“บมจ.สตาร์ มันนี่ หรือ SM” ผู้นำสินเชื่อแห่งภาคตะวันออก ส่งสัญญาณ Q1/67 อู้ฟู่ ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt ของภาครัฐหนุนกำลังซื้อ ขณะที่ กางแผนปี 67 เดินหน้า All Time High คาดพอร์ตสินเชื่อใหม่เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% คุมเข้มคุณภาพลูกหนี้ ลั่น NPL สิ้นปีไม่เกิน 4% จากการขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางสาขา และดิจิทัล จับมือพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนรูปแบบการทำงานและกระบวนใหม่ จัดทำโครงการ Lock มือถือ และการปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตมุ่งสู่นิวไฮอย่างมีคุณภาพ
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM ผู้ประกอบธุรกิจปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกัน รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/2567 ซึ่งเป็นโค้งแรกของปีคาดว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดี เนื่องจากส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt ของภาครัฐ กระตุ้นกำลังซื้อสินค้าและบริการเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีปี 2567 ได้สูงสุด 50,000 บาท รวมถึง โครงการสนับสนุนการขาย และรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยที่จะเติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจการให้สินเชื่อ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่ในภาคตะวันออกของไทย
ในด้านแผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 เดินหน้าทำ All Time High รับเศรษฐกิจฟื้น โดยเฉพาะภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ จะสนับสนุนกำลังซื้อที่เข้ามา พร้อมตั้งเป้าหมายการขายสินค้าและสินเชื่อใหม่เติบโตรวมไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเช่นกัน จากพอร์ตสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2,566.1 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 10.7% ภายใต้การควบคุมคุณภาพหนี้ บริหารจัดการ NPL ให้อยู่ที่ 3.58%
สำหรับปี 2567 SM ยังคงเดินตามแผนเชิงกลยุทธ์และขับเคลื่อนการเติบโต สำหรับการดำเนินการหลัก ได้แก่ มุ่งเน้นเติบโตในพอร์ตสินเชื่อที่สร้างผลตอบแทนที่ดี ผ่านการจัดทำโครงการ Lock มือถือ เพื่อสนับสนุนยอดขายสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน และลดความเสี่ยง NPL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สะท้อนจากตัวเลขผลการจัดเก็บที่ดีขึ้นตั้งแต่ทำโครงการในช่วงปลายปี 2566 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน รวมทั้ง กลยุทธ์การปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อ สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เพิ่มผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
พร้อมกับแผนธุรกิจในการทำ Digital Transformation นำเทคโนโลยีมาช่วยปรับกระบวนการทำงาน เพื่อการพิจารณาสินเชื่อที่รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การปรับปรุงระบบ ERP e-KYC เป็นต้น อีกทั้ง ยังช่วยลดต้นทุนในการขยายสาขา เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้าได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในการช่วยลดระยะเวลาในการให้บริการลง 40%
ตลอดจน มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันออนไลน์เพื่อความครบวงจร และเดินหน้าขยายบริการสินเชื่อใหม่ๆ เจาะกลุ่ม B2B และ B2C รวมถึง ให้ความสำคัญในการมองหาความร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าในหลายธุรกิจ อาทิเช่น ธุรกิจด้าน Green Energy เป็นต้น
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 SM มีสาขาจำนวน 98 แห่ง ประกอบด้วยสาขาส่วนใหญ่ในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว และตราด รวมทั้งสาขาที่ตั้งอยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา โดยเป็นสาขาหลัก 16 สาขา สาขาย่อย 71 สาขา และสาขา Express 8 สาขา นอกจากนี้ยังคงเดินหน้าสำรวจพื้นที่ในทำเลที่มีศักยภาพเพื่อเปิดสาขาเพิ่มเติมต่อไป
“SM วางกลยุทธ์การเติบโตในปี 2567 ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านการขยายพอร์ตสินเชื่อที่รัดกุม การนำผลิตภัณฑ์ใหม่มาสนับสนุน ควบคู่ระบบเทคโนโลยี และการขยายพันธมิตร ตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจ และโอกาสจากการมีสาขาเกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เขต EEC ที่กำลังเติบโตตามอุตสาหกรรมและการลงทุน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ” นายชูศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบันธุรกิจหลักของ SM ได้แก่ 1. จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รถจักรยานยนต์ และ 2. ธุรกิจให้บริการปล่อยสินเชื่อแบบมีหลักประกัน และสินเชื่อบุคคล โดยหลักประกันเงินให้กู้ยืม เช่น เล่มทะเบียนรถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และให้บริการอื่นเพิ่มเติม เช่น การเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย หรือ ประกันชีวิต เป็นต้น
ผลประกอบการปี 2566 มีรายได้รวม 1,379.85 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61.75 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจจำหน่ายสินค้าเติบโตจากปีก่อน 14.6% เป็น 15.1% อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนตั้งสำรอง (PPOP) เดิบโตจากปีก่อน 18.8% เป็น 21.9%
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นด้วย
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์ 1 อสังหาริมทรัพย์ไทยยั่งยืนระดับโลกบน DJSI World 2023 และผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Imagining better futures for all’ มุ่งพัฒนา ‘พื้นที่’ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าเป้าหมาย NET Zero 2050 อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เข้าร่วมรับรางวัลโล่เกียรติคุณกลุ่ม Developer ชั้นนำของเมืองไทยร่วมสร้างอุตสาหกรรมก่อสร้างสีเขียว ในงาน Inclusive Green Growth Days Empowered by SCG: เติบโตและยั่งยืนไปด้วยกัน โดยมี คุณชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director, Regional Development 1 บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เข้ารับรางวัลจาก นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน
นายชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director Regional Development 1 บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ทางเซ็นทรัลพัฒนารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก Cement and Green Solution Business ภายใต้ SCG ในครั้งนี้ โดยที่ผ่านมาเราได้จับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อผลักดันสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ นำร่องโครงการต้นแบบ Framework Pathway to Net Zero Building Guideline นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีขององค์กรที่มีทิศทางด้านความยั่งยืน โดยเราได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกในกลุ่มซีเมนต์ คอนกรีต และกรีนโซลูชันในการพัฒนาและก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสสำคัญของเราคือ โครงการเซ็นทรัล นครสวรรค์ และโครงการ เซ็นทรัล นครปฐม ที่เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มี.ค.67 โดยเลือกใช้ปูน Low Carbon รวมถึงมีการรีไซเคิลเสาเข็มที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่การพัฒนาโครงการเซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัลจันทบุรี และการดำเนินงานภายใต้ Green Standard ต่างๆ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่ช่วยให้เราเดินหน้าสู่เป้าหมาย NET Zero 2050 ได้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนา มีแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ NET Zero 2050 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 แบ่งได้ 3 หมวดหลัก คือ หมวดที่ 1: Decarbonized operational emissions ผ่านการดำเนินงาน ได้แก่ 1) ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 2) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด (solar) 3) ลดขยะฝังกลบ 4) ลดการใช้น้ำ 5) ชวนร้านค้าผู้เช่าลดการใช้พลังงานและแยกขยะ; หมวดที่ 2: Decarbonized embodied emission ผ่านการดำเนินงาน ได้แก่ 1) การนำมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล Green building เช่น LEED, TREES, EDGE มาเป็นแนวทางในการก่อสร้าง 2) การวัด LCA-Life cycle assessment ของการก่อสร้าง 3) ร่วมมือกับ supplier และ contractor ในการเพิ่มปริมาณรีไซเคิลในวัสดุก่อสร้าง และ หมวดที่ 3: Carbon removal โดยการปลูกป่าทดแทน และ R&D เพื่อหานวัตกรรม Sustianovation มาช่วย capture carbon
เอปสันลงทุนเสริมความแกร่งธุรกิจในไทย เปิดโซลูชั่น เซ็นเตอร์ รวมครบโปรเจคเตอร์ เครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม หุ่นยนต์แขนกล และเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ ชูจุดแข็งทางด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ตอบโจทย์ลูกค้า B2B ที่กำลังปรับตัวในไทย
โซลูชั่น เซ็นเตอร์ของเอปสัน ประเทศไทย พื้นที่กว่า 600 ตร.ม. ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ด้านหน้าอาคารปัน (PUNN Smart Workspace) ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย โดยพิธีเปิดในวันนี้ได้รับเกียรติจากผู้บริหารทั้งจากบริษัทแม่ ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น และจากสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม
มร.จุนคิชิ โยชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจเครื่องพิมพ์ บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เอปสันไม่ได้กำหนดความก้าวหน้าขององค์กรที่ความสำเร็จด้านผลกำไรเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญอย่างมากกับความยั่งยืน และได้นำมาใช้เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจและการพัฒนานวัตกรรม เอปสันมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน อย่างเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Free ลิขสิทธิ์เฉพาะของเอปสัน ที่ใช้พลังงานน้อยและช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความทุ่มเทนี้ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จนกลายเป็นแบรนด์เครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์อันดับ 1 ของโลกด้วยยอดจำหน่ายสะสมสูงถึง 90 ล้านเครื่องเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ เอปสันยังครองอันดับ 1 ในตลาดโปรเจคเตอร์ทั่วโลกมายาวนานถึง 22 ปีติดต่อกัน ที่สำคัญ บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าองค์กร หรือ B2B มาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดเครื่องพิมพ์หน้ากว้างของตลาดอาเซียนในปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 21%
“เอปสันตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปการดำเนินงานเพื่อลูกค้า B2B และความสำคัญในการลงทุนด้านโครงสร้างเพื่อสนับสนุนโครงการใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตในธุรกิจด้าน B2B ดังนั้นโซลูชั่น เซ็นเตอร์นี้จึงเป็น ทัชพอยต์สำคัญที่จะทำให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเอปสันได้พบและรับประสบการณ์อันน่าประทับใจโดยตรงด้วยตัวเองกับผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นด้าน B2B ใหม่ๆ ของเอปสัน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจมีหน้าที่ต้องช่วยแก้ไขปัญหาในสังคม และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่ชุมชน เมื่อมองไปที่อนาคต เอปสันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ช่วยให้องค์กรต่างๆ ให้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ยั่งยืนของเอปสัน เพื่อยกระดับชีวิตและสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้แก่คนรุ่นต่อไป” มร.จุนคิชิ กล่าว
มร.ซิ่ว จิน เกียด กรรมการผู้จัดการภูมิภาค เอปสัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า การเปิดโซลูชั่นเซ็นเตอร์ในประเทศไทยถือเป็นอีกย่างก้าวสำคัญของเอปสัน เพราะเมื่อรวมกับความสำเร็จในการเปิดโซลูชั่นเซ็นเตอร์ที่ผ่านมาในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เอปสันก็จะมีทัชพอยต์สำหรับลูกค้า B2B ได้ครอบคลุมภูมิภาคนี้ได้มากยิ่งขึ้น ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีบทบาทสำคัญต่อเอปสันมาโดยตลอด ถือเป็นตลาดหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเอปสันได้เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2533 หรือเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 3 ทศวรรษแล้ว นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และปากีสถานอีกด้วย การเปิดโซลูชั่น เซ็นเตอร์แห่งใหม่ล่าสุดวันนี้จึงสะท้อนถึงความทุ่มเทของเอปสันที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากยิ่งขึ้นในภูมิภาคนี้ และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินกิจการในประเทศไทย
“โซลูชั่น เซ็นเตอร์ของเอปสัน ประเทศไทยได้รวมนวัตกรรมและความยั่งยืนมาไว้ด้วยกัน การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเอปสันในด้านความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์และการฉายภาพอันทันสมัยของเอปสันมารังสรรค์พื้นที่ภายในให้สามารถใช้จัดแสดงโซลูชั่นระดับนวัตกรรม ไปพร้อมกับส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นและความยั่งยืนในเวลาเดียวกัน เมื่อลูกค้าเปิดรับความยั่งยืนและประยุกต์ใช้ในธุรกิจ ก็จะสามารถช่วยลดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจได้”
“ขณะที่บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจไปพร้อมกันทั่วทั้งภูมิภาค ความมุ่งมั่นในเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมยังคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอองค์กรของเอปสันและสะท้อนอยู่ในการดำเนินธุรกิจ รากฐานของทุกสิ่งที่ทำมาจากปรัชญาของนวัตกรรมที่รวมทั้งประสิทธิภาพ ขนาดกะทัดรัด และความแม่นยำ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าโซลูชั่นที่ช่วยประหยัดพลังงาน นวัตกรรมที่ช่วยลดขนาดพื้นที่ใช้งาน และเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำที่สูงพิเศษจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างชุมชนให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นได้” มร.ซิ่ว จิน เกียด กล่าว
ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอปสันมองเห็นถึงศักยภาพและการเติบโตของสินค้าในกลุ่มธุรกิจ B2B ในทุกตลาดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้วางกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดนี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่ด้านโครงสร้างของธุรกิจ การพัฒนาทีมงาน ไปถึงการพัฒนาและการให้การสนับสนุนตัวแทนจำหน่าย การลงทุนสร้างโซลูชั่น เซ็นเตอร์ในทุกประเทศก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ เพื่อเป็นทัชพอยต์สำหรับลูกค้า B2B ซึ่งโซลูชั่น เซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่ประเทศไทยนี้ใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท
“นอกจากจะได้รับการออกแบบให้สามารถใช้พื้นที่กว่า 600 ตร.ม. ได้อย่างคุ้มค่าและอเนกประสงค์แล้ว เอปสันยังได้เลือกคอนเซ็ปต์ “Sustainability of Asia and Season Changes” ที่สนับสนุนจุดยืนทางด้านความยั่งยืนของเอปสันทั่วโลก การตกแต่งภายในทั้งหมดเน้นใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสและสีที่เป็นธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังตกแต่งด้วยภาพพิมพ์จากเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม และภาพฉายด้วยโปรเจคเตอร์ของเอปสัน”
สำหรับสินค้าไฮไลท์ที่จัดแสดงในวันเปิดโซลูชั่น เซ็นเตอร์ ประกอบด้วยเครื่องพิมพ์สิ่งทอแบบ Direct-to-Garment รุ่น Epson Monnalisa ML-8000 ที่ใช้หมึก UltraChrome ฐานน้ำ เครื่องพิมพ์ป้ายขนาดใหญ่ รุ่น Epson SureColor SC-S60670 ที่ใช้หมึก Eco-Solvent หรือรุ่น SureColor SC-R5030L ที่ใช้หมึกเรซิ่น ซึ่งหมึกที่ใช้ในเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมทั้งสามประเภทของเอปสันล้วนแต่ไร้กลิ่น ไร้สารพิษ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ และได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากมาตรฐานระดับโลก อาทิ Greenguard Gold, AgBB และ French-VOC A+ Class เป็นต้น
สำหรับกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล จะมีการจัดแสดงทั้งแบบ Scara และแบบ 6 แกน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ระบบการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพิ่มผลผลิต และลดของเสียหรือปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ทำงานแทนคนในพื้นที่อันตรายหรือมีสารเคมีที่อันตรายต่อสุขภาพ ช่วยลดการใช้พลังงานและลดพื้นที่การใช้งานได้สูงสุดถึง 40% และลดเวลาการดำเนินการและจัดการเรื่องระบบผลิตอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Free อย่าง Epson WorkForce Enterprise AM-Series ซึ่งไม่ใช้ความร้อน ใช้พลังงานต่ำ และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ รวมถึงใช้วัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ทั้งยังถูกออกแบบระบบภายในให้สามารถใช้งานและบำรุงรักษาง่าย เพราะมีชิ้นส่วนอะไหล่ที่ต้องดูแลรักษาน้อย ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน
ปัจจุบันกระแส ESG กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ธุรกิจยุคใหม่จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางนี้ โดยหลังจากประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายและกลยุทธ์ต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมไปถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐด้วย
สำหรับ SME ที่ต้องการคว้าโอกาสทางธุรกิจกับภาครัฐที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 12% ของ GDP ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และ 30% ของ GDP ในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และด้วยภาครัฐกำลังให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) นำมาสู่แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐอย่างยั่งยืน finbiz by ttb จึงขอแนะโอกาสสำหรับ SME ที่มีความรับผิดชอบ โปร่งใส และยั่งยืนตามแนวคิด ESG เพื่อให้สามารถกุมความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจบนเวทีภาครัฐเอาไว้ได้
ทำไม ESG ถึงสำคัญสำหรับ SME
จากปัจจัยดังกล่าว SME ที่มีความรับผิดชอบ โปร่งใส และยั่งยืนตามแนวคิด ESG จึงมีความได้เปรียบบนเวทีการค้ากับภาครัฐ ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างยั่งยืน
สำหรับการดำเนินการด้าน ESG สำหรับ SME แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม (E : Environment)
ลดการใช้พลังงาน จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการใช้สินค้ารีไซเคิล ด้านสังคม (S : Social) ดูแลพนักงานอย่างเป็นธรรม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมความหลากหลายและการรวมเข้าด้วยกัน และด้านธรรมาภิบาล (G : Governance) ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ป้องกันการคอร์รัปชัน การไม่สนับสนุนการทุจริตใด ๆ มีระบบตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ
เพิ่มโอกาสให้ SME เข้าถึงการเป็นคู่ค้ากับภาครัฐด้วยสินเชื่อธุรกิจที่เข้าใจ
เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้าง สนับสนุนการส่งมอบงานให้ได้เป็นคู่ค้ากับภาครัฐมากขึ้น SME ควรมีสถาบันทางการเงินที่เข้าใจลักษณะของธุรกิจและการทำงานกับภาครัฐ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเสนอและรับงานจากหน่วยงานภาครัฐและนำไปต่อยอดได้ ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม
ทีทีบี มุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่ SME ไว้วางใจ พร้อมสนับสนุนให้ SME ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงมีสินเชื่อธุรกิจ ทีทีบี เอสเอ็มอี สนับสนุน SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างเป็นคู่ค้าภาครัฐ ที่เข้าใจลักษณะการทำงานกับภาครัฐโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ SME สามารถกุมความได้เปรียบในการแข่งขันบนเวทีภาครัฐได้
ที่มา : ttb และ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สทสย.)
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดคลาสอบรมหลักสูตร Six Sigma Green Belt ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี“ ชั้น 11 อาคารสมัชชาวาณิช 2 โดยมีนางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจ ซึ่งได้รับการรับรองเป็น Master Black Belt จากสถาบัน Global Six Sigma Experts ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นวิทยากรและโค้ชฝึกอบรม เพื่อเพิ่มทักษะให้ผู้บริหารเคทีซีระดับกลาง (Middle Management) สามารถนำเทคนิค Six Sigma ไปใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจให้สูงขึ้น ทั้งการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มผลกำไรจากการดำเนินโครงการปรับปรุง Six Sigma ในระดับ Certificated Green Belt ได้อย่างเห็นผลชัดเจน โดยมีผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ เข้ารับการอบรมเป็นเวลา 9 สัปดาห์ ได้แก่ Customer Service & Business Support / Operations Control & Merchant Operations / Merchant Acquiring / Recovery / Auto Loan / Item Processing และ Process Development พร้อมนำเสนอโครงการพัฒนาคุณภาพที่เกี่ยวเนื่องกับกลยุทธ์ขององค์กร และกลยุทธ์หรือแผนการดำเนินงานของหน่วยงาน และรับใบประกาศรับรอง Green Belt
นายภาณุมาศ ธีรสันติกุล หนึ่งในผู้เข้ารับการอบรมและนำเสนอโครงการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการขายผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางโทรศัพท์ กล่าวว่า “การเรียนหลักสูตร Six Sigma สามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดผลสำเร็จในงานจริง โดยเห็นได้จากผลที่เกิดขึ้นซึ่งดีกว่าที่คาดหวังมาก และสามารถนำหลักการที่เรียนมาต่อยอดในการปรับปรุงกระบวนการทำงานอื่นๆ เพิ่มได้ โดยที่ไม่มีต้นทุนเพิ่ม”
นางสาววิริยา กลมอ่อน ผู้นำเสนอโครงการ Improve Agent Productivity on Process Dispute ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพงาน ด้วยการลดเวลาที่ใช้ทำงานในกระบวนการลง สามารถใช้จำนวนพนักงานเท่าเดิม รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น กล่าวถึงการได้เรียน Six Sigma ว่า “รู้สึกดีที่เคทีซีมอบโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และท้าทายอยู่เสมอ ประทับใจอาจารย์ผู้สอน (Master Black Belt) ที่ทุ่มเทถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ รวมถึงทีมพี่เลี้ยง (Mentor) ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือการจัดทำโครงการให้สำเร็จ สำหรับประโยชน์ที่ได้จากการอบรมครั้งนี้ คือ หลักการคิดในการทำโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ และได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้งนำกระบวนการคิดจากการเรียน Six Sigma มาใช้ในการบริหารทีมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมได้”
Six Sigma เป็นวิธีการปรับปรุงคุณภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกระบวนการทางธุรกิจ ที่มีการใช้งานมานานในระดับสากล และหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก เพราะเป็นวิธีการที่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม วิธีการของ Six Sigma มีการกำหนดขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการค้นหาปัญหา หรือความสูญเสียของกระบวนการที่มีอยู่และจัดทำแผนการปรับปรุงแก้ไข โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปด้วย ตามวิธีการ DMAIC ซึ่งมีขั้นตอนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ Define รู้ปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ Measure รวบรวมข้อมูลเพื่อวัดผลกระบวนการปัจจุบัน Analyze การวิเคราะห์หาปัจจัยที่เป็นสาเหตุของปัญหา Improve ปรับปรุงแก้ไขปัญหา โดยอาจจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบ เพื่อเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด Control ติดตามตรวจสอบและควบคุมการแก้ไขปัญหา เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดซ้ำของปัญหา โดย Six Sigma มีการใช้เทคนิคทางสถิติเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ต้องมีการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ เพื่อจะได้รู้ว่าโอกาสในการปรับปรุงอยู่ตรงไหน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กร