November 13, 2025

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC โดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) เผยกลยุทธ์เชิงรุกระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัว มั่นใจพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) พร้อมเร่งเดินหน้าโครงการ LSPE คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570   

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “ตลาดปิโตรเคมีอยู่ในภาวะทรงตัว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ส่งผลบวกในช่วงสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหลายรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ไม่ลดต่ำไปกว่าเดิม คาดว่าวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว”

“สำหรับวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้ถือว่ารุนแรงและยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ อาทิ สถานการณ์โควิด 19 ความผันผวนของราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงผู้เล่นบางรายได้ผันตัวจากการเป็นประเทศนำเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออก อย่างไรก็ตาม SCGC สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นกลยุทธ์เชิงรุกทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว

 

“สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA นั้น ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของ SCGC โดยมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และการใช้งานของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พอลิเมอร์สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ งานโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงก็ตาม แต่กลุ่มสินค้า HVA ยังได้รับการตอบรับจากตลาดในภูมิภาคเป็นอย่างดี”

“นอกจากนี้ SCGC ยังเร่งพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard) โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง พร้อมกับการพัฒนาสูตรเฉพาะ (Formulation) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่นสำหรับบรรจุภัณฑ์ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดย SCGC ได้ขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและเจ้าของแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยูนิลีเวอร์ ไลอ้อน คาโอ เจบีพี และโฮมโปร”

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC ยังได้ขยายธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ธุรกิจ “Industrial Service Solutions” โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลเครื่องจักร ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่พัฒนาโซลูชัน“DRS by REPCO NEX” (DRS : Digital Reliability Service Solutions) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก โดยดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) เช่น การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น”

 

“สำหรับความคืบหน้าของโครงการ LSPE นั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าโครงการฯ โดยดำเนินการ 3 ภารกิจหลักได้สำเร็จ ได้แก่ 1) การลงนามในสัญญาระยะยาวซื้อขายก๊าซอีเทนและท่าเรือส่งออก  2) การลงนามในสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทีน (VLECs) จำนวน 5 ลำ และ 3) การลงนามในสัญญาออกแบบ จัดหาและก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบก๊าซอีเทน  ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียดตามแผนที่วางไว้ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2570” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย

"บ้านที่แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดี" คือหัวใจสำคัญที่คนสร้างบ้านในไทยต้องการ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ที่สร้างความเสียหายให้อาคารบ้านเรือนในไทยหลายจังหวัด นอกจากภัยแผ่นดินไหวแล้ว วิกฤตหรือปัญหาเดิม ๆ ทั้งเสียงรบกวน ความร้อน หรือฝุ่น PM 2.5 ก็ยังก่อกวนการใช้ชีวิตของคนไทยไม่จบ

บ้าน SCG HEIM ได้ชื่อว่าเป็นบ้านระดับพรีเมียม ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน สะอาด ปลอดภัย ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า บ้าน SCG HEIM เป็นบ้านที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรือต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล (gal)* จุดนี้ถือเป็นศักยภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยหลังประสบภัยแผ่นดินไหวเป็นอย่างยิ่ง

คุณสมบัติที่โดดเด่นของบ้าน SCG HEIM เกิดจากการผสานความร่วมมือระหว่างเอสซีจี และ บริษัท เซกิซุย (Sekisui) ผู้ผลิตและผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2553 เซกิซุย ได้นำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเทคโนโลยีแบบโมดูลาร์ (Modular) ซึ่งเป็นการสร้างบ้านสำเร็จรูปที่ผลิตโดยหุ่นยนต์ในโรงงาน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการต่อ-เชื่อม-ประกอบได้ดี และคุมระยะเวลาก่อสร้างได้ตามแผน ด้วยระบบการสร้างบ้านที่สามารถปิดช่องว่างรอยต่อทุกส่วนของบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง และผนังด้วย Seal คุณภาพสูง ก่อนนำมาติดตั้งบนพื้นที่จริงเป็นตัวบ้านที่สมบูรณ์

++ บ้าน SCG HEIM มีดียังไง

"ลูกค้าบ้าน HEIM ประมาณ 60 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1,500 หลัง ติดต่อขอให้ทีมเข้าไปตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างบ้าน หลังเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ HEIM ได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่า ไม่มีบ้านหลังใดได้รับความเสียหายเลย" นายมาซาโตชิ คิฟูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าว

กรรมการผู้จัดการ เซกิซุย อธิบายว่า บ้าน SCG HEIM มีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้านคือ 1) การผลิตบ้านในโรงงาน ด้วยโครงสร้างที่เรียกว่า Rahmen Structure ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรง เป็นระบบโครงสร้างที่มาจากประเทศญี่ปุ่น และการที่ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านในโรงงาน ข้อดี คือ สามารถควบคุมคุณภาพและระยะเวลาในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ 2) การผลิตบ้านในโรงงานทำให้สามารถใส่นวัตกรรมต่าง ๆ เพิ่มเสริมคุณภาพของบ้านได้ เช่น ระบบ Air Tightness System รูปแบบเฉพาะของ SCG HEIM ทำให้อากาศภายในบ้านสะอาด ลดฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรค ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี พร้อมทั้งการออกแบบและเลือกใช้วัสดุเฉพาะ ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกบ้าน อีกทั้งมีการซีล (Seal) ร่องต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยพักผ่อนอย่างเต็มที่ และยังสามารถเชื่อมกับระบบ Air Factory System ระบบหมุนเวียนอากาศ ทำให้ได้คุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน แม้ปกติคนไทยจะนิยมเปิดบ้านรับอากาศภายนอกเข้ามาบ้างก็ตาม และ 3) บริการหลังการขาย รับประกัน 20 ปี โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปพบและตรวจสอบบ้านต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่ 1, 2, 3, 4, 5, 10, 15 และ 20

 ++ สร้างงานเชื่อมต่อกำลังสูง ลดแรงสั่นสะเทือน

ส่วนเรื่องของแผ่นดินไหว ในระหว่างการก่อสร้างภายในโรงงาน ส่วนที่สำคัญที่สุดคือจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ เพราะหากงานเชื่อมกำลังไม่ได้ ก็จะเกิดการฉีกขาดออก ซึ่ง SCG HEIM ใช้ระบบโมดูลาร์ (Modular) ที่ใช้หุ่นยนต์ทำหน้าที่ต่อเชื่อมและประกอบ รวมทั้งมีการทดสอบคุณภาพการเชื่ือม  ตลอดเวลา ทำให้ได้งานที่แข็งแรงทนทานจริงๆ

นายคิฟูจิ ย้ำว่า บ้าน SCG HEIM ต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล โดยหากเปรียบเทียบกับแผ่นดินไหวเมียนมาที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนที่วัดได้ที่จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์มีขนาด 1,200 แกล ที่เชียงราย 220 แกล และที่กรุงเทพฯ วัดได้ 75 แกล

"บ้าน HEIM 1 ยูนิต ทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ 1,200 แกล ซึ่งเป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่หากมีโครงสร้างหลายยูนิตมาประกอบกัน จะยิ่งเพิ่มความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้มากยิ่งขึ้น” คิฟูจิอธิบาย

การนำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาใช้ในประเทศไทย ได้มีการปรับวัสดุ ความสูง ความหนาให้เหมาะสม เช่น เสาเข็มที่ญี่ปุ่นเป็นดินแข็งจะฝังลึกลงไป 2-3 เมตร แต่เมืองไทยอย่างกรุงเทพฯ ดินอ่อน ต้องฝังลงไปลึกประมาณ 20 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน โดยยังคงคุณภาพตามมาตรฐานของเซกิซุย โดยความผิดพลาดของโครงสร้างยูนิตแทบไม่มีเลย เพราะมีการตรวจสอบในแต่ละขั้นตอนของการทำงานต่อเนื่อง

ความเด่นอีกอย่างของบ้าน SCG HEIM คือ ฐานรากจะมีช่องว่าง ที่ทำให้สะดวกต่อการเข้าไปตรวจเช็ค และซ่อมบำรุง โดยไม่ต้องรื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง

 ++ เสริมนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบ้าน

งานก่อสร้างบ้าน SCG HEIM แยกออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน ส่วนแรก คือ โครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงานทั้งหมด ก่อนยกไปประกอบหน้างาน ใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน และส่วนของการประกอบหน้างาน ใช้เวลาอีก 1-2 วัน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ขนาดบ้าน อีกส่วนคืองานฐานราก ที่จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน เบ็ดเสร็จหากไม่นับเวลาประสานงานงานดิวงาน การเลือกแบบ งานก่อสร้างทั้งหมดเป็นบ้านหนึ่งหลัง จะใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน

นอกจากโครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงาน นายคิฟูจิ ยังพูดถึงนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ในบ้าน HEIM เช่น ระบบ Thermal & Sound Insulated System ติดตั้งวัสดุกันความร้อนที่หลังคาและผนังภายนอก สามารถกันเสียงและความร้อนได้ในตัว, Earth Leakage Circuit Breaker อุปกรณ์ตัดไฟ ป้องกันไฟรั่ว สามารถแยกตัดได้บางห้องหรือบางพื้นที่ หรือLeakage-Free Bathroom System ระบบกันซึมที่ถูกติดตั้งใต้พื้นห้องน้ำ ป้องกันน้ำรั่วซึม

นายเอกพล ลิ่มสุนทรากุล ผู้อำนวยการโรงงาน, SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน บ้าน SCG HEIM มี 5 ซีรีส์ 5 รุ่น และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.8-5.9 ล้านบาท ราคาขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน รูปแบบการออกแบบ และคุณภาพของวัสดุที่เจ้าของบ้านสามารถเลือกเองได้ โดยเจ้าของบ้านไม่ต้องกังวลกับงบการสร้างบ้านที่จะบานปลาย เพราะร้อยละ 80 ของโครงสร้างหลักทำในโรงงานด้วยหุ่นยนต์ ช่างทุกคนผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดี และมีทีมตรวจสอบคุณภาพงานอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน งานจะเสร็จสมบูรณ์ตามงบและระยะเวลาที่ตกลงกันไว้แน่นอน

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและอาคารหลายแห่งในประเทศไทยมีอายุใช้งานเกินกว่า 30–50 ปี พร้อมเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ ๆ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ธุรกิจซ่อมแซมและบำรุงรักษาโครงสร้าง จึงไม่ได้เป็นเพียงงานบำรุงปกติอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งใน “แนวป้องกันระดับชาติ” ที่จะช่วยยืดอายุอาคาร ลดการสูญเสีย และป้องกันความเสียหายเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

แผ่นดินไหว: ความเสี่ยงที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักของโลก แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เมียนมา เมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย จนทำให้เกิดผลกระทบด้านโครงสร้างอาคารหลายแห่งเสียหาย รวมถึงเหตุแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ในปี 2557 แรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างในไทย โดยเฉพาะอาคารเก่า ที่แม้จะมีการออกแบบรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากภัยแผ่นดินไหวด้วย

CPAC บริษัทในเครือเอสซีจี ซึ่งร่วมทุนกับ SB&M ได้นำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีซ่อมแซมโครงสร้างของ SB&M มาต่อยอดธุรกิจ Lifetime Solution แบบครบวงจร เพื่อให้บริการงานก่อสร้างในไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ ไปจนถึงซ่อมแซม เสริมกำลัง และป้องกันความเสียหายของโครงสร้างในระดับลึก

 “เราไม่ได้มองแค่การซ่อมเมื่อเกิดความเสียหาย แต่คือการยืดอายุ และทำให้อาคาร-โครงสร้างพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว” — นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ กล่าว

 

เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น สู่การประยุกต์ใช้ในไทย

ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก และ SB&M ก็ถือกำเนิดจากสองบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ SHO-BOND ซึ่งมีความเชี่ยวชาญวัสดุซ่อมแซมระดับจุลภาค และ Mitsui กลุ่มธุรกิจธุรกิจเทรดดิ้งและการลงทุนระดับโลก ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในการเสริมความแข็งแรงและซ่อมแซมโครงสร้างขนาดใหญ่หลังเหตุภัยพิบัติ นอกจากความเชี่ยวชาญวัสุดุซ่อมแซมระดับจุลภาค SB&M ยังมีความชำนาญแบบเจาะลึกทั้งด้านเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ และการพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซม โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก:

  1. Research & Development: มีทีมวิจัยและพัฒนากว่า 500 คน ที่พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
  2. Engineering Experts: ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่สามารถออกแบบการซ่อมแซมเฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ
  3. Fine Particle Technology: เทคโนโลยีวัสดุระดับไมครอนที่ช่วยให้วัสดุซ่อมแซมยึดเกาะและฟื้นฟูโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การร่วมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการนำความรู้และจุดแข็งของทั้ง SB&M และ Mitsui มาต่อยอดผ่านบริการ 5 กลุ่มหลักของ CPAC-SB&M ได้แก่:

- การตรวจประเมินสุขภาพโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

- การซ่อมแซมและบำรุงรักษาตามมาตรฐานวิศวกรรม

- การเสริมกำลังโครงสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้มากขึ้น

- การป้องกันสนิมและการกัดกร่อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน

- การจัดหาวัสดุนวัตกรรมที่ออกแบบเฉพาะสำหรับงานซ่อมแซม

กรณีศึกษา: การฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น

หากถามว่า หัวใจสำคัญของงานซ่อมแซม ป้องกันอาคารคืออะไร คำตอบที่มาเป็นอันดับแรกเลยคือ การตรวจประเมินความเสียหายอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพราะต้องทราบต้นตอและขอบเขตของความเสียหายก่อน ต่อจากนั้นจึง เลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสแกนโครงสร้าง (Structural Scanning), การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง 3 มิติ (BIM), หรือ AI วิเคราะห์ความผิดปกติวิเคราะห์ว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่ ควรซ่อมแซมหรือรื้อบางส่วน

ต่อจากนั้นคือ การวางแผนและออกแบบการซ่อมแซมอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างซ่อม, อายุการใช้งานในอนาคต และต้นทุน การเลือกใช้วัสดุและวิธีการซ่อมที่เหมาะกับประเภทความเสียหาย เช่น คอนกรีตร้าว, เหล็กเป็นสนิม, ฐานรากทรุดตัว โดยต้องมีวิศวกรโครงสร้างหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม

หลังจากนั้นคือ การดำเนินการซ่อมแซมด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ใช้ทีมช่างหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ มีการควบคุมคุณภาพงาน (QC) และความปลอดภัยระหว่างทำงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การบำรุงรักษาและติดตามผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ซ่อมแล้วจบ แต่ต้องมีแผนบำรุงรักษาระยะยาว เช่น การตรวจสอบประจำปี ติดตั้งระบบติดตามโครงสร้าง เช่น IoT sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน ความชื้น การทรุดตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายซ้ำ และยืดอายุอาคาร

หนึ่งในผลงานเด่นของ SB&M คือ การฟื้นฟูสะพานและโครงสร้างริมทางด่วนในเมืองคุมาโมโตะ หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2559 ทีมงานของ SB&M สามารถเร่งตรวจสอบจุดร้าว ปรับปรุงฐานราก และเสริมกำลังสะพานให้กลับมาใช้งานได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเพิ่มการป้องกันแรงสั่นในอนาคต

เทคโนโลยีเดียวกันนี้กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างในประเทศไทย เช่น อาคารสูง คอนโดมิเนียม อาคารราชการ โรงพยาบาล สะพานขนาดใหญ่ ไปจนถึงโครงสร้างสาธารณูปโภค

จาก “ซ่อมแซม” สู่ “การลงทุนเพื่อความปลอดภัยระยะยาว”

ในยุคที่โครงสร้างเก่าและภัยธรรมชาติเพิ่มความเสี่ยงให้เมืองไทย การเลือก “ซ่อมแซม” แบบมืออาชีพจึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่คือการวางระบบความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้าง โครงการต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเสียหายทั้งชีวิต  ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

CPAC-SB&M จะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มี มายกระดับการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดูแลโครงสร้างสำคัญทั่วประเทศ ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีระดับโลก และวัสดุซ่อมแซมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน

เอสซีจี นำเวที INTERCEM Asia 2025 งานประชุมผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องในเชนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ระดับโลก ปฏิวัติวงการปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ

กรมควบคุมมลพิษ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) โครงการ “บูรณาการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose” ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษา นำเสนอมาตรฐานของเครื่องมือ วิธีทดสอบ และการควบคุมคุณสมบัติของเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose (E-nose) นวัตกรรมโซลูชัน เพื่อใช้สำรวจและตรวจวัดพื้นที่หรือกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดกลิ่น และสามารถประเมินผลกระทบกลิ่นจากกระบวนการผลิต รวมถึงตรวจวัดและเฝ้าระวังกลิ่น แก๊ส และมลพิษทางอากาศแบบต่อเนื่อง พร้อมแสดงผลบนเว็บแพลตฟอร์ม มาใช้ในความร่วมมือนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการจัดการด้านกลิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม และการพัฒนาเป็นกฎหมายตรวจสอบและควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษด้านกลิ่นเพิ่มเติมในอนาค

 

X

Right Click

No right click