บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ YDM เผยวิวัฒนาการ AI จุดเปลี่ยนเกมตลาดดิจิทัลประเทศไทยปี 67 คลื่นลูกใหญ่ท้าทายแบรนด์ และนักการตลาด กระทบอุตสาหกรรมทั่วโลกทุกภาคส่วน โดยเฉพาะวงการธุรกิจโฆษณาและการตลาดเผชิญหน้าความท้าทายด่านแรกส่งผลให้ต้องเร่งปรับตัว พลิกจุดแข็ง AI เปลี่ยนเกม สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดิสรัปกระบวนการธุรกิจ ย่นเวลาทำงานเร็วขึ้นหลายเท่า ติดสปีดนักการตลาดและแบรนด์ แนะ 4 อาวุธสำคัญ หนุนกลยุทธ์ฉบับนักการตลาดยุคปัญญาประดิษฐ์เร่งปรับตัว 1.พัฒนาทักษะ 2.ลงทุนในเทคโนโลยี 3.สร้างกลยุทธ์ชัดเจน และ 4.เน้นจริยธรรม คว้าโอกาสประยุกต์ใช้ AI ที่น่าจับตา ดึง Data อินไซด์วางโรดแมปเชิงกลยุทธ์ ชี้การตลาดแบบ Contextual จับตลาดอย่างถูกที่ ถูกเวลา โชว์เคสถอดคีย์ซัคเซสใช้ AI ติดปีกธุรกิจปั้นยอดขายตามเป้าหมาย

นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า วิวัฒนาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ซึ่งในปัจจุบัน AI เข้ามาดิสรัปและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานองค์กรในหลาย ๆ ด้าน เช่น Task Automation, Process Optimization และ Decision Support เป็นต้น โดย AI จะเข้ามายกระดับกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้าน  คือ Economy of Scope: บุคลากรหนึ่งคนทำงานได้หลากหลายขึ้น  Economy of Scale: ผลิตสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และ Economy of Speed: ย่นระยะเวลาการทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดย YDM มองการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือโอกาส การนำศักยภาพของ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยยกระดับการทำ Advertising & Marketing  ช่วยให้นักการตลาดและแบรนด์ทำการตลาดได้แม่นยำ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีความสามารถด้านการสร้างยอดขายและเพิ่มผลกำไรบนต้นทุนที่ลดลง

นายณัฐพล จิตงามพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่าการมาถึงของ AI ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อวงการ Advertising & Marketing โดยหลาย ๆ เอเจนซี่ได้เริ่มมีการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน  สำหรับที่ YDM เราได้มีการนำ AI และ Data Technology มาใช้แบบ Full Funnel เริ่มต้นจากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ มีการใช้ Social Listening ผนวกกับ AI ในการวิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจ การหาข้อมูลคู่แข่ง หา Consumer Insight กำหนด Segment หรือ Target Group ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ เป็นต้น ในฝ่ายครีเอทีฟ ใช้ในการ Brainstorm หาไอเดีย ช่วยคิด Copy & Artwork ตลอดจนใช้สร้าง Storyboard งานโฆษณาหรือการรีวิวสินค้าให้น่าสนใจ ฝ่าย Social Media นอกเหนือจากการใช้ AI ช่วยคิด Content และ Artwork แล้ว เรายังใช้วิเคราะห์ Trend ในการสร้าง Content ที่เหมาะกับแต่ละแบรนด์ เพื่อเพิ่ม Engagement ต่อกลุ่มเป้าหมาย สำหรับฝ่าย Media ใช้ช่วยวางแผน ช่วยทำ Research และใช้ AI หาความสัมพันธ์ หรือ Co-relation ระหว่าง Media กับยอดขาย กำหนดและปรับรูปแบบการใช้เงินกับมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฝ่าย KOL ใช้ในการช่วยหา KOL/Influencer ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ทำ Prediction ช่วยคำนวณความคุ้มค่าการลงทุน พร้อมช่วยวิเคราะห์ Report หาผลกระทบต่อยอดขาย เป็นต้น

นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การมาถึงของ AI ทำให้เกิดการทำการตลาดแบบใหม่ คือ Automated Personalized Contextual Marketing หรือก็คือ การทำการตลาดโดยปรับตามบริบทของลูกค้าแต่ละคนแบบอัตโนมัติ เป็นการทำการตลาดที่เป็น Customer Centric อย่างแท้จริง ช่วยนักการตลาดและแบรนด์ให้สามารถวางกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะบุคคลได้แม่นยำขึ้นแบบเรียลไทม์ เพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นบนงบประมาณที่น้อยลง สู่เป้าหมายที่วัดผลได้ผ่านยอดขายมากกว่าการทำการตลาดแบบเดิม ๆ ที่แบ่ง Brand campaign กับ Performance campaign ออกจากกัน ทั้งนี้ แบรนด์หรือธุรกิจที่สามารถใช้กลยุทธ์การตลาดนี้ได้ จะต้องมีการจัดเก็บและเตรียม Data ของผู้บริโภคอย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ AI สามารถทำงานในการวิเคราะห์อินไซด์ผู้บริโภคโดยมองเห็นบริบทของผู้บริโภคแต่ละคนที่กำลังเผชิญปัญหาหรือมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การวางแผนการตลาดเชิงรุกในการนำเสนอคอนเทนต์ที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งผู้บริโภคแต่ละคนจะได้รับข้อมูลการสื่อสารจากแบรนด์ตามบริบทที่กำลังเผชิญที่ต่างกัน”

ด้านนายณัฐพล กล่าวว่า “ทาง YDM เองได้มีการนำ Automated Personalized Contextual Marketing มาใช้กับลูกค้าของเรา ยกตัวอย่าง ประกันภัยแบรนด์หนึ่งที่ขายทางออนไลน์ เราใช้ CDP มาเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายอย่างละเอียด เช่น สนใจ Product ตัวไหน Engage กับ Message อะไร มาทำการแบ่งเป็น Segment ย่อย ๆ ตามบริบทของลูกค้าเพื่อทำการสื่อสารแบบอัตโนมัติ right time & right message ผลที่ได้คือ Conversion Rate ในการปิดการขายออนไลน์จากไม่ถึง 1% ขึ้นไปเกือบ 30% นั่นหมายถึงประสิทธิภาพที่มากขึ้นกว่า 30 เท่า ทั้งนี้การทำ Personalization ระดับนี้ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงจะมีขนาดที่เล็กลงมาก ๆ จากหลักหมื่น หลักแสน เหลือเพียงแค่ประมาณ 4-5 ร้อยคน รวมถึงยังต้องรอ Signal จาก User ในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หากแบรนด์ไม่ได้มีระบบที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ มี AI ช่วยให้การ Scale up ปริมาณชิ้นงาน สิ่งเหล่านี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย”

แนะ 4 อาวุธสำคัญที่แบรนด์ นักการตลาดต้องมี เพื่อเร่งปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงยุคการตลาดปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาทักษะ สำหรับบุคลากรในสายงาน Digital Marketing จำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้าน AI โดยเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือ AI ต่าง ๆ และใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล  2.การลงทุนในเทคโนโลยี แบรนด์ต้องลงทุนในเทคโนโลยี AI เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจ 3.การสร้างกลยุทธ์ แบรนด์ต้องสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย ทิศทาง และวิธีการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ 4.จริยธรรม แบรนด์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมในการใช้ AI ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ

“ทั้งนี้ YDM ชู 3 กลยุทธ์ปี 2567 เดินหน้าบุกตลาด พุ่งเป้าพาแบรนด์สร้างยอดขายสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้ (THAT SELL Measurable Business Result) ประกอบด้วย 1.Full Funnel Creative มุ่งสร้างคอนเทนต์ และรูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ สอดรับกับเทรนด์และแบรนด์ในทุกช่องทาง ครอบคลุมผู้บริโภคในทุก ๆ Consumer Journey Stage 2.Marketing Technology แนะแบรนด์ให้เลือกใช้เครื่องมือ MarTech ที่ถูกต้อง เหมาะสม ในงบประมาณที่จับต้องได้ และ 3.Unveil Opportunity พาแบรนด์คว้าโอกาสใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตไปอีกระดับ” นายธนพล กล่าวทิ้งท้าย

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล Hospital of the Year - Thailand และ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คว้ารางวัล CEO of the Year ในงาน Healthcare Asia Awards 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีอันทรงเกียรติที่เชิดชูความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมการแพทย์ระดับเอเชีย รางวัลนี้ ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำด้านการบริบาลด้านสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ภายใต้การนำของ ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับการรักษาทัดเทียมมาตรฐานสากล  

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า รางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการส่งมอบการบริบาลที่เป็นเลิศของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้แก่ผู้ป่วยของเราทุกคน การยอมรับจากสถาบันชั้นนำที่น่าเชื่อถือระดับนานาประเทศคือประจักษ์พยานที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ไม่เฉพาะแต่ในด้านความเป็นเลิศในการส่งมอบการบริบาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นและเข้มแข็ง มาตรฐานสูงสุดด้านจริยธรรม หลักธรรมาภิบาล และที่สำคัญคือความไว้วางใจที่ผู้ป่วยมีต่อเราเสมอมา

ทั้งนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาประสบการณ์การรักษาด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย การใช้นวัตกรรม และการส่งมอบการบริบาลเชิงบวกด้วยความเอื้ออาทร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในระดับโลกและเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับสาธารณสุขไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายประสงค์ พูนธเนศ  กรรมการอิสระ ประธานกรรมการ และประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน และนางพิทยา  วรปัญญาสกุล  กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2566 และนำเสนอวาระเพื่อพิจารณาต่างๆ โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.27 บาท ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 3,274.48 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติกรรมการ 3 ท่านที่ออกจากตำแหน่งตามวาระ กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ได้แก่ นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ นางประราลี รัตน์ประสาทพร และนายระเฑียร ศรีมงคล  โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในวันนี้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี” อาคารสมัชชาวาณิช 2 ถนนสุขุมวิท ตามพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และคำบอกกล่าวการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) ให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันจัดประชุม

พร้อมชวนพรีเซนเตอร์สุดอบอุ่น “เจเจ กฤษณภูมิ” ร่วมกิจกรรม ใจกลางสยาม

Create Hong Kong (CreateHK) โดยรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (Hong Kong Special Administrative Region - HKSAR) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เตรียมจัดมหกรรมแฟชั่นสุดล้ำกับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของ Hong Kong Fashion Design Week (HKFDW) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญเพื่อตอกย้ำ สถานภาพของฮ่องกง ในฐานะศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแฟชั่น สิ่งทอ และเสื้อผ้าระดับนานาชาติ HKFDW กำหนดจะจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยรวบรวมกิจกรรมการออกแบบแฟชั่นมากมายที่จัดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ของปีเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยนำองค์ประกอบที่เป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ และกิจกรรมร่วมต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นผสมผสานเข้าไปด้วย

นาย Victor Tsang ผู้อำนวยการ CreateHK วางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายการเข้าถึงของ HKFDW ด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเป้าหมายในเอเชียโดยมีกรุงเทพฯ เป็นหมุดหมายแห่งแรกของการเยือน  นาย Victor ได้พบปะสนทนาอย่างเข้มข้นกับบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ซึ่งมีทั้งนักออกแบบที่มีชื่อเสียงและผู้ซื้อที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแฟชั่น เพื่อหารือถึง ความเป็นไปได้ในการร่วมมือกัน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของวงการแฟชั่นไทยในงาน HKFDW ที่กำลังจะจัดขึ้น

ยกระดับ Hong Kong Fashion Design Week

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ HKSAR ประกาศเกี่ยวกับโครงการริเริ่มที่สำคัญนี้ในการแถลงนโยบายของฮ่องกงปี 2023 โดยวางแผนการณ์ไกล ที่จะทำให้อุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่น ของฮ่องกง มีความแข็งแกร่งในเวทีระดับโลก และตอกย้ำสถานภาพ Asia World City ของฮ่องกงในการเป็น "จุดหมายปลายทางหลักของกิจกรรมทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์" การดำเนินงานเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในงบประมาณปี 2024-2025 รัฐบาลฮ่องกงจึงได้วางแผนจัดงาน “มหกรรมออกแบบแฟชั่นในเอเชียเพื่อนำแบรนด์แฟชั่นฮ่องกงสู่สากล"

กิจกรรมขนาดใหญ่นี้มี CreateHK ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นและเสื้อผ้า ตลอดจนบรรดาผู้นำเทรนด์ในแวดวงแฟชั่น โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริม ให้เกิดระบบนิเวศที่ตื่นตัวสำหรับความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งนี้ CreateHK เคยสร้างผลงานความสำเร็จมา แล้วมากมายในการสนับสนุนกิจกรรมแฟชั่นที่เลื่องลือ เช่น CENTRESTAGE หนึ่งในงานแสดงแฟชั่นและกิจกรรมส่งเสริมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย, Fashion Summit (Hong Kong) โครงการสำคัญในการขับเคลื่อนแฟชั่นที่ยั่งยืนของภูมิภาค และ Fashion Asia Hong Kong ซึ่งรวบรวมนักออกแบบ ผู้นำ และผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานร่วมกัน จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

HKFDW จะเป็นเวทีที่รวบรวมบุคลากรที่หลากหลายในการออกแบบแฟชั่น ทั้งนักออกแบบทั้งที่มีชื่อเสียงและดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ ผู้ซื้อจากต่างประเทศ และผู้ชื่นชอบแฟชั่น โดยมีโปรแกรมที่เต็มไปด้วยพลวัต ทั้งการแสดงบนเวทีแฟชั่นโชว์ การเสวนาเจาะลึกในอุตสาหกรรม และโอกาสในการสร้างเครือข่าย โครงการ HKFDW จะเป็นเวทีสำหรับการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้นักออก แบบท้องถิ่น ถ่ายทอดมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวทางวัฒนธรรมของตนบนเวทีระดับโลก

จุดบรรจบกันของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกที่ตรึงความสนใจระดับโลก

HKFDW ก้าวข้ามขอบเขตของแฟชั่น มุ่งมั่นที่จะเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยสีสันในการส่งเสริมความร่วมมือ นวัตกรรม และโอกาสทางธุรกิจที่ก้าวล้ำออกไปนอกขอบเขตอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยการเชื่อมโยงผู้มีความสามารถในระดับประเทศกับต่างประเทศ โครงการ HKFDW มุ่งหมายที่จะทำให้ฮ่องกงแข็งแกร่งขึ้นไม่เพียงแต่ในฐานะศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก แต่ยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศระหว่างตะวันออกกับตะวันตก

HKFDW ต่อยอดสถานภาพพิเศษของฮ่ององในการเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก และบทบาทสำคัญในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) โดยเชื่อมโยงตลาดในจีน เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรปเข้าด้วยกันในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงยกระดับความสำคัญของงาน HKFDW เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำสถานภาพ ของฮ่องกง ในฐานะ ศูนย์กลางแฟชั่นระดับนานาชาติอย่างแท้จริง เป้าหมายในท้ายที่สุดของ HKFDW คือความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างอุตสาหกรรมแฟชั่นในจีนและประเทศต่างๆ ภายใต้โครงการ BRI   เพื่อทำให้ HKFDW ยิ่งใหญ่ระดับโลก

HKFDW มีเป้าหมายที่จะเป็นกิจกรรมสำคัญในการเปิดศักราชใหม่ของแฟชั่นฮ่องกง โดยมีแรงสนับสนุนของภาครัฐที่มุ่งมั่นจะส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางแฟชั่น วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวระดับโลก CreateHK พร้อมต้อนรับผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้ชื่นชอบแฟชั่น และบุคคลทั่วไปเข้ามาสัมผัสความมหัศจรรย์ของ HKFDW

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผนึกกำลังกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดพิธีลงนาม MOU โครงการ “Family Business Thailand” เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวอย่างมืออาชีพ F โดยเน้นเจาะกลุ่มทายาทธุรกิจ SME รายเล็ก สมาชิกเครือข่าย YEC ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ โครงการ “Family Business Thailand” เป็นความมุ่งมั่นระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้าผนึกกำลังกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการบริหารธุรกิจครอบครัว ให้มีองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างโอกาสทางการค้าและการบริหารเครือข่ายให้แก่ธุรกิจครอบครัว และ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเป็นรูปธรรม

นาย เอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจ และสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เน้นการบูรณาการความร่วมมืออันถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการส่งเสริมยกระดับศักยภาพการบริหารจัดการแก่ผู้ประกอบการภายใต้การส่งเสริมพัฒนาของกรมฯ   ให้เติบโตเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเป็นนโยบายผลักดันให้ SME เพิ่ม GDP ให้ได้ไม่น้อยกว่า 40% ภายในปี 2570

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ  โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทย จากการใช้ศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่มีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ และให้คำปรึกษาแนะนำในธุรกิจครอบครัว เพื่อให้สามารถส่งผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะวันนี้กลุ่มธุรกิจครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีศักยภาพและมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางด้านธุรกิจอย่างจริงจังให้ได้มีโอกาสศึกษาถึงปัจจัยการขับเคลื่อนให้ธุรกิจครอบครัวสามารถส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นต่อไปได้อย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมภายใต้โครงการ “Family Business Thailand” โดยเริ่มต้นจากการอบรมหลักสูตร  Family Business Thailand ระหว่างวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2567  ณ ศูนย์ประชุม 1 ศตวรรษ ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว

ขณะเดียวกัน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือกับโครงการ “Family Business Thailand” ว่า “ในฐานะที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจครอบครัวที่มีต่อ GDP และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ทว่า ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจครอบครัวที่มีขนาดเล็ก และขนาดกลางได้รับผลกระทบจากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับข้อจำกัดทางด้านการบริหารจัดการ และองค์ความรู้ในการพัฒนาตนเอง ทำให้ธุรกิจเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงรู้สึกยินดีที่กระทรวงพาณิชย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเห็นความสำคัญและร่วมลงนาม MOU ในโครงการ Family Business Thailand เพื่อสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับธุรกิจครอบครัวกลุ่มนี้ให้มีความแข็งแกร่งจากภายใน อีกทั้งจะสามารถส่งต่อธุรกิจต่อเนื่องกันไปได้อย่างราบรื่นในอนาคต”

นอกจากนี้ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อทำหน้าที่ส่งต่อองค์ความรู้ และบริการทางด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีความยินดีที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ในโครงการ Family Business Thailand ทั้งหลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรระยะยาว (Degree & Non-Degree) กับเจ้าของธุรกิจครอบครัว ตลอดจนทายาท เพื่อนำองค์ความรู้สำหรับการเร่งสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ มพร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายธุรกิจครอบครัว เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตและส่งต่อธุรกิจได้จากรุ่นสู่รุ่น”

ในส่วนรายละเอียดของโครงการฯ ดร.รวิดา วิริยกิจจา คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า  “Family Business Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวในการสร้างโอกาส เตรียมความพร้อมทเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในแต่ละสถาบันการเงิน และเป็นศูนย์บ่มเพาะให้แก่ธุรกิจครอบครัวรายใหม่ให้มีองค์ความรู้ ความสามารถในการพัฒนาด้านธุรกิจ เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจที่ดี ด้วยการสร้างองค์ความรู้ทั้งด้านการบริหารงาน บริหารทรัพย์สิน บริหารครอบครัว พร้อมทั้งให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจของตนเอง รวมทั้งหาแนวทางตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง  เพื่อแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเพื่อจัดทำฐานข้อมูล และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย”

รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดีคณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้รับผิดชอบโครงการ Family Business Thailand ได้สะท้อนมุมมองในฐานะที่เป็นปรึกษาธุรกิจครอบครัวว่า “ธุรกิจครอบครัวถือเป็น “นักรบทางเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย โดยสามารถสร้างรายได้เกือบ 70% ของ GDP ทว่า ส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาในการสืบทอดธุรกิจ จนมีคำกล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวมักจะส่งต่อกันได้ไม่ถึงรุ่นที่ 3 เนื่องจากศาสตร์การบริหารธุรกิจครอบครัวเป็นศาสตร์เฉพาะด้านที่มีการบ่มเพาะ ถ่ายทอดกันในวงจำกัด ดังนั้น การผนึกกำลังกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาเป็น “สามประสาน” จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถขยายฐาน “กองทัพนักรบทางเศรษฐกิจ” ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ”

โครงการ Family Business Thailand ยังได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการ 60 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในหัวข้อเรื่อง “จากรุ่นสู่รุ่น ... เคล็ดลับความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว” โดยมีวิทยากรผุ้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้แก่

  • นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกิตติมศักดิ์หอารค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มมิตรผล
  • ดร.เดช เลิศสุวรรณรักษ์ ที่ปรึกษาสภาหอารค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพ โอเอ คอมส์ จำกัด
  • นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC หอการค้าไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด
  • รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล (ผู้ดำเนินรายการ) คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีสถาบันการเงินที่มาร่วมออกบูธ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกขึ้นและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ประกอบด้วย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank)  และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่กรมฯจัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ทาง www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570 หรือเฟซบุ๊คแฟนเพจของโครงการ #FamilyBusinessThailand

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต มอบความบันเทิงเอาใจลูกค้าคนสำคัญ ผ่านจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ  “KTAXA Movie Day 2024” เอาใจคอหนัง พาชมภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ เรื่อง “ก็อตซิลล่า ปะทะ คอง 2 อาณาจักรใหม่” รอบพิเศษ ที่จัดขึ้น ณ โรงภาพยนตร์ระดับเวิลด์คลาส Siam Pavalai Royal Grand Theatre by Krungthai-AXA Life และ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ หาดใหญ่ โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณสุกัญญา อิสรานุวัฒน์ชัย รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร (คนกลาง แถวหลัง) และคุณนิสิต สีหะวงษ์ Head of Customer Relations & Event Management ให้การต้อนรับลูกค้า โดยมีลูกค้ากว่า 1,050 ท่าน เข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษในครั้งนี้

กิจกรรมดังกล่าวได้สร้างความสุข และความสนุกสนานให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมลูกค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://ktaxa.live/customer-activity-pr หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรม การบริการ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

เผยปีที่ผ่านมามอบความคุ้มครองให้ลูกค้าแล้วกว่า 2.2 ล้านราย

บริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด หรือ JBP บริษัทสีของคนไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมสีชั้นนำของประเทศ จับมือ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืนที่เชี่ยวชาญในการพัฒนานวัตกรรม Green Polymer และ Green Solution เพื่อตอบโจทย์คู่ธุรกิจและเจ้าของแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยได้สร้างมิติใหม่ให้กับวงการสี ด้วยการพัฒนา “บรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลก” ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% (High Quality PCR PP Resin) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้นำบรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลกมาใช้กับผลิตภัณฑ์ “สีทาอาคาร JBP SMARTSHIELD-X” ภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION  เพื่อส่งมอบกรีนโซลูชันที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้งาน ตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยสีทาอาคารรุ่นดังกล่าว ได้วางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย และกำลังขยายการจำหน่ายไปยังภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา พม่า เวียดนาม และลาว

นายศราวุฒิ รัชนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.บี.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “เจบีพี มีความตั้งใจที่จะส่งต่อผลิตภัณฑ์สีทาอาคารเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนต่อผู้ใช้งาน รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจากองค์การสหประชาชาติ  (SDGs) และในปีนี้ เจบีพี เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ JBP SMARTSHIELD-X” ภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION  โดยได้ร่วมมือกับ เอสซีจีซี พัฒนาบรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลกที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% เป็นรายแรกในประเทศไทย เพื่อช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์การจัดการทรัพยากรภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และยังส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ด้าน นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “นับเป็นมิติใหม่ในอุตสาหกรรมสีทาอาคาร ที่ได้นำ “บรรจุภัณฑ์ถังสีรักษ์โลก” ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง 100% (High Quality PCR PP Resin) ภายใต้แบรนด์เอสซีจีซี กรีน พอลิเมอร์ (SCGC Green Polymer™) มาใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับสีทาอาคาร ซึ่งถือเป็นความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างมาก เนื่องจากมีการใช้สัดส่วนของพลาสติกรีไซเคิลถึง 100% แต่ยังคงประสิทธิภาพความแข็งแรงทนทาน รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่สวยงามของบรรจุภัณฑ์ไว้ได้เช่นเดิม ช่วยเป็นโซลูชันในการตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สำหรับความร่วมมือระหว่าง JBP และ SCGC ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยนำพลาสติกรีไซเคิลกลับมาหมุนเวียนใช้งานใหม่ 100% ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นส่วนหนึ่งในการนำประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม”

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สีน้ำทาอาคารเจบีพีสมาร์ทชิลด์ เอ็กซ์เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด SUSTAINABLE INNOVATION นวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยภายในอาคาร LEED V4.1 และ WELL Building Standard จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีคุณสมบัติการยับยั้งการแพร่พันธุ์ของเชื้อไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราต่าง ๆ  ผ่านการรับรองมาตรฐาน JIS Z 2801 จากประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เหมาะกับผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่จำเป็น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ได้อย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click