Benja Chicken จากแบรนด์ ยูฟาร์ม ครบรอบ 1 ปี จับมือเชฟระดับโลก รังสรรค์สเต๊กอกไก่โมชิโอะ เสิร์ฟความอร่อยระดับพรีเมียมเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ 100% ที่ 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมเตรียมขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ชู 3 หัวใจ เรื่องความปลอดภัย อาหารที่ดี ทานแล้วได้คุณภาพ และสุขภาพที่ดี

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ไก่เบญจา หรือ Benja Chicken เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ ยู-ฟาร์ม เปิดตัวสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา เป็นผลิตภัณฑ์ 100% จากธรรมชาติ ปลอดสาร ปลอดภัย ไม่ใช้ฮอร์โมน และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู จากการวิจัยพัฒนาเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติพิเศษมากกว่ามาตรฐานปกติ และเป็นครั้งแรกของโลกที่เลี้ยงไก่ด้วยข้าวกล้องคัดพิเศษ ที่อุดมไปด้วยสารกาบา (GABA) และสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามิน B3 B6 B9 ทำให้มีความ หอม นุ่ม ฉ่ำ ปลอดสาร ปลอดภัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกจาก NSF International (National Sanitation Foundation) ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้ง 5 ประการ และรสชาติที่ดีกว่า แตกต่างกว่า ตอบรับ Global Food Trend ที่ผู้บริโภคหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ หันมาเลือกใช้ไก่สด Benja Chicken เป็นเมนูเสิร์ฟลูกค้าในระดับพรีเมียม

 

ในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายการผลิต เพื่อให้ตอบสนองการบริโภคในประเทศและพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศจากฐานการตลาดทั่วโลกอยู่แล้ว โดยเน้นเจาะกลุ่มตลาด Premium Segment ที่ผ่านมา ร้าน Alma by Juan Amador ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับรางวัลระดับโลก และล่าสุดได้รับการโหวตให้เป็นร้านอาหาร อันดับ 1 ในสิงคโปร์ จาก Trip Advisor นอกจากนี้ ยังเจาะตลาดในกลุ่มร้านอาหาร และในอนาคตจะวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วสิงคโปร์ พร้อมทั้งขยายสู่ตลาดในจีนและฮ่องกงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และจะเร่งเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ภายในปี 2563 เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์พรีเมียมระดับโลก

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการอาวุโสด้านการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า จากกระแสการตอบรับที่ดีของผู้บริโภค เบญจา ชิคเก้น ร่วมมือกับเชฟระดับโลก อย่าง เชฟหนุ่ม-ธนินทร จันทรวรรณ จาก ร้าน CHIM BY SIAM WISDOM พัฒนาให้เป็นเมนูอาหารพร้อมทาน ที่สะดวก รวดเร็ว หาซื้อง่ายใกล้บ้าน สำหรับเมนู “สเต๊กอกไก่ โมชิโอะ” เราคัดสรรในส่วนของอกไก่ ซึ่งมีแคลอรี่ต่ำ ดีต่อสุขภาพ และอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทั้งสารกาบา (GABA) และสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน B3 B6 B9 จึงตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยของอาหาร (FOOD SAFETY) อาหารที่ดี (FOOD QUALITY) ทานแล้วได้คุณภาพ และสุขภาพที่ดี (FOOD HEALTHY) ที่มีความอร่อยด้วย โดยวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7 – Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ

“นอกจากนี้ เชฟหนุ่มยังได้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ออกวางจำหน่ายอีก 2 เมนู คือ ไก่อบซอสสามรสและอกไก่นุ่มคลีนรสพริกแม็กซิกัน ซึ่งเบญจาชิกเก้นไก่อบซอสสามรสจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมนี้” นางสาวอนรรฆวี กล่าว

ด้าน เชฟหนุ่ม – นายธนินทร จันทรวรรณ จากร้าน CHIM BY SIAM WISDOM กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ที่ร้านไม่มีเมนูไก่เลย เพราะอาหาร Fine dining ส่วนใหญ่ไม่มีเนื้อไก่ ด้วยคุณลักษณะทั้งเรื่องคุณภาพ ความอร่อย และความปลอดภัยของ Benja Chicken ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เชฟ พัฒนาเมนู Fine dining รวมถึงเมนูอาหารจานเดียว ข้าวมันไก่ เมนูพื้นบ้านที่หาทานยากพร้อมทานที่อร่อยและดีกับสุขภาพ สำหรับ “เมนูสเต็กอกไก่โมชิโอะ” นำเนื้ออกไก่ของ เบญจา ชิกเก้น เป็นวัตถุดิบหลัก และใช้เกลือ โมชิโอะ เกลือบริสุทธิ์ ที่มีรสชาติที่ดี และส่วนผสมอื่นที่เป็นเครื่องเทศเพื่อเพิ่มมิติของรสชาติ เช่น พริกชิจิมิ ให้ความหอม แต่ไม่เผ็ด รวมไปถึงเครื่องเทศอื่นๆ อีก 7 ชนิด หมักเข้าเนื้อ แล้วปรุงสุก ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่ใส่สีและกลิ่นสังเคราะห์ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคได้รับความอร่อยที่พิเศษแตกต่างด้วยความหอม นุ่ม และฉ่ำของเนื้อไก่ เบญจา ชิคเก้น เหมือนกับไปทานที่ร้าน

แบรนด์กระเป๋า Borboleta (บอร์โบเล็ตต้า)  ปลื้มเข้ารับรางวัลนักออกแบบอิสระ Handbag Designer Award ประจำปี 2562 ณ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อวดศักยภาพดีไซน์ไทยบนเวทีการแข่งขันของนักออกแบบระดับนานาชาติ  คว้าประเภทรางวัล แบรนด์ที่มีความรับผิดชอบสังคมสูงต่อสังคม มุ่งเน้นนวัตกรรมหนังวิทยาศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น เจาะผู้หญิงยุคใหม่ #สวยได้โดยไม่ทำร้ายสัตว์ เพื่อรักษ์โลกและดูแลสิ่งแวดล้อมโลกอย่างจริงจัง

นางสาววโรณิกา จูน เรซ (หนูหวาน) กรรมการผู้จัดการ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ แบรนด์กระเป๋า Borboleta (บอร์โบเล็ตต้า ) ภายใต้ชื่อ บริษัท เธโซรา จำกัด  เปิดเผยว่า “แบรนด์กระเป๋าถือของผู้หญิง มาจากคำว่า “Borboleta” แปลว่า ผีเสื้อ ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกส  โดยสโลแกนแบรนด์ “One bag, many adventures” หรือ “กระเป๋าใบเดียวเที่ยวได้ทั่วโลก” แบรนด์นี้ เกิดจากแรงบันดาลใจมาจากการเดินทาง ประกอบกับมีใจรักด้านการออกแบบ จนเกิดความเชี่ยวชาญ แนวคิดการออกแบบกระเป๋า ตั้งใจออกแบบกระเป๋าที่ทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น  ตอบโจทย์การใช้งานของผู้หญิง เช่น  มีช่องใส่ของปริมาณเยอะ เพื่อง่ายต่อการหยิบของสะดวก น้ำหนักเบา สะพายได้ทั้งวันไม่เมื่อยบ่า ดีไซน์เก๋สวย และสามารถใช้ได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มุ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นคนยุคใหม่ ชอบเดินทางท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ 

สิ่งที่แบรนด์บอร์โบเล็ตต้า ภูมิใจในฐานะดีไซน์เนอร์ไทยคนหนึ่ง คือการออกแบบผลงาน จนแบรนด์กระเป๋าบอร์โบเล็ตต้าได้ถูกรับเลือกเข้าชิงเพื่อรับรางวัลอันทรงเกียรติ ภายใต้รางวัล “แบรนด์ที่มีความรับผิดชอบสูงต่อสังคม” จากการส่งผลงานกว่า 2,000 ผลงานมาจาก 5 ทวีปรวมกว่า 28 ประเทศ โดย Handbag Designer Award ได้คัดเลือกแบรนด์บอร์โบเล็ตต้า เป็น Finalist ในกลุ่มประเภทรางวัลกระเป๋าถือที่รับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุด ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลตรงตามแนวคิดมาตรฐานทางจริยธรรมและศีลธรรมที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการผลิตการจ้างงานและการนำรายได้ส่วนหนึ่งไปทำบริจาคช่วยเหลือสังคม ซึ่งผู้ได้รับรางวัลจะต้องทำงานร่วมกับ Global Goods Partners และเป็นส่วนหนึ่งในช่างฝีมือของ GGP  ทำงานเพื่อผลิตกระเป๋าถือสุดพิเศษที่ออกแบบโดยในปี 2562 นี้สำหรับผู้ได้รับรางวัลนี้จะมีการเผยแพร่ออกไปยังเว็บไซต์ของ GGP ออกไปสู่สายตาสาธารณะชนอย่างกว้างขวาง อาทิ ในสื่อมวลชนและร้านค้าพันธมิตรต่างๆ เป็นต้น โดยจัดงาน ณ เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะนำภาพมาเผยแพร่ในประเทศไทยอีกครั้ง

คุณวโรณิกา  กล่าวต่อไปว่า “สำหรับการวางแผนของแบรนด์บอร์โบเล็ตต้า  มีความชัดเจนเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลพนักงาน และจริงใจกับลูกค้า ด้วยการวางกลยุทธ์ 5 ด้าน ดังนี้  อาทิ 1 ) มุ่งการออกแบบฟังก์ชั่นของกระเป๋าทุกใบเพื่อใช้งานง่าย 2) มุ่งเลือกเฟ้นวัสดุที่ผลิตกระเป๋าต้องสวยโดยไม่ฆ่าสัตว์ กระเป๋าของแบรนด์ Borboleta ทั้งหมดทำจากหนังวิทยาศาสตร์ เป็นวัสดุที่มีคุณภาพสูงที่ทำจากไมโครไฟเบอร์ 100% เป็นนวัตกรรมจากญี่ปุ่น โดยนวัตกรรมนี้ให้รูปลักษณ์ความรู้สึกและความทนทานของหนังแท้และได้มาตรฐานเครื่องหมายการันตีการไม่ทำร้ายสัตว์  PETA-APPROVED VEGAN จากประเทศสหรัฐอเมริกา จุดเด่น น้ำหนักเบา หนังกันน้ำ เป็นวัสดุรักษ์โลก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  3) ราคาจำหน่ายต้องยุติธรรมสำหรับลูกค้าทางแบรนด์สามารถควบคุม ตั้งแต่การออกแบบ ผลิต ไปจนถึงจัดจำหน่ายตรงถึงมือลูกค้าโดยไม่ผ่านคนกลาง  4) มุ่งการผลิตเชิงจริยธรรม และเน้นคุณภาพการผลิตที่ได้มาตรฐานส่งออก ช่างฝีมือทุกคนมีประสบการณ์ในการตัดเย็บกระเป๋าอย่างน้อย 15 ปี และพนักงานทำงานภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี และได้รับสวัสดิการที่ดี และ 5) การบริจาคกลับคืนสู่สังคม รายได้ส่วนนึ่งจากการขายกระเป๋าทุกใบจำหน่ายจะเข้า สมทบทุนเข้าโครงการของมูลนิธิมหาสมุทรแห่งปัญญา (www.owfo.org) เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และคุณภาพชีวิต เด็กด้อยโอกาสในประเทศไทยต่อไป”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดภาพรวมของแบรนด์กระเป๋าจะมีแนวโน้มใช้วัสดุรักษ์โลกกันมากยิ่งขึ้น ในอีก 3-5 ปี จะมีการแข่งขันสูงขึ้น  นับว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อสภาวะแวดล้อมโลก ต่างชาติก็ยอมรับใน จุดเด่นสินค้าคนไทยออกแบบดีไซน์ สวยงาม มีความประณีต ลูกค้าต่างชาติจึงชื่นชอบสินค้าไทยอย่างมาก หากแต่เราต้องจริงใจและซื่อสัตย์แก่ลูกค้า  ทั้งนี้แบรนด์บอร์โบเล็ตต้าก็พยายามครีเอทดีไซน์พร้อมใส่ใจรายละเอียดฟังก์ชั่นการใช้งานให้สอดคล้องกับผู้หญิงในยุคใหม่จริงๆ   ทำให้การซื้อสินค้าเกิดความคุ้มค่าและลูกค้าจะมั่นใจเกิดความพึงพอใจสูงมีแต่แง่เชิงบวกทั้งสิ้น 

บริษัท เวิลด์ ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ผสมวุ้นน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ “เอ็ม-จอย (M-Joy)” และ “เจ-มิกซ์ (j-mix)” ประกาศรุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเต็มตัว ส่งข้าวเกรียบผสมผัก ตรา “เมจิโกะ(MAJIKO)” เป็นทางเลือกใหม่อาหารว่างของคนรักสุขภาพ ชูจุดเด่น “อร่อยฟิน ได้ประโยชน์” มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ ข้าวเกรียบผสมแครอท รสมะเขือเทศ แบบซอง มี 2 ขนาด คือ ซองเล็ก ขนาด 28 กรัม พกพาสะดวก ราคา 20 บาท และซองใหญ่ ขนาด 55 กรัม พร้อมซิปล็อคสะดวกต่อการจัดเก็บ ราคา 35 บาท และแบบกระป๋อง ขนาด 55 กรัมราคา 49 บาท ข้าวเกรียบผสมผักเซเลอรี่ รสวาซาบิ แบบซองซิปล็อคขนาด 55 กรัม ราคา 35 บาท วางจำหน่ายทางโมเดิรน์เทรดที่ ฟู้ดแลนด์ ท๊อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้าน DAISO ทุกสาขา และจำหน่ายผ่านออนไลน์อย่าง LAZADA  สำหรับซองเล็กขนาด 28 กรัม จำหน่วยผ่าน เทรดดิชั่นนอลเทรด ร้านค้าทั่วไปทั่วประเทศ

เอปสัน ร่วมกับสมาคมส่งเสริมและพัฒนาการถ่ายภาพ และ DJI จัดกิจกรรม “Epson Moverio Experience” เปิดโอกาสให้นักศึกษาและผู้สนใจได้สัมผัสกับมุมมองใหม่ผ่านแว่นตาอัจฉริยะ Moverio BT-300 จากเอปสันในการถ่ายภาพมุมสูงจากโดรน  เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทักษะทางด้านการถ่ายภาพและส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์  ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา  โดยได้รับเกียรติจาก  ผศ.ภคมน ตั้งจิตติเลิศ จากสาขาศิลปะการถ่ายภาพภาควิชาออกแบบ วิทยาลัยเพาะช่าง และอาจารย์นท พูนไชยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านสตูดิโอภาพยนตร์ สถาบันกันตนา

งานนี้ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสประสบการณ์ตรงผ่านกิจกรรมดังกล่าวโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ณ สถาบันกันตนา ศาลายา จังหวัดนครปฐม ติดตามกิจกรรมดีๆ ของเอปสันได้ที่ www.epson.co.th และ www.facebook.com/EpsonThailand

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2562 เผยกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตของธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือคู่คิดด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า บริการ และกระบวนการผลิต และการขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและการใช้งานบรรจุภัณฑ์ของผู้บริโภคทั้งในไทยและอาเซียนอย่างครบวงจร

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ   แพคเกจจิ้ง ต้องรับมือกับความท้าทายจากความผันผวนของราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด ขณะเดียวกันก็มีโอกาสจากอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มีมูลค่าถึง 50,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตประมาณร้อยละ 5 ส่วนในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของตลาดอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และยังมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มที่เปลี่ยนไป เช่น กลุ่มผู้บริโภคที่นิยมใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสะดวกสบาย และกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมจะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารต้นทุนเป็นหลัก ธุรกิจแพคเกจจิ้งจึงวางแผนกลยุทธ์รับมือกับความท้าทายและโอกาสเหล่านี้ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการแข่งขัน การเพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค รวมถึงการเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือคู่คิดทางธุรกิจที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร และสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับ 3 กลยุทธ์หลักที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ใช้รับมือกับโอกาสและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมาย ได้แก่ การสร้างการเติบโตของธุรกิจด้วยการขยายฐานการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยในช่วงปี 2017-2018 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ได้ลงทุนเพิ่มฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์และงานพิมพ์คุณภาพสูงและฐานการผลิต Rigid Plastic Packaging ในประเทศไทย ฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย และฐานการผลิต Food Packaging ในประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย แบรนด์ Fest อีก 2 โรงงาน ซึ่งปีนี้ บริษัทฯ จะยังคงมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้มีฐานการผลิต  บรรจุภัณฑ์ครอบคลุมทั่วประเทศและภูมิภาคอาเซียนในการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของลูกค้า และสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศอยู่เสมอ เพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับเรา

กลยุทธ์ต่อมาคือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งวิจัยและพัฒนาสินค้าให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้พัฒนากระบวนการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ Value Chain อย่างมีประสิทธิภาพ (Data Visibility) และการใช้เทคโนโลยี MARs (Mechanization, Automation, Robotics) ที่ช่วยปรับกระบวนการผลิตในโรงงานให้เป็น Smart Factory อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีไปใช้สนับสนุนการทำงานระหว่างเอสซีจีกับลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

การดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวปฏิบัติ     SCG Circular Way ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ใช้ให้น้อย ใช้ให้นาน หรือนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นอีกกลยุทธ์ที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ให้ความสำคัญ ด้วยการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษและพลาสติกให้ใช้งานง่าย โดยใช้ทรัพยากรน้อย แต่ยังคงทนแข็งแรง และสามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซ้ำได้ครบวงจร (Close-loop Packaging) อาทิ ถุงกระดาษรีไซเคิลที่มีคุณภาพและสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี อีกทั้งเมื่อใช้งานแล้วยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติก (R-1) ที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ง่าย เนื่องจากผลิตด้วยการนำวัสดุชนิดเดียวกันมาประกบกันหลายชั้น (Multilayer Laminated : Mono Material) จึงมีคุณสมบัติป้องกันความชื้น แข็งแรง สามารถปกป้องสินค้าได้ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บขยะกระดาษและพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยใช้เครือข่ายโรงงานอัดเศษกระดาษในการเก็บขยะพลาสติกเพื่อนำมาผลิตซ้ำ และการร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บขยะ ตลอดจนการร่วมผลักดัน ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้บรรจุภัณฑ์และการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์หลังใช้งานแล้ว และการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CEFLEX (A Circular Economy for Flexible Packaging) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก เพื่อร่วมส่งมอบสินค้า บริการ และโซลูชั่น รวมถึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ทรัพยากรธรรมชาติคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

“ด้วยแนวโน้มของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยังสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้ตามการเติบโตของประเทศและภูมิภาค ทำให้คาดการณ์อัตราการเติบโตของตลาดไทยและอาเซียนในปีนี้ว่าจะยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ธุรกิจ   แพคเกจจิ้ง เอสซีจี จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานตามกลยุทธ์เหล่านี้ จะสามารถสร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และทำให้เราพร้อมเป็นคู่คิดด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรให้กับลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องทั้งในไทยและอาเซียนได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการมุ่งขยายการเจริญเติบโตไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน การจัดสรรงบลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง และเน้นการดำเนินงานตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นหลัก เพื่อให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่างยั่งยืน” คุณธนวงษ์ กล่าวสรุป

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click