแบบเรียลไทม์ที่เข้าใจง่าย และนำไปใช้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ, สวัสดิการด้านสุขภาพเพื่อพนักงานของเอสเอ็มอีที่ยืดหยุ่นคล่องตัว และบริการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านโมบายล์แอปพลิเคชัน เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถเติบโตได้มากกว่า และทีเอ็มบีเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบ และบอกต่อมากที่สุดในประเทศไทย

 

นางสาวชมภูนุช  ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ด้วยปรัชญาของทีเอ็มบี คือ Make THE Difference ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น เราจึงมีความพิถีพิถันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ และคิดอย่างรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง (Need-based) และให้สามารถใช้งานได้ง่าย และสะดวก (Simple & Easy) สร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อเอสเอ็มอีสามารถเติบโตได้มากกว่า (Get MORE with TMB) ซึ่งในปีนี้ แผนธุรกิจของทีเอ็มบี เอสเอ็มอี ตั้งเป้ายอดการปล่อยสินเชื่อมูลค่า 27,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 60% จากปีที่ผ่านมา”

 

“ทั้งนี้จากการศึกษาอินไซต์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพบว่า ปัญหาหลักที่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของเอสเอ็มอีมีอยู่ 3 ข้อ คือ

(1) ปัญหาธุรกรรมยุ่งเหยิง ทั้งการรับเงินจากลูกค้าและการจ่ายเงินให้คู่ค้า ด้วยเงินสด และการโอนเงินในหลายช่องทาง เช่น QR Code และเครื่อง EDC ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรวบรวมและทำบัญชีกระทบยอด ทั้งยังมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย สรุปยอดไม่ตรง และสุดท้ายรายงานบัญชีที่ทำขึ้นมาก็ยังไม่สะท้อนภาพรวมสุขภาพการเงิน หรือสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจได้ ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(2) ปัญหาการบริหารบุคคล เนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นองค์กรขนาดเล็ก พนักงานคือกลไกสำคัญเพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์อันดีและครองใจพนักงานนั้น สวัสดิการด้านสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่พนักงานให้ความสำคัญ แต่ทว่าธุรกิจเอสเอ็มอีมีข้อจำกัด เพราะไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพแบบกลุ่มให้กับพนักงานได้ ด้วยจำนวนพนักงานไม่เพียงพอต่อการซื้อขั้นต่ำของประกันสุขภาพแบบกลุ่ม แต่ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพแบบรายบุคคลให้กับพนักงานก็ติดปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นหากพนักงานประสบอุบัติเหตุหรือมีปัญหาสุขภาพ เจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่จึงเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้จึงไม่สามารถควบคุมต้นทุนด้านการบริหารบุคคลได้

(3) ปัญหาพลาดโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากเอสเอ็มอีเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เนื่องจากขาดความเข้าใจ และขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อยื่นสมัครสินเชื่อ ส่งผลให้เอสเอ็มอี 27% เลือกใช้เงินทุนตั้งต้นธุรกิจจากการใช้บริการสินเชื่อและการกดเงินสดจากบัตรเครดิต โดยยอมแบกรับกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินความคุ้มค่าระหว่างดอกเบี้ยกับกำไรของธุรกิจ”

 

นายพร้อมพงษ์  พัฒนธีระเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารผลิตภัณฑ์และ Portfolio ธุรกิจเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี ได้เผยถึงเนวทางการพัฒนาโซลูชันเพื่อเอสเอ็มอีว่า “ในปีนี้ทีเอ็มบียังคงยึดหลักแนวคิดให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ แก้ปัญหา และยกระดับการเติบโตให้เอสเอ็มอีได้อย่างครบวงจร โดยเตรียมเปิดตัว 3 โซลูชันเพื่อเอสเอ็มอี ได้แก่

(1) รายงานสุขภาพการเงินของเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นการจัดการข้อมูลและธุรกรรมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เป็นภาพกราฟฟิกสวยงาม ชี้ให้เห็นทิศทางของเงินเข้าและออก จากทุกช่องทางเพื่อสามารถนำไปประเมินสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดและลดเวลาของการทำบัญชีกระทบยอดของเอสเอ็มอีได้ และยังนำไปใช้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย

(2) สวัสดิการด้านสุขภาพเพื่อพนักงานของเอสเอ็มอีที่ยืดหยุ่นและคล่องตัว ในราคาที่เอสเอ็มอีเข้าถึงได้ เพียงลูกค้าเอสเอ็มอี เปิดบัญชีธุรกิจ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ สามารถมีสิทธิ์ซื้อโปรแกรมสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับพนักงานของธุรกิจตนเอง มีสิทธิประโยชน์แบบประกันกลุ่ม โดยเริ่มต้นพนักงานเพียง 5 คน และจ่ายขั้นเพียงสามร้อยกว่าบาทต่อเดือน ครอบคลุมทั้งกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก สามารถซื้อและปรับเปลี่ยนชื่อพนักงานได้ทางออนไลน์ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่ 4 คลิกเท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าเอสเอ็มอีใช้บริการจัดการเงินเดือนพนักงานด้วยระบบอัตโนมัติ (Payroll) กับทีเอ็มบี จะได้รับฟรี! แอปพลิเคชันระบบช่วยบริหารจัดการงานบุคคลแบบดิจิทัล HR Management Program ครบทุกฟีเจอร์ เข้า ออก ขาด ลา มาสาย ครอบคลุมการใช้งานทั้งบริษัทและพนักงาน

(3) บริการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านโมบายล์แอปพลิเคชัน ทีเอ็มบี บิส ทัช (TMB BIZ TOUCH) โดยการสร้างโมเดลอัจฉริยะวิเคราะห์ข้อมูล เปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมการเงินต่างๆ ของลูกค้าที่ธนาคารมีอยู่แล้ว ให้เป็นหลักประกัน เพื่อช่วยลูกค้าให้เข้าถึงสินเชื่อและได้เงินทุนง่ายขึ้นในเวลาที่ต้องการ และประหยัดเวลาในการเตรียมข้อมูลและเอกสารที่ใช้ในการสมัครสินเชื่ออีกด้วย

ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) มุ่งตอกย้ำลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้มากกว่า (Get MORE with TMB) นำเสนอบริการเพื่อการจัดการงานบุคคลที่ชาญฉลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ บริการ ‘TMB Payroll Plus’ ชูจุดเด่น All-in-One Digital Employee Engagement Solution การบริหารจัดการสวัสดิการพนักงานด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง ที่มากกว่าเรื่องการจ่ายเงินเดือน เอื้อประโยชน์นายจ้างหรือเจ้าของธุรกิจสร้างความผูกพันกับพนักงาน ส่งมอบสวัสดิการสุขภาพ พร้อมคุ้มครองชีวิต หรือประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษ ตัดความกังวลที่ต้องเตรียมเงินก้อนโตไว้จ่าย ด้วยข้อเสนอชำระค่าเบี้ยประกันเป็นรายเดือนในราคาเบาๆ ซึ่งเป็นรูปแบบบริการใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าธุรกิจ

นายรัชกร ชยาภิรัต หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารนวัตกรรมทางดิจิทัล (ลูกค้าธุรกิจ) ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า การที่บริษัทมี Employee Engagement ที่ดี จะลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 32%  ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงานบุคคลไม่ว่าจะเรื่องการจ่ายเงินเดือน หรือดูแลด้านสวัสดิการต่างๆ แก่พนักงาน เพื่อให้เขามีความสุขในการทำงานและสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องมือเหล่านี้ต้องมาช่วยลดความยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายและงาน Operation ที่เกิดจากการจ่ายค่าจ้างหรือเงินเดือนแบบเงินสด ซึ่งทางเลือกบริหารจัดการงานบุคคล TMB Payroll Plus จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจส่งมอบสิ่งที่ตรงกับความต้องการของพนักงานอย่างแท้จริง 

"นอกจากจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับการจ่ายเงินเดือน และช่วยบริหารจัดการงานบุคคลด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าธุรกิจของเราแล้ว ทีเอ็มบียังมองถึงความต้องการของคนในองค์กรของลูกค้า เพราะหลังจากสำรวจข้อมูลพบว่าสวัสดิการที่คนทำงานต้องการนอกเหนือจากเรื่องรายได้ และสวัสดิการพื้นฐานตามกฎหมาย ก็คือสวัสดิการด้านสุขภาพ หรือการประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลให้กับบุคคลในครอบครัวของพนักงาน หรือประกันชีวิต เราจึงนำเสนอ TMB Payroll Plus ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญ เพื่อช่วยแก้ปัญหา และตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย่ได้อย่างตรงจุด"

ทั้งนี้ บริการ TMB Payroll Plus สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าขนาดกลาง-ใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่บริการ 3 ด้านเป็นสำคัญ ได้แก่

1.จัดการเงินเดือนพนักงานด้วยระบบอัตโนมัติ จัดการเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง หรือค่าจ้างพนักงานโดยไม่จำกัดจำนวนด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง (TMB Business CLICK) ได้ 24 ชั่วโมง พร้อมให้อิสระกับพนักงานในการเลือกรับเงินเดือนบัญชีธนาคารใดก็ได้ เพื่อลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนบัญชีธนาคารเดิมของพนักงาน

2.สร้าง Employee Engagement ในราคาเบาๆ และไม่ต้องจ่ายเงินก้อน ซื้อประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษให้พนักงาน เมื่อสมัครบริการจ่ายเงินเดือนกับทีเอ็มบีก็สามารถได้รับประกันชีวิต ฟรี และถ้าต้องการซื้อประกันเพิ่ม ก็ซื้อได้ในราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 200-300 บาทต่อคนต่อเดือน พร้อมประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษที่คุ้มครองครอบคลุมมากกว่า ทั้งค่ารักษาจากการเจ็บป่วยทั่วไป (OPD) การเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล (IPD) อุบัติเหตุไม่จำกัดจำนวนครั้ง รวมถึงคุ้มครองชีวิตให้แก่พนักงาน

3.นำเสนอระบบช่วยบริหารจัดการงานบุคคลแบบดิจิทัล HR Management Program ครบทุกฟีเจอร์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งบริษัทและพนักงาน โดย TMB Payroll Plus จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าธุรกิจด้วยระบบจัดการข้อมูลพนักงาน ระบบการบริหารการทำงานเป็นกะ และคำนวนบัญชีเงินเดือน (Payroll) อัตโนมัติ เพิ่มช่องทางสื่อสารภายในธุรกิจ ส่วนฟีเจอร์สำหรับพนักงาน มีทั้งบันทึกเวลาเข้า-ออก และส่งลางานแบบเรียลไทม์ ตลอดจนดาวน์โหลดแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติพร้อมดูสลิปเงินเดือน ออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันเป็นต้น

"สิ่งที่เรามุ่งมั่นและยึดถือมาตลอดคือ ลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้มากกว่า  (Get MORE with TMB) เราจึงต้องมองหาทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุดและครบรอบด้าน ซึ่ง TMB Payroll Plus คือคำตอบที่ทีเอ็มบีคัดสรรอย่างดีเพื่อนำเสนอสำหรับลูกค้าธุรกิจที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยจัดการงานบุคคลได้อย่างชาญฉลาด พร้อมทั้งเข้าถึงแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานด้วยระบบสวัสดิการที่ตรงใจ เพื่อให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข ไร้ความกังวล เพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจของไทยเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย" นายรัชกร กล่าวทิ้งท้ายถึงเหตุผลที่ควรเลือก TMB Payroll Plus ไว้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

 

 

ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TMB Payroll Plus บริการเพื่อการจัดการงานบุคคลสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ได้ที่ Corporate Call Center เบอร์ 02-643-7000

X

Right Click

No right click