มอบรางวัลยกย่องพันธมิตรช่วยสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ขาดโอกาส

เน้นย้ำความสำคัญของบทบาทสตรี ควบคู่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

พื้นที่ 4,200 ตารางเมตรนี้ ทุ่มเทให้กับการสืบทอดมรดกและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อ ‘คว้าโอกาสที่จะนำไปสู่การเริ่มต้น’ และสร้างสรรค์อนาคตแห่งความงาม

 

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “ในสถานการณ์ตลาดความงามที่คึกคักกว่าเดิม ลอรีอัล กรุ๊ปมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และสามารถเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำระดับโลกช่วงครึ่งปีแรกได้มากขึ้น ธุรกิจเติบโตในวงกว้างในทุก ๆ แผนก ภูมิภาค กลุ่มผลิตภัณฑ์ และช่องทางการขาย ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์อีกครั้งถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการที่เน้นความหลากหลายและสร้างสมดุลของเรา

การเติบโตยังคงได้แรงขับเคลื่อน 2 จากปัจจัย คือ ปริมาณและมูลค่า ซึ่งพิสูจน์ความสำเร็จด้านนวัตกรรมและความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเรา เพื่อให้วงจรการดำเนินงานที่ดีของเราดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เราสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา พร้อมกันนี้ เรายังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องกับการเปลี่ยนโฉมสู่การดำเนินงานที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งด้านผลประกอบการและความยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน เรายังคงตั้งเป้าสูงต่อไป มองแนวโน้มตลาดความงามสดใส เชื่อมั่นในความสามารถที่จะเติบโตเหนือตลาดต่อไป และทำให้ยอดขายและผลกำไรในปี 2566 เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก”

 

สรุปผลการดำเนินงานตามแผนก

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 7.6%

การเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมขับเคลื่อนด้วยแบรนด์เคราสตาส (Kérastase) โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขจัดรังแคซิมไบโอส (Symbiose) รวมทั้งแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel) ที่ประสบความสำเร็จจากเมทัล ดีท็อกซ์ (Metal Detox) แผนกนี้ยังทำผลงานได้ดีในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมด้วยเชดส์ อีคิว (Shades EQ) ไลน์ผลิตภัณฑ์ระดับตำนานโดยเรดเคน (Redken) และอินัว (Inoa) โดยลอรีอัล โปรเฟสชันแนล แผนกนี้ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการ “แฮร์สไตลิสต์เพื่ออนาคต” ซึ่งสนับสนุนช่างทำผมพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโต 15.0%

แต่ละแบรนด์เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก โดยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีความคึกคักมากที่สุดด้วยแรงหนุนจากฟอล์สซี่ เซอร์เรียล มาสคาร่า (Falsies Surreal Mascara) จาก เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) เทเลสโคปิค ลิฟต์ มาสคาร่า (Telescopic Lift Mascara) จาก ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้อานิสงส์จากกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก โดยเฉพาะการเปิดตัวเอลวีฟ บอนด์ รีแพร์ (Elvive Bond Repair) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนกลุ่มสกินแคร์ก็เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักจากรีไวทัลลิฟต์ คลินิคัล วิตามิน ซี เอสพีเอฟ50+ (Revitalift Clinical Vitamin C SPF50+) ฟลูอิด ผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอรีอัล ปารีส และเอเอชเอ บีเอชเอ (AHA BHA) ไลน์ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวตัวใหม่ของการ์นิเยร์ (Garnier)

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 7.6%

กลุ่มน้ำหอมเติบโตแซงหน้าตลาด เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นจากแบรนด์ระดับกูตูร์ เช่น อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent), พราด้า (Prada) และวาเลนติโน (Valentino) ส่วนในกลุ่มสกินแคร์นั้น แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นของแบรนด์เฮเลนา รูบินสไตน์ (Helena Rubinstein) และการฟื้นตัวของแบรนด์ลังโคม (Lancôme) ในอเมริกาเหนือ ผนวกกับความสำเร็จของทาคามิ (Takami) ในญี่ปุ่น และล่าสุดในจีน กลุ่มเครื่องสำอางก็เติบโตด้วยเช่นกันจากความสำเร็จของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์(Yves Saint Laurent) และผลการดำเนินงานที่น่าพอใจจากแบรนด์ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเออร์เบิน ดีเคย์ (Urban Decay) และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ส่วนแบรนด์เอสอป (Aēsop) จะได้รวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 29.0%

ได้รับแรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของแผนก ประกอบกับการเดินหน้าในการทำงานกับแพทย์และเภสัชกร โดยทุกแบรนด์เติบโตสองหลัก ทั้งลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผลักดันการเติบโตเบอร์หนึ่งของแผนกก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ไว้ได้ จากผลิตภัณฑ์เอฟฟาคลาร์ (Effaclar), ซิคาพลาส (Cicaplast) และยูวีมูน 400 (UVmune 400) ส่วนเซราวี (CeraVe) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความคึกคักมากในอเมริกาเหนือ และเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก วิชี่ (Vichy) ได้จากความสำเร็จของเดอร์คอส (Dercos) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ส่วนผลิตภัณฑ์สกินซูติคัลส์ (SkinCeuticals) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (SkinBetter Science) ที่เพิ่งซื้อกิจการมานั้น ก็เริ่มต้นได้อย่างมีศักยภาพ

สรุปผลการดำเนินงานของภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) เติบโตขึ้น 23.6%1

 

ภูมิภาค SAPMENA ยังคงเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่าอย่างโดดเด่นในระดับตัวเลขสองหลักในทุก ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกแผนก กลุ่มสกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ จากการเติบโตของแบรนด์เซราวี และการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดของลา โรช-โพเซย์ เครื่องสำอางเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดจากการฟื้นตัวของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมก็ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในวงกว้างอีกครั้ง

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลอรีอัลสามารถทำยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตโดดเด่นในประเทศไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในเวียดนามก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ในขณะที่กลุ่มกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับมีการเติบโตที่ดีเยี่ยมในช่วงวันหยุดทางศาสนา และทุกประเทศในแอฟริกาใต้ซาฮารามีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก

เหตุการณ์สำคัญด้านนวัตกรรมและ ESG ของลอรีอัลเมื่อเร็ว ๆ นี้

การวิจัย, บิวตี้ เทค และดิจิทัล

· ลอรีอัล กรุ๊ปได้เปิดตัวโครงการริเริ่มด้านไบโอเทคที่สำคัญ ๆ หลายโครงการ โดยกองทุนบีโอแอลดี (BOLD) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมทุนของลอรีอัลได้ลงทุนในบริษัทเดบูท์ (Debut) บริษัทไบโอเทคของสหรัฐเพื่อร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มที่ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีความยั่งยืนมากขึ้นกว่า 7,000 รายการ

โครงการพัฒนาร่วมกันระหว่างลอรีอัล และเดบูท์มีเป้าหมายเพื่อเร่งระยะเวลาในการเปิดตัวสินค้าสู่ตลาด นอกจากนี้ ลอรีอัลยังได้ประกาศการเป็นพันธมิตรกับบาการ์ แล็บส์ (Bakar Labs) โครงการบ่มเพาะด้านไบโอเทคระดับบุกเบิกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ทำให้สตาร์ทอัพของบาการ์ แล็บส์มีช่องทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงโมเดลผิวพรรณที่สร้างขึ้นมาใหม่ในรูปแบบ 3 มิติของลอรีอัล ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านนวัตกรรมสำหรับการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ปราศจากการทดสอบกับสัตว์

· ในงานวีว่า เทคโนโลยี 2566 (Viva Technology 2023) ลอรีอัล กรุ๊ปเปิดตัวนวัตกรรมบิวตี้ เทคใหม่ล่าสุด ได้แก่ โซลูชั่นเพื่อรองรับความหลากหลายทุกรูปแบบ เช่น แฮปตา (HAPTA) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวมือสามารถแต่งหน้าได้ เครื่องมือสำหรับวินิจฉัย ได้แก่ สปอตสแกน (SPOTSCAN), เมตา โปรไฟเลอร์ (META PROFILER™), เค-สแกน K-SCAN) โซลูชั่นเพื่อการสร้างสรรค์ความงามเฉพาะบุคคล ได้แก่ ทรีดี ชู:บราว (3D shu:brow) และโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืน เช่น วอเตอร์ เซฟเวอร์ (WATER SAVER) ของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งช่วยประหยัดการใช้น้ำไปมากกว่า 66 ล้านลิตรแล้วจนถึงปัจจุบัน

· ลอรีอัล และเวริลี (Verily) บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพแบบพุ่งเป้าในเครืออัลฟาเบท (Alphabet) ประกาศการเปิดตัวมาย สกิน แอนด์ แฮร์ เจอร์นีย์ (My Skin & Hair Journey) ซึ่งเป็นโครงการศึกษาสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมระยะเวลาหลายปีที่มีความหลากหลายที่สุด และครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยการศึกษาซึ่งมีผู้หญิงในสหรัฐเข้ามามีส่วนร่วมนับพันคนนี้ จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจปัจจัยทางชีวภาพ, คลินิก และสิ่งแวดล้อมซึ่งมีส่วนสนับสนุนสุขภาพผิวพรรณและเส้นผมได้ดีขึ้น

· ในการประชุมแพทย์ผิวหนังโลก (World Congress of Dermatology - WCD) ที่สิงคโปร์ ลอรีอัลเปิดเผยรายงานวิจัยชิ้นใหม่ว่าด้วยภาวะผิดปกติของเม็ดสีผิว และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีต่อผิวและหนังศีรษะของผู้หญิง

ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

· ลอรีอัลได้รับการรับรองจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส โกลบอล สำหรับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยได้คะแนนด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) 85 คะแนนจาก 100 คะแนน ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนโฉมที่ยั่งยืนของลอรีอัลไปสู่รูปแบบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และตอบรับความหลากหลายมากขึ้นด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน

· ในงานมอบรางวัลนานาชาติเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 25 ของลอรีอัล-ยูเนสโก นักวิทยาศาสตร์หญิง 5 คนได้รับการยกย่องสำหรับผลงานที่โดดเด่น และมีการมอบเหรียญเกียรติยศ รวมทั้งทุนให้แก่นักวิจัย 3 คนที่ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องหลบหนีออกจากประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่มีต่อวิทยาศาสตร์อย่างน่ายกย่อง

· เนื่องในวันคุ้มครองโลก ลอรีอัลได้ประกาศ 3 โครงการใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติ (Fund For Nature Regeneration) ของบริษัท ได้แก่ โครงการเน็ทซีโร่ (NetZero), รีฟอเรสเทอร์รา (ReforesTerra) และแมงโกรฟส์ (Mangroves) โครงการเหล่านี้ได้รับคัดเลือกเนื่องจากวิธีการที่เป็นนวัตกรรมในการกักเก็บคาร์บอนในดิน, การปลูกป่า และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมทั้งศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น

· ลอรีอัลได้รับการจัดอันดับจากฟาสต์ คอมพานี (Fast Company) ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด100 อันดับแรกสำหรับนวัตกร ประจำปี 2566 ซึ่งยกย่ององค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมในทุกระดับ

ชวนเพื่อนพนักงานมาสร้างพลังให้เหล่าคุณแม่ ผู้เป็นได้ทุกเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนลูก

X

Right Click

No right click