นายประสงค์ พูนธเนศ  กรรมการอิสระ ประธานกรรมการ และประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และนางพิทยา  วรปัญญาสกุล  กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2566 และนำเสนอวาระเพื่อพิจารณาต่างๆ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.27 บาท ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 3,274.48 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติกรรมการ 3 ท่านที่ออกจากตำแหน่งตามวาระ กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ได้แก่ นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ นางประราลี รัตน์ประสาทพร และนายระเฑียร ศรีมงคล  โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในวันนี้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี” อาคารสมัชชาวาณิช 2 ถนนสุขุมวิท ตามพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และคำบอกกล่าวการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) ให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันจัดประชุม

พร้อมชวนพรีเซนเตอร์สุดอบอุ่น “เจเจ กฤษณภูมิ” ร่วมกิจกรรม ใจกลางสยาม

Create Hong Kong (CreateHK) โดยรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (Hong Kong Special Administrative Region - HKSAR) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เตรียมจัดมหกรรมแฟชั่นสุดล้ำกับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของ Hong Kong Fashion Design Week (HKFDW) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญเพื่อตอกย้ำ สถานภาพของฮ่องกง ในฐานะศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแฟชั่น สิ่งทอ และเสื้อผ้าระดับนานาชาติ HKFDW กำหนดจะจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยรวบรวมกิจกรรมการออกแบบแฟชั่นมากมายที่จัดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ของปีเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยนำองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ และกิจกรรมร่วมต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นผสมผสานเข้าไปด้วย

นาย Victor Tsang ผู้อำนวยการ CreateHK วางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายการเข้าถึงของ HKFDW ด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเป้าหมายในเอเชียโดยมีกรุงเทพฯ เป็นหมุดหมายแห่งแรกของการเยือน  นาย Victor ได้พบปะสนทนาอย่างเข้มข้นกับบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ซึ่งมีทั้งนักออกแบบที่มีชื่อเสียงและผู้ซื้อที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อหารือถึง ความเป็นไปได้ในการร่วมมือกัน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของวงการแฟชั่นไทยในงาน HKFDW ที่กำลังจะจัดขึ้น

ยกระดับ Hong Kong Fashion Design Week

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ HKSAR ประกาศเกี่ยวกับโครงการริเริ่มที่สำคัญนี้ในการแถลงนโยบายของฮ่องกงปี 2023 โดยวางแผนการณ์ไกล ที่จะทำให้อุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่น ของฮ่องกง มีความแข็งแกร่งในเวทีระดับโลก และตอกย้ำสถานภาพ Asia World City ของฮ่องกงในการเป็น "จุดหมายปลายทางหลักของกิจกรรมทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์" การดำเนินงานเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในงบประมาณปี 2024-2025 รัฐบาลฮ่องกงจึงได้วางแผนจัดงาน “มหกรรมออกแบบแฟชั่นในเอเชียเพื่อนำแบรนด์แฟชั่นฮ่องกงสู่สากล"

กิจกรรมขนาดใหญ่นี้มี CreateHK ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นและเสื้อผ้า ตลอดจนบรรดาผู้นำเทรนด์ในแวดวงแฟชั่น โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริม ให้เกิดระบบนิเวศที่ตื่นตัวสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งนี้ CreateHK เคยสร้างผลงานความสำเร็จมา แล้วมากมายในการสนับสนุนกิจกรรมแฟชั่นที่เลื่องลือ เช่น CENTRESTAGE หนึ่งในงานแสดงแฟชั่นและกิจกรรมส่งเสริมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย, Fashion Summit (Hong Kong) โครงการสำคัญในการขับเคลื่อนแฟชั่นที่ยั่งยืนของภูมิภาค และ Fashion Asia Hong Kong ซึ่งรวบรวมนักออกแบบ ผู้นำ และผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานร่วมกัน จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

HKFDW จะเป็นเวทีที่รวบรวมบุคลากรที่หลากหลายในการออกแบบแฟชั่น ทั้งนักออกแบบทั้งที่มีชื่อเสียงและดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ ผู้ซื้อจากต่างประเทศ และผู้ชื่นชอบแฟชั่น โดยมีโปรแกรมที่เต็มไปด้วยพลวัต ทั้งการแสดงบนเวทีแฟชั่นโชว์ การเสวนาเจาะลึกในอุตสาหกรรม และโอกาสในการสร้างเครือข่าย โครงการ HKFDW จะเป็นเวทีสำหรับการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้นักออก แบบท้องถิ่น ถ่ายทอดมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวทางวัฒนธรรมของตนบนเวทีระดับโลก

จุดบรรจบกันของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกที่ตรึงความสนใจระดับโลก

HKFDW ก้าวข้ามขอบเขตของแฟชั่น มุ่งมั่นที่จะเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยสีสันในการส่งเสริมความร่วมมือ นวัตกรรม และโอกาสทางธุรกิจที่ก้าวล้ำออกไปนอกขอบเขตอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการเชื่อมโยงผู้มีความสามารถในระดับประเทศกับต่างประเทศ โครงการ HKFDW มุ่งหมายที่จะทำให้ฮ่องกงแข็งแกร่งขึ้นไม่เพียงแต่ในฐานะศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก แต่ยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศระหว่างตะวันออกกับตะวันตก

HKFDW ต่อยอดสถานภาพพิเศษของฮ่ององในการเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก และบทบาทสำคัญในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) โดยเชื่อมโยงตลาดในจีน เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรปเข้าด้วยกันในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงยกระดับความสำคัญของงาน HKFDW เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำสถานภาพ ของฮ่องกง ในฐานะ ศูนย์กลางแฟชั่นระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เป้าหมายในท้ายที่สุดของ HKFDW คือความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างอุตสาหกรรมแฟชั่นในจีนและประเทศต่างๆ ภายใต้โครงการ BRI   เพื่อทำให้ HKFDW ยิ่งใหญ่ระดับโลก

HKFDW มีเป้าหมายที่จะเป็นกิจกรรมสำคัญในการเปิดศักราชใหม่ของแฟชั่นฮ่องกง โดยมีแรงสนับสนุนของภาครัฐที่มุ่งมั่นจะส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางแฟชั่น วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระดับโลก CreateHK พร้อมต้อนรับผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้ชื่นชอบแฟชั่น และบุคคลทั่วไปเข้ามาสัมผัสความมหัศจรรย์ของ HKFDW

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผนึกกำลังกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดพิธีลงนาม MOU โครงการ “Family Business Thailand” เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวอย่างมืออาชีพ F โดยเน้นเจาะกลุ่มทายาทธุรกิจ SME รายเล็ก สมาชิกเครือข่าย YEC ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ โครงการ “Family Business Thailand” เป็นความมุ่งมั่นระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้าผนึกกำลังกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารธุรกิจครอบครัว ให้มีองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการบริหารเครือข่ายให้แก่ธุรกิจครอบครัว และ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเป็นรูปธรรม

นาย เอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจ และสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เน้นการบูรณาการความร่วมมืออันถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการส่งเสริมยกระดับศักยภาพการบริหารจัดการแก่ผู้ประกอบการภายใต้การส่งเสริมพัฒนาของกรมฯ   ให้เติบโตเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเป็นนโยบายผลักดันให้ SME เพิ่ม GDP ให้ได้ไม่น้อยกว่า 40% ภายในปี 2570

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ  โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทย จากการใช้ศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่มีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คำปรึกษาแนะนำในธุรกิจครอบครัว เพื่อให้สามารถส่งผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะวันนี้กลุ่มธุรกิจครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีศักยภาพและมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางด้านธุรกิจอย่างจริงจังให้ได้มีโอกาสศึกษาถึงปัจจัยการขับเคลื่อนให้ธุรกิจครอบครัวสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นต่อไปได้อย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมภายใต้โครงการ “Family Business Thailand” โดยเริ่มต้นจากการอบรมหลักสูตร  Family Business Thailand ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2567  ณ ศูนย์ประชุม 1 ศตวรรษ ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว

ขณะเดียวกัน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือกับโครงการ “Family Business Thailand” ว่า “ในฐานะที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจครอบครัวที่มีต่อ GDP และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ทว่า ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีขนาดเล็ก และขนาดกลางได้รับผลกระทบจากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับข้อจำกัดทางด้านการบริหารจัดการ และองค์ความรู้ในการพัฒนาตนเอง ทำให้ธุรกิจเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงรู้สึกยินดีที่กระทรวงพาณิชย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเห็นความสำคัญและร่วมลงนาม MOU ในโครงการ Family Business Thailand เพื่อสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับธุรกิจครอบครัวกลุ่มนี้ให้มีความแข็งแกร่งจากภายใน อีกทั้งจะสามารถส่งต่อธุรกิจต่อเนื่องกันไปได้อย่างราบรื่นในอนาคต”

นอกจากนี้ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อทำหน้าที่ส่งต่อองค์ความรู้ และบริการทางด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีความยินดีที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ในโครงการ Family Business Thailand ทั้งหลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรระยะยาว (Degree & Non-Degree) กับเจ้าของธุรกิจครอบครัว ตลอดจนทายาท เพื่อนำองค์ความรู้สำหรับการเร่งสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ มพร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายธุรกิจครอบครัว เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตและส่งต่อธุรกิจได้จากรุ่นสู่รุ่น”

ในส่วนรายละเอียดของโครงการฯ ดร.รวิดา วิริยกิจจา คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า  “Family Business Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวในการสร้างโอกาส เตรียมความพร้อมทเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในแต่ละสถาบันการเงิน และเป็นศูนย์บ่มเพาะให้แก่ธุรกิจครอบครัวรายใหม่ให้มีองค์ความรู้ ความสามารถในการพัฒนาด้านธุรกิจ เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจที่ดี ด้วยการสร้างองค์ความรู้ทั้งด้านการบริหารงาน บริหารทรัพย์สิน บริหารครอบครัว พร้อมทั้งให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจของตนเอง รวมทั้งหาแนวทางตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง  เพื่อแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเพื่อจัดทำฐานข้อมูล และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย”

รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้รับผิดชอบโครงการ Family Business Thailand ได้สะท้อนมุมมองในฐานะที่เป็นปรึกษาธุรกิจครอบครัวว่า “ธุรกิจครอบครัวถือเป็น “นักรบทางเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย โดยสามารถสร้างรายได้เกือบ 70% ของ GDP ทว่า ส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาในการสืบทอดธุรกิจ จนมีคำกล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวมักจะส่งต่อกันได้ไม่ถึงรุ่นที่ 3 เนื่องจากศาสตร์การบริหารธุรกิจครอบครัวเป็นศาสตร์เฉพาะด้านที่มีการบ่มเพาะ ถ่ายทอดกันในวงจำกัด ดังนั้น การผนึกกำลังกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาเป็น “สามประสาน” จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถขยายฐาน “กองทัพนักรบทางเศรษฐกิจ” ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ”

โครงการ Family Business Thailand ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการ 60 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในหัวข้อเรื่อง “จากรุ่นสู่รุ่น ... เคล็ดลับความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว” โดยมีวิทยากรผุ้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้แก่

  • นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกิตติมศักดิ์หอารค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มมิตรผล
  • ดร.เดช เลิศสุวรรณรักษ์ ที่ปรึกษาสภาหอารค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพ โอเอ คอมส์ จำกัด
  • นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC หอการค้าไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด
  • รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล (ผู้ดำเนินรายการ) คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีสถาบันการเงินที่มาร่วมออกบูธ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกขึ้นและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ประกอบด้วย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank)  และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่กรมฯจัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ทาง www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570 หรือเฟซบุ๊คแฟนเพจของโครงการ #FamilyBusinessThailand

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต มอบความบันเทิงเอาใจลูกค้าคนสำคัญ ผ่านจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ  “KTAXA Movie Day 2024” เอาใจคอหนัง พาชมภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ เรื่อง “ก็อตซิลล่า ปะทะ คอง 2 อาณาจักรใหม่” รอบพิเศษ ที่จัดขึ้น ณ โรงภาพยนตร์ระดับเวิลด์คลาส Siam Pavalai Royal Grand Theatre by Krungthai-AXA Life และ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ หาดใหญ่ โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร (คนกลาง แถวหลัง) และคุณนิสิต สีหะวงษ์ Head of Customer Relations & Event Management ให้การต้อนรับลูกค้า โดยมีลูกค้ากว่า 1,050 ท่าน เข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษในครั้งนี้

กิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความสุข และความสนุกสนานให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมลูกค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://ktaxa.live/customer-activity-pr หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม การบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

เผยปีที่ผ่านมามอบความคุ้มครองให้ลูกค้าแล้วกว่า 2.2 ล้านราย

บริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด หรือ JBP บริษัทสีของคนไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมสีชั้นนำของประเทศ จับมือ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืนที่เชี่ยวชาญในการพัฒนานวัตกรรม Green Polymer และ Green Solution เพื่อตอบโจทย์คู่ธุรกิจและเจ้าของแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยได้สร้างมิติใหม่ให้กับวงการสี ด้วยการพัฒนา “บรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลก” ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% (High Quality PCR PP Resin) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้นำบรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลกมาใช้กับผลิตภัณฑ์ “สีทาอาคาร JBP SMARTSHIELD-X” ภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION  เพื่อส่งมอบกรีนโซลูชันที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้งาน ตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยสีทาอาคารรุ่นดังกล่าว ได้วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย และกำลังขยายการจำหน่ายไปยังภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา พม่า เวียดนาม และลาว

นายศราวุฒิ รัชนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “เจบีพี มีความตั้งใจที่จะส่งต่อผลิตภัณฑ์สีทาอาคารเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนต่อผู้ใช้งาน รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจากองค์การสหประชาชาติ  (SDGs) และในปีนี้ เจบีพี เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ JBP SMARTSHIELD-X” ภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION  โดยได้ร่วมมือกับ เอสซีจีซี พัฒนาบรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลกที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% เป็นรายแรกในประเทศไทย เพื่อช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์การจัดการทรัพยากรภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และยังส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ด้าน นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “นับเป็นมิติใหม่ในอุตสาหกรรมสีทาอาคาร ที่ได้นำ “บรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลก” ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% (High Quality PCR PP Resin) ภายใต้แบรนด์เอสซีจีซี กรีน พอลิเมอร์ (SCGC Green Polymer™) มาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับสีทาอาคาร ซึ่งถือเป็นความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างมาก เนื่องจากมีการใช้สัดส่วนของพลาสติกรีไซเคิลถึง 100% แต่ยังคงประสิทธิภาพความแข็งแรงทนทาน รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่สวยงามของบรรจุภัณฑ์ไว้ได้เช่นเดิม ช่วยเป็นโซลูชันในการตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สำหรับความร่วมมือระหว่าง JBP และ SCGC ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาหมุนเวียนใช้งานใหม่ 100% ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นส่วนหนึ่งในการนำประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม”

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สีน้ำทาอาคารเจบีพีสมาร์ทชิลด์ เอ็กซ์เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION นวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยภายในอาคาร LEED V4.1 และ WELL Building Standard จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีคุณสมบัติการยับยั้งการแพร่พันธุ์ของเชื้อไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราต่าง ๆ  ผ่านการรับรองมาตรฐาน JIS Z 2801 จากประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เหมาะกับผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่จำเป็น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ได้อย่างยั่งยืน

Roborock (โรโบร็อค) แบรนด์ผู้นำนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ถูพื้น อัจฉริยะระดับโลก ผู้พัฒนา-ผลิต และจัดจำหน่ายหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ถูพื้น อัจฉริยะ ประสิทธิภาพสูงทั่วโลก นำโดย นายเกริกชัย ตั้งตระกูลธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง 1688 จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลชนะเลิศสินค้านวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ในผลิตภัณฑ์กลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน จากงานประกาศรางวัล BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024 โดยสินค้าแบรนด์ Roborock ที่ได้รับรางวัลในปีนี้คือ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ถูพื้น อัจฉริยะ Roborock S8 MaxV Ultra งานจัดขึ้นโดยนิตยสาร BUSINESS+ ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 เพื่อมอบรางวัลให้แก่สุดยอดสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี 2567 ที่ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด ในงานครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯนุรักษ์ มาประณีต เป็นประธานมอบรางวัล จัดขึ้น ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ราชประสงค์

Roborock S8 MaxV Ultra หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ถูพื้น อัจฉริยะ ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจาก Roborock ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Flagship Model ของปี 2024 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI สุดล้ำ อัปเกรดความสามารถทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยใช้ AI ในการคำนวณและประมวลผลการทำความสะอาดในทุกรูปแบบ รวมถึง AI ตรวจจับสิ่งของต่างๆ บนพื้น หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง และอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย และเป็นครั้งแรกของโลกที่มาพร้อมกับสถานี All-in-One แบบครบครันและ Hands-free มากที่สุด มีระบบอัตโนมัติในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การดูดฝุ่น, ถูพื้น, เติมน้ำให้แท้งค์น้ำของหุ่นยนต์, ผสมน้ำยาทำความสะอาด, ซักผ้าถูด้วยน้ำร้อน, เป่าผ้าถูให้แห้งด้วยลมร้อน, ดูดทิ้งฝุ่นจากหุ่นยนต์, ทำความสะอาดตัวเอง, ตลอดจนการเติมน้ำสะอาด และระบายน้ำเสียทิ้งให้อัตโนมัติสำหรับ Roborock S8 MaxV Ultra เวอร์ชัน Auto Refilling & Drainage เพื่อดูแลพื้นบ้านคุณให้สะอาดล้ำลึก ไร้ฝุ่น และไร้ความกังวลในทุกวัน โดยที่คุณไม่ต้องดูแลรักษาด้วยตัวเองบ่อยๆ

ร่วมเป็นเจ้าของนวัตกรรม AI สุดล้ำสมัยจาก Roborock และติดตามข่าวสารโปรโมชันสุดพิเศษอีกมากมาย ผ่านทาง www.roborockthailand.com หรือ Facebook: Roborock Thailand และจาก Roborock Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee Mall ได้ที่ https://shopee.co.th/roborockofficial_store และ Roborock Official Store บนแพลตฟอร์ม LazMall ได้ที่ https://www.lazada.co.th/shop/roborock-official-store 

มุ่งมั่นเดินหน้าปลูกจิตสำนึกเยาวชนและคนไทยทั้งประเทศ สร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ ผ่านการประกวดภาพถ่าย ‘สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ’ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 29 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผนึกกำลังเครือเจริญโภคภัณฑ์ ด้วยการดำเนินงานของ ซีพีเอฟ ซีพีออลล์ และทรู คอร์ปอเรชั่น จัดพิธีมอบรางวัลโครงการปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประกวดภาพถ่าย 'สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ' ประจำปี 2565-2566 พร้อมจัดนิทรรศการภาพถ่ายอันทรงคุณค่า ประจำปี 2565 และ ปี 2566 ณ ลานกิจกรรมชั้น 1 และผนังโค้งชั้น 3 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศในปี 2565-2566 มีดังนี้

  • ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

-  ประจำปี 2566 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทสัตว์มีค่า ภาพพฤติกรรมสัตว์ป่า

นายธีรพงศ์ เพ็ชร์รัตน์ เจ้าของภาพ “ศึกชนช้าง”

- ประจำปี 2565 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทสัตว์มีค่า ภาพสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

นายปฤษฎิ์ เก่งสูงเนิน เจ้าของภาพ “More than Dream”

  • ถ้วยประทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

- ประจำปี 2566 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทป่ามีคุณ ภาพถ่ายระยะใกล้

นายศราวุฒิ ทองเมือง เจ้าของภาพ “Hoar Frost”

- ประจำปี 2565 ระดับบุคคลทั่วไป ประเภทป่ามีคุณ ภาพทิวทัศน์

นายสุชาติ เกื้อทาน เจ้าของภาพ “ไออุ่นแห่งขุนเขา”

ทั้งนี้ ในปี 2565 และปี 2566 มีเยาวชนและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 1,126 คน รวม 4,041 ภาพ เป็นการตอกย้ำ และสร้างความตระหนัก ปลูกใจรักสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สมบัติอันล้ำค่าอันเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติให้ยั่งยืนสืบไป

ปลูกใจรักสิ่งแวดล้อม ทรูปลูกปัญญา

ธ.ก.ส. จัด 10,000 ล้านบาท ให้สมาชิก อสม. และ อสส. ผ่านโครงการสินเชื่อเงินด่วนคนดี เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการอุปโภคบริโภคแทนการกู้เงินนอกระบบ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.67 ต่อเดือน ลดต้นลดดอก ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี ติดต่อได้วันนี้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา

X

Right Click

No right click