

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC นำโดยนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการและนวัตกรรม และนายชาตรี เอี่ยมโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ เผยถึง การเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน แม้สถานการณ์ปิโตรเคมียังคงผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เชื่อมั่น SCGC มีความพร้อมและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อรับตลาดปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงฟื้นตัวในอนาคต โดยได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ เน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตอกย้ำจุดแข็งสำคัญ อาทิ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากลเพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA : High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การขยายและต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ รวมทั้งการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาสร้างโอกาสทางธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเผยถึงความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC เผยว่า “สถานการณ์ปิโตรเคมีในครึ่งปีหลัง ยังคงมีความผันผวนและแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ (US Tariff) การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้อุปสงค์ (Demand) ยังคงชะลอตัว ในขณะที่อุปทาน (Supply) ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการหยุดผลิตของโรงงานที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำและต้นทุนสูง ซึ่งช่วยชดเชยส่วนของอุปทานที่สูงขึ้น ดังนั้น คาดว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะอยู่ในภาวะทรงตัวอีกระยะ โดยพิจารณาได้จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread) ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568”
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงในรอบนี้จะรุนแรงและยาวนานกว่าปกติ แต่ SCGC พร้อมรับมือกับความท้าทายและความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยมีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่ 1) การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI 2) เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services ) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) 3) เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร และ 4) การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication) สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE)” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าว

โดย SCGC ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอกย้ำจุดแข็งสำคัญในด้านต่าง ๆ อาทิ
1) กระบวนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล (Innovation Management) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services หรือ HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center” (Ideas to Products) โดยมีเครือข่ายนวัตกรรมจากทั่วโลก เพื่อช่วยลูกค้า เจ้าของแบรนด์ หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งพันธมิตรทางธุรกิจ ในการค้นหาไอเดียและเทรนด์ต่าง ๆ การวิจัยและพัฒนา การออกแบบสินค้า การทดสอบขึ้นรูป ฯลฯ ซึ่งช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาโครงการด้านนวัตกรรมกว่า 100 โครงการ

2) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI (Artificial Intelligence) และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเครื่องจักรและกระบวนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ระบบ Robotics & Automation ของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC โดยมีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ภายในโรงงาน (Robot Density) ระดับ Best in Class ของโลก
นอกจากนั้น ยังได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญสู่ธุรกิจ Industrial Service Solutions พัฒนาโซลูชัน “DRS by REPCO NEX” (Digital Reliability Service Solutions) ซึ่งช่วยยกระดับการดูแลเครื่องจักรและเพิ่มความสามารถในการผลิต (Productivity) โดยให้บริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ อาหารเครื่องดื่ม และสาธารณูปโภค เป็นต้น

และ 3) การนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By - product) มาต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น การนำอะเซทิลีนที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material ซึ่งนำไปพัฒนาใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ “CHILLOX” (ชิลล็อกซ์) เป็นต้น
“สำหรับความคืบหน้าของโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์ คาดว่าประมาณปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน 2568 โดยบริษัทฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวทิ้งท้าย
SCGP ร่วมกับ LINEMAN WONGNAI จับมือเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษเพื่อการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์อาหารเฟสท์ ผ่านแอปพลิเคชัน “LINEMAN MART” เดลิเวอรีแพลตฟอร์มชั้นนำ ครอบคลุมหลายพื้นที่ในกรุงเทพและปริมณฑล พร้อมมอบโค้ดส่วนลดพิเศษ ส่งตรงถึงบ้านได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มความสะดวกและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ นอกจากนี้ SCGP มีเป้าหมายชวนตัวแทนจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ด้วย ซึ่งจะช่วยรองรับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
SCGP สร้างความเชื่อมั่นด้านความยั่งยืนระดับโลก ติดอันดับ Top 1% ของ S&P Global ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมผลักดันและเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ชูแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ตลอดโซ่ห่วงคุณค่า บนเวทีด้านความยั่งยืน “EARTH JUMP 2025: TRANSITION THRU TURBULENCE”

คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นและความร่วมมือกันของทุกฝ่ายในการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนและ Net Zero และรวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร และมีความพร้อมในการตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม โดย SCGP ยังคงเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรส่งต่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด SCGP ได้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโลกร้อน เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง ในงานฟอรั่มด้านความยั่งยืน “EARTH JUMP 2025: TRANSITION THRU TURBULENCE” บนเวทีเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจหมุนเวียน เทรนด์ใหม่ เพื่อทางรอดของภาคธุรกิจ”

“เศรษฐกิจหมุนเวียนทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นทางรอดธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่ง SCGP มีแนวทางดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการนำเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับเป็นยุทธศาสตร์องค์กร 5 ด้าน ได้แก่ Resource Recovery นำวัสดุใช้แล้วกลับเข้ามาใช้ใหม่ โดย SCGP ใช้กระดาษที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเกินร้อยละ 99 เพื่อเป็นวัตถุดิบ Circular Supplies ใช้พลังงานหมุนเวียนและปลูกป่าไม้ ดูดซับคาร์บอนได้กว่า 300,000 ตันในปีที่ผ่านมา และ Product Life Extension การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์เพื่อลดการใช้ทรัพยากร ทั้ง 3 ด้านนี้นำพาให้ SCGP เติบโตอย่างมีศักยภาพพร้อมต่อยอดอีก 2 ด้าน เสริมความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ Product as a Service เปลี่ยนสินค้าเป็นบริการแบบครบวงจร เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่า และ Sharing Platform ร่วมมือพันธมิตรใช้สินทรัพย์ร่วมกัน เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่าสูงสุด”
“การมองเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตมากกว่าเป็นต้นทุน จะสามารถพลิกเป็นโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ พร้อมกับต้องแสวงหาพันธมิตรควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (ecosystem) และผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ซึ่ง SCGP ดำเนินการร่วมกับทั้งพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 120 ราย และจับมือกับชุมชน ส่งเสริมความรู้การจัดการขยะและการนำกลับมาใช้ใหม่ พัฒนาเป็นโครงการชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ จนทำให้ 4 ชุมชนคว้ารางวัลระดับประเทศ ควบคู่กัน SCGP ยังลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีดจากกระดาษ และบรรจุภัณฑ์อาหารจากเยื่อยูคาลิปตัสที่นำไปรีไซเคิลได้และย่อยสลายได้ใน 60 วันหลังการกำจัดทิ้ง” คุณวิชาญ กล่าว

ในฟอรั่ม EARTH JUMP 2025 มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งด้านการจัดการขยะ การขยายความร่วมมือ และการสร้างเครือข่ายพันธมิตร เพื่อผลักดันความยั่งยืนทางธุรกิจ และส่งต่อประโยชน์สู่สังคม นับเป็นอีกหนึ่งฟอรั่มที่สำคัญในการแบ่งปันแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่ภาคธุรกิจและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สู่ความยั่งยืนในระดับโลกไปด้วยกัน
SCGP ตอกย้ำกลยุทธ์การขยายการเติบโตตลาดภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปโภคบริโภค ลงทุนเพิ่มใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan JSC) ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มโซลูชัน ความหลากหลายและครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการบรรจุภัณฑ์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ ลงทุนเพิ่มอีกร้อยละ 30 ใน Duy Tan JSC ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกคงรูปในประเทศเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน 2,825 พันล้านเวียดนามดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,727 ล้านบาท ส่งผลให้ SCGP มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 100 เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับอุปโภคบริโภค (Consumer Packaging) และการรุกตลาดภายในประเทศในตลาดภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวและมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวนมาก นอกจากนี้ Duy Tan JSC มีการนำเสนอสินค้าแบรนด์เฉพาะชั้นนำ ซึ่งช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและส่งเสริมการเติบโตให้แก่บริษัท
Duy Tan JSC มีโรงงานผลิต 5 แห่งในประเทศเวียดนาม และมีการนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ นวัตกรรม และบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค มีฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B ที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม และกลุ่ม B2C โดยในปี 2567 Duy Tan มีรายได้ 5,381พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 7,479 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 578 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 814 ล้านบาท รวมถึงมีสินทรัพย์รวม 4,627 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 6,177 ล้านบาท
การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายการบูรณาการธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน โดยบริษัทฯ ได้มุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจ (Synergy) ในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและครบวงจร ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในอาเซียน โดยเฉพาะธุรกิจในเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดอาเซียนในระยะยาว