การบรรยายช่วงแรก Part 1 “เรียนรู้เกี่ยวกับการตอแหล” นี้ ศ.แซนเดล ตั้งคำถามสำคัญสามข้อนั้นขึ้นในห้องเรียน แล้วมีนักศึกษาฮาร์วาร์ดลุกขึ้นตอบ ไล่เป็นข้อๆ จนกระทั่งจบการบรรยาย
เพื่อเป็นตัวช่วยคอยอำนวยความสะดวกแก่ท่านผู้อ่านบางท่าน เพื่อให้ท่านเหล่านั้นชมวีดิทัศน์ต้นฉบับแบบชมไปพลางแล้วสกัดฟัง คำถามคำตอบ ทั้งสามได้สะดวกขึ้น กับเพื่อบริการท่านผู้อ่านอีกบางท่าน ซึ่งอาจจะเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ต้องการฝึกฝนภาษา อังกฤษให้ท่านผู้อ่านกลุ่มหลังนี้สามารถอ่านทำความรู้จัก และเรียนรู้คำถามคำตอบจนพอเข้าใจข้อปรัชญาได้--เสียก่อนที่ท่านจะชมวีดิทัศน์ เพื่อว่าท่านจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศการเรียนการสอนในวิดีโอได้อย่างสนุกสนานขึ้น ไม่ต้องพะวงกับเรื่องภาษามากนัก
ด้วยเจตนาตามย่อหน้าก่อนผู้เขียน บทสรุปภาษาไทยจึงได้จัดคำถามคำตอบสามคำถามดังกล่าว มาเรียงให้เห็นกันอย่างชัดเจน
เนื่องจากเรื่องปรัชญานั้น--ถ้าเราฟังไปเรื่อยๆ เราก็จะพานได้ยินเสียงแว่วๆ ไปเรื่อยๆ คล้ายกับได้ฟังนักเทศน์กำลังแหล่ พอตัวเองโดนตัวของตัวเอง ถามตัวเองเข้าให้ว่า แล้วประเด็นคืออะไร ก็จะอึกอักตอบตัวของตัวเองไม่ถูกว่าได้ยินอะไรมาบ้าง เก้าสิบในร้อยมักจะเป็นเช่นนั้น รวมทั้งตัวผู้สรุปภาคภาษาไทยเองด้วย การได้เห็นรูปแบบลายลักษณ์ อักษรไปก่อน จะช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ดีกว่าที่จะฟังรูปแบบเดซิเบลกับชมภาพเคลื่อนไหวอย่างเดียว
ระหว่างการบรรยาย ศ.แซนเดล ได้ฉายสไลด์เป็นลายลักษณ์อักษร ย้ำความเข้าใจกับนักศึกษาเป็นระยะ
คำถามแรกมีว่า: เสรีภาพกับหน้าที่ จะไปกันได้อย่างไร How can duty and autonomy go together?
วิสัชนา: การปฏิบัติตามหน้าที่ ก็คือ ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมที่เราบังคับเอากับตัวเราเอง ด้วยเหตุนี้ หน้าที่จึงสอดคล้องกับความมีเสรีภาพ เพราะว่าที่จริงแล้ว--ฉันก็เชื่อฟังกฎ ซึ่งฉันบัญญัติขึ้นเอง
ผลตามนั้นก็คือ ปฏิบัติตามหน้าที่ = ปฏิบัติอย่างเสรี
เสรี--ในความหมายที่ว่า เป็นการ ปฏิบัติตาม อัตโน-อนุมัติ ดังแถลงไว้แล้วใน ตอนก่อน และอาจขยายความต่อไปได้ว่า อัตโน-อนุมัติ ก็คือ การปกครองตนเอง-การบริหารตัวเอง--ไม่ได้มีใครมาบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไปตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย เพราะฉะนั้น การปฏิบัติตามหน้าที่กับการปฏิบัติอย่างเสรี จึงเป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ เลยพี่—ถ้าจะว่ากันตามข้อปรัชญาของคานต์
คำถามที่สองมีว่า: หลักศีลธรรม จะไม่มีมากมายหลายหลักละหรือ How many moral laws are there?
วิสัชนา: การแสวงหาคำตอบให้กับคำถามข้อที่สองนี้ ทำให้เกิดคำถามซ้อนขึ้นมาว่า ก็ในเมื่อแต่ละคนต่างก็ปฏิบัติตนตาม อัตโน-อนุมัติ ซึ่งมีคุณค่าเชิงศีลธรรมแฝงอยู่ ฉะนี้แล้วจะมีอะไรมาประกันได้ว่าความสำนึกเรื่องสิ่งที่ถูกที่ควรอันพึงทำของข้าพเจ้า จะตรงกับความสำนึกของท่าน? หลักศีลธรรม ของฉัน จะตรงกับหลักศีลธรรมของท่านได้อย่างไร? --ในเมื่อเราต่างคนต่างก็อัตโน- อนุมัติ
คานต์ วิเคราะห์ประเด็นนี้ว่า สิ่งที่ จะมาประกันว่าคนในสังคมจะสำนึกตรงกัน คือ “ความมีเหตุผลของคนเรา”
นักศึกษาหญิงผู้หนึ่งลุกขึ้นมา อภิปรายว่า สิ่งที่สั่งให้เราเลือกที่จะปฏิบัติตน อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเสรี (หรืออย่างอัตโน- อนุมัติ) ไม่มีกิเลสปรุงแต่งจากอายตนะเข้ามา เกี่ยวข้องคอยบังคับ สิ่งนั้นก็คือการที่เราต่างคนต่างก็คิดเอาเองตาม เหตุผลบริสุทธิ์ --แล้ว จึงปฏิบัติ ซึ่งในที่สุดทุกคนก็จะคิดด้วยเหตุผลบริสุทธิ์เหตุผลเดียวกัน เพราะเหตุผลบริสุทธิ์มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่เหตุผลใครเหตุผลมัน จึงเป็นไปได้ว่าคนจำนวนมากจะเลือกกฎศีลธรรมอย่างเดียวกัน เพราะว่าเหตุผลบริสุทธิ์มันจะ Transcend -- คือว่ามัน อยู่เหนือ อยู่เลยโพ้น อยู่ในต่างมิติกับความรู้สึกอันแตกต่างกันของนานามนุษย์ เหตุผลบริสุทธิ์อยู่ต่างมิติกับความรู้และประสบการณ์อันแตกต่างกันของมนุษย์ทั้งหลาย
คำถามสุดท้าย คือ: ถ้าแม้นว่าเรายอมรับข้อหนึ่งและข้อสองไว้แล้ว แต่... กฎสมบูรณ์ จะมีได้ด้วยหรือ หลักศีลธรรม จะเกิดมีขึ้นมาได้อย่างไร (กฎสมบูรณ์ ก็คือ หลักศีลธรรมของ คานท์ ซึ่งบางท่านเรียกย่อว่า CI =categorical imperative)
How is a categorical imperative possible?
How is morality possible?
วิสัชนา: อิมมานูเอล คานต์ บอกว่าจะตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ได้ เราต้องรู้จักแยกจักรวาลสองจักรวาลออกจากกัน ซึ่งจักรวาลทั้งสองต่างก็ล้วนเป็นปริมณฑลแห่งการรับรู้โลกของตัวเราเองด้วยกันทั้งสองจักรวาล
ในจักรวาลแรก เราเป็นตัวรองรับ ประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากการรับรู้ของ อายตนะ ในจักรวาลแรกนี้การกระทำทั้งหลาย ของเรา อยู่ใต้บังคับของกฎธรรมชาติ การกระทำของเราเป็นเหตุเป็นผลของความเป็นธรรมดาธรรมชาติ เช่น เราเชื่อฟังความหิวกระหาย สยบยอมต่อความรักความใคร่ คล้อยตาม ความทะยานอยากต่างๆ ในจักรวาลแรกนี้ที่ จริงเราเป็น “ตัวถูกกระทำ”
ในจักรวาลที่สอง เรามีฐานะ “ตัวกระทำ” เป็นประธานผู้กระทำกิริยาต่างๆ ตามความคิดของตัวเอง ชีวิตภาคส่วนนี้ของเรา คานต์เห็นว่าธำรงอยู่ในจักรวาลแห่งสติ ปัญญา ความสว่างแจ้ง การรู้จักคิดอย่างมี เหตุผล ในจักรวาลที่สองนี้เรามีเสรีภาพ เพราะเราเป็นอิสระปลอดจากกิเลสเครื่อง เศร้าหมองทั้งหลาย หมายความว่า--กฎ ธรรมชาติไม่มายุ่มย่าม ก้าวก่าย เข้ามาถือสิทธิ์บังคับชีวิตภาคส่วนนี้ของเรา เราเป็น อิสระจากธรรมชาติ ชีวิตในจักรวาลที่สองนี้ เราจะสามารถเข้าถึงความมีเสรีภาพ มีอิสระสมบูรณ์ เพราะว่าเราจะประพฤติปฏิบัติตนก็เฉพาะตามกฎที่เราวางไว้ให้แก่ตัวเราเอง
และเฉพาะในจักรวาลที่สองนี้เท่านั้น ที่เราอาจพูดได้ว่า ฉันมีเสรีภาพ ฉันเป็นอิสระ ฉันเป็นไทแก่ตัวจริงๆ เพราะตามปรัชญาของคานต์ การเป็นอิสระหลุดพ้นจากใต้บังคับของโลกที่รับรู้ด้วยอายตนะเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์มีเสรี
แต่ถ้าหากว่า เราเป็นเพียงตัวตนทาง กายภาพ (คือมนุษย์มีแต่กาย) เป็นก้อนเลือด ก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง ที่อาจนำมาชั่งตวงวัดได้- เพียงเท่านี้เท่านั้น-ที่ “เป็นเรา” ตามที่ปรัชญาประโยชน์นิยมเข้าใจและยึดถือกัน ความเป็นไปของเลือดเนื้อก้อนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ากิเลส ตัณหา ความใคร่ความอยากความมักมากจะชักนำบงการ ถ้ามนุษยชนคือเพียงเท่านี้ มนุษย์ทั้งหลายย่อมไร้ขีดความสามารถที่จะเข้าถึงเสรีภาพ คานต์ว่าอย่างนั้น
ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าหากการณ์เป็นเช่นนั้น การแสดงออกซึ่งเจตนาทั้งหลายทั้งปวงของเราก็ล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บังคับของความอยากและกิเลสตัณหาทั้งหลาย การที่เราเลือกจะปฏิบัติการใดๆ ก็ดี ล้วนแต่เลือกกระทำเพราะกิเลสตัณหามาชักนำบังคับให้ทำ
แต่ ช้าก่อน-อย่าเพิ่งเข้าใจผิด สถานการณ์ตรงข้ามกับกิเลสตัณหานำทางไม่ได้
“When we think of ourselves as free, we transfer ourselves into the intelligible world as members and recognize the autonomy of the will.” --Immanuel Kant
แปลว่า หมดกิเลสตัณหาคนละปรัชญากัน สำหรับคานต์การประพฤติปฏิบัติที่ตรงข้ามกับกิเลสบงการ ก็คือปฏิบัติโดยที่มีเหตุผลชักนำ (ไม่ใช่ธรรมะหรือศรัทธาในศาสนามาชักนำ หรือพระเจ้า หรือองค์อัลลอฮ์ มาบงการ เว้นเสียแต่ว่าธรรมะ ศรัทธาศาสนา หรือพระเจ้า หรือองค์อัลลอฮ์ แปลว่า “เหตุผล”)
เมื่อคิดตามคานต์มาถึงขั้นนี้ ปมที่ อาจเป็นประเด็นอยู่ก็คือ การมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกพร้อมๆ กันทั้งสองจักรวาล กลายเป็นว่าเราเป็นพวกทวิภพ เราอยู่ทั้งในจักรวาลที่หนึ่ง--ซึ่งมีกิเลสตัณหาชักนำ ในขณะเวลาเดียวกันนั้น เราก็มีชีวิตอยู่ในจักรวาลที่สอง—ที่ปกครองด้วยเหตุผล
เพราะฉะนั้น การต้องมีชีวิตทวิภาค เช่นนี้ เราจึงมักจะพบกับช่องว่าง--อันถ่าง อยู่--ระหว่างสิ่งที่เรา “ได้กระทำลงไปแล้ว” กับสิ่งที่เรา “น่าที่จะควรได้กระทำ” เสมอ
ซึ่งคานต์สรุปพื้นฐานปรัชญาศีลธรรมของเขาว่าศีลธรรมไม่อาจรับรู้ได้ด้วยอายตนะ (Not Empirical) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรา เห็นในโลกและรับรู้ด้วยอายตนะ รวมทั้งการค้นพบหรือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่ สามารถนำมาตัดสินปัญหาศีลธรรมได้ ศีลธรรมอยู่นอกโลก-หมายถึงโพ้นจากโลกที่เรารับรู้ได้ด้วยอายตนะ ด้วยเหตุนี้วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ทั้งหลายจึงไม่อาจนำสัจธรรมมาตีแผ่แสดงให้แจ้งแก่เราได้เลย
แต่เดี๋ยวก่อนครับ-ท่านผู้อ่านบท สรุปภาษาไทยของข้าพเจ้า “อายตนะของ ฝรั่ง” กับของไทยต่างกัน ฝรั่งมีห้าอายตนะ “ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย” (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส) แต่ “อายตนะไทย” มี “ใจ” เติมเข้ามาเป็นอายตนะที่หก (ตา-หู-จมูก- ลิ้น-กาย-ใจ)
ดังนั้น อายตนะที่คานต์พูดถึงจึงหมายถึง อายตนะแบบฝรั่ง—และผู้เขียน สรุปภาษาไทยเห็นว่า ก็เพราะไม่มีใครชี้ประเด็นความแตกต่างตรงนี้ จึงอาจทำให้ผู้ศึกษาคานต์ บางท่านในประเทศไทยไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด งงกับคานต์ พากันเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่—เดี๋ยวก็เสือกัดตายหมดหรอก ศาสนาอิสลามในประเทศไทยหรืออาจรวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมดด้วย-ผู้เขียนขออนุญาตตีกรอบตัวเอง- ครูมุสลิมของผู้เขียนท่านบอกว่า จิตใจคนก็สำคัญ เวลาไม่สบายนอนป่วยอยู่มุสลิมก็สามารถใช้จิตใจนึกทำละหมาดอยู่ในใจก็ได้ท่านไม่ว่า
อิมมานูเอล คานต์ วางทฤษฎีศีลธรรมไว้เข้มงวด ปิดโอกาสที่จะให้มีข้อยกเว้น โดยคานต์เห็นว่าการกล่าวเท็จ แม้จะเป็นเพียงการพูดปดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ถือว่าผิดกฎศีลธรรม (หรือผิด CI=The Categorical Imperative)
เมื่อบรรยายมาถึงใจความสำคัญข้อนี้ ศ.แซนเดล ก็ทดสอบนักศึกษาฮาร์วาร์ดของท่านด้วยข้อสอบที่ยากที่สุด ซึ่งลอกมาจาก คานต์ โดยตรง
สมมติว่า ถ้าเพื่อนเราซ่อนอยู่ในบ้านของเรา แล้วอาชญากรผู้หมายหัวจะฆ่าเพื่อนมาเคาะประตูบ้านถามเราว่า เพื่อนเราคนนั้นอยู่ในบ้านหรือไม่ สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเราพูดปดปฏิเสธกับฆาตกรว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ในบ้าน เราจะผิดศีลธรรมหรือไม่
ศ.แซนเดลอ้างความเห็นนักปรัชญาฝรั่งเศส แบงจาแม็ง ก็งสตอง ว่าการพูดความจริงในกรณีเช่นนี้นั้น--บัดซบที่สุด ผิดชัดๆ จะถูกไปไม่ได้เลย เพราะว่าอาชญากร/ฆาตกร ไม่ใช่ผู้ที่สมควรจะได้รับความจริงจากเรา
แต่ว่า กรณีตามอุทาหรณ์ การกล่าวเท็จแม้เพื่อป้องกันชีวิตเพื่อนก็ยังผิดกฎศีลธรรมอันเคร่งครัดของคานต์ แต่...ถ้าเรายกข้อความที่เป็นความจริงขึ้นมาพูด ทว่าเป็นความจริงชนิดที่มีคุณสมบัติลวงฆาตกรได้ การกระทำดังกล่าวของเราจะยังมีคุณค่าเชิงศีลธรรม (=ถูก/ผิด ศีลธรรม) อย่างไร หรือไม่
ศ.แซนเดล กำลังแยกให้นักศึกษาเห็นความแตกต่างระหว่าง การตอแหลตรงๆ กับ การพูดความจริงที่ชวนให้เข้าใจผิด (An Outright Lie กับ A Misleading Truth)
ลงท้ายการอภิปรายด้วยการฉายวิดีโอคลิปให้นักศึกษาชมตัวอย่างการกล่าวถ้อยคำ เลี่ยงการพูดปดอันเป็นกรณีโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ คือ กรณีที่ประธานาธิบดี คลินตัน พูดถึงสัมพันธ์สวาทกับ นางสาวโมนิกา ลิววินสกี
ในที่สุด ศ.แซนเดล ก็วิสัชนาว่า: การพูดความจริงชนิดที่มีคุณสมบัติเลี่ยงการพูดปด แต่สามารถลวงฆาตกรได้ ก็ยังมีคุณค่าทางศีลธรรมอยู่
ทั้งนี้เพราะว่า การพูดความจริงชนิดนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังให้ความเคารพต่อ “หน้าที่” ซึ่งหมายความว่ายังเคารพต่อกฎศีลธรรม (โปรดกลับไปอ่านคำถามแรกที่ว่า: เสรีภาพกับหน้าที่จะเข้ากันได้อย่างไร) และการพูดความจริงที่ชวนให้เข้าใจผิดยังต่างกับการตอแหลตรงๆ ซึ่งไม่แสดงความเคารพต่อหลักการอะไรเลย
ชมต้นฉบับวีดิทัศน์ และชมบรรยากาศการเรียนการสอน ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สำหรับตอนนี้
เรียนรู้เกี่ยวกับการตอแหลกันดีกว่า
คำคัดเด็ด ประจำตอนนี้
การพูดความจริงชนิดที่มีคุณสมบัติเลี่ยงการพูดปด แต่สามารถลวง ฆาตกรได้ ก็ยังมีคุณค่าทางศีลธรรมอยู่
สรุปคำบรรยายปรัชญา/ปรัชญาการเมือง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศ.ไมเคิล แซนเดล
-- ปรีชา ทิวะหุต สรุปเป็นภาษาไทย
-----------------------
นิตยสารMBA ฉบับที่ 184 Jan - Feb 2015