×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

เอสซีจี ร่วมนำเสนอแนวคิดและวิธีการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรม “Green Meeting” ในการประชุม “ASEAN SUMMIT 2019” และทุกกิจกรรมตลอดทั้งปี 2562 ส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นต้นแบบการจัดประชุมที่มุ่งใช้ทรัพยากรจัดงานอย่างคุ้มค่า ตั้งแต่การออกแบบการจัดงาน ลดการใช้เอกสาร การเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม ลดปริมาณขยะ และผลิตนิทรรศการจากกระดาษรีไซเคิลที่สามารถนำกลับไปใช้ซ้ำและใช้เป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษได้อีกครั้ง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเเละประเทศในอาเซียนบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีมี Passion และให้ความสำคัญด้าน การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาปรับใช้ในทุกกระบวนการดำเนินงานขององค์กร ตั้งแต่การคิดและออกแบบสินค้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คงทน และคุ้มค่าที่สุด โดยใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยที่สุด และเมื่อสิ้นสุดการใช้งานแล้ว ยังสามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเดิม หรือกระบวนการที่ใกล้เคียงได้ ตลอดจนได้ขยายแนวปฏิบัตินี้ไปสู่นวัตกรรม “Green Meeting” หรือการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกโอกาสของเอสซีจี

สำหรับการประชุม ASEAN SUMMIT 2019 ในครั้งนี้ เอสซีจีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสให้ร่วมนำเสนอนวัตกรรม “Green Meeting” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรณรงค์สร้างจิตสํานึก และชวนผู้ร่วมงานร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การแบ่งปันแนวคิดเรื่องการจัดเตรียมงาน การลดการใช้เอกสาร การเตรียมสถานที่จัดประชุม การเตรียมอาหารและเครื่องดื่มที่หาได้ในท้องถิ่น การลดปริมาณขยะภายในงาน รวมถึงการสนับสนุนวัสดุตกแต่ง เช่น การตกแต่งเวทีและป้ายชื่องาน และนิทรรศการจากกระดาษรีไซเคิลที่สามารถนำกลับไปใช้ซ้ำในการประชุม ASEAN SUMMIT ได้ตลอดทั้งปี 2562 และเมื่อสิ้นสุดการใช้งานจะสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษรีไซเคิลได้อีกครั้ง ตลอดจนของที่ระลึกจากวัสดุรีไซเคิล หรือการนำของที่ไม่ใช้แล้วมาเพิ่มคุณค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Waste to Value Products) โดยเอสซีจีคาดหวังว่า ด้วยกระบวนการคิดที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถร่วมกันปฏิบัติได้นี้ จะช่วยผลักดันและสนับสนุนให้ประเทศไทยและประเทศในอาเซียน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้ (Sustainable Development Goals : SDGs)”

ก้าวต่อไป เอสซีจีจะยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาต่อยอดความยั่งยืนโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ผสานกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตลอดจนเดินหน้าสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนอาเซียนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก และพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบที่ช่วยถ่ายทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ที่สนใจ ด้วยเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (บล.ภัทร) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรสนับสนุนพลังทางความคิดและความเป็นผู้นำของเยาวชน ด้วยการสนับสนุนผู้แทนเยาวชนไทยเข้าร่วมงาน APEC Voices of the Future การประชุมผู้นำเยาวชนเอเปค ที่เมืองพอร์ตมอร์สบี ที่เมืองปาปัวนิกินี ซึ่งจัดในช่วงวันที่12-18 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา คู่ขนานไปกับการประชุม APEC 2018 โดยเชิญผู้แทนเยาวชนและนักการศึกษาจาก 21 เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคเข้าร่วม ในปีนี้มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 80 คน จาก 14 เขตเศรษฐกิจ ผู้แทนเยาวชนไทย 5 คน  หัวข้อหลักสำหรับงานในปีนี้คือ การสร้างโอกาสในการลดความเหลื่อมล้ำในยุคดิจิตอล (Harnessing Inclusive Opportunities, Embracing the Digital Future)

ตัวแทนเยาวชนจากแต่ละเขตเศรษฐกิจได้ออกมานำเสนอในประเด็นบทบาทของเยาวชนในเขตเศรษฐกิจของตัวเองตามหลักหัวข้องาน สำหรับเยาวชนไทยได้ยกประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยซึ่งตัวแทนเยาวชนไทยระบุว่าเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในกลุ่มประเทศไทย นอกจากเข้าร่วมอภิปรายในระดับผู้นำเยาวชนแล้ว ผู้แทนเยาวชนไทยยังได้เข้าร่วมการประชุม APEC CEO Summit 2018 ในปีนี้กี่กล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำระดับประเทศทั้งประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง สาธารณรัฐประชาชนจีน รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ นายกรัฐมนตรีมาหาเธร์ โมฮัมหมัด ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งการกล่าวสุนทรพจน์โดยผู้นำจีนและสหรัฐ ต่างก็ได้รับความสนใจจากเข้าผู้ร่วมประชุมเป็นอย่างมาก เนื่องจากความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างสองประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

นอกจากประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจเยาวชนขตเศรษฐกิจต่างๆ ยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนในเชิงวัฒธรรม ในส่วนของประเทศเจ้าภาพปาปัวนิวกินี ซึ่งมีชนเผ่าต่างๆ ถึงกว่า 1,000 เผ่า และมีภาษาที่ใช้กว่า 800 ภาษา ได้มีการจัดการแสดงวัฒธรรมจากบางชนเผ่าและการออกร้านค้าพื้นเมืองและสินค้าอื่นๆจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เยาวชนไทยยังได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเยาวชนในประเทศอื่นด้วยการแต่งชุดไทยโบราณ นำเสนอเพลงไทยร่วมสมัย และแลกเปลี่ยนของที่ระลึกที่สะท้อนศิลปะและวัฒนธรรมไทย

นอกจากนั้นงาน APEC CEO Summit 2018 ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนได้พบปะกับผู้บริหารของบิษัทเอกชนแบะองค์กรภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟฟิก ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้รับฟังมุมมองและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารชั้นสูงจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟฟิก เยาวชนไทยได้พปะกับประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและเลชาธิการสมาคมธนาคารไทยซึ่งได้ให้เกียรติอธิบายแนวคิดเป้าหมาย และกระบวนการการทำงานขององค์กรการภาคธุรกิจที่เป็นสมาชิกของ APEC Business Advisory Council (ABAC) ในการส่งเสริมการร่วมมือทางการค้าและการลงทุน

สำหรับโครงการนี้ประเทศไทยได้ส่งตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมมา 6ปีแล้ว บล.ภัทรได้ให้การสนับสนุนเป็นปีแรกและเล็งเห็นประโยชน์ที่เยาวชนจะได้จากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเวทีระกับโลกเพื่อนำกลับมาต่อยอดในการทำงานและเป็นกำลังสำคัญร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต แนวคิดการทำงานที่ทางภัทรได้ให้กับน้องเยาวชน สอดคล้องกับแนวคิด Philosophy of Wealth ซึ่งเป็นหลักการทำงานที่ภัทรใช้ในธุรกิจความมั่งคั่ง หรือ Wealth Management การบริหารความมั่งคั่งไม่ได้เป็นแค่เพียงการเพิ่มพูนมูลค่าของเงินลงทุน แต่ต้องเสริมสร้างด้วยมิติของปรัชญาที่ผูกโยงอยู่กับ วิธีการทำงานที่ต้องใช้ทั้งเวลา ความรู้ และความเข้าใจ เพื่อสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่า ปัจจุบันภัทรเองก็มีโปรแกรม internship ซึ่งเป็นโปรแกรมการฝึกงานที่เน้นให้ผู้ฝึกงาน ได้เอาความรู้ในห้องเรียนมาทดลองงานในสนามจริง ไปพร้อมๆ กับเรียนรู้แนวทางการทำงานบนปรัชญาแห่งการเรียนรู้และเพาะบ่มประสบการณ์

ครั้งแรกในไทยกับการจับมือระหว่างสองบริษัทใหญ่ของประเทศ ดีแทคและอีริคสัน ร่วมมือกันนำ 5G Ready Massive MIMO 64T6R ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่จะใช้เทคโนโลยีนี้บนเครือข่าย 4G TTD โดยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) ร่วมมือกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค  พันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดีแทค เทอร์โบ นำเทคโนโลยี 5G-Ready Massive MIMO บนเครือข่าย 4G TDD ที่โรมมิ่งบนคลื่นความถี่ 2300 MHz ของทีโอทีมาทดลองใช้งานครั้งแรกในประเทศไทย

ทางสองบริษัทได้เผยว่าการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้นั้นเป็นนวัตกรรมด้านการอุปกรณ์สื่อสารของอีริคสันที่ไม่ใช่แค่ยกระดับประสบการณ์ใช้งานดาต้าในวันนี้ แต่ยังพร้อมรองรับเทคโนโลยี 5G บนบริการดีแทค เทอร์โบได้ในอนาคต ทางดีแทคเองก็ได้เผยถึงแผนการในอนาคตที่จะขยายการให้บริการกับลูกค้าบนเครือค่ายดีแทค เทอร์โบ ด้วยการเร่งขยายเสาสัญญาณคลื่น 2300 MHz แล้วยังนำ Massive MIMO 64R64R ที่เหนือกว่าในการรับส่งสัญญาณดาต้ามาให้ลูกค้าได้ใช้งานจริง ซึ่งจะทำให้การใช้งานดาต้าในพื้นที่ที่ผู้ใช้บริการหนาแน่นมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และยังเหมาะกับพื้นที่ใช้งานดาต้าสูงที่มีความต้องการใช้งานในรูปแบบต่างกัน โดยอุปกรณ์จะรับส่งสัญญาณเฉพาะจุด หรือ Beam forming เจาะจงเฉพาะให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่กำลังใช้งานขณะนั้นอย่างแม่นยำ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสัญญาณไปยังอุปกรณ์อีกหลายจุดในพื้นที่เดียวกัน ภายในเวลาและความถี่เดียวกัน ทำให้เพิ่มขีดความสามารถการครอบคลุมของโครงข่ายได้มากขึ้นบนคลื่น 2300 MHz โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่นได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ทางบริษัท อีริคสัน ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้าน Radio Systemเพื่อสนับสนุนผู้ให้บริการในการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เทคโนโลยี 5G ได้อย่างไร้รอยต่อ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ขยายเพิ่มเติมนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น เข้าถึง 5G แบบ end-to-end ซึ่งรวมไปถึง 5G NR Radio ครั้งแรกในอุตสาหกรรมระดับโลก

กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรม หรือ Thailand InnoSpace ร่วมกับ16 หน่วยงานพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สถาบันวิทยสิริเมธี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เอสซีจี บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เครือเจริญโภคภัณฑ์  Hong Kong Cyberport Management Company Limited , Hong Kong Trade Development Council , องศ์กรวางแผนผังด้านสถาปัตยกรรมประเทศฮ่องกง (Ho & Partners Architects) Bangkok Ventures Co., Ltd. กระทรวงพาณิชย์และแรงงานประเทศอิสราเอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงาน EEC  และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยจะจัดตั้งภายในเดือนมกราคม 2562 ด้วยทุนประเดิมจำนวน 500 ล้านบาท พร้อมนำร่องเปิดในพื้นที่โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จังหวัดระยอง  

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรม หรือ Thailand InnoSpace  โดยโครงการนี้ถือเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยและนานาชาติอย่างครบวงจร มีกระบวนการการบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการในทุกระดับครอบคลุมทุกสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาอุตสาหกรรมการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย ที่จะต้องเร่งพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ นอกจากนี้ ศูนย์แห่งนี้ยังจะมุ่งผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยมีขีดความสามารถในการทำการค้าในระดับนานาชาติได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้น กระทรวงฯ จึงได้เชื่อมโยงกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศหลายแห่ง มาร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรในการดำเนินโครงการฯ อีกด้วย

การจัดตั้ง Thailand InnoSpace หจะเป็นแพลทฟอร์มกลางที่มีพลังในการช่วยส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยแบบครบวงจร ซึ่งขณะนี้ได้มีการเชิญชวนและสรรหาผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคนิคและการปฏิบัติการ รวมถึงการเผยแพร่เทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะ Open innovation หรือนวัตกรรมแบบเปิด นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  ยังจะมีการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด” หรือ InnoSpace (Thailand) Co., Ltd.  คาดว่าจะจัดตั้งภายในเดือนมกราคม 2562 ด้วยทุนประเดิม จำนวน 500 ล้านบาท โดยมีองค์กรภาคเอกชนรายใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน นอกจากนี้ เพื่อให้องค์กรเชื่อมโยงและรองรับนโยบายของภาครัฐได้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะเข้าร่วมถือหุ้นด้วย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะสนับสนุนการดำเนินงานโครงการนี้ในเชิงนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนและเติมเต็มการดำเนินงานไปสู่การปฏิบัติอย่างเต็มกำลัง

นายอุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 16 หน่วยงานพันธมิตรที่จะร่วมดำเนินโครงการ Thailand InnoSpace นั้นประกอบด้วย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สถาบันวิทยสิริเมธี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เอสซีจี บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เครือเจริญโภคภัณฑ์  Hong Kong Cyberport Management Company Limited , Hong Kong Trade Development Council , องศ์กรวางแผนผังด้านสถาปัตยกรรมประเทศฮ่องกง (Ho & Partners Architects) Bangkok Ventures Co., Ltd. กระทรวงพาณิชย์และแรงงานประเทศอิสราเอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงาน EEC  และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งโครงสร้างองค์กรของโครงการดังกล่าว จะประกอบด้วย 3 กลุ่มงาน ได้แก่ ด้านส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและนวัตกรรม (Operations) ด้านการเชิญชวนและสรรหาสตาร์ทอัพ และนวัตกรรม (Scouting) และด้านบริหารการลงทุน (Investment Management) นอกจากนี้ การดำเนินงานของหน่วยงานพันธมิตรจะมีความร่วมมือใน 3 รูปแบบ คือ พันธมิตรด้านการบ่มเพาะ (Incubation Partner) พันธมิตรด้านองค์ความรู้ (Knowledge Partner) และพันธมิตรด้านการลงทุน Investment Partner) โดยคาดว่าจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ของทุกๆหน่วยงานเพื่อร่วมดำเนินการและจัดตั้งโครงการ Thailand InnoSpace ภายในไตรมาสแรกของปี 2562 เช่นดียวกัน

นายอุตตม กล่าวทิ้งท้ายว่า  ทางด้านสถานที่ตั้งโครงการ จะอยู่ในพื้นที่โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จังหวัดระยอง และจะมีเครือข่ายอีก 5 แห่ง ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กล้วยน้ำไท) ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และจะเชื่อมโยงไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรม หรือ Thailand Innospace นั้น เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่จะช่วยยกระดับและพัฒนาสตาร์ทอัพพร้อมสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ

สำหรับผู้ประกอบการ  ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4501,0 2202 4495 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th

หากคุณกำลังมองหาข้อมูลเรียนต่อ ณ ประเทศญี่ปุ่น ไมนิจิอะคาเดมิค กรุ๊ป ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นครบวงจร จะทำให้ทุกท่านพบกับทุกคำตอบและข้อสงสัยการศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น และพบกับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นนำจากญี่ปุ่นที่จะมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น ใครอยากไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ควรพลาด!!! มาพบกับได้ที่โซน Education Zone ณ Zen Gallery Hall ชั้น8 @Centralworld ในวันที่ 26 -27 มกราคม 2562 เวลา 10.00 - 17.00 น.

 

X

Right Click

No right click