นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางซ้าย) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 29,402,285 บาท สมทบทุนเข้าโครงการอุปการะเด็กในมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก ครอบครัวและชุมชนยากไร้ ซึ่งเผชิญกับปัญหาความยากจน รวมทั้งช่วยให้ครอบครัวและชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีได้ร่วมกันบริจาคผ่านการใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER และบัตรเครดิตเคทีซี โดยมีดร.สราวุธ ราชศรีเมือง (กลางขวา) ผู้อำนวยการ มูลนิธิศุภนิมิตฯ ให้เกียรติรับมอบ ณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง เมื่อเร็วๆ นี้ 

มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรสาธารณกุศลเพื่อการพัฒนาและการรณรงค์เพื่อสร้างความยุติธรรมในสังคม โดยดำเนินพันธกิจช่วยเหลือเด็ก ผ่านการทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชน เพื่อเอาชนะปัญหาความยากจนและความไม่ยุติธรรมในสังคม ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเด็ก และชุมชนที่เปราะบางยากไร้ที่สุดโดยไม่มีการแบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ ภาษาและศาสนา โดยมูลนิธิฯ มีเป้าหมายจะช่วยเหลือเด็ก 3 ล้านคนที่อยู่ในภาวะเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นภายในปี 2025 ปัจจุบันมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มีพื้นที่ดำเนินงานใน 36 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศไทย และมีเด็กในความอุปการะ 38,479 คน

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์  จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) ประกาศแต่งตั้ง นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567

“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์  จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และหนึ่งในสี่ผู้ให้บริการธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้งรายใหญ่ของเอเชีย ประกาศแต่งตั้งนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด คนใหม่ เพื่อนำทัพไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย

นายพีรพงศ์มีประสบการณ์การทำงานด้านการเงินการลงทุนมากว่า 27 ปี ในสถาบันการเงินชั้นนำ ครอบคลุมด้านการบริหารความมั่งคั่งในผลิตภัณฑ์การลงทุนและทรัพย์สินหลากหลายประเภท การสร้างกลยุทธ์การลงทุนให้กับลูกค้า รวมถึงการวางแผนการดำเนินงานเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้กับองค์กร

นอกจากนี้ นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบัน จะดำรงตำแหน่งกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด ซึ่งจะช่วยสนับสนุนประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ด้านนโยบายภาพกว้าง เพื่อความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแนวทางการทำงานและดำเนินธุรกิจขององค์กรต่อไป

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ พร้อมนำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การวางแผนและบริหารความมั่งคั่ง ตลอดจนประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงทั่วโลกกว่า 130 ปี ของจูเลียส แบร์ มาผสานเข้ากับจุดแข็งของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ที่มีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง มาใช้ในการดูแลเพื่อเพิ่มคุณค่าและขยายโอกาสในการลงทุนทั่วโลกแบบไร้พรมแดน ให้แก่ลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงชาวไทยที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้งนายพีรพงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ โดยนายพีรพงศ์ เป็นผู้บริหารที่คร่ำหวอดในแวดวงการเงินการลงทุนเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์ในตลาดเงินตลาดทุนมานานกว่า 27 ปี ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมกองทุนรวมระดับประเทศ ครอบคลุมทุกมิติของการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เราเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำทัพของนายพีรพงศ์จะสามารถขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs/ HNWIs) ของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังคงจุดยืนของการเป็นผู้นำบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยที่สามารถดูแลและให้บริการแก่ลูกค้าแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับเวิลด์คลาส ตอกย้ำความมุ่งมั่นYour Legacy. Our Promise.” ของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ผ่านการรักษาคุณค่าและช่วยให้ลูกค้าคนสำคัญสามารถวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน”

มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ธนาคารจูเลียส แบร์ และกรรมการบริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เปิดเผยว่า “เราเชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนของนายพีรพงศ์ ผนวกกับประสบการณ์ด้านการบริหารความมั่งคั่งระดับสูงของนางสาวลลิตภัทร แสดงให้ถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการยกระดับบริการเวลธ์แมเนจเม้นท์ของเรา จากประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงระดับสากลอันยาวนานผสานกับความก้าวหน้าทางนวัตกรรมที่ช่วยเสริมแกร่งศักยภาพของเราให้โดดเด่นเสมอมา นับเป็นข้อพิสูจน์ถึงคำมั่นสัญญาของ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ในการเสนอบริการและคำแนะนำที่เหนือระดับแก่ลูกค้า พร้อมช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเราจะยังคงยืนหยัดเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือที่ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นในศักยภาพท่ามกลางอุตสาหกรรมเวลธ์แมเนจเม้นท์ของเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอกย้ำบทบาทผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงอย่างแท้จริง” 

เดินหน้าปลูกป่า 1 ล้าน ตร.ม. สร้างพื้นที่สีเขียว มุ่งสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนครบวงจร ตามปรัชญา “Go Beyond Dreams”

การมีภาระหนี้สินมากเกินกว่าจะจัดการไหว อาจส่งผลกระทบต่อการเงินในมิติต่าง ๆ ของชีวิตได้ ดังนั้น fintips by ttb เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จึงขออาสาพาไปพบกับ 3 เรื่องที่คนเป็นหนี้ต้องรู้ เพื่อหยุดปัญหาหนี้เรื้อรังได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้พิชิตหนี้ได้ไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งรักษาสุขภาพทางการเงินและสุขภาพใจได้อีกด้วย

สิ่งแรกขอชวนทุกคนมาเช็กปัญหาหนี้กันก่อน หากยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเผชิญปัญหาหนี้อยู่หรือไม่ ให้ลองสำรวจตัวเองง่าย ๆ ด้วย 4 สัญญาณเหล่านี้

  1. รายได้ไม่พอรายจ่าย
  2. ชำระขั้นต่ำติดต่อกันหลายครั้ง
  3. จ่ายช้ากว่ากำหนด
  4. กดเงินสดมาจ่ายหนี้อื่น

ถ้าหากพบว่ามีสัญญาณเหล่านี้ และคิดว่าตัวเองเริ่มมีปัญหา สามารถติดต่อธนาคารที่ได้ทำการกู้สินเชื่อไว้เพื่อหาวิธีแก้หนี้อย่างยั่งยืนร่วมกันได้  และมาดูพร้อม ๆ กันได้เลย กับ “3 สิ่งที่ต้องรู้ หยุดปัญหาหนี้เรื้อรังได้ ให้พิชิตหนี้ได้ไวขึ้น”

1. มาตรการแก้หนี้ยั่งยืน คือ แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบครบวงจรโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้สถาบันการเงิน หรือธนาคารให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม โดยดูแลลูกค้าสินเชื่อที่ประสบปัญหาด้านการชำระหนี้ กำหนดสิทธิเพื่อคุ้มครองลูกค้าสินเชื่อ สนับสนุนวินัยด้านการเงิน และการบริหารจัดการหนี้ที่ดี

2. มาตรการแก้หนี้ยั่งยืนประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่

1) การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้สถาบันการเงิน หรือธนาคารช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาหนี้ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ สำหรับวางแผนการชำระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและ SMEs ที่ไม่เคยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน โดยธนาคารจะเสนอแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีเงินคงเหลือเพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งธนาคารต้องเสนอแนวทางการช่วยเหลือ (Product Program) อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้ลูกค้าที่เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ไม่เป็นหนี้เสีย ส่วนสำหรับคนที่เป็นหนี้เสีย(Non-Performing Loan : NPL) จะไม่ถูกโอนขายหนี้ก่อน 60 วัน นับจากวันที่เสนอเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้

นอกจากนี้ ยังมีโครงการคลินิกแก้หนี้สำหรับคนที่มีปัญหาหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ค้างชำระเกิน 120 วัน เมื่อเข้าร่วมโครงการจะได้รับการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้ผ่อนเฉพาะเงินต้นนานสูงสุด 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยเพียง 3-5% ต่อปี และยกดอกเบี้ยค้างเดิมให้เมื่อชำระครบตามสัญญา รวมไปถึงยังมีทางด่วนแก้หนี้ และหมอหนี้เพื่อประชาชน ที่จะคอยช่วยให้คำปรึกษาด้านการแก้ปัญหาหนี้อย่างครบวงจร

2) การแก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง เป็นแนวทางที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 โดยให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง (กลุ่มเปราะบาง) ให้สามารถจบหนี้ได้ โดยกำหนดให้คนที่เป็นหนี้เรื้อรังจากสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทวงเงินหมุนเวียน แต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย และมีการชำระดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท จะได้รับความช่วยเหลือให้ปิดยอดหนี้ได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการเปลี่ยนประเภทสินเชื่อเป็นแบบผ่อนชำระรายงวด (Installment Loan) เพื่อให้ปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่เกิน 15% ต่อปี ทั้งนี้ ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล และบัตรเครดิต

3)การคุ้มครองสิทธิลูกหนี้ เพื่อให้มีความเป็นธรรมกับลูกหนี้มากขึ้น ทั้งการให้ความรู้เรื่องสินเชื่อ การบริหารจัดการหนี้ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างวินัยทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น

3. สิทธิคุ้มครองเพื่อแก้หนี้อย่างยั่งยืน มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ประกอบด้วย

1) ไม่ต้องจ่ายค่า Prepayment Fee หรือค่าปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด โดยจะต้องปิดยอดหนี้ก่อนวันที่ครบกำหนดในสัญญา รวมไปถึงสัญญาเก่าที่ยังมีผลอยู่ด้วยเช่นกัน โดยจะมีผลกับสินเชื่อทั้ง 5 ประเภท ได้แก่

  • สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
  • สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance)
  • สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
  • สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล
  • สินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่น ๆ เช่น สินเชื่อสวัสดิการ

2) ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยลูกค้าสินเชื่อจะไม่ถูกคิดค่าธรรมเนียมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกัน ซึ่งจำเป็นต้องนำมาใช้ประกอบการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

3) ไม่มีการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นของสินเชื่อรายย่อยทั้งหมด รวมไปถึงกรณีที่บัญชีเดินสะพัดของสินเชื่อวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี หรือ Overdraft ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

4) ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้เองว่าจะกดเงินทันทีหรือไม่ หลังจากได้รับอนุมัติสินเชื่อบัตรกดเงินสดแล้ว นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ที่จะได้รับข้อมูลสำคัญที่ถูกต้องและครบถ้วน เพื่อสามารถใช้เปรียบเทียบข้อมูลได้ รวมถึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับแจ้งเตือนให้มาชำระหนี้อย่างมีวินัย

ลองมาสำรวจสัญญาณปัญหาหนี้ดังกล่าวข้างต้นกันดู หากสำรวจตัวเองแล้วพบว่าเริ่มมีปัญหา อย่าลังเลที่จะติดต่อธนาคารที่เราเป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อหาวิธีแก้หนี้อย่างยั่งยืน ส่วนใครที่กำลังจะขอสินเชื่อ อย่าลืมทำความเข้าใจ อัตราดอกเบี้ย และคำนวณดอกเบี้ยที่จะต้องชำระ ไม่ว่าจะเป็นชำระคืนปกติตามกำหนด จ่ายขั้นต่ำ หรือผิดนัดชำระ เพื่อช่วยวางแผนการเงินให้ดียิ่งขึ้น

มาร่วมออกแบบชีวิตทางการเงินในวันนี้และในอนาคต เพื่อพิชิตเป้าหมายการมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ด้วยเคล็ดลับทางการเงินดี ๆ ได้ที่ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ

เพียงคลิก https://www.ttbbank.com/th/fintips-pr

หรืออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/fintips-bot1-pr

ค้นหาตัวช่วยพิชิตหนี้ได้ ที่ https://www.ttbbank.com/phi-chit-nee-fintips-pr

กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารฯ กำหนด

ฉลองวันไหลสงกรานต์ครั้งแรกในกรุงเทพฯ ณ ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์

มุ่งสร้างอาชีพอย่างมีคุณค่า ด้วยหลักพึ่งพาตนเอง โชว์ศักยภาพกลุ่มผู้สูงวัย – สตรี – คนรุ่นใหม่  

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน​) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด ดูแลพนักงานในสถานประกอบกิจการห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน หนุนสร้างสังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ตั้งเป้าภายในปี 2567 นี้ ฟาร์มและโรงงานทั้ง 437 แห่งทั่วไทย ผ่านการรับรองโรงงานสีขาว

ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)​ และ ซีพีเอฟ จัดขึ้นที่ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบธงนำร่องสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) แก่นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และผู้บริหารบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ ซึ่งมีนางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พล.ต.ท. ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ปปส. ร่วมลงนาม 

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอย่างเข้มแข็งและมั่นคง กระทรวงแรงงานมุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนบูรณาการดำเนินแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบตามหลักเกณฑ์โรงงานสีขาว สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้เป็นหลักประกันว่าพนักงานของซีพีเอฟทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย มีระบบและกลไกในการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดแบบครบ วงจร เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรที่มีแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี ดูแลพนักงานทุกคนด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้พนักงานทุกคนที่ทำงานในประเทศไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

“ขอชื่นชมซีพีเอฟที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐบรรลุเป้าหมายในการป้องกัน และหยุดยั้งปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน และยังมีการต่อยอดดูแลชุมชนที่อยู่รอบๆ หน่วยงานให้มีความเข้มแข็ง และห่างไกลจากยาเสพติดอย่างจริงจัง”​ นายพิพัฒน์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า พนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทฯ บรรลุวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง การลงนามบันทึกความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน”  เป็นการประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการต่อต้านยาเสพติด นำหลักเกณฑ์และแนวทางของโรงงานสีขาว  นำมาส่งเสริมและปฏิบัติอย่างเป็นระบบ  เพื่อพัฒนาสถานประกอบการของซีพีเอฟกว่า 437 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นองค์กรที่ปลอดจากยาเสพติด ซึ่งครอบคลุมพนักงานทั้งคนไทยและ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 70,000 คน  โดยการตั้งเป้าหมายภายในปีนี้ สถานประกอบกิจการทุกแห่งในประเทศไทย ได้รับการรับรองโรงงานสีขาวและมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ร่วมสร้างความยั่งยืนขององค์กร ชุมชนและประเทศต่อไป

“ซีพีเอฟมีความยินดีร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่ายพัฒนาสถานประกอบกิจการของบริษัทฯ ทุกแห่งทั่วประเทศเป็นต้นแบบองค์กรดูแลพนักงานทุกคน และชุมชนรอบข้างมีภูมิคุ้มกันห่างไกล สนับสนุนสังคมไทยมีความเข้มแข็ง และเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืนที่ผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นลำดับแรก ประโยชน์ของประชาชนเป็นลำดับที่สอง และประโยชน์ของบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย”​ นายประสิทธิ์กล่าว

ซีพีเอฟ ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนองค์กรปลอดยาเสพติดและเป็นโรงงานสีขาว ตามโครงการ “ซีพีเอฟ องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดี เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การให้ความรู้ความเข้าใจให้พนักงานมีความตระหนักและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดอย่างจริงจัง การอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นเครือข่ายที่สำคัญเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พนักงานมีความเสี่ยงไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู และให้โอกาสพนักงานที่รักษาหายสามารถกลับมาทำงานกับองค์กรได้ พร้อมทั้งสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งของซีพีเอฟเป็นสมาชิกที่ดี และร่วมดูแลชุมชนรอบข้างปลอดจากยาเสพติด เพื่อสร้างสังคมเข้มแข็ง อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มั่นคงและยั่งยืน

ราคาเริ่ม 1.99 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิพิเศษเฉพาะในงาน 27 – 28 เม.ย.นี้

บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสุนัขแบรนด์ “เจอร์ไฮ” ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวผลิตภัณฑ์  'JerHigh MORE' สูตร GRAIN FREE (เกรนฟรี) ภายใต้แนวคิด 'ให้มื้อนี้.... เจอร์สิ่งที่ดีกว่า' พร้อมพรีเซ็นเตอร์ใหม่ 'จองและคัลแลน' ยูทูบเบอร์ดังแห่งช่อง Hateberry ด้วยความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง ที่ใครหลายๆ คนได้สัมผัสจากการเดินทางของพวกเขา ซึ่งถ่ายทอดตัวตนของทั้งคู่อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้แฟนคลับและกลุ่มคนรักสุนัขใจฟูไปตามๆ กัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการสื่อสารผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เจอร์ไฮในครั้งนี้

นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเพ็ทฟู้ด จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นวิจัยและคิดค้นร่วมกับสัตว์แพทย์ในการพัฒนาอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงใหม่ๆ ดูแลสุขภาพของสุนัขทุกสายพันธุ์ ทุกช่วงวัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้ที่รักน้อง ล่าสุด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 'เจอร์ไฮ มอร์ สูตรเกรนฟรี' ใช้วัตถุดิบที่ปราศจากธัญพืช เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ลดความเสี่ยงเรื่องอาการแพ้ ไม่ใส่น้ำตาลและสารปรุงแต่งสี อัดแน่นด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ช่วยบำรุงขนให้สวยงาม ลดอาการขนร่วง พร้อมบำรุงผิวหนังให้ชุ่มชื้น

"ปีนี้ เจอร์ไฮ ยังเสิร์ฟความใจฟูให้กลุ่มคนรักน้องๆ ด้วยการร่วมงานกับ 2 ยูทูบเบอร์ อย่าง 'จองและคัลแลน' ทุกการเดินทางของพวกเขา ที่เอาใจใส่น้องสุนัขและน้องแมวที่พบเจอในสถานที่ต่างๆ  ด้วยการป้อนอาหารหรือขนมสัตว์เลี้ยงแก่น้องๆ จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ทุกคนหลงรัก" นายกิติศักดิ์ กล่าว

 

ด้าน พรีเซนเตอร์ทั้ง 2 ท่าน จองและคัลแลน เปิดเผยถึงการร่วมงานกับแบรนด์เจอร์ไฮ ว่า จุดเริ่มต้นคือ พวกเราชอบน้องหมามาก เวลาเดินทางไปถ่ายคลิปที่ไหน ก็จะต้องชื้ออาหารและขนมสัตว์เลี้ยงติดตัวไว้ตลอด เจอร์ไฮเป็นสินค้าหาซื้อง่าย น้องกินกันอย่างมีความสุข ยิ่งทำให้มั่นใจ หลังจากนั้นพวกเราเอาเจอร์ไฮไปร่วมหลายๆ ทริป เพื่อมอบความอร่อยให้น้องสุนัขมากมาย ทำให้ผมใจฟูมาก พอทางเเบรนด์ติดต่อมาก็ตอบตกลงเเบบไม่ลังเล และยังได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่ชอบก็คือ การได้ร้องเพลง เพลงเจอร์ไฮน่ารัก ฟังแล้วติดหู อยากให้ทุกคนไปลองฟังกันเยอะๆ (เพลงโฆษณา โดย จองและคัลแลน : https://vt.tiktok.com/ZSF785FyB/)

สำหรับ เจอร์ไฮ มอร์ สูตรเกรนฟรี มีหลายสูตรให้เหล่าคนรักสุนัขเลือก ได้แก่ สูตรไก่ และสูตรไก่และตับ สำหรับสุนัขที่มีอาการแพ้เนื้อไก่ รวมถึงสูตรปลาแซลมอน ซึ่งทุกสูตรสุนัขสามารถกินได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป รับประกันคุณภาพ และความอร่อย ผู้ที่สนใจหาซื้อได้ที่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ เซเว่นอีเลฟเว่น โลตัส แม็คโคร ฟู้ดแลนด์ ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี ร้านเพ็ทช็อปทั่วประเทศ หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสั่งซื้อได้ที่ Facebook Fanpage : jerhighofficial , Line My Shop : @jerhighfordog  หรือ http://www.jerhigh.com/ 

เจอร์ไฮ พร้อมเป็นสื่อกลางที่เติมเต็มความรักระหว่างผู้เลี้ยงกับสุนัข ภายใต้แนวคิด 'Feed me with love' หรือมองสุนัขดั่งมนุษย์ บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐาน AAFCO เทียบเท่ากับอาหารมนุษย์ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ตลอดจนการคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีมีคุณภาพ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน มาเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อให้สัตว์เลี้ยงสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว

พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดย ทีเอ็มบีธนชาต โชว์ศักยภาพโดดเด่น รับมอบประกาศนียบัตร จากการคว้าคะแนนเต็ม “องค์กรคุณธรรม” ประจำปี 2566 จากคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ประจำจังหวัดสมุทรปราการ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ต้นแบบด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ในจังหวัดสมุทรปราการ ที่มีศักยภาพโดดเด่น ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ยึดมั่นวิถีวัฒนธรรมไทยและคุณธรรม

นางสาวมาริสา จงคงคาวุฒิ หัวหน้ากิจกรรมสังคมเพื่อความยั่งยืน ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า พิพิธภัณฑ์ครุฑ เป็นองค์กรภาคเอกชนแห่งเดียวของจังหวัดสมุทรปราการที่ได้รับประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ “องค์กรคุณธรรม” โดยคว้าคะแนนเต็มจากการประเมินโดยคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รางวัลดังกล่าว เป็นการสะท้อนความเด่นชัดของพิพิธภัณฑ์ครุฑที่สอดแทรกเรื่องราวของความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความดีงาม เพื่อส่งผ่านถึงคนรุ่นหลังให้ตระหนักถึงคุณค่าขององค์ครุฑที่มีกับสังคมไทยให้คงอยู่ตลอดไป

สำหรับพิพิธภัณฑ์ครุฑ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในประเทศไทยและอาเซียน ที่รวบรวมครุฑอันมีเอกลักษณ์เฉพาะองค์จากทุกภาคของไทย มีความโดดเด่นด้วยองค์ครุฑไม้ที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม สะท้อนถึงความประณีตของศิลปิน โดยอัญเชิญตราที่ประดิษฐาน ณ ธนาคารสาขาต่าง ๆ มากกว่า 150 องค์ มาไว้ด้วยกัน ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของพญาครุฑ ผ่าน 6 โซนนิทรรศการ ที่นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของพญาครุฑอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งแสง สี เสียง ในรูปแบบทั้งแอนิเมชันและมัลติมีเดีย ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเยี่ยมชมจะได้เรียนรู้เรื่องราวของ “พญาครุฑ” สัตว์หิมพานต์ สัญลักษณ์แห่งความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความดีงาม และเข้าถึงความเป็นไทยได้อย่างง่าย ๆ

สำหรับผู้ที่สนใจท่องเที่ยว “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” พร้อมเรียนรู้ตำนาน “พญาครุฑ” สามารถลงทะเบียนผ่าน  https://www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum/ โดยจะเปิดให้เข้าชม ทุกวันศุกร์-เสาร์ วันละ 3 รอบ ในเวลา 10:00 / 13:00 / 15:00 น. พร้อมผู้นำชม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้  มีบริการจัดรถตู้บริการรับ-ส่งจากสถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีเคหะสมุทรปราการ ถึง พิพิธภัณฑ์ครุฑ ซึ่งสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านระบบการจองล่วงหน้าผ่าน QR Code

 

Page 2 of 602
X

Right Click

No right click